ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 733 วิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสาม
บทที่ 733 วิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสาม
ภายในโรงเผาถ่านเนื้อทอง ณ ศาลาพักม้า สวี่หยวนซวงหยิบหอยสังข์กระแสจิต พร้อมใช้เคล็ดวิชาโหราศาสตร์เปิดใช้อาวุธเวทมนตร์
หอยสังข์กระแสจิตชิ้นนี้ถือเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ล้ำค่ามาก ในฐานะที่ท่านพ่อเป็นโหรขั้นสอง จึงมีอาวุธวิเศษมากมายดั่งขนวัว อาวุธเวทมนตร์ที่สามารถส่งกระแสจิตชนิดนี้มีเพียงคู่เดียวเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้มันมีค่า ไม่ใช่ความยากลำบากในการหลอมกลั่น ไม่ใช่ค่ายกลที่ฝังมีระดับสูงเกินไปเช่นกัน
แต่เป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานที่สุด
หอยสังข์กระแสจิตเป็นสิ่งมีชีวิต ตามตำนานเล่าว่ามันมีสายเลือดเทพมาร แต่เจือจางมาก
พวกมันสามารถส่งกระแสจิตที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจได้ยิน สื่อสารไปยังชาติพันธุ์เดียวกันที่อยู่ห่างไปหลายพันลี้
อย่างไรก็ตาม หอยสังข์กระแสจิตใกล้สูญพันธุ์แล้ว ท่านพ่อจึงเอาหอยสังข์กระแสจิตคู่นี้ออกมาจากสำนักโหราจารย์ในเวลานั้น
กระทั่งยี่สิบปีมานี้ เขาก็ไม่เจอหอยสังข์กระแสจิตที่มีชีวิตอีกเลย
“ศิษย์พี่เก่อ…”
นางร้องเรียกผ่านปากสังข์
ชั่วอึดใจหนึ่ง หอยสังข์กระแสจิตมีเสียงเก่อเหวินเซวียนดังขึ้น
“ถึงเมืองหลวงแล้วรึ? เอาหอยสังข์กระแสจิตให้จีหย่วน”
เมื่อหอยสังข์กระแสจิตถูกหลอมให้กลายเป็นอาวุธวิเศษ มันจะถูกรวมเข้ากับค่ายกลกระแสจิตแบบพิเศษ สามารถส่งเสียงได้เฉพาะกับหอยสังข์ที่เป็นค่ายกลชนิดเดียวกัน
พูดง่ายๆ ก็คือใช้งานแบบเข้ารหัสโดยการส่งเสียง ซึ่งเสียงสามารถส่งผ่านได้เฉพาะสังข์ที่หลอมในเตาเดียวกันเท่านั้น
สวี่หยวนซวงโยนสังข์กระแสจิตให้จีหย่วนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ฝ่ายหลังรีบรับมือพันกันพัลวันพร้อมบ่นอุบ
“ทั่วทั้งเมืองอวิ๋นโจวมีสังข์กระแสจิตอยู่สองอัน ถ้ามันแตกจะทำอย่างไรเล่า…”
ขณะพูด ก็ยกสังข์ขึ้นแนบหู ก่อนฉีกยิ้มพลางเอ่ย
“ขบวนแห่มาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ยังไม่เจอสวี่ชีอัน”
“ตามนิสัยเขาแล้ว ถ้าชัยชนะอยู่ในกำมือด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เช่นนั้นวันนี้เขาคงทำให้เจ้ายำเกรงแล้ว”
จีหย่วนหัวเราะ
“วันนี้ข้าหยั่งถามข่าวมาได้เรื่องหนึ่ง สวี่ชีอันกับจักรพรรดิน้อยทะเลาะกัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องการเจรจาสันติภาพ”
เก่อเหวินเซวียนประหลาดใจ
“เจ้าถามจากที่ใด?”
เรื่องที่เกิดขึ้นภายในวัง เขาผู้มาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่นึกเลยว่า จะหาข่าวได้รวดเร็วเช่นนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าราชสำนักต้าฟ่งกำลังเกิดการผันผวน ถึงคราวจุดล่มสลายแล้วหรือ?
จีหย่วนเอ่ย
“ก่อนพลบค่ำ เฉินกุ้ยเฟยส่งคนมาพบข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าตนคือศัตรูของท่านราชครู หวังว่าเขาจะมองถึงความผูกพันครั้งก่อน เพื่อเจรจาอย่างสันติ”
เก่อเหวินเซวียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง พลางถอนหายใจแล้วเอ่ย
“หมากของราชครูกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง…ต้องทำให้เฉินกุ้ยเฟย แล้วค่อยคิดหาวิธีหาข้อมูลเพิ่มเติมจากนาง
“นอกจากนี้ การเจรจาเพื่อสันติถือเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์และอีกจุดประสงค์หนึ่งคือหาทางแยกสวี่ชีอันและจักรพรรดิ ทำให้พวกเขาปั่นปวนกว่าเดิม” “ในกระบวนการนี้ เจ้าอย่าลืมหาโอกาสทดสอบสวี่ชีอัน ดูว่าเขามีเบี้ยหมากอยู่หรือไม่
“แม้ว่าท่านโหราจารย์จะถูกผนึกแล้ว แต่เขายังเหลือคนรับช่วงต่อที่ไม่ว่าใครก็เดาไม่ถูก”
จีหย่วนส่งเสียงเฮ้อ
“ข้าอดทนรอไม่ไหวแล้วที่จะเผชิญหน้ากับสกุลสวี่ จะได้ชำระแค้นแทนพี่เจ็ดของข้าเสียที”
เก่อเหวินเซวียนเอ่ยราบเรียบ
“ชั่งตวงสมดุลหน่อย เรื่องใหญ่ย่อมสำคัญที่สุด”
มือซ้ายของจีหย่วนกรีดพัดกระดูกสีเงินอันเล็กเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ข้ารู้ ไม่ช้าหรือเร็วสวี่ชีอันก็ต้องกลายเป็นปลาบนเขียง”
…
ประตูเมืองแดนประจิมห่างออกไปสิบห้าลี้
อาซูหลัว…สวี่ชีอันมองตรงทางด้านหน้า ร่างสูงใหญ่ในชุดผ้ากาสายะสีแดงเหลืองแยกส่วนกัน ในหัวผุดความคิดนับพัน รัศมีแห่งสวรรค์ส่องทอประกาย
ยิ่งต้องการเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ในขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่ไม่เข้าใจอีกหลายอย่าง
“เจ้าคือหมายเลขแปดหรือ!”
เขารักษาระยะห่างกันและกันพอประมาณ จ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
อาซูหลัวเล่นกับกระจกหยก เอ่ยเสียงสงบนิ่ง
“หากไม่ใช่ เจ้าคิดว่าวันนั้นจะกำจัดแขนขาเสินซูได้อย่างง่ายดายหรือ?”
เขาหัวเราะ
“ตอนนั้นข้าพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อจะเด็ดหัวเจ้าให้ตกลงสู่พื้นในห้าสิบกระบวนท่า จากนั้นค่อยผนึกแล้วทรมานเจ้าจนตาย”
เขาอ่อนให้จริงด้วย…สวี่ชีอันพ่นลมออกมาไร้เสียง
หลังจากลั่วอวี้เหิงเตือน เขาจับสังเกตได้ว่าอาซูหลัวอาจอ่อนข้อให้จริง ตอนมาจึงหารือกับนางจิ้งจอกเก้าหาง สรุปได้ว่า ไม่เป็นกุศโลบายเชิญท่านลงหม้อจากสำนักพุทธ ก็อาซูหลัวมีแผนอื่นเตรียมไว้ ยกตัวอย่างเช่น ต้องการใช้ประโยชน์จากการฉวยโอกาส เพื่อเลื่อนระดับ
ดูแล้วตอนนี้ เขาก็มีแผนอื่น แต่ไม่ใช่เพื่อเลื่อนระดับ แต่เพื่ออ่อนข้อให้สหายในกลุ่ม
นักบวชเต๋าจินเหลียนพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ได้อย่างไร มันยอดเยี่ยมมาก ดีกว่าข้าที่เป็นถึงฆ้องเงินสวี่พัฒนาท่านโหราจารย์เสียอีก…ข้าคิดว่าเขาเป็นพวกนักบวชเต๋าจิตไม่ปกติที่ตกหลุมรักแมวเท่านั้น…
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจท่วมท้นด้วยความสงสัยนับหมื่น เอ่ยถาม
“เหตุใดเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้”
อาซูหลัวที่กำลังหยอกเย้ากับกระจกหยก เสมองไปทางทิศตะวันตก ใบหน้าไร้การแสดงออก แต่น้ำเสียงพลันกลับตาลปัตร
“สำนักพุทธฆ่าพ่อข้า ฆ่าคนในเผ่าพันธุ์ข้า จับข้าล้างสมองให้เป็นพุทธสาวกที่เลื่อมใสที่สุด”
“ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
เวรเอ๊ย…สวี่ชีอันเอ่ยทวนคำ
“เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า เจ้าซ่อนมันจากพวกเขาได้อย่างไร?”
อาซูหลัวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าข้าบอกเจ้าว่า คราวนั้นผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจจงใจฆ่าข้าล่ะ”
“นางรู้ความเป็นมาเผ่าอสุรา ถึงแม้จะเป็นชาวอสูรเราจะเป็นพุทธสาวกที่เลื่อมใสศรัทธาที่สุดในเวลานั้น แต่เพียงแค่จำกัดอิทธิพลจาก ‘สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า’ ได้ เผ่าอสูรก็จะค้นพบตนเองเจอ
“และความตาย ก็เป็นหนึ่งในหนทางนั้น”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“คราวนั้น พระโพธิสัตว์กว่างเสียนใช้ ‘ร่างธรรมมหาสังสารวัฏ’ ส่งยอดฝีมือประจำสำนักพุทธที่ล้มตายในสงครามกลับมาเกิดใหม่ทีละคน แน่นอนว่าเขาคงไม่ปฏิเสธเจ้าที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นสองสูงสุดที่ตายต่อหน้าต่อตา
“เป็นแบบนี้แล้ว เจ้าจึงเป็นผู้ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก่อนจะหวนคืนสู่จุดเดิม”
อาซูหลัวพยักหน้าช้าๆ
“นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกชะตากรรมของบุคคลได้อย่างลึกซึ้ง เขาบอกว่าข้าเป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ให้ข้า
“แต่ข้าคิดว่า เขาคงเดาว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ”
สวี่ชีอันได้ยินดังนั้น จึงพยักหน้าพลางส่ายหน้าฉับพลัน
“ไม่ใช่การคาดเดาหรอก แต่เป็นการตรวจสอบต่างหาก หลังจากที่เขามอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้เจ้าแล้ว เกรงว่าเขาจะใช้เจ้าตรวจสอบบรรพบุรุษของเจ้าทั้งสิบแปดรุ่นมากกว่า”
ขณะที่พูดประโยคนี้ เขานึกย้อนขึ้นมาได้ว่าหลังจากที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนปฐพีให้แก่ตน เขาก็เคยซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงเพื่อสำรวจและสังเกตตน
ระหว่างนักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่ในเมืองหลวง ก็ได้รายละเอียดจากฆ้องทองแดงน้อยของเขาเกือบร้อยละห้าสิบ
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละห้าสิบ ถูกโหราจารย์พากลับไปด้วยแล้ว
สวี่ชีอันจำได้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเคยบอกไว้ว่า ‘เจ้าคือหมากตัวสำคัญของท่านโหราจารย์’
หากไม่มีท่านโหราจารย์ขวางทาง นอกเหนือจากเรื่องที่ข้ามกาลเวลามาแล้ว สีกางเกงในของ ‘สวี่ชีอัน’ คงถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนล้วงเอาจนหมดเปลือก
แน่นอนว่า ของวิเศษอย่างหนังสือปฐพีเล่มนี้ จะไม่ถูกส่งต่อให้คนอื่นง่ายๆ นักบวชเต๋าแมวส้มจึงสำรวจ ตรวจสอบผู้ถือครอง ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
อาซูหลัวกล่าวต่อ
“ต่อมาข้าก็ปลีกตัวบำเพ็ญวิเวกมาโดยตลอด จนกระทั่งเห็นตนเอง เข้าใจเรื่องราววันวาน จึงกลับไปอยู่สำนักพุทธใหม่”
สวี่ชีอันจับสิ่งผิดปกติได้อย่างหนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าปิดบังพระโพธิสัตว์หลายองค์ได้อย่างไร? ตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้ เจ้าจงใจปล่อยให้ส่วนที่เหลือของเสินซูถูกข้าเอาไป เป็นไปไม่ได้ที่บรรดาพระโพธิสัตว์จะไม่รู้ไม่เห็น”
กลับไปสำนักพุทธอีกครั้ง ต้องถูกล้างสมองอีกแน่นอน
ถ้าเล่าย้อนกลับไป แม้นจะไม่ใช่ก็ตามแต่ การแสดงของอาซูหลัวระหว่างอยู่ในซินเจียงตอนใต้ บรรดาพระโพธิสัตว์ต้องเห็นเบาะแสแน่นอน
อาซูหลัวฟังความจบก็เหยียดยิ้ม
“ข้าเพิ่งเล่าไปว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้ว่าข้ากับสำนักพุทธมีความเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น เจ้าคิดว่าเขาจะให้ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกับพุทธสาวกผู้ที่เลื่อมใสสำนักพุทธอย่างหาที่สุดไม่ได้หรือไม่”
สวี่ชีอันจับใจความคลุมเครือบางอย่างได้ จึงเอ่ยเสียงขรึม
“ความหมายของเจ้าคือ…”
อาซูหลัวไม่ได้บอกออกมาโต้งๆ แต่เอ่ยด้วยความสงบนิ่ง
“ก่อนที่ข้าจะกลับไปยังจุดเดิม เขาถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่ให้ข้า”
อย่างที่คาดไว้เลย…รูม่านตาสวี่ชีอันขยายเล็กน้อย
“อาซูหลัวที่กลับมาเกิดกลายเป็นพุทธสาวกที่เลื่อมใสอย่างแท้จริง เมื่อผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า แต่อาซูหลัวอีกคนไม่ใช่ ตัวตนที่แท้จริงที่สุดของข้า เกลียดชังตัวตนข้าในสำนักพุทธยิ่งกว่าอะไรดี หนึ่งรวมเป็นสาม เมื่อแยกจากกัน ข้าก็คืออาซูหลัวตัวจริง ซึ่งเป็นร่างอิสระโดยสมบูรณ์แบบ แม้แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถจับเบาะแสได้
“สามรวมเป็นหนึ่ง เมื่อข้ากับอาซูหลัวอีกคนรวมร่างกัน เขาจะให้ข้าเห็นตนเอง รวมถึงกำจัดอิทธิพลจากความว่างเปล่าทั้งสิ้น”
“แน่นอนว่า เคล็ดลับวิชาไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่นั้นลึกล้ำเกินไป ตอนนี้ข้าแบ่งแยกความแตกต่างของร่างจำแลงได้เพียงร่างเดียว แต่ในฐานะ ‘พิกัด’ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
อาซูหลัวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเข้าใจหรือยัง”
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลล้วนอธิบายได้ทั้งสิ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนนักบวชเต๋าจินเหลียนเคยบอกไว้ว่าต้องยืนยันตัวตนหมายเลขแปด เขาต้องรู้ตัวตนหมายเลขแปดให้แน่นอน รู้ว่าตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายในร่างข้าหลุดแล้ว แต่เลือกจะไม่บอกข้า ให้ข้าว้าวุ่นใจอยู่หลายวัน เพราะฉะนั้นแล้วตั้งแต่ออกมา ข้าปล่อยให้เขาสับสนในชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นเขาจึงต้องการแก้แค้น?
บางคนดูภายนอกเป็นผู้อาวุโสผู้มีเมตตา แต่แท้จริงแล้วแอบเป็นแมวส้มแสนใจแคบ…สวี่ชีอันเข้าใจในทันที เขาจึงทดสอบในทันใด
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ามาเมืองหลวงครั้งนี้…”
อาซูหลัวเลิกคิ้วกระดูกไร้ขนคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ
“ตามหลักแล้วข้าต้องถอนตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายออกแทนเจ้า”
“ท่านโหราจารย์ก็ถูกผนึกแล้ว หากข้าไม่ช่วย เจ้ากับต้าฟ่งถึงคราวพินาศแน่”
“ถ้าเช่นนั้นแผนการที่ข้าจะแก้แค้นสำนักพุทธ ก็ถึงคราวสูญเปล่าเช่นกัน แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าคงหลบซ่อนในอรัญตาไม่ได้อีกต่อไป”
ต่อจากนี้อีกสามปี เจ้าคงปะปนอยู่กับสำนักพุทธขั้นสองสูงสุด…สวี่ชีอันนึกแขวะ ในใจรู้สึกเบิกบานเต็มปรี่
อาซูหลัวพลันนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เอ่ยว่า
“อ้อใช่ คราวนั้นตอนท่านโหราจารย์ถูกผนึก อรัญตาเคยมีร่างธรรมมหาไวโรจนพุทธะแสดงตนที่พระพุทธเจ้าแสดงฝีมือ”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นพระพุทธเจ้า”
สวี่ชีอันประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ไขข้อสงสัยในใจทีละข้อ ผลผลิตเบื้องหลังที่ยอดเยี่ยมของอวิ๋นโจว คือท่านผู้นั้นที่อยู่ในอรัญตา
เป็นท่านโหราจารย์ไม่ง่ายเลยนะ ไม่ผิดที่จะยอมแพ้
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ห้าร้อยปีก่อน แหล่งที่มาของการแสดงฝีมือร่างธรรมมหาไวโรจนพุทธะท่ามกลางสงครามกวาดล้างปีศาจ ได้รับการอธิบายแล้ว”
อาซูหลัวยังคงเอ่ยต่อ
“จุดจบในสงครามซินเจียงตอนใต้ครานั้น หลังจากกลับไปอรัญตา ข้ากับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์แอบตรวจสอบ จนพบกับเบาะแสบางอย่าง”
ทันใดนั้น เอาเรื่องเสียงหายใจที่ได้ยินในเจินหมัวเจี้ยน และเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่สุสานภิกษุบอกสวี่ชีอัน
เวรเอ๊ย…สวี่ชีอันเกิดชาวาบทั่วหนังหัวทั้งที่ไม่ได้เป็นมานาน
ทั้งสองสถานที่ ต้องมีหัวของเสินซู หนึ่งในนั้นน่าจะอยู่ในเจินหมัวเจี้ยนซะส่วนใหญ่ และรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อก็ถูกทำลาย ตราผนึกต้องหายไปแล้วแน่ๆ
ถ้าเช่นนั้น เสียงร้องขอชีวิตในต้นโพธิ์เกิดได้อย่างไร…
อาซูหลัวเห็นเขานิ่งเงียบไม่พูดจา หลังจากอดใจรอเป็นเวลานาน จึงเอ่ยถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เขารู้ว่าสวี่ชีอันมีประสบการณ์และความรู้อย่างลึกซึ้งในด้านนี้
สวี่ชีอันคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว
“ประการแรก ตามการคาดเดาครั้งที่สองของพวกเรา พระพุทธเจ้ากับเสินซูคือคนคนเดียวกัน แต่มีใบหน้าแตกต่างกัน”
“รูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อที่ถูกทำลาย ตราผนึกก็ถูกถอดถอน ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อน”
อาซูหลัวพยักหน้า
“เจ้าบอกว่า ถ้ารูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อที่ถูกทำลาย ความเป็นนั้นก็คือการคาดเดาครั้งที่สอง แต่เจ้าจะอธิบายเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้อย่างไร?”
