ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 728 ความหวาดกลัว
บทที่ 728 ความหวาดกลัว
ยามดึก ณ สำนักโหราจารย์
ซ่งชิงเอนตัวอยู่บนโต๊ะและหลับสนิท โดยที่บนโต๊ะยังมีอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุแบบต่างๆ วางอยู่ ขณะที่ถ่านไฟในหม้อต้มยาก็ยังคงหลงเหลือความอบอุ่น
ทันใดนั้นซ่งชิงก็พลันสะดุ้งตื่น เขาเบิกตากว้างและมองเห็นเสื้อคลุมสีขาวที่ข้างโต๊ะ
เขาจ้องมองไป สักพักถึงพบว่านั่นคือศิษย์พี่ซุน สีหน้าของเขาทรุดโทรม แววตาเลื่อนลอย และกำลังมองเขาอยู่เงียบๆ
ข้างๆ กันยังมีวานรขาวตัวหนึ่งอยู่ด้วย
“ศิษย์พี่ซุน ท่านกลับมาได้อย่างไร?”
ซ่งชิงอ้าปากหาวแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ว่าทำศึกอยู่ที่ชิงโจวหรือ? คงไม่ได้มาเพราะต้องการอุปกรณ์อีกหรอกนะ ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าให้ท่านไปชุดนึงแล้วหรือ ศิษย์พี่ ข้านอนวัยละหนึ่งชั่วยามเท่านั้นนะ ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กก็ต้องพักผ่อนกระมัง”
เขาบ่นคร่ำครวญไม่หยุด
ซุนเสวียนจีไม่ได้พูดอะไร วานรขาวที่อยู่ข้างกายลังเลพักหนึ่งก็เอ่ยพูดเสียงเบา
“อาจารย์โหราจารย์ อาจจะดับสูญแล้ว”
เสียงโอดครวญหยุดลงทันใด ซ่งชิงนิ่งงันไปแล้ว
ตอนนี้เอง ซุนเสวียนจีก็พลันล้มลงบนพื้นและมีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด กลิ่นอายชีวิตค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งชิงใจตกไปที่ตาตุ่ม ทางหนึ่งรีบควานหยิบเม็ดยาออกมาจากในกระเป๋าด้วยมือไม้ลนลาน อีกทางก็เอ่ยเสียงสั่น
“กะ เกิดอะไรขึ้น ศิษย์พี่ซุน…”
ผู้พิทักษ์หยวนยืนอยู่ข้างๆ เขามองซุนเสวียนจีพร้อมเอ่ยเสียงเบา
“เพื่อตรวจสอบความจริงเรื่องการดับสูญของท่านโหราจารย์ เขาจึงไปที่สมรภูมิรบด้วยตัวเอง”
หลังจากซ่งชิงจับชีพจร หัวใจของเขาก็จมลงสู่ก้นเหว
ซุนเสวียนจีบาดเจ็บลึกถึงจุดกำเนิด เส้นชีพจรถูกตัดขาด อวัยวะภายในล้มเหลว จิตเดิมก็อ่อนแออย่างที่สุด
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ เมื่อมาอยู่บนตัวของโหรผู้หนึ่งก็เพียงพอจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แล้ว
สาเหตุที่ยังพาวานรขาวกลับมาที่สำนักโหราจารย์ได้ คาดว่าคงเป็นเพราะในใจยังมีความยึดติดอยู่เป็นแน่
ผู้พิทักษ์หยวนมองเห็นความคิดของซ่งชิง จึงเอ่ยเสียงหม่นหมอง
“มันคือไฟแห่งความแค้นที่พาเขากลับมาที่สำนักโหราจารย์”
…
หอดูดาว ห้องใต้ดิน
จงหลีจ้องมองซ่งชิงอย่างเหม่อลอย ภายใต้ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงนั่นมองเห็นดวงตาที่สว่างไสวราวกับเปล่งประกายสายน้ำ
“อาจารย์โหราจารย์ สิ้นแล้ว?”
นางเอ่ยพึมพำ
ซ่งชิงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำ แม้มองไม่เห็นความเศร้าโศกบนใบหน้าของเขา แต่อาการเฉื่อยชากลับน่าเศร้ายิ่งกว่า
“สวี่ผิงเฟิง ผู้นำเต๋านิกายปฐพี พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ และยังมีไป๋ตี้ ไป๋ตี้จากอวิ๋นโจวตนนั้น” ซ่งชิงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ศิษย์พี่ซุนเห็นพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นคนสังหารท่านโหราจารย์”
เมื่อเห็นจงหลีนิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่นาน ซ่งชิงก็เอ่ยว่า
“ข้าจะเข้าวังไปบอกจักรพรรดิน้อย”
เขาหันกายจากไป ห้องใต้ดินตกอยู่ในความเงียบงันชั่วนิรันดร์
ผ่านไปนาน จงหลีก็หยิบกล่องไม้ข้างกายขึ้นมาแล้วลูบฝากล่องอย่างแผ่วเบา หยาดน้ำตาไหลหลั่งไม่หยุด
“ต้องแก้แค้น ข้าจะแก้แค้นแทนอาจารย์โหราจารย์เอง…”
…
ยามเช้าตรู่ฟ้าสาง บนกำแพงเมืองของเมืองหลวง คบเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ในฤดูหนาวเดือนสิบสองก็ไม่อาจขจัดความหนาวเย็นเสียดกระดูกไปได้
น้ำค้างอาบไล้ทั่วกำแพงเมืองแล้วจับตัวเป็นน้ำแข็งท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ทำให้กำแพงแข็งราวกับเหล็กกล้า
ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้ากำแพงเมืองถือหอกยาว มือของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลที่โดนน้ำแข็งกัด บางครั้งก็เป่าลมร้อนไปที่กลางฝ่ามือ หรือไม่ก็ยื่นมือเข้าไปใกล้คบเพลิงเพื่อหาความอบอุ่นในค่ำคืนอันเหน็บหนาวสุดขั้ว
‘กุบ กุบ กุบ!’
เสียงฝีเท้าม้าดังมาจากที่ไกลๆ เข้ามาในหูของเหล่าทหารคุ้มกันกำแพง
ในคืนฤดูหนาว เจ้าหน้าที่ม้าเร็วตัวหนึ่งพุ่งมาที่ใต้กำแพงเมืองพร้อมสะบัดแส้กระแทกบังเหียนอย่างแรง ภายใต้สายตาระแวดระวังของเหล่าทหารคุ้มกันกำแพง เขาก็ร้องตะโกนสุดเสียง
“เปิดประตู ข่าวด่วนจากแปดร้อยลี้…”
ณ ห้องบรรทม จักรพรรดิหย่งซิ่งที่หลับสนิทถูกจ้าวเสวียนเจิ้นปลุกให้ตื่นขึ้น เขานวดหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้าแล้วระงับอารมณ์ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“มีเรื่องใดต้องมาปลุกเรากลางดึก”
ปกติแล้วผู้ที่กล้ามารบกวนการพักผ่อนของจักรพรรดิในเวลานี้ หากไม่ใช่เพราะท้องฟ้าถล่มก็ต้องเป็นเพราะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่คิดว่าสุนัขรับใช้คนนี้จะเบื่อชีวิตแล้ว เช่นนั้นคำตอบก็น่าจะเป็นอย่างแรก น้ำเสียงของเขาจึงยิ่งทุ้มต่ำ สีหน้าก็เคร่งขรึมไปด้วยเช่นกัน
สีหน้าของจ้าวเสวียนเจิ้นซีดเผือดดุจกระดาษ
“ฝ่าบาท ภายในส่งข่าวด่วนมาว่าชิงโจวป้องกันไว้ไม่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนิ่งงันอยู่บนเตียง ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าแข็งค้าง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
จ้าวเสวียนเจิ้นเรียกไปสองครั้ง จักรพรรดิหย่งซิ่งจึงส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมาเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
“รายงานอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร…”
ยังไม่ทันพูดจบ จักรพรรดิหย่งซิ่งก็เลิกผ้าห่มแล้วผลักจ้าวเสวียนเจิ้นออกไป เขาเดินเท้าเปล่าและสวมเพียงเสื้อสีขาวตัวใน จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังห้องทรงพระอักษร
