ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1)
บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1)
‘เจ้าเด็กนี่! ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสามผู้องอาจ’…ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูสาปแช่งในใจ ก่อนสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“ข้าหลิวต๋าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลู ขอต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”
เขาป่าวร้องต่อเนื่องหลายครั้ง หากไร้การขานรับจากเรืออวี้เฟิง
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูรออยู่ท่ามกลางลมหนาวอีกหนึ่งเค่อ ก่อนจากไปอย่างจนใจภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านที่สัญจรไปมา
นายท่านบนเรือนั้นรอได้ แต่เขากลับรอไม่ไหว การที่ไม่สามารถเชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงได้เป็นความบกพร่องในหน้าที่ของเขา บรรดาขุนนางและฝ่าบาทจะต้องตำหนิเขาเป็นแน่
“ใต้เท้า เชิญขึ้นรถ”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเลิกผ้าม่านรถม้าให้เขา
“จะขึ้นรถอะไรเล่า เตรียมม้าให้ข้า!”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูพาลตวาดใส่ จากเมืองหลวงไปถึงเมืองชั้นใน แล้วไปยังเขตพระราชฐานอีก นั่งรถม้ากว่าจะถึงมันยามใดเล่า
‘กุบกับ กุบกับ กุบกับ’…ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูควบม้าเร่งรุดไปยังกรมพิธีการ
ศาลหงหลูอยู่ในสังกัดของกรมพิธีการ ในเมื่อเจ้าเด็กจากอวิ๋นโจวคิดว่าตำแหน่งขุนนางของเขาไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาตำแหน่งที่สูงกว่าเท่านั้น
ภายในห้องโถง กรมพิธีการ
เจ้ากรมพิธีการขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าเด็กนี่!
“นี่เป็นการแผลงศักดาต่อราชสำนักอย่างหนึ่งนะ”
ทว่าด่าก็ส่วนด่า เจ้ากรมพิธีการเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ให้…ช่างเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าสักครั้ง”
เดิมทีเขาต้องการให้รองเจ้ากรมพิธีการออกหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งขุนนางแล้ว รองเจ้ากรมตำแหน่งสูงกว่าหลิวต๋า ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูผู้นี้เพียงครึ่งขั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะออกหน้าด้วยตัวเอง
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนเดินไปด้านนอกพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการพลางเอ่ยว่า
“รบกวนใต้เท้าเจ้ากรมแล้ว”
เจ้ากรมพิธีการอายุมากแล้ว ขี่ม้าไม่ไหว ทั้งสองจึงเปลี่ยนเป็นรถม้าแล้ววิ่งควบไปตลอดทางจนถึงประตูเมือง
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าจึงแล่นออกจากประตูเมือง เมื่อเจ้ากรมพิธีการเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเรือไม้มหึมาลำนั้นอยู่ข้างทาง
รถม้าจอดข้างเรือไม้ เจ้ากรมพิธีการเอ่ยเสียงดังว่า
“ข้า เจ้ากรมพิธีการ มาต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”
ชั่วครู่ องครักษ์ผู้หนึ่งก็โผล่หน้าออกมาจากด้านข้างเรือด้วยท่าทางหยิ่งยโส
“คุณชายของข้ากล่าวว่า ฐานะของท่านยังไม่เพียงพอ”
เจ้ากรมพิธีการพลันสีหน้าเข้ม ก่อนข่มโทสะแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“กลับไปถามคุณชายของเจ้า ว่าต้องการอย่างไรกันแน่เขาจึงจะยอมเข้าเมือง”
องครักษ์ไม่ขยับ เขาส่งเสียงฮึ แล้วเชิดคางขึ้น
