ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 731 คณะทูตเข้าเมืองหลวง
บทที่ 731 คณะทูตเข้าเมืองหลวง
เหล่าขุนนางในตำหนักกระดิ่งทองได้รับข่าวนานแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นจึงไม่แปลกใจ เฉียนชิงซูสมุหราชเลขาธิการก้าวออกมาแสดงความคิดเห็นโดยไม่ลังเล
“แผนการนี้ เกรงว่าจะเป็นแผนประวิงเวลาของทหารกบฏ ฝ่าบาทได้โปรดคิดทบทวนอีกครั้ง”
โดยไม่รอให้จักรพรรดิหย่งซิ่งรับสั่ง ก็มีคนก้าวออกมาโต้แย้งทันที
“สมุหราชเลขาธิการเฉียนรู้ใจสมุหเทศาภิบาลหยางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
คนที่พูดคือขุนนางของกรมทหาร หนึ่งในผู้นำที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่มีเหตุผล
เฉียนชิงซูขมวดคิ้ว สังเกตขุนนางของกรมทหารอย่างละเอียด แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า
“ใต้เท้าเหยียนมีความคิดเห็นอย่างไร”
ขุนนางของกรมทหารพูดเสียงดัง
“ฝ่าบาท นับตั้งแต่การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นมา กองกำลังทหารหนึ่งแสนนายได้ถูกเว่ยเยวียนทำลายที่เมืองจิ้งซาน และหลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว ก็มีกองกำลังชั้นเลิศเกือบหกหมื่นนายได้รับความเสียหายในชิงโจว หากยังต่อสู้เช่นนี้ต่อไป ทหารของต้าฟ่งจะต้องแทบไม่เหลือแน่ๆ”
“และผู้ลี้ภัยทุกแห่งกลายเป็นภัย กำลังทหารขาดแคลน กรมทหารไม่สามารถโยกย้ายทหารไปหนุนช่วยยงโจวได้อีกแล้ว กระหม่อมคิดว่า การเจรจาสงบศึกเป็นการกระทำที่ถูกต้องอย่างแท้จริง สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่จวนตัวของราชสำนักได้”
เจ้ากรมทหารอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด ได้แต่ถอนหายใจ และเลือกที่จะเงียบ
“แก้ไขสถานการณ์ที่จวนตัว?”
จางสิงอิงรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาพูดเบาๆ ว่า
“หากคิดจะเจรจาสงบศึก ทหารกบฏจะต้องต่อรองอย่างแน่นอน เกรงแต่ว่าต่อไปภายหน้า ราชสำนักจะยิ่งไม่มีกำลังที่จะตีเสมอกับพวกเขาได้ หลักการการตัดเนื้อด้วยมีดทื่อ ใต้เท้าเหยียนไม่เข้าใจ?”
ในเวลานี้ เจ้ากรมการคลังก้าวออกจากแถว พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ฝ่ายตรวจการจางสายตาแหลมคมเช่นนี้ เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ขอยกตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง ให้ท่านดูแลจะดีกว่า”
พูดจบ เขาก็ยิ้มเยาะ โค้งคำนับจักรพรรดิหย่งซิ่ง และพูดเสียงดังว่า
“ฝ่าบาท คลังหลวงว่างเปล่า หากราชสำนักยังคงต่อสู้กับทหารกบฏของอวิ๋นโจวต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตกต่ำลงเพราะสงครามอย่างแน่นอน เทศกาลไหว้วสันต์ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือเวลาและเจรจาสงบศึก สามารถยื้อเวลา ทำให้พวกเรารอดพ้นภัยหนาวได้”
ฝ่ายแก้ปัญหาด้วยกำลังทหารและฝ่ายแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีต่อสู้กันขึ้นมาทันที ถกเถียงกันไม่หยุด
ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ จ้าวเสวียนเจิ้นก็จะหวดแส้ ตะคอกเสียงดังว่า ‘เงียบ’
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงทอดพระเนตรการถกเถียงกันของเหล่าขุนนางอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมีผู้คนแสดงความคิดเห็นมากขึ้นทุกที ฝ่ายแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีค่อยๆ กดดันฝ่ายแก้ปัญหาด้วยกำลังทหาร พระองค์จึงทรงทอดพระเนตรไปทางจ้าวเสวียนเจิ้น แล้วส่งสายตาบอกเจตนา
‘เผียะ!’
จ้าวเสวียนเจิ้นหวดแส้อีกครั้ง พื้นที่สว่างจนเห็นเงาคนส่งเสียงก้องกังวาน ทำให้เสียงถกเถียงภายในตำหนักเงียบลง
จักรพรรดิหย่งซิ่งมองทุกคนไปรอบๆ แล้วทรงตรัสอย่างช้าๆ ว่า
“ข้าเห็นใจทหารและราษฎร จึงไม่สามารถทำสงครามด้วยความบุ่มบ่ามได้อีก เรื่องการเจรจาสงบศึก ก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
…
จวนตระกูลหวัง เขตพระราชฐาน
รถม้าหรูหราหยุดอยู่ที่ด้านนอกจวน เฉียนชิงซูเหยียบตั่งลงจากรถม้าโดยมีผู้ติดตามรับใช้คอยประคอง องครักษ์ของจวนอ๋องรู้สถานะของเขาจึงไม่ได้ขัดขวาง
เดินตรงเข้าไปในจวนแล้วรออยู่ในห้องโถงชั้นในครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็นำเขาเข้าไปในลานชั้นใน มายังห้องนอนของสมุหราชเลขาธิการหวัง
คนที่มีเกียรติเช่นสมุหราชเลขาธิการหวัง ไม่พบแขกในห้องหนังสือ แต่พบในห้องนอน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาการป่วยรุนแรงเพียงใด
ถ่านเนื้อทองลุกโชน กระจายความอบอุ่น ประตูหน้าต่างห้องนอนปิดสนิท ด้านนอกและด้านในห้องมีสาวใช้ยืนรับใช้อยู่จุดละสองคน
สมุหราชเลขาธิการหวังนั่งพิง ด้านหลังมีหมอนนุ่มรองอยู่
เขาซูบผอมร่างกายอ่อนแอ สีหน้ายากที่จะปกปิดความเฉื่อยชา มีเพียงดวงตาทั้งคู่ที่ยังคงเป็นประกายมีชีวิตชีวา
“เฮ้อ!”
เขาพูดพลางโบกมือ ให้บรรดาสาวใช้ออกไป
“อาจเป็นเพราะใกล้ถึงจุดจบแล้วกระมัง” หวางเจินเหวินยิ้ม
“คนเราพอมีอายุ โรคภัยก็เริ่มรุนแรง แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะช่วยเยียวยา ที่กล่าวกันว่าอายุห้าสิบก็จะรู้ชะตากรรม ในเมื่อเป็นชะตากรรม ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน”
เฉียนชิงซูลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“เดิมทีไม่ควรมาหาเจ้า ปล่อยให้เจ้าพักผ่อนรักษาตัวอย่างสงบเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพียงแต่…”
หวางเจินเหวินยกมือขึ้นตัดบท แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง พูดว่า
“ช่วยเปิดหน้าต่างให้ข้าก่อน”
เฉียนชิงซูขมวดคิ้ว
“อากาศหนาวเช่นนี้ หากเปิดหน้าต่าง ร่างกายของเจ้าจะต้านทานได้หรือ”
หวางเจินเหวินโบกมือไปมา
“ความซึมเซาเต็มห้องเช่นนี้ทำให้ข้าอึดอัด จะไม่ทำให้ป่วยง่ายยิ่งกว่าเดิมหรือ หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว รีบไปเปิดหน้าต่างได้แล้ว”
เฉียนชิงซูลังเลเล็กน้อย เดินไปที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหนาวแต่สดชื่นพัดเข้ามาในห้อง
เขากลับไปที่ข้างเตียง นั่งลงบนตั่งกลม กลั่นกรองคำพูดในใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“เมืองชิงโจวถูกตีแตกแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหวางเจินเหวินไม่พูดอะไร เขาก็เงียบไปเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่ง หวางเจินเหวินก็พูดเสียงต่ำว่า
“เจ้าพูดต่อได้…”
“ท่านโหราจารย์เสียชีวิตในการสู้รบที่ชิงโจว เวลานี้ทหารกบฏยึดครองชิงโจว คุมเชิงกับหยางกงที่บริเวณชายแดนของยงโจว…เมื่อวานนี้ สมุหเทศาภิบาลเหยาหงแห่งยงโจวส่งสาส์นมา อวิ๋นโจวต้องการที่จะส่งคณะทูตเข้ามาเจรจาสงบศึก…”
หวางเจินเหวินฟังโดยไม่พูดอะไรเลย ระหว่างนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย สายตาก็ดูเหมือนจะแข็งกร้าว
เมื่อเฉียนชิงซูพูดจบ ดวงตาของเขาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย และกลับมามีพลังชีวิตอีกครั้ง
“ฝ่าบาททรงรับปากแล้ว?”