ห้องทรงพระอักษรเชื่อมติดกับห้องบรรทม ห้องหนึ่งอยู่ข้างใน อีกห้องอยู่ข้างนอก ไม่นานเขาจึงวิ่งออกจากห้องบรรทมมายังห้องทรงพระอักษรได้
เขาเดินตรงมายังโต๊ะแล้วหยิบหนังสือรายงานที่วางอยู่บนนั้นขึ้นมาอ่านด้วยสีหน้าย่ำแย่
เนื้อหาในหนังสือรายงานแบ่งเป็นสามส่วน
หนึ่งคือสถานการณ์ผู้บาดเจ็บล้มตายของกองทัพคุ้มกันเมืองชิงโจว เขตป้องกันแห่งชิงโจวสามสิบเขต ทั้งยังมีทหารจากเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ที่โยกย้ายไปเสริมทัพ รวมทั้งหมดเป็นกำลังเก้าหมื่นนาย ล้วนสูญเสียไปถึงหกส่วน ทหารสามหมื่นกว่านายที่ยังเหลือได้ถอยกำลังมาที่ยงโจวแล้ว
สองคือเรื่องเกี่ยวกับท่านโหราจารย์ หยางกงคิดว่าอาจเกิดเรื่องกับท่านโหราจารย์แล้ว และหวังว่าราชสำนักจะรีบยืนยันสถานการณ์ของท่านโหราจารย์โดยเร็ว
สามคือคำแถลงความรู้สึกของหยางกง ความหมายคร่าวๆ คือละอายต่อองค์จักรพรรดิ ละอายต่อเทวดาอารักษ์ แต่ขอใช้ความตายเพื่อแทนคุณใต้หล้า
จักรพรรดิหย่งซิ่งอ่านจบมือก็เริ่มสั่นเทา
“ไร้สาระ ท่านโหราจารย์เป็นนักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่ง อยู่ในขั้นหนึ่ง ภายในอาณาเขตของต้าฟ่ง จะยังมีใครกล้าลงมือกับเขาได้? หยางกงผู้นี้ปล่อยข่าวลือให้ผู้คนเข้าใจผิด เราจะตัดหัวเขาให้ได้สมกับที่เขาต้องการเสียเลย”
สีหน้าของจักรพรรดิหย่งซิ่งเขียวคล้ำแล้วตบโต๊ะอย่างแรง
ตอนนี้ไม่ว่าใครที่กล้ามาเอ่ยว่าท่านโหราจารย์เกิดเรื่องต่อหน้าเขา เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้งว่าอะไรคือความพิโรธ
ตอนนี้เอง ทหารรักษาวังที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วเอ่ยรายงานว่า
“ฝ่าบาท ซ่งชิงจากสำนักโหราจารย์อยู่นอกวังและมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
‘ซ่งชิงมาแล้ว จะต้องเป็นข้อความจากท่านโหราจารย์อย่างแน่นอน ท่านโหราจารย์ให้เขามาส่งคำพูดกระมัง…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งตื่นตัวขึ้นมา เขาตะโกนเสียงดังลั่น
“เร็ว รีบเชิญเขาเข้ามา”
ขันทีรีบส่งป้ายเชิญไปทันที
หนึ่งเค่อต่อมา ทหารรักษาวังก็เดินนำซ่งชิงกลับมา ฝ่ายแรกหยุดอยู่เพียงด้านนอกห้องทรงพระอักษร ส่วนฝ่ายหลังเดินข้ามธรณีประตูแล้วก้าวลงบนพรมแดงเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“ท่านซ่ง มีข้อความจากท่านโหราจารย์ใช่หรือไม่” จักรพรรดิหย่งซิ่งก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามออกมา
เขาจ้องเขม็งไปที่ซ่งชิง ในแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อเทียบกันแล้ว ซ่งชิงนั้นราวกับหมาไร้เจ้าของ เขามีสีหน้าซีดขาวและมีรอบคล้ำใต้ตา
“ฝ่าบาท อาจารย์โหราจารย์ ดับสูญแล้ว…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งลงบนบัลลังก์ ราวกับถูกเลาะเนื้อเถือกระดูกไป
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหแล้วชี้ไปที่ซ่งชิงพร้อมตะโกนลั่น
“ไร้สาระ ซ่งชิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร? ท่านโหราจารย์เป็นอาจารย์ของเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าแช่งเขาหรือ?”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดชายฉลองพระองค์อย่างแรง จากนั้นตะโกนว่า
“ภายในอาณาเขตของต้าฟ่งแห่งนี้จะมีใครที่กล้าลงมือกับท่านโหราจารย์กัน เจ้าบอกข้ามา ใครกันที่กล้าลงมือกับท่านโหราจารย์?”
สีหน้าของซ่งชิงหม่นหมอง
“ศิษย์พี่ซุนได้ตรวจสอบขั้นต้นแล้ว พบว่าอาจารย์โหราจารย์เขาอาจจะดับสูญไปแล้วจริงๆ วันนั้นที่อวิ๋นโจวเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด โชคชะตาเลือนหาย กลิ่นอายของอาจารย์โหราจารย์ก็หายไปเช่นกัน และไม่ปรากฏออกมาอีก”
จักรพรรดิหย่งซิ่งค่อยๆ นั่งห่อเหี่ยวบนเก้าอี้ตัวใหญ่พลางเอ่ยพึมพำ
“ท่านโหราจารย์เขา…ทำไมถึง…ใครกล้าสังหารเขากัน…”
ซ่งชิงเอ่ยอย่างทึมทื่อ
“จำนวนของยอดฝีมือเหนือสามัญในทัพกบฏอวิ๋นโจวเหนือกว่าที่คิดไว้”
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งนิ่งอยู่นาน ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อยราวกับต้องลมหนาว
ความหวาดกลัวใหญ่หลวงกำลังเข้าครอบงำเขา
…
วันรุ่งขึ้น ชิงโจวเสียการควบคุม ข่าวการดับสูญของท่านโหราจารย์เริ่มแพร่อยู่ในวงราชการของเมืองหลวงจนทำให้เกิดความโกลาหลอย่างมาก
ขุนนางมารวมตัวกันอยู่ที่ประตูอู่แล้วขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ก็ถูกขวางเอาไว้ข้างนอก
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงพระประชวร ตกใจจนประชวร
จนกระทั่งเมื่อถึงย่ำค่ำ ขุนนางทั้งหลายจึงได้มาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร เพียงชั่วข้ามคืน จักรพรรดิหย่งซิ่งก็ราวกับถูกดูดพลังชีวิตไปเสียหมด ดวงพระเนตรนั้นเลื่อนลอย สีพระพักตร์ก็ขาวซีด
ขุนนางต่างใจตกไปที่ตาตุ่ม สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูเอ่ยด้วยความเศร้า
“ฝ่าบาท โปรดรักษาพระวรกายมังกรด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ้มเยาะ
“กายมังกร? ตอนนี้เรายังจะสนใจร่างกายที่มีแต่เลือดเนื้อนี่ไปทำไม? ขุนนางทั้งหลาย ท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว ควรทำอย่างไรดี ชิงโจวแตกพ่าย ทัพกบฏเผชิญหน้ากับหยางกงที่ชายแดนยงโจว ทันทีที่พวกเขาคุมชิงโจวได้สำเร็จแล้วจะต้องบุกอีกครั้งแน่ และในไม่ช้าก็เร็วก็จะมาถึงเมืองหลวง”
ท่านโหราจารย์คือกระดูกสันหลังเส้นสุดท้ายของต้าฟ่ง
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงเอ่ย
“ฝ่าบาท ต้าฟ่งยังมีฆ้องเงินสวี่ พวกเราไม่ใช่ไม่มีกำลังต่อสู้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งส่ายศีรษะเบาๆ
“ถึงพลังฝึกตนของเราจะเบาบาง แต่ก็รู้ว่าจอมยุทธ์ขั้นสามคนหนึ่งจะทำอะไรได้ ไม่มีสิ่งใดที่เขาทำได้หรอก แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ยังตายเพราะทัพกบฏ แล้วฆ้องเงินสวี่ยังจะเป็นอย่างไร”
หลิวหงไร้คำพูด
ภายในห้องทรงพระอักษร บรรยากาศทั้งหนักอึ้งและเงียบงัน
ผ่านไปนาน ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็เอ่ยเสียงแผ่ว
“ฝ่าบาท เช่นนั้นเจรจาสงบศึกเป็นอย่างไร”
‘เจรจาสงบศึก…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งดวงตาสว่างวาบ เขาส่ายหัวทันทีแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ทัพกบฏมีกำลังมากมายและปรารถนาจะแย่งชิงพื้นที่ของต้าฟ่งโดยคิดจะมาแทนที่ มีหรือจะยอมสงบศึก”
“ฝ่าบาท หากไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” มีคนกล่าวขึ้น
“เราเหนื่อยแล้ว” จักรพรรดิหย่งซิ่งกล่าวอย่างหดหู่
“ให้เราได้คิดสักหน่อย”
…
เขตพระราชฐาน จวนฮว๋ายชิ่ง
รถม้าธรรมดาเรียบง่ายแล่นมาจอดอยู่นอกจวน หลิวหงผู้รับตำแหน่งแทนเว่ยเยวียนและกลายเป็นผู้นำของอดีตพรรคเว่ยลงมาจากรถม้า ก่อนจะเข้าไปข้างใน
เมื่อผ่านเรือนด้านหน้าแล้ว เขาก็มาถึงโถงรับรอง
ภายในโถงอันกว้างขวางโอ่อ่า องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดชาววังปักดอกเหมยและมีบุคลิกเย็นชานั่งอยู่ที่โต๊ะ นางรออยู่พักหนึ่งแล้ว
“ข้าไปที่สำนักโหราจารย์มาและได้พบกับซ่งชิงและซุนเสวียนจีแล้ว เกรงว่าท่านโหราจารย์คงจะมีเคราะห์ร้ายจริงๆ”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ผู้นี้เคร่งเครียดอย่างหาได้ยาก นางมองหลิวหงที่เดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า
“ท่าทีของฝ่าบาทกับขุนนางเป็นอย่างไร”
หลิวหงถอนหายใจ
“เมื่อไม่มีท่านโหราจารย์ กระดูกสันหลังของฝ่าบาทและขุนนางก็ได้หักโค่นลงแล้ว ความกล้าก็ไร้สิ้น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่เสนอให้เจรจาสงบศึก ฝ่าบาทยังมิได้เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พูดเพียงจะขอดำริดูก่อน”
“เจรจาสงบศึก…” ฮว๋ายชิ่งพึมพำเสียงเบา ผ่านไปพักหนึ่งก็ส่ายหน้า
“ทัพกบฏปรารถนาในภาคกลางและปรารถนาในบัลลังก์ มีหรือจะยอมเจรจาสงบศึก แม้จะเห็นด้วย แต่ก็อาจกลายเป็นสิงโตละโมบที่อ้าปากกว้างได้ แรกเริ่มขอผลประโยชน์ก่อน แล้วค่อยมอบความสงบสุขชั่วคราว จากนั้นมีดทื่อก็จะค่อยๆ เฉือนเนื้อ และทำให้ตายช้าลงเท่านั้น”
หลิวหงยิ้มขมขื่น
“องค์หญิง ท่านเป็นผู้อยู่ภายนอกย่อมมองได้ชัดเจนที่สุด วันนี้ฝ่าบาทไม่ได้ประชุมราชสำนักเช้า พระองค์ทรงประชวรเพราะตกพระทัย เวลาแบบนี้ หากทัพกบฏมีความคิดจะสงบศึก ฝ่าบาทก็คงจะตอบรับโดยไม่สนสิ่งใด เหมือนคนจมน้ำที่คว้าเศษฟางช่วยชีวิตนั่นแล”
พูดพลางหลิวหงก็ระบายยิ้มเต็มใบหน้า
“แต่ความกลัวของฝ่าบาทนั้นมีเหตุผล ท่านโหราจารย์สิ้นแล้ว ใครจะยังสามารถต่อกรกับอวิ๋นโจวได้อีก? ฆ้องเงินสวี่อย่างไรก็เป็นเพียงโหรขั้นสาม แม้ว่าราชครูจะอยู่ขั้นสอง แต่นางจะยอมตายเพื่อต้าฟ่งจริงๆ หรือ ถึงแม้ว่าจะยินยอม แต่เกรงว่าคงจะมีใจแต่ไร้กำลังกระมัง องค์หญิง พระองค์มากปัญญาฉลาดเฉลียวมาตลอด เช่นนั้นทรงบอกกระหม่อมทีเถิดว่าควรจะทำลายสถานการณ์เช่นนี้เช่นไร…”