“คุณชายเก้ากล่าวว่า ต้องการให้ชินอ๋องมาต้อนรับพร้อมกับสมุหราชเลขาธิการ ดนตรีพิธีมิให้ขาด หากทำไม่ได้ก็ให้แจ้งล่วงหน้าสักหน่อย เขาอยากกลับจวนยิ่งนัก จะได้ไปบอกทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของอวิ๋นโจวว่า ต้าฟ่งไม่ยินดีเจรจา”
“นี่ไม่เหมาะสมตามธรรมเนียม ให้คุณชายเก้าของพวกเจ้าออกมาเจรจากัน” เจ้ากรมพิธีการกล่าวเสียงดัง
องครักษ์หดศีรษะกลับไปโดยมิได้ใส่ใจ
เส้นเลือดดำบนหน้าผากของเจ้ากรมพิธีการเต้นตุบ ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์อีกครั้ง
เขาพลันมองไปยังผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูข้างกายแล้วเอ่ยว่า
“ส่งคนไปขอคำแนะนำจากฝ่าบาท”
ในห้องซึ่งตกแต่งอย่างเรียบง่ายบนเรืออวี้เฟิง จีหย่วนนั่งอยู่ที่โต๊ะ สองมือเรียวยาวกำลังปอกส้ม พัดกระดูกสีเงินด้ามเล็กวางอยู่ข้างมือ
“พี่เก้า นี่เป็นการแผลงศักดาต่อราชสำนักต้าฟ่งหรือ”
สวี่หยวนไหวยืนอยู่ข้างหน้าต่างจึงได้ยินการสนทนาเมื่อครู่อย่างชัดเจน
“ปราดเปรื่อง!” จีหย่วนเอ่ยชม จากนั้นจึงพลันส่ายหัว
“แต่ยังฉลาดไม่พอ”
สวี่หยวนไหวขมวดคิ้ว
จีหย่วนเอียงคอมองไปยังสวี่หยวนซวงซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ แล้วยิ้มพลางว่า
“หยวนซวง เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่ได้เงยหน้าว่า
“ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทดสอบขีดจำกัดนี่”
“ดูสิ ดูสิ…” จีหย่วนเอ่ยพลางยิ้มตาหยี
“ยังคงเป็นน้องหญิงหยวนซวงที่ปราดเปรื่อง หยวนไหวเอ๋ย นับตั้งแต่พวกเรามาถึงนอกเมืองหลวง การเจรจาก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องนั่งโต๊ะเจรจาหรอก เข้าใจหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าสวี่หยวนไหวราวกับไม่ยอมรับ จีหย่วนจึงกินส้มพลางเอ่ยว่า
“เจ้าต้องรู้ว่าขีดจำกัดของจักรพรรดิน้อยอยู่ตรงไหน พรุ่งนี้เมื่อเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทองแล้วจึงจะประเมินเขาได้”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วพลางว่า
“จักรพรรดิหย่งซิ่งอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้”
‘พรึ่บ’ จีหย่วนหยิบพัดกระดูกสีเงินมาคลี่ออก แล้ววางราบแนบอกพลางยิ้มและเอ่ยว่า
“นี่ก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง เพื่อทดสอบมาตรฐานของจักรพรรดิน้อย”
อายุของเขามิได้มากกว่าจักรพรรดิหย่งซิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับเจือความดูหมิ่น
รอจนเกือบครึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด้านนอกว่า
“เหยียนชินอ๋องและสมุหราชเลขาธิการเฉียนมาต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”
‘พรึ่บ’ จีหย่วนคลี่พัดกระดูกสีเงินด้ามน้อยออก ก่อนวางราบกับอกและส่ายหัวพร้อมอดหัวเราะไม่ได้
“มีจักรพรรดิเช่นนี้ ต้าฟ่งจะยังมีสิ่งใดน่ากังวลอีกเล่า”
…
‘ขบวนต้อนรับ’ อย่างหรูหราเข้าเมืองมา ชาวบ้านโดยรอบต่างชี้นิ้ววิจารณ์ตลอดเส้นทาง
“นั่นมันธงของอวิ๋นโจวนี่ เช่นนี้ก็แปลว่ารักษาชิงโจวไว้ไม่ได้จริงๆ สินะ ที่พูดกันเมื่อสองสามวันก่อนว่าราชสำนักต้องการเจรจาสงบศึกเป็นเรื่องจริงหรือ”
ผู้รู้หนังสือในหมู่ชาวบ้านจะแยกธงสัญลักษณ์ของอวิ๋นโจวในขบวนคณะทูตออก พื้นหลังสีเหลือง ปักเมฆสีขาว อักษร ‘อวิ๋น’ ขนาดใหญ่ปักด้วยด้ายสีแดง
ข่าวลือใส่สีตีไข่ต่างๆ ในเมืองหลวงถูกควบคุมอย่างดีที่สุด ในวันธรรมดาชาวบ้านจึงกล้าพูดคุยกันเฉพาะในที่รโหฐาน ไม่กล้าถกกันเรื่องการล่มสลายของชิงโจว การเสียชีวิตของท่านโหราจารย์ในสงคราม หรือเรื่องที่ราชสำนักตัดสินใจเจรจาสงบศึกในที่สาธารณะเช่นโรงน้ำชาหรือหอนางโลม
เมื่อเห็นขบวนคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองมาในเวลานี้ อารมณ์ที่กดข่มอยู่ในใจก็พลันสะท้อนกลับ จึงยืนพูดคุยกันเสียงดังอยู่ข้างถนน
“แค่กลุ่มกบฏเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง จะต้องแจ้นมาถึงเมืองหลวงเพื่ออวดศักดาเชียวหรือ”
“กระทั่งฆ้องเงินสวี่ก็ปกป้องชิงโจวไว้ไม่ได้รึ”
ในรถม้า เมื่อจีหย่วนได้ยินคำพูดนี้จึงเลิกผ้าม่านเปิด
“ลือกันในหมู่ราษฎรไปทั่วว่าสวี่ชีอันต้านทัพกบฏแปดพันเพียงลำพังที่อวิ๋นโจว และกวาดสังหารกองทัพใหญ่สองแสนนายของสำนักพ่อมดจนแตกพ่ายที่ด่านอวี้หยาง เมื่อมีความหวังมากก็ย่อมผิดหวังมาก”
จีหย่วนจุปากแล้วเอ่ยต่อ “ตอนแรกที่พวกเราพี่น้องได้ยินเรื่องราวในที่ราบลุ่มภาคกลางของสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง ในใจก็รู้สึกไม่ยอมรับ คิดว่าเขาเพียงช่วงชิงชะตาที่เดิมเป็นของสายเลือดพวกเราเท่านั้น
“แต่บัดนี้เหตุการณ์พลิกผันจริงๆ แล้ว พวกเจ้าว่า หลังเรื่องการเจรจาสงบศึกแพร่ออกไป ชาวบ้านจะพูดถึงราชสำนักอย่างไร แล้วจะพูดถึงฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นที่รักของพวกเขาว่าอย่างไรเล่า”
สวี่หยวนซวงนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง จึงจ้องมาที่เขา
“มิน่าท่านถึงต้องทำให้เอิกเกริกเช่นนี้”
‘พรึ่บ’ จีหย่วนคลี่พัดแล้วโบกเล็กน้อยพลางยิ้มโดยไม่เอ่ยคำใด
….
วังหลวง
ณ ห้องทรงพระอักษร หลังจากจักรพรรดิหย่งซิ่งฟังรายงานจากขันทีจบและได้รู้ว่าคณะทูตอวิ๋นโจวได้เข้าที่พักแล้วจึงรู้สึกราวยกภูเขาออกจากอก
เขากลับมานั่งที่เก้าอี้ทองตัวใหญ่โดยไม่เดินไปมาอีก
ไม่นานนัก จ้าวเสวียนเจิ้นก็รีบร้อนเข้ามาจากด้านนอกแล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“ฝ่าบาท ฆ้องเงินสวี่และองค์หญิงหลินอันขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
‘เขามาทำไม’…จักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดคิ้วพลางว่า
“ให้เขาเข้ามา”
จ้าวเสวียนเจิ้นถอยออกไป ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็พาสวี่ชีอันในชุดสีเขียว และหลินอันในชุดสีแดงก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามายังห้องทรงพระอักษร
ทั้งคู่ดูสมกันอย่างยิ่ง
เมื่อจักรพรรดิหย่งซิ่งเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของหลินอัน อารมณ์ที่หนักอึ้งจึงผ่อนคลายลงบ้าง
จากนั้นเขาจึงมองไปยังสวี่ชีอันแล้วยิ้มพลางว่า
“ฆ้องเงินสวี่กลับเมืองหลวงเสียที เด็กๆ จัดที่นั่งดื่มชา”
สวี่ชีอันโบกมือ
“ไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ
“ฝ่าบาท พระองค์จะทรงเจรจาสงบศึกจริงหรือ ทัพกบฏอวิ๋นโจวมีอำนาจค้ำฟ้า เหตุใดจึงเลือกที่จะเจรจาสงบศึกในเวลานี้เล่า
“ไม่ใช่แค่ต้องการฉวยโอกาสบีบราชสำนักและใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของราชสำนักเท่านั้นหรือ หากเจรจาสงบศึกก็จะไม่มีโอกาสชนะจริงๆ แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจักรพรรดิหย่งซิ่งค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เช่นนั้นฆ้องเงินสวี่คิดว่าควรทำอย่างไรเล่า ให้แต่งตั้งท่านเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการยงโจวแล้วต่อสู้ชี้ขาดกับทัพกบฏอวิ๋นโจวหรือ
“ฆ้องเงินสวี่มั่นใจหรือไม่ว่าจะชนะ เรารู้ว่าฆ้องเงินสวี่มีตบะขั้นสูง เป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม แต่กระทั่งท่านโหราจารย์ก็ล้วนสิ้นชีพด้วยมือพวกเขา แล้วท่านจะทำอะไรได้อีกเล่า!”