สวี่ชีอันเค้นคำพูดทีละคำ
“พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้จากสำนักพุทธ สาบสูญไปนานกว่าสามร้อยปีแล้วไม่ใช่รึ”
ขณะนี้ รูม่านตาของอาซูหลัวพลันหดลงกะทันหัน กลิ่นอายผันผวนกระจัดกระจาย
สวี่ชีอันกล่าวต่อ
“แน่นอนว่านี่เป็นการคาดคะเนที่ไม่มีมูลของข้า ยังขาดหลักฐาน ยังไม่แน่ใจว่าการคาดเดาครั้งที่สองคือความจริง หากข้อเท็จจริงคือการคาดเดาครั้งแรก เรื่องจะซับซ้อนมากขึ้น
“แต่เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคลี่คลายความลึกลับของพระพุทธเจ้า”
อาซูหลัวเห็นด้วยกับเขา
“ยังไม่ถึงเวลา”
“ข้าเดินทางมาจากทิศตะวันออก ยังไม่เห็นนักบวชเต๋าจินเหลียน อย่าทำข้าเสียเวลาเลย หลังจากถอนตะปูวิญญาณตัวสุดท้ายออกแล้ว ข้าจะออกจากเมืองหลวง”
สวี่ชีอันเรียกเจดีย์พุทธะออกมา รับเขาทั้งสองคนเข้าไปในชั้นสอง
ชั้นสองที่ว่างเปล่า มีรูปปั้นเทพอารักษ์ทำหน้าบึ้งตึง ความดุดันอันน่าเกรงขามแผ่ซ่านทั่วพื้นที่
ไฉซิ่งเอ๋อร์รับรู้ได้ว่ามีใครเข้ามา จึงลืมตาขึ้น มองอาซูหลัวที่สูงเก้าฉื่อด้วยความสนใจใคร่รู้
บุคคลผู้นี้มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนจากสำนักพุทธ นอกจากความอัปลักษณ์แล้ว ทำให้รู้สึกถึงความอาจหาญและไม่ธรรมดาอีกด้วย
“ตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้าย อยู่ตรงจุดจวี้เชวี่ย เป็นหนึ่งในสี่ตะปูตอกวิญญาณที่ข้าเอาออกได้ เจ้านี่โชคดีนะ”
อาซูหลัวมองเขา พยักหน้าเล็กน้อย
“เริ่มเลย!”
สวี่ชีอันกล่าว
เขาเลือกเข้ามาถอนตะปูตอกวิญญาณออกในนี้ ก็เพราะมีภิกษุเฒ่าถ่าหลิงเฝ้าดูอยู่ หากอาซูหลัวเป็นพวกเล่นลูกไม้ ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงกับเขาจะได้ร่วมมือกัน จัดการบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรได้
อาซูหลัวเหยียดนิ้วชี้ออกแตะเบาๆ ที่จุดจวี้เชวี่ย
เขาชี้ไปที่แสงสายฟ้าสีอำไพที่เชื่อมต่อระหว่างตะปูตอกวิญญาณ
สวี่ชีอันหลับตาลง เกิดเสียงกระแทกอย่างรุนแรงข้างหู เวลาเดียวกันนี้จุดจวี้เชวี่ยก็ปวดหนึบ
“ฮึ่ม!”
อาซูหลัวคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ นิ้วกระดูกขยายหนากลมเกลียว กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเริ่มปรากฏบนร่างกาย
ตะปูตอกวิญญาณดีดออกแล้ว…ระหว่างนี้ อาซูหลัวขบฟันแน่น หน้าผากปูดโปนขึ้นเส้นเลือดเขียวคล้ำ ตามด้วยกล้ามเนื้อแก้มสั่นเล็กน้อย
อัสนีสีทองอำไพบาดฟาดให้ทั่วทั้งชั้นที่สองย้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้า
‘ตึง!’
ในที่สุด ตะปูตอกวิญญาณก็ถูกถอนจนหมด จึงล้มลงบนพื้น
กลิ่นอายอาซูหลัวลดลงอย่างรวดเร็ว แผงอกกระเพื่อมขึ้นลง หอบหายใจแรง สูญเสียเรี่ยวแรงอย่างมาก
ท่ามกลางความเงียบงัน สวี่ชีอันค่อยๆ ลืมตาขึ้น
พลังปราณที่มาจากการบำเพ็ญคู่ พลังปราณที่ได้มาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ ในขณะนี้ ได้แทรกซึมทั้งเส้นลมปราณเริ่นและตู ทำให้ฟื้นตัวเต็มที ไม่มีการยับยั้งอีกต่อไป
ราวกับว่าสัตว์อสูรที่หลับใหลในวังโบราณตื่นขึ้น พลังที่ทรงอำนาจและน่ากลัว แผ่กระจายทั่วพื้นที่ในขณะนี้
‘ครืน!’
เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับกักขังสัตว์ร้ายเหนือชั้นกว่าตัวมัน
ในชั้นที่สาม ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงหรี่ตาพลางพึมพำ
“ฐานที่ตั้งมั่นคงเช่นนี้…”
ท่ามกลางการแรงสั่นสะเทือนเหมือนวันอวสานโลก ไฉซิ่งเอ๋อร์หมอบคลานอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นสะท้าน หัวใจดวงน้อยในทรวงอกเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนว่าจะระเบิดตลอดเวลา
วิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสาม!
…………………………………………………