ในน้ำเสียงของเขามีความผิดหวังอย่างยิ่ง
เฉียนชิงซูพยักหน้าเบาๆ
“ไม่มีทางเลือกอื่น ต้าฟ่งได้สูญเสียท่านโหราจารย์ไปแล้ว พลังต่อสู้เหนือมนุษย์ปรากฏช่องโหว่ ก็เหมือนกับฝูงแกะที่ไม่มีจ่าฝูง ไม่ช้าก็เร็วจิตใจคนก็ย่อมเฉื่อยชา ต่อสู้ต่อไป จะมีประโยชน์อะไรอีก
“หากคิดในมุมของพระองค์ ข้าก็คงจะคิดเหมือนพระองค์เช่นกัน..”
ตระหนักได้ทันทีว่าคำพูดของตนเองเป็นการไม่เคารพ จึงถอนใจแล้วเปลี่ยนคำพูดว่า
“หากเป็นพระโอรสพระองค์อื่น ก็คงจะเหมือนกัน”
หวางเจินเหวินได้ยินดังนั้น จึงพยักหน้าอย่างช้าๆ แล้วกล่าวว่า
“พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว จึงได้เป็นฝ่ายส่งคณะทูตมาเจรจาสงบศึกเอง ในยามที่มั่นใจแล้วว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้”
เฉียนชิงซูยิ้มแห้งๆ
“คนฉลาดนั้นมีอยู่มาก แต่ทุกคนแค่แกล้งทำเป็นโง่ เหตุผลนี้มีใครไม่รู้บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้? เมื่อเร็วๆนี้ คนเมืองหลวงต่างจิตใจหวาดหวั่น เหล่าขุนนางพยายามรักษาท่าทีสงบ แต่ความจริงแล้วต่างหวาดกลัวอย่างที่สุด กระทั่งคิดว่าการสิ้นชาติของต้าฟ่งเป็นเพียงปัญหาเรื่องเวลา”
“ไม่มีการหาทางออกอื่น นับว่าซื่อสัตย์ควรค่าแก่การชมเชยแล้ว”
“ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้ว่าการเจรจาสงบศึกเป็นการตัดเนื้อด้วยมีดทื่อ แต่พระองค์จะทำอะไรได้ การเจรจาสงบศึกเป็นความหวังเดียวของพระองค์ พระองค์จะต้องคว้ามันไว้โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ตรัสกับตัวเองว่า ทั้งหมดนี้เป็นการการซื้อเวลา และรอให้ภัยหนาวผ่านพ้นไปก่อน”
หวางเจินเหวินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงพูดว่า
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าคิดหาวิธีให้สวี่ชีอันมาพบข้าให้ได้”
“เขา?”
เฉียนชิงซูยิ้มแห้งพร้อมส่ายหัว
“นายท่านผู้นี้ใครจะเฝ้าไว้ได้ แม้แต่เขาอยู่ที่ไหนข้าก็ยังไม่รู้เลย”
“เขาอยู่ในเมืองหลวง ตอนนี้เขาต้องอยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน” หวางเจินเหวินปิดปากไออย่างรุนแรง “ท่านโหราจารย์ตายแล้ว เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน หึ ทหารกบฏแห่งอวิ๋นโจวคิดจะเจรจาสงบศึก ก็ต้องดูว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่”
เฉียนชิงซูลุกขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ริมหน้าต่าง แล้วหันมาพูดว่า
“เจ้าคิดว่า ฆ้องเงินสวี่จะสามารถแก้วิกฤตเรื่องนี้ได้?”
หวางเจินเหวินตอบด้วยความเงียบ ผ่านไปเวลานาน เขาจึงพูดเสียงต่ำว่า
“แม้ว่าเว่ยเยวียนจะฟื้นคืนชีพ ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
…
สำนักโหราจารย์
ในห้องโอสถบนชั้นเจ็ด สวี่ชีอันตรงมาหาซ่งชิง แม้แต่บ้านก็ไม่ได้กลับ
“วัตถุดิบของธงกวักวิญญาณข้าได้รวบรวมพร้อมหมดแล้ว แต่ยังมีวัตถุดิบเสริมอีกชนิดหนึ่ง”
สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา ตามด้วยแจกันหยกที่กำจายไอเย็นสองใบ ก้อนหินที่เต็มไปด้วยรูลักษณะเหมือนรังผึ้ง และไหมที่ดำเหมือนหมึก กำจายอากาศพิษ
ซ่งชิงรีบกลืนยาเม็ดแก้พิษ ใช้ผ้าแพรที่แช่น้ำยาปิดจมูก จากนั้นก็ดึงจุกไม้ก๊อกของแจกันกระเบื้องเคลือบออก ทำการพิสูจน์วัตถุดิบ
สิ่งที่อยู่ในแจกันกระเบื้องเคลือบคือเล็บของศพโบราณ และนำน้ำศพสีดำออกจากเส้นโลหิตแดงบริเวณคอ
หลังจากพิสูจน์หินตีฆ้องและไหมที่กำจายอากาศพิษเสร็จสิ้นแล้ว ซ่งชิงจึงพูดว่า
“วัตถุดิบชิ้นสุดท้ายคือเส้นผม ผิวหนัง และเนื้อจากร่างเดิมของเว่ยเยวียน ใช้สำหรับกำหนดตำแหน่ง แต่ร่างกายของเว่ยเยวียนถูกทำลายในเมืองจิ้งซาน จะต้องหากลับมาได้แน่นอน”
ความจริงร่างกายของเว่ยเยวียนถูกเจินเต๋อกลืนกินไปแล้ว ซ่งชิงไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้
“แล้วอย่างไร” สวี่ชีอันถาม
“เส้นเลือดของลูกสามารถทดแทนได้” ซ่งชิงพูดช้าๆ
เว่ยกงไม่มีทายาทตั้งนานแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจในใจ น้ำเสียงทุ้มต่ำ
“จะต้องใช้วิธีการอื่นๆ แทนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ท่านโหราจารย์คงจะไม่ให้ข้าหาอาวุธเวทมนตร์สำหรับหลอมธงกวักวิญญาณ”
ซ่งชิงจ้องหน้าเขา
“เว่ยเยวียนไม่มีลูก แต่เจ้าอาศัยยาโลหิตของเขาเลื่อนสู่ขั้นสาม พูดในแง่หนึ่ง เจ้าก็คือลูกของเขา ดังนั้นต่อไป เจ้าจะต้องหลอมยาโลหิตหนึ่งเม็ด ไม่ต้องมาก ขนาดเท่าเล็บก็พอ เช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อตบะของเจ้า จากนั้น เจ้ายังต้องช่วยข้ากำจัดพิษที่มีอยู่ในไหมอเวจี พิษของผู้สืบเชื้อสายของเทพกู่บรรพกาล ข้าไม่สามารถกำจัดมันได้”
สวี่ชีอันกวาดตามองไหมอเวจี
“หลอมยาโลหิตกำจัดพิษ อย่างไรก็ต้องใช้เวลาสามวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาที่แท้จริงคือ อาวุธเวทมนตร์ที่ทรงพลังเช่นธงกวักวิญญาณ เจ้าสามารถทำได้หรือไม่?”
ท่านโหราจารย์ไม่อยู่แล้ว ซุนเสวียนจีกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ เวลานี้หยางเชียนฮ่วนก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง คนที่มีสถานะสูงสุดของสำนักโหราจารย์ก็คือซ่งชิง แต่ซ่งชิงเป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหก ในฐานะที่เป็นผู้นำในด้านการเล่นแร่แปรธาตุ ซ่งชิงรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง มีความนับถือการเล่นแร่แปรธาตุอย่างสูง จึงไม่มีวันอวดโอ้อวดความสามารถอย่างแน่นอน เขาส่ายหน้าอย่างมั่นใจ
“ข้าทำไม่ได้!
“โลหะเช่นหินตีฆ้องนี้ ไฟธรรมดาไม่สามารถหลอมละลายได้ จำเป็นต้องใช้ธาตุไฟควบแน่นกับด้วยจิตวิญญาณแห่งไฟจึงจะสามารถหลอมละลายมันได้ อืม ข้าสามารถใช้วัตถุดิบที่ช่วยในการเผาไหม้เพื่อเพิ่มอุณหภูมิเปลวไฟได้ และวัตถุดิบที่ช่วยในการเผาไหม้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นเอง สำนักโหราจารย์ไม่ได้กักตุนไว้ แค่เพียงเรื่องนี้ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนแล้ว”
ซ่งชิงอยู่ในระดับเดิมมาหลายปี หมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุ คิดค้นวิธีที่ใช้ทดแทนค่ายกลไว้มากมาย แต่วิธีเหล่านี้ย่อมไม่ง่ายและรวดเร็วเหมือนการตั้งค่ายกลโดยตรงอย่างแน่นอน
“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้เจ้าใช้พลังปราณแทนวัตถุดิบที่ช่วยในการเผาไหม้ เพื่อหลอมละลายหินตีฆ้อง นำมาหลอมด้ามธงกวักวิญญาณ สำหรับผืนธงของธงกวักวิญญาณ จะต้องรอให้อาการบาดเจ็บของศิษย์พี่ซุนหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะในขั้นตอนการทอ จำเป็นต้องผสมผสานค่ายกลตลอดเวลา”
สวี่ชีอันอดทนฟังจนจบ แล้วพูดว่า
“หลังจากหลอมธงกวักวิญญาณเสร็จแล้ว ก็จะสามารถปลุกเว่ยกงให้ฟื้น?”
ซ่งชิงยังคงส่ายหน้า
“หลังจากนั้นคือการวาดค่ายกลรวบวิญญาณ รอหนึ่งในสามช่วงเวลาของปีที่ไอเย็นรุนแรงที่สุด ให้เจ้ามาเรียกวิญญาณของเว่ยเยวียน”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“ครั้งที่ใกล้ที่สุดคือเมื่อไหร่”
ซ่งชิงตอบโดยไม่คิดว่า
“เทศกาลไหว้วสันต์!”
ประมาณหนึ่งเดือน…สวี่ชีอันเป่าปาก คิดว่าจุดนี้สามารถยอมรับได้
…
ในวันนี้ เรือยาวเหาะมาตามก้อนเมฆ ฝ่าทะเลเมฆ ค่อยๆ ลงสู่พื้นดินในเขตเมืองหลวง
เรืออวี้เฟิง อาวุธเวทมนตร์นี้เดิมทีเป็นของตงฟางหว่านหรง แต่ตกอยู่ในมือของจีเสวียนระหว่างการทำสงครามในเจี้ยนโจว เรือลำนี้เดินทางได้พันลี้ต่อวัน เป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ที่หายากมาก
มีคนยืนอยู่ที่หัวของเรือสามคน คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายหนุ่มในชุดสวยหรู หน้าตางดงาม ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ในมือถือพัดพับเงินอันเล็ก
หน้าตาของเขาคล้ายจีเสวียน แต่บุคลิกลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จีเสวียนค่อนข้างเข้มแข็งมีความสามารถแต่มักปกปิด
ชายหนุ่มผู้นี้กลับมีกลิ่นอายของปัญญาชน และความหยิ่งทะนงที่เต็มไปด้วยภูมิความรู้
ด้านซ้ายและด้านขวาคือสวี่หยวนไหวชายหนุ่มในชุดสีดำและสวี่หยวนซวงหญิงสาวผู้เยือกเย็น
ทั้งสามคนนี้เป็นบุคคลสำคัญของคณะทูต นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีปัญญาชนผู้เชี่ยวชาญอีกสิบหกคน รวมกันเป็นคณะเจรจา
และองครักษ์ที่มีตบะยอดเยี่ยมหนึ่งร้อยคน
“เมืองหลวงเอย…”
พัดพับเงินขนาดเล็กในมือของจีหย่วนหมุนหลายรอบ พูดยิ้มๆ ว่า
“ได้ยินชื่อเสียงมานาน เลื่อมใสมานาน หยวนไหว หยวนซวง พวกเจ้าไม่ดีใจหรือ?”
สวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงล้วนมีนิสัยที่คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ คนหนึ่งเมินเฉย อีกคนหนึ่งเย็นชา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่พวกเขาดำรงชีวิตยู่ตั้งแต่เด็ก
แต่พวกเขาดีใจไม่ออกจริงๆ ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกว่าท่านพ่อให้พวกเขาเข้ามาเจรจาในเมืองหลวง เป้าหมายคือใคร
“ได้ยินมาว่าที่นอกเมืองยงโจว สวี่ชีอันได้ออมมือให้พวกเจ้าทั้งสองคน ไม่ได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยม เมื่อเข้าเมืองหลวงแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องคุ้มครองข้าให้ดี” จีหย่วนยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า
“เจ้าหมอนั่นตัดใจฆ่าน้องชายและน้องสาวไม่ได้ แต่ฆ่าญาติผู้น้องเช่นข้า เกรงว่าแม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ”
เห็นญาติผู้น้องสีหน้าเรียบเฉย เขาก็รู้สึกหมดสนุก จึงทอดถอนใจพูดว่า
“มาเมืองหลวงครั้งนี้ ประการแรก เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ที่มากขึ้นแก่เมืองเฉียนหลง ประการที่สอง เพื่อสร้างความดีความชอบ พี่เจ็ดนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แล้ว แต่ข้ากลับไม่มีความดีความชอบแม้แต่น้อย ถ้าทำเรื่องแย่ๆ นี้ได้อย่างสวยงาม ท่านพ่อก็จะให้ความสนใจพี่น้องของพวกเรามากขึ้น ตำแหน่งของพี่เจ็ด จึงจะมั่นคงมากกว่า ส่วนประการที่สามนั้น ก็เพื่อหยั่งกำลังของต้าฟ่งในเวลานี้ พี่ใหญ่ของพวกเจ้า ก็คือคนแรกที่ข้าต้องการหยั่งกำลัง จุ๊จุ๊ พวกเจ้าคิดว่า พระองค์เคยคิดเรื่องการเจรจาสงบศึกหรือไม่”
สวี่หยวนซวงพูดอย่างเย็นชาว่า
“พระองค์ไม่มีวันคิด! คนคนนี้ยอมหัก ไม่ยอมงอ”
จีหย่วนพยักหน้า แล้วพูดว่า
“นิสัยแข็งกร้าว ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนคร่ำครึ หากพระองค์เห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึก นั่นก็คือแผนการประวิงเวลา แสดงว่าต้าฟ่งยังมีทางออก”
ขณะที่พูด เรืออวี้เฟิงก็ค่อยๆ จอดที่นอกเมืองหลวง
ที่ทำการปกครองที่รับผิดชอบในการต้อนรับคณะทูตจากอวิ๋นโจวคือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูและทูต และผู้นำก็คือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูขุนนางระดับสาม เป็นการให้เกียรติอวิ๋นโจวอย่างยิ่งใหญ่
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูเป็นชายวัยกลางคนไว้เคราแพะ ใบหน้าซูบผอม รอยตีนกาลึกและมีรอยยิ้มตลอดเวลา เชี่ยวชาญในการต้อนรับ จัดการเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างรอบคอบ เขานำผู้ใต้บังคับบัญชาไปต้อนรับที่เรืออวี้เฟิง รอคณะทูตจากอวิ๋นโจวลงมา
แต่รอแล้วรอเล่า รอแล้วรอเล่า บนเรืออวี้เฟิงก็เงียบสงบ ไม่เห็นแม้แต่เงาผู้คน และไม่เห็นมีการปล่อยแผ่นไม้สำหรับเหยียบลงมา
เวลาหนึ่งเค่อหลังจากนั้น องครักษ์คนหนึ่งได้ชะโงกหัวออกมาจากข้างกราบเรือ และพูดเสียงดังว่า
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าเป็นใคร?”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูยิ้มอย่างมืออาชีพพร้อมโค้งคำนับ
“ข้าน้อยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลู”
องครักษ์คนนั้นร้อง “อ้อ” แล้วหดหัวกลับไป หลายอึดใจผ่านไป ก็ชะโงกหัวออกมาอีก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า
“คุณชายของข้าบอกว่า ฐานะของท่านไม่สูงพอ เชิญกลับไปเถิด”
……………………………………………………..