สวี่ชีอันเอ่ยว่า
“หากฝ่าบาททรงวางพระทัย ข้าจะไปสนามรบด้วยตัวเองแล้วตายตกไปพร้อมกับกองทัพอวิ๋นโจว”
“แต่เราไม่ต้องการ!” จักรพรรดิหย่งซิ่งพลันขึ้นเสียงดังราวกับจะหมดความอดทน
“การเจรจาสงบศึกคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว ขอเพียงรอดพ้นเหมันต์อันโหดร้ายไปได้ รอจนเทศกาลไหว้วสันต์ ต้าฟ่งย่อมดีขึ้นเอง เหตุใดต้องตายตกไปพร้อมกับกองทัพอวิ๋นโจวในเวลานี้ด้วย”
สวี่ชีอันหันหลังจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก
ยามนี้จักรพรรดิหย่งซิ่งแสวงหาสันติภาพและต้องการหยุดสงครามอย่างสุดหัวใจ เมื่อการโน้มน้าวใจไม่เป็นผล ก็ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมเขา
“สุนัขรับใช้…”
หลินอันไล่ตามไปไม่กี่ก้าว ก่อนกระทืบเท้าแล้วสาวเท้ายาวกลับมาตรงหน้าจักรพรรดิหย่งซิ่ง แล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“เสด็จพี่จักรพรรดิ เหตุใดท่านจึงลองเชื่อใจเขาไม่ได้”
จักรพรรดิหย่งซิ่งส่ายหัว แล้วยิ้มเยาะพลางว่า
“เชื่อใจเขารึ เชื่อสวี่ชีอันแล้วต้าฟ่งจะรอดรึ
“ศัตรูที่แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็มิอาจรับมือ อาศัยแค่สวี่ชีอันก็มีปัญญาพลิกสถานการณ์ได้รึ”
หลินอันเอ่ยด้วยโทสะว่า
“ท่านมันคนขี้ขลาดกลัวตาย”
“เจ้า…” จักรพรรดิหย่งซิ่งยกมือขึ้นจะตบด้วยความเดือดดาล
หลินอันถลึงตามองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ไป ไสหัวไป!”
จักรพรรดิหย่งซิ่งตะคอกพร้อมกับชี้ไปที่ประตู
…
หมายเลขหนึ่ง ‘คณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงมาแล้วอย่างเอิกเกริก’
ในกลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพี ฮว๋ายชิ่งบอกเล่ารายละเอียดที่คณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงมาวันนี้
หมายเลขสี่ ‘เขากำลังทดสอบขีดจำกัดของจักรพรรดิหย่งซิ่ง เฮ้อ ยังไม่ทันพบหน้าก็ถูกคนอื่นคาดเดาขีดจำกัดออกเสียแล้ว รีบร้อนเชิญคนอื่นเข้าเมืองมาเช่นนี้ ไม่เป็นการแสดงเจตจำนงในการเจรจาสงบศึกอย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ’
ฉู่หยวนเจิ่นมีความคิดเฉียบแหลม จึงคาดเดาแรงจูงใจของคณะทูตอวิ๋นโจวได้ใกล้เคียงอย่างยิ่ง
หมายเลขสอง ‘จักรพรรดิหย่งซิ่ง จักรพรรดิสุนัขนี่ กระทั่งหยวนจิ่งยังสู้ไม่ได้ ผู้นำขบวนเป็นใคร’
หลี่เมี่ยวเจินโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ไม่เพียงโกรธคณะทูตอวิ๋นโจวเท่านั้น ยังโกรธจักรพรรดิหย่งซิ่งที่ขี้ขลาดตาขาวอีกด้วย
หมายเลขหนึ่ง ‘บุตรชายคนที่เก้าของเจ้าเมืองเฉียนหลงนามว่าจีหย่วน ตอนนี้อาศัยอยู่ศาลาพักม้าในเมือง มีทหารป้องกันหนาแน่นทั้งภายนอกภายใน และยังมีฆ้องทองคำสองคนด้วย’
หมายเลขสอง ‘นี่เพราะกลัวสวี่ชีอันจะไปสังหารใครหรือ เขาน่าจะกลับเมืองหลวงแล้วสินะ’
หมายเลขหนึ่ง ‘เขาอยู่กับข้าที่นี่’
‘ให้ตายสิ’…หลี่เมี่ยวเจินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขตพระราชฐาน จวนฮว๋ายชิ่ง
ณ ห้องโถงด้านในอันโอ่โถงงามวิจิตร องค์หญิงใหญ่ซึ่งสวมชุดกระโปรงในวังสีดอกเหมยวางเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือลง พร้อมกระตุกมุมปาก
นางมองบุรุษตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า
“สถานการณ์ยามนี้ต่างจากตอนเรียกร้องเงินบริจาค แม้ท่านจะเอามีดจี้คอหย่งซิ่ง เขาก็คงไม่ศิโรราบ
“เหล่าองค์ชายก็เช่นกัน ทั้งตอนนี้ขุนนางในเมืองหลวงมากกว่าเจ็ดส่วนก็เห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึก แนวโน้มจึงเป็นเช่นนี้”
สวี่ชีอันที่เพิ่งออกมาจากวังหลวงพยักหน้าช้าๆ
“จ้าวโส่วบอกว่า หากต้องการพลิกฟื้นสถานการณ์ยากลำบากในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงของต้าฟ่งต้องได้รับการแก้ไข
“อันที่จริง สิ่งที่เขาอยากพูดจริงๆ ก็คือ หากข้าอยากต่อสู้กับสวี่ผิงเฟิงและทัพกบฏอวิ๋นโจวจนถึงที่สุด ราชสำนักจะต้องให้การสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไข มิอาจเหนี่ยวรั้ง”
บัดนี้ หย่งซิ่งกำลังฉุดรั้งเขาอยู่
ฮว่ายชิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ยว่า
“เขาอ่อนแอไปหน่อยจริงๆ”
สวี่ชีอันโบกมือ
“ไม่พูดถึงเขาแล้ว เรียกหาข้ามีเรื่องใดรึ”
ทันทีที่เขาออกจากวังหลวง ก็ถูกหัวหน้าองครักษ์ของฮว๋ายชิ่งซึ่งยืนเฝ้าอยู่นอกประตูวังเชิญตัวมา
ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า
“ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดว่า หากต้องการฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของต้าฟ่งในยามนี้ มีเพียงสามวิธี ข้อแรก จำนวนผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ต้องเสมอกัน ข้อสอง คือการแก้ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงอาหาร ข้อสาม คือต้องชุบชีวิตเว่ยกง”
สวี่ชีอันฟังเงียบๆ พร้อมกับพยักหน้า
ฮว๋ายชิ่งสูดหายใจลึก
“เรื่องชุบชีวิตเว่ยกง เจ้าได้ทำไปแล้ว เทศกาลไหว้วสันต์ก็จะเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวเอง
“ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงนั้นแก้ยาก แต่เจ้าก็พูดเองว่าสิ่งที่เจ้าต้องการยิ่งกว่าคือจักรพรรดิที่เต็มใจสู้ตายกับเจ้าโดยไม่ถอยหนี และราชสำนักที่ยินยอมเดิมพันชะตากรรมของอาณาจักร”
สวี่ชีอันเอ่ยช้าๆ ว่า
“ดังนั้นเล่า”
ฮว๋ายชิ่งจับจ้องเขาด้วยดวงตากระจ่างใสราวน้ำในสารทฤดู แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“บีบให้หย่งซิ่งสละบัลลังก์!”
สวี่ชีอันคาดการณ์ในใจไว้อยู่แล้วจึงมิได้แปลกใจ เขาส่ายหัว
“เช่นนี้รังแต่จะเป็นการทำให้ราชสำนักล่มสลายเร็วขึ้น ข้ารู้ว่าท่านต้องการสนับสนุนให้เหยียนชินอ๋องได้ตำแหน่ง ทว่าคุณสมบัติและฐานะของเขาไม่ได้ อำนาจยิ่งไม่เพียงพอ
“ในช่วงเวลาเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขอาจจะยังพอได้ แต่ยามที่จิตใจผู้คนระส่ำระสายเช่นนี้ หากข้ายังกระทำตามอำเภอใจเช่นนี้อยู่ จะเป็นการผลักให้คนไปเข้ากับทางอวิ๋นโจวและบีบให้พวกเขาแปรพักตร์”
หากเขาฝันอยากใช้กำลังสยบทุกอย่างในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ แน่นอนว่าย่อมทำได้ ทว่าคนอื่นก็จะหันไปพึ่งพาอวิ๋นโจวด้วย
มิอาจลืมได้เลยว่า สายเลือดของอวิ๋นโจวก็คือราชวงศ์ต้าฟ่งเช่นกัน
………………………………………………………