ตอนที่ประชุมในห้องทรงพระอักษร สาเหตุที่เขาไม่ได้ต่อต้านเรื่องการสงบศึกเป็นเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ฮว๋ายชิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วเอ่ยช้าๆ
“ยอมเป็นหยกสลาย ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์”
…
ชิงโจว
ผู้ว่าการมณฑลชีก่วงป๋อนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะที่เดิมเป็นของหยางกง ด้านล่างเป็นกลุ่มแม่ทัพนายพล ด้านซ้ายมีจีเสวียนนั่งเป็นลำดับแรก ส่วนทางขวาเป็นเก่อเหวินเซวียน
สองคนนี้ คนแรกโจมตีเมืองและหมู่บ้านมาตลอดทางและไล่ล่าสังหารทหารพ่ายของชิงโจวอย่างห้าวหาญ
ส่วนคนหลังติดตามชีก่วงป๋อไปโจมตีจนยึดหว่านจวิ้นได้ บวกกับฐานะศิษย์ของสวี่ผิงเฟิง จึงมีตำแหน่งในกองทัพค่อนข้างสูง ด้อยกว่าจีเสวียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนกองทัพม้าเหล็กของเซวี่ยนหวู่และกองทัพอสูรเหินเวลาของจูเชวี่ยนั้นเป็นของสวี่ผิงเฟิง และไม่ได้ปรากฏตัวในกองทัพ
“ไม่ใช่การประชุมทหาร ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดหรอก”
ชีก่วงป๋อยิ้มกล่าว “การที่เราตีชิงโจวสำเร็จนั้นต้องขอบคุณพี่น้องทั้งหลาย คืนนี้จะตกรางวัลให้ทั้งสามกองทัพ ทั้งเหล้าสุราอาหารและนารี สิ่งที่ควรมีย่อมมี”
แม่ทัพนายพลหัวเราะร่าออกมาแล้วเอ่ยเสียงดัง
“ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่”
ชีก่วงป๋อพยักหน้า
“แต่หลังจากวันนี้ พวกท่านต้องควบคุมทหารใต้อาณัติให้หยุดปล้นสะดมผู้คน ต่อจากนี้ชิงโจวก็คือดินแดนของพวกเราแล้ว เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ!”
แม่ทัพนายกองรับคำ
จัวเฮ่าหรานเอ่ยถามด้วยใจทะเยอทะยาน
“ท่านแม่ทัพใหญ่ เมื่อใดจะให้พวกเรายกทัพขึ้นเหนือหรือขอรับ ล้วนแต่กล่าวกันว่าเมืองหลวงคือเมืองอันงดงามในภาคกลาง ทั้งยังเจริญรุ่งเรืองที่สุดด้วย เหล่าพี่น้องต่างก็อดรนทนรอไม่ไหวแล้วนะขอรับ”
มีคนเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะขึ้นมา
“หลังจากทำศึกไปถึงเมืองหลวง เจ้าอย่าได้คิดจะก่อความวุ่นวายให้ข้าเชียว เมืองหลวงนั้นรุ่งเรืองไม่ผิด แต่หญิงงามนั้นน่าล่อลวงเสียยิ่งกว่าเงินทอง หากบาดเจ็บล้มตายไป จะเป็นเรื่องน่าเสียดาย ข้าก็คิดจะลิ้มลองรสสตรีของญาติขุนนางเหล่านั้นว่าเป็นเช่นไรเหมือนกัน”
มีคนหัวเราะพลางก่นด่าออกมาทันที
“ก็แค่สิ่งไร้ค่า หากอยากหลับนอนด้วย ก็หลับนอนกับเหล่ากิ่งทองใบหยกไม่ดีกว่าหรือ อย่างองค์หญิง ท่านหญิง สนมในวังหลังนั่นปะไร แบบนั้นไม่น่าดึงดูดยิ่งกว่าสตรีจากชนชั้นสูงงี่เง่าพวกนั้นหรอกหรือ?”
