ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 735 เลื่อนสู่ขั้นสอง (2)
บทที่ 735 เลื่อนสู่ขั้นสอง (2)
ขณะที่สมองของมู่หนานจือยังสะลึมสะลือ ไม่สั่งการว่าให้รับมือกับพฤติกรรมที่เข้าจู่โจมส่วนอ่อนไหวเช่นนี้อย่างไร สัญชาตญาณร่างกายของนางก็ต่อต้านล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่า ให้หนีบขาจิกบั้นท้าย และใช้มือทั้งