ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 730 เจรจาสงบศึก
บทที่ 730 เจรจาสงบศึก
หมายเลขเจ็ด ‘ข้าก็ได้ข่าว น่าหัวเราะจริงเชียว ในเขตต้าฟ่ง ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโหราจารย์ โหราจารย์จะตายได้อย่างไร’
หลี่หลิงซู่แสดงความคิดเห็น
หมายเลขสี่ ‘ข้าไม่ได้ยินข่าวลือชั่วคราว แต่ด้วยพลังของโหราจารย์ นอกจากขั้นเหนือมนุษย์ลงมือ มิฉะนั้นในเขตต้าฟ่งก็ไร้คู่ต่อสู้’
แม้ฉู่จ้วงหยวนลาออกจากราชการสิบปี ยังคงห่วงใยราชสำนัก ห่วงใยเรื่องใหญ่ในโลกหล้า ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี เมื่อหารือเรื่องเช่นนี้ ไม่เคยขาดเขาแม้แต่ครั้งเดียว
หมายเลขเก้า ‘พูดได้ยาก ต้าฟ่งสถานการณ์ง่อนแง่น เข้าสู่ช่วงเสื่อมถอยแล้ว ชะตาบ้านเมืองที่โหราจารย์ได้รับมีจำกัด เมื่อไม่มีโชคชะตาบ้านเมืองสนับสนุน พลังต่อสู้ของโหรขั้นหนึ่ง ก็คงเท่านั้นกระมัง’
ความคิดเห็นของนักบวชเต๋าจินเหลียนค่อนข้างเป็นไปตามความจริง
หมายเลขเก้า ‘จริงสิ ยืนยันแล้วว่าหมายเลขแปดจะออกจากการปลีกวิเวก เขาปลอดภัยสบายดี ดียิ่งนัก หมู่นี้เขาอาจไปเมืองหลวง ทุกท่านจะชุมนุมกันที่เมืองหลวงหรือไม่’
หมายเลขเจ็ด ‘มีเวลาว่างค่อยว่ากัน’
หลี่หลิงซู่ตอบเช่นนี้
ผู้อื่นไม่พูด รอคำตอบของสวี่ชีอันหรือฮว๋ายชิ่ง
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดก็ได้รับคำตอบที่แน่นอนจากฮว๋ายชิ่ง
หมายเลขหนึ่ง ‘ชิงโจวเสียเมือง โหราจารย์มีโอกาสพลาดท่ามาก’
คำพูดเรียบง่ายประโยคเดียว แต่ราวกับสายฟ้าดังกังวานฟาดข้างหูของสมาชิกพรรคฟ้าดิน จนในหัวของพวกเขาอื้ออึง สูญเสียความสามารถในการคิดชั่วขณะ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา ไม่มีผู้ใดพูด
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความราวกับละเมอ
หมายเลขสอง ‘จะเป็นไปได้อย่างไร…’
ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ!
สำหรับสมาชิกทุกคน นี่คือข่าวร้ายที่ไม่อาจยอมรับได้จริงๆ
หมายเลขเจ็ด ‘โหราจารย์ตายแล้ว เช่นนั้น เช่นนั้นต้าฟ่งจะทำอย่างไร ไม่ใช่ๆ โหราจารย์จะตายได้อย่างไร นี่เป็นไปไม่ได้…’
คำถามของเขาก็คือคำถามร่วมกันของสมาชิกพรรคฟ้าดินทุกคน
หมายเลขหนึ่ง ‘ยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด ตามคำพูดของซ่งชิง วันนั้นในหมู่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ที่ลงมือ มีสวี่ผิงเฟิง เจียหลัวซู่ ไป๋ตี้ และเฮยเหลียน’
หมายเลขสอง ‘ไป๋ตี้? ไป๋ตี้ผู้นั้นแห่งอวิ๋นโจว?’
หลี่เมี่ยวเจินที่เคยอยู่อวิ๋นโจวมานานส่งข้อความถามอย่างเหลือเชื่อ
สมาชิกคนอื่นคิดอยู่สองสามวินาที ในใจถึงมีข้อสันนิษฐานที่สอดคล้องกัน
หมายเลขหนึ่ง ‘มันนั่นแหละ ซุนเสวียนจีบอกเช่นนี้ นอกจากนี้ ด้วยพลังของลูกหลานเทพปีศาจท่านนี้ ซุนเสวียนจีเดาว่าขั้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ขั้นหนึ่ง ฆ่าโหราจารย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ’
ยามนั้นในหมู่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ที่เข้าร่วมสงคราม เฮยเหลียนเป็นขั้นสอง ถ้าไป๋ตี้ก็เป็นขั้นสอง งั้นฆ่าโหราจารย์ไม่ได้อย่างแน่นอน
ทุกคนในพรรคฟ้าดินสูดหายใจหนาว เย็นวาบถึงขั้วหัวใจ
พวกเขารู้ตำนานของอวิ๋นโจว รู้จักไป๋ตี้ผู้นั้นไม่มากก็น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าตัวตนในตำนานท่านนี้จะร่วมมือกับสวี่ผิงเฟิง ลงมือจัดการโหราจารย์
หมายเลขเก้า ‘น่าแปลก ลูกหลานเทพปีศาจตัวนี้เหตุใดแทรกแซงเรื่องที่ราบลุ่มภาคกลางอย่างไม่มีสาเหตุ เรื่องนี้มีลับลมคมใน’
หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ก็แปลกใจมากเช่นกัน
หมายเลขสอง ‘สวี่ชีอัน? เจ้ารู้แน่กระมัง’
หลี่เมี่ยวเจินเคยชินกับการเจอเรื่องลังเลอะไรก็เรียกสวี่ชีอัน
‘ถ้าเป็นเขาต้องรู้แน่’…ความคิดนี้แวบผ่านในใจสมาชิกพรรคฟ้าดินทุกคน ยกเว้นนักบวชเต๋าจินเหลียน
พวกเขารู้ความจริงเรื่องเทพปีศาจล่มสลาย รู้ความลับเรื่องปรมาจารย์เต๋าขับไล่ลูกหลานเทพปีศาจออกจากจิ่วโจว และรู้ความลับเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจากทางสวี่ชีอันนั้น
ถ้าเป็นสวี่ชีอัน แม้ไม่รู้ความจริงแน่ชัด แต่รู้เบื้องหลังไม่มากก็น้อย
หมายเลขสาม ‘ไป๋ตี้พุ่งเป้าไปที่โหราจารย์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับยุคบรรพกาลบางอย่าง ข้าคงยังไม่เคยบอกพวกเจ้า เรื่องเกี่ยวกับผู้เฝ้าประตู’
ผู้เฝ้าประตู?
สมาชิกพรรคฟ้าดินไม่เคยได้ยินชื่อเรียกนี้แม้แต่น้อย
หมายเลขสาม ‘ข้าไม่รู้ความหมายเฉพาะของผู้เฝ้าประตู เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วค่อยบอกพวกเจ้าเถอะ ส่วนเหตุการณ์ในสงครามนี้ ข้ารู้สายสนกลในอยู่บ้าง บอกพวกเจ้าได้’
สมาชิกทุกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมา จ้องเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเขม็ง
สวี่ชีอันเล่าเรื่องตระกูลไฉกับโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งที่บอกจ้าวโส่วก่อนหน้านี้อีกครั้ง
หมายเลขเก้า ‘เรื่องราวซับซ้อน โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งตายไปแล้วห้าร้อยปี ยังบงการสถานการณ์ยามนี้ได้ สมกับเป็นผู้ก่อตั้งระบบโหร’
นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดอย่างใจหาย
‘มิน่าล่ะโหราจารย์ถึงแพ้ สิ่งที่ควบคุมเขาไม่ใช่สวี่ผิงเฟิง แต่เป็นวิธีที่รุ่นที่หนึ่งทิ้งไว้’…ฮว๋ายชิ่งไม่มีข้อสงสัยอะไรอีก จำใจรับความจริงเรื่องโหราจารย์ถูกผนึก
‘เรื่องดีเพียงหนึ่งเดียวก็คือโหราจารย์ไม่ตาย แต่ถูกผนึกกับถูกฆ่าแทบไม่ต่างกัน สถานการณ์ในยามนี้ของต้าฟ่ง ความพ่ายแพ้ถูกลิขิตไว้แล้ว ถึงเวลานั้น โหราจารย์ต้องตายเช่นกัน’…ฉู่หยวนเจิ่นลอบถอนใจ
หมายเลขเจ็ด ‘นี่ นี่ไม่ต้องสู้แล้วกระมัง พวกเราสูญเสียโหราจารย์ ฝ่ายศัตรูมีขั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นหนึ่งคน…’
ต้าฟ่งต้องล่มสลายแล้ว
เทพบุตรไม่ได้พูดความคิดนี้ออกมา ยามนี้ ต่อให้เป็นลูกศิษย์นิกายสวรรค์ที่ไม่มีความรู้สึกผูกพันกับต้าฟ่งเช่นเขานี้ ก็รู้สึกถึงความสิ้นหวังและความหนักหน่วง
หมายเลขหก ‘อาตมาจำได้ ใต้เท้าสวี่เคยบอกว่า เจ้าแบกรับชะตาบ้านเมือง ไม่อาจแยกจากต้าฟ่งได้ตั้งนานแล้ว ถ้าต้าฟ่งสูญสิ้น ใต้เท้าสวี่ก็จะพลีชีพเพื่อชาติ’
เหิงหย่วนที่ค่อนข้างเงียบขรึมพูดแทรกขึ้นมา เปิดเผยความจริงตรงหน้าสมาชิกทุกคนอย่างโหดเหี้ยม
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง
สวี่ชีอันคิดชั่วครู่ ส่งข้อความว่า
‘บอกตามตรง ข้าคิดหาทางออกไม่ได้ สถานการณ์ในยามนี้ สำหรับข้าและต้าฟ่ง นับเป็นทางตันจริงๆ นอกจากองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง พวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรมากนักกับราชสำนักต้าฟ่ง’
‘แต่พวกเรามีความเกี่ยวข้องกับเจ้า’…ประโยคนี้ จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินกล้าพึมพำเพียงในใจ
เหิงหย่วนส่งข้อความอีกครั้ง
หมายเลขหก ‘อาตมาได้ใต้เท้าสวี่ช่วยชีวิตนี้ไว้ อาตมาเคยพูดว่า มีโอกาสจะต้องตอบแทนบุญคุณที่ใต้เท้าสวี่ช่วยชีวิต อมิตาพุทธ ผู้ออกบวช มีโอกาสจัดการเหตุต้นผลกรรม นับเป็นเรื่องโชคดี’
ไต้ซือเหิงหย่วน เจ้าพูดแทรกอีกแล้ว…สวี่ชีอันอบอุ่นในใจ รีบแขวะเพื่อปกปิดความซาบซึ้งในใจ
หมายเลขเจ็ด ‘ไต้ซือมีจิตสำนึกสูงส่ง ข้าคงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อเขา เพียงแต่เห็นแก่ที่ท่องยุทธภพด้วยกัน ก็ร่วมเดินเส้นทางสุดท้ายของชีวิตกับเจ้าแล้วกัน’
พูดจาไม่น่าฟัง แต่แสดงท่าทีชัดเจน ไม่ยอมถอย
หมายเลขสี่ ‘ฝึกทหารพันวันใช้ทหารครู่เดียว ทหารที่ฝึกนานขนาดนี้ ย่อมต้องลากออกมาฝึกฝนหน่อย’
ฮว๋ายชิ่งกับหลี่เมี่ยวเจินไม่พูด พวกเขาสองคนไม่จำเป็นต้องแสดงท่าที
คนแรกตนเองก็คือราชนิกุล อยู่ในความรับผิดชอบ คนหลังมีศรัทธาแรงกล้า เรื่องพลีชีพเพื่อบ้านเมือง จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินชอบทำที่สุด
หมายเลขห้า ‘ท่านพ่อให้ข้าขึ้นเหนือทำสงคราม’
ยามนี้ ลี่น่าส่งข้อความมา
‘โม่ซางอยู่ที่ราบลุ่มภาคกลางแล้ว นี่หลงถูต้องการให้ลูกชายกับลูกสาวตายทั้งคู่ในครั้งเดียวหรือ…พรรคฟ้าดินคือกำลังสำคัญที่พึ่งพาได้ที่สุดของข้า ต่อให้เป็นจอมเจ้าชู้หลี่หลิงซู่ ช่วงเวลาสำคัญก็ยังพึ่งพาได้…สวี่ชีอันถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หันหน้าเข้าหาแสงแดดอันอบอุ่น พ่นลมหายใจช้าๆ
…
เขตแดนติดต่อระหว่างเจี้ยนโจวกับเซียงโจว
ที่มั่นบนภูเขาแห่งหนึ่ง หลี่หลิงซู่เก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี นั่งนิ่งชั่วครู่ ถอนใจเบาๆ ออกจากห้อง
เดินออกจากเรือนรั้ว มุ่งหน้าไปทางลานแสดงวรยุทธ์
ที่ซึ่งเรียกว่าลานแสดงวรยุทธ์ แท้จริงแล้วคือที่ว่างซึ่งพวกทหารผู้น้อยใต้บัญชาบุกเบิกและก่อสร้างขึ้น ใช้สำหรับฝึกวรยุทธ์ จัดแถวตั้งค่ายกล รวมทั้งให้ทุกคนร่วมวงกินข้าว และให้พวกสตรีคุยเล่น
“คารวะหัวหน้า!”
ลูกน้องที่พบเจอตามทางทักทายอย่างนอบน้อม
หลี่หลิงซู่เดินด้วยสีหน้าว่างเปล่า ไม่นานก็มาถึงลานแสดงวรยุทธ์ เห็นหยางเชียนฮ่วนสวมหมวกม่านปิดบังใบหน้า ตะโกนสั่งสอนพวกเสเพลในลาน
“วันนี้ไม่ขยันฝึกยุทธ์ วันหน้าเข้าสู่สนามรบ ทั้งหมู่บ้านรอร่วมงานเลี้ยงบ้านเจ้า”
ฟังคำสั่งสอนของหยางเชียนฮ่วน หลี่หลิงซู่กวาดตามองกองทัพที่เกิดจากผู้อพยพรวมตัวกัน พบอย่างเหลือเชื่อว่าในนั้นมีเด็กวัยหกเจ็ดขวบอยู่ด้วย
“สู้รบต้องฝึกฝนตั้งแต่เล็ก วันหน้าโตขึ้น เสียใจก็สายไปแล้ว ทั้งหมู่บ้านรอไปร่วมงานเลี้ยงบ้านเจ้า”
คำสั่งสอนของหยางเชียนฮ่วนแว่วมา
‘ต่อให้เป็นพี่น้องกัน บางครั้งข้าก็คิดว่าสมองพี่หยางมีปัญหา’…หลี่หลิงซู่สูดหายใจลึก พูดเสียงดัง
“พี่หยาง!”
หยางเชียนฮ่วนเห็นหลี่หลิงซู่ตั้งนานแล้ว อย่างไรเสียเขาหันหลังให้ทุกคน หันหน้าไปทางที่หลี่หลิงซู่เดินมาพอดี
“พี่หลี่!”
หยางเชียนฮ่วนหยุดสั่งสอน สาวเท้าเดินเข้ามา ถึงตรงหน้าหลี่หลิงซู่ หมุนตัวหันหลังให้เขา พูดว่า
“เรื่องใด?”
หลี่หลิงซู่ไม่ตอบ แต่ใคร่ครวญและลังเลอยู่นาน เมื่อใจนิ่ง พูดว่า
“ทางชิงโจวนั้นส่งข่าวมา ชิงโจวเสียเมืองแล้ว”
“มีเพียงสถานการณ์อันตราย ถึงเห็นความสำคัญของผู้แซ่หยางได้ชัดเจน เมื่อข้าฝึกทหารเสร็จ พลิกกระแสแพ้ชนะ ดูโจรกบฏอวิ๋นโจวพวกนั้น ก้มหน้าคารวะ อ้อนวอนให้ไว้ชีวิต”
หลี่หลิงซู่พูดเสียงขรึม
“โหราจารย์ ถูกผนึกแล้ว…”
หยางเชียนฮ่วนร้อง ‘อา’ ขึ้นมา
“ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ตาเฒ่าโหราจารย์…อาจารย์เข้าใจข้าผิดหลายปี ไม่มีเขาบดบัง ข้าผู้แซ่หยางถึงได้โดดเด่นขึ้นมา”
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้าเล็กน้อย
“พี่หยาง ข้าจะไม่พูดเล่นกับท่านอีก”
เล่าเรื่องที่รู้มาจากทางสวี่ชีอันนั้นให้หยางเชียนฮ่วนฟังทันที
ฟังจบ หยางเชียนฮ่วนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต
ผ่านไปนานนัก หลี่หลิงซู่ได้ยินเสียงอึมครึมแว่วมาจากข้างหน้า
“ข้ารู้แล้ว…”
ยามนี้เสียงที่หลี่หลิงซู่ไม่เคยได้ยิน ไร้ซึ่งการคุยโวโอ้อวดและกระเซ้าเย้าแหย่ ไม่คุ้นเคยจนไม่เหมือนออกจากปากหยางเชียนฮ่วน หรือนี่ถึงเป็นเสียงปกติของเขา
“อย่าบอกไฉ่เวย”
หยางเชียนฮ่วนพูดอีกครั้ง
…
ชิงโจว
จีเสวียนมือซ้ายจับด้ามดาบ มือขวาหิ้วกาสุรา ผลักเปิดประตูที่พักของเก่อเหวินเซวียน
เก่อเหวินเซวียนสวมชุดโหรทั่วไป นั่งข้างโต๊ะศึกษาตำราพิชัยสงคราม
“นายน้อยจีเสวียนงานยุ่งทั้งวัน ไม่มัวแต่เกณฑ์ทหารซื้อม้า จัดเตรียมเสบียงอาหาร มาทางข้านี้ทำอะไร”
เก่อเหวินเซวียนยิ้มพูด
“ทูตเจรจาสงบศึกคือน้องชายรองของข้า ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นคนเสนอแนะ จึงมาที่นี่ให้แม่ทัพเก่อชี้แจง”
จีเสวียนกระแทกสุรากับดาบลงบนโต๊ะ หรี่ตา ยิ้มอย่างเสแสร้ง
“ฟังคำพูดของเจ้าจบ ข้าค่อยตัดสินใจว่าจะดื่มเหล้าหรือชักดาบ”
ในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจสองท่านในฝ่ายคนหนุ่มแห่งทัพอวิ๋นโจว ความสัมพันธ์ของเก่อเหวินเซวียนกับจีเสวียนอัศจรรย์มาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งเป็นสหาย ทั้งเป็นคู่แข่ง
แม้นั่งลงดื่มเหล้าคุยเล่นได้ แต่ก็ตบโต๊ะขึงตาใส่กันเพราะแย่งชิงแหล่งทรัพยากร
ชีก่วงป๋อปกครองกองทัพอย่างเข้มงวด แยกแยะการให้รางวัลและการลงโทษชัดเจน ไม่ลำเอียงเพราะฐานะของจีเสวียนแต่อย่างใด
“คุณชายจีหย่วนมีพรสวรรค์เปี่ยมล้น พูดคล่องโน้มน้าวใจเก่ง ฝีปากคมกริบเสมอ ซ้ำยังเป็นลูกหลานเจ้าเมือง ให้เขาเป็นทูต เจรจาสงบศึกกับต้าฟ่ง เหมาะกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
เก่อเหวินเซวียนพูด
จีหย่วนเป็นน้องชายของจีเสวียน ร่วมบิดามารดา ล้วนเป็นลูกชายภรรยารอง
ในหมู่พี่น้อง อยู่ลำดับที่เก้า
ต่างจากจีเสวียนที่แข็งแกร่งอ่อนโยน คุณชายเก้าผู้นี้ไม่ชอบบำเพ็ญตบะ แต่ชอบอ่านหนังสือ เป็นผู้มีวิชาความรู้ที่สุดในหมู่ลูกหลานเจ้าเมืองเฉียนหลง
สิ่งที่น่ายกย่องที่สุดคือเขาได้ใช้สิ่งที่เรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์เฉียบแหลม ไม่ใช่คนโง่ที่ท่องจำหนังสือ
“รบทัพจับศึก คุณชายจีหย่วนทำไม่ได้ แต่อภิปรายในราชสำนัก ปะทะฝีปากกับพวกลัทธิขงจื๊อ เขาเก่งกว่าพี่ใหญ่เช่นเจ้านี้มากนัก” เก่อเหวินเซวียนยิ้มพูด
“แม้แต่ข้าก็อภิปรายสู้เขาไม่ได้ พูดสู้เขาไม่ได้ อ่านหนังสือยังไม่เยอะเท่าเขา เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่”
จีเสวียนไม่สนใจคำพูดล้อเล่นของเขาแม้แต่น้อย สีหน้าจริงจัง พูดเสียงขรึม
“เจ้าไม่เคยพูดคุยกับสวี่ชีอัน เจ้าไม่รู้ คนแซ่สวี่ก็คือคนเสียสติ”
เก่อเหวินเซวียนยังสงบนิ่ง พูดว่า
“ถ้าข้าบอกเจ้า ในคณะทูต มีคุณหนูหยวนซวงกับคุณชายหยวนไหวล่ะ?”
จีเสวียนนิ่งอึ้ง
เก่อเหวินเซวียนพูดต่อ
“เป็นความคิดของราชครู สวี่ชีอันเป็นคนเช่นไร เขารู้ดีกว่าพวกเรา การเจรจาสงบศึกจัดการขุนนางในราชสำนักกับฮ่องเต้น้อยได้ ส่วนคุณหนูหยวนซวงกับคุณชายหยวนไหวทำให้สวี่ชีอันวิตกกังวลได้”
จีเสวียนขมวดคิ้ว
ในห้องเงียบกริบชั่วครู่
จีเสวียนนึกถึงเรื่องวันนั้นที่เมืองยงโจว สวี่ชีอันตัดเส้นเอ็นมือเท้าของสวี่หยวนไหว แต่ไว้ชีวิตเขา
คนผู้นี้ไม่ได้วิตกกังวลเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เพราะไม่ใช่คนเลือดเย็นไร้หัวใจ พี่น้องร่วมสายเลือดไม่ใช่ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาบ้างเลย
เก่อเหวินเซวียนกลับนึกถึงคำพูดของสวี่ผิงเฟิงเมื่อไม่นานมานี้
‘เขาพูดเสียดสีข้าว่าเลือดเย็นไร้หัวใจไม่ใช่หรือ งั้นข้าก็ส่งน้องชายกับน้องสาวของเขาไปตรงหน้าเขา’
เก่อเหวินเซวียนพึมพำ
“อาจารย์เป็นคนไร้น้ำใจที่หนึ่งในโลกหล้า”
…
ประชุมว่าราชการเช้า ตำหนักกระดิ่งทอง
ฮ่องเต้หย่งซิ่งค่อยๆ เริ่มกลัวการว่าราชการ กลัวฎีกาบนโต๊ะ เพราะสิ่งที่อยู่บนนั้นทำให้เขาลุกนั่งไม่ติด กระวนกระวาย
ภัยพิบัติผู้อพยพ คลังหลวงว่างเปล่า ชิงโจวเสียเมือง ขุนนางเมืองหลวงระส่ำระสาย อีกทั้งช่วงนี้มีข่าวลือแพร่ไปทั่ว สมุหเทศาภิบาลทุกแห่งส่งฎีกากลับมา บอกว่าราษฎรเล่าลือกันทั่ว ‘โหราจารย์ตายแล้ว ต้าฟ่งใกล้ล่มสลาย’ บ้าง
ทำให้ราษฎรก็ระส่ำระสาย นึกว่าต้าฟ่งจะล่มสลายจริงๆ
สำหรับพฤติกรรมการแพร่ข่าวลือ กลัวโลกหล้าจะไม่วุ่นวายเช่นนี้ แนวปฏิบัติของแต่ละยุคแต่ละสมัยคือลงโทษหนัก วิธีที่ใช้กันมากที่สุดคือเนรเทศ รวมทั้งตัดหัวกลางตลาด ข่มขู่ราษฎร
แต่ในยุคจลาจล ข่าวลือปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า ปิดปากทุกคนไม่ได้ด้วยซ้ำ เกรงว่าขุนนางชั้นล่างก็คิดเช่นนี้
อีกทั้งชิงโจวเสียเมืองแล้ว ชาวบ้านที่ลี้ภัยสงครามกระจายข่าวไปทุกที่ หนึ่งไปสิบ สิบไปร้อย
ราชสำนักทำสำเร็จเพียงเล็กน้อย
ยามนี้ ราวกับทั่วโลกหล้าคำรามข้างหูฮ่องเต้หย่งซิ่ง บอกเขาว่าต้าฟ่งจะล่มสลายแล้ว เขาต้องเป็นฮ่องเต้สิ้นชาติแล้ว
ผู้ปกครองที่เกิดในยุคสงบสุขรุ่งเรืองเช่นฮ่องเต้หย่งซิ่งนี้ จะเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
แต่วันนี้ว่าราชการเช้า ฮ่องเต้หย่งซิ่งรู้สึกต่างออกไป ราวกับคนสิ้นหวังเห็นแสงรุ่งอรุณ
เมื่อวาน เหยาหงสมุหเทศาภิบาลยงโจวส่งฎีกากลับมา เนื้อหาคือ…ทัพกบฏอวิ๋นโจวเสนอเจรจาสงบศึก
นอกจากนี้ เหยาหงยังฟ้องร้องเรื่องหยางกงในฎีกา เพราะหยางกงปฏิเสธการเจรจาสงบศึก คิดจะปิดบังเรื่องนี้
โทษนี้ควรประหาร!
“เหยาอ้ายชิงเป็นขุนนางสำคัญของเราจริงๆ”
เมื่อวาน ฮ่องเต้หย่งซิ่งอ่านฎีกาจบ ดีใจกับข่าวดีที่คาดไม่ถึง ส่วนหยางกง เขาไม่คิดจะจัดการชั่วคราว เพราะยงโจวยังต้องพึ่งพาเขาปกป้อง
“อ้ายชิงทุกท่าน เมื่อวานเหยาหงสมุหเทศาภิบาลยงโจวยื่นฎีกา อวิ๋นโจวนั้นจะเจรจาสงบศึกกับราชสำนักข้า ยุติสงคราม”
ฮ่องเต้หย่งซิ่งเหลียวมองเหล่าขุนนาง พูดเสียงดัง
“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”
………………………………………………………………