เสียงหัวเราะดังก้องทั่วสารทิศ
หลังจากตีชิงโจวได้ ทหารของอวิ๋นโจวก็ขวัญสูงเทียมฟ้า ตั้งแต่แม่ทัพนายกองไปจนถึงทหารธรรมดาๆ ต่างก็คันไม้คันมือเตรียมตัวบุกทางเหนือแล้ว และแทบอยากจะตีไปจนถึงเมืองหลวงได้ในคราวเดียวเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อคิดไปคิดมา การเดินทัพทำสงครามก็มีกฎข้อบังคับของตัวเอง บัดนี้ทัพกบฏตีชิงโจวได้แล้ว ก็ยิ่งต้องทำให้อาณาเขตนี้มั่นคงเสียก่อน ทั้งต้องปลอบโยนประชาชน ขุนนางในพื้นที่ ซ่อมแซมกำแพงเมือง สั่งสมเสบียง และอีกมากมาย
เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เวลา ไม่ใช่การปล้นสะดมอย่างคนนอกด่านที่เข้ามาฉกชิงสิ่งของและผู้คน จากนั้นก็ไปๆ มาๆ รวดเร็วรีบร้อนนัก
เก่อเหวินเซวียนยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะโต๊ะ
เสียงหัวเราะค่อยๆ เงียบลง จากนั้นเขาก็ถือโอกาสพูดขึ้น
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าเชื่อว่าช่วงเวลาพักฟื้นนั้นไม่ใช่การว่างงาน พวกเราสามารถส่งคนไปแฝงตัวในเมืองแต่ละแห่งของต้าฟ่งได้ พร้อมทั้งเผยแพร่ข่าวที่ท่านโหราจารย์ตายแล้วให้ทั่ว หนึ่งคือสามารถสร้างความวุ่นวาย และสองคือสร้างชื่อเสียงให้แก่กองทัพอวิ๋นโจวของเรา”
ชีก่วงป๋อแสดงท่าทีตอบรับ “แผนการนี้ยอดเยี่ยม”
จีเสวียนเอ่ยขึ้น
“สงครามครั้งนี้กองทัพของข้าล้มตายไปไม่น้อย จำเป็นต้องเสริมกำลังทหารและเรียกใช้ผู้ลี้ภัย แต่พลังต่อสู้ของผู้ลี้ภัยนั้นมีจำกัด กำลังเสริมพลังต่อสู้ในระดับกลางจึงเป็นปัญหา”
ชีก่วงป๋อให้ความสนใจกับเรื่องนี้ จึงโยนคำถามไป
“จื่อซู่มีคำแนะนำใดหรือ?”
จีเสวียนกล่าว “เกณฑ์จอมยุทธ์จากยุทธภพ”
นี่ถือได้ว่าเป็นประเพณีของเมืองเฉียนหลง ในหมู่ผู้นำในสมรภูมินั้น กว่าครึ่งล้วนเคยเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพมาก่อน จากนั้นก็ลี้ภัยเข้ามาในอวิ๋นโจวและเข้าร่วมกับเมืองเฉียนหลง
ชีก่วงป๋อพยักหน้าแล้วมองดูทุกคน ทันใดนั้นก็เอ่ยถามว่า
“ทุกท่านคิดว่าเมื่อไม่มีท่านโหราจารย์แล้ว ทางฝั่งราชสำนักต้าฟ่งนั่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?”
จัวเฮ่าหรานหัวเราะร่า
“เจ้าจักรพรรดิน้อยนั่นคงตกใจจนฉี่ราดกางเกงไปแล้ว”
แม่ทัพนายกองพากันคล้อยตาม
“เมื่อเสียนักบุญอุปถัมภ์อย่างท่านโหราจารย์ไป ต้าฟ่งก็เป็นเพียงเสือป่วยที่นอนหงายเขี้ยวเล็บ ทำได้แค่มองแต่ไร้ประโยชน์”
“มีแค่เจ้าสวี่ชีอันนั่นเท่านั้นที่พอจะออกโรงได้”
“ชิ เขาน่ะหรือจะออกโรงอะไร จอมยุทธ์ขั้นสามน่าเกรงขามจริงๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านราชครู ก็มีกำลังไม่พอหรอก”
ตอนนี้เอง จีเสวียนก็หัวเราะพรืด
“เขาก่อคลื่นลมใดๆ ไม่ได้แล้วจริงๆ ราชครูได้ฝังตะปูตอกวิญญาณเอาไว้ในร่างกายของเขา เท่านั้นก็สามารถทำให้เขาอยู่ได้แค่ในขั้นสามแล้ว”
เก่อเหวินเซวียนหัวเราะรับ
“ท่านราชครูช่างคาดเดาเรื่องราวได้ราวกับเทพ”
เมื่อหัวข้อตรงหน้าเปลี่ยนไป ชีก่วงป๋อก็ยกมือขึ้น เสียงดังวุ่นวายสงบลง จากนั้นจึงเอ่ยว่า
“กล่าวไปก็ไม่ผิด ราชสำนักต้าฟ่งตั้งแต่จักรพรรดิไปจนถึงขุนนาง ตอนนี้จะต้องหวาดกลัวจนอยู่ไม่สุขเป็นแน่ เช่นนั้น หากพวกเราเริ่มเสนอการเจรจาสงบศึกก่อนเล่า?”
ทุกคนตกตะลึง
…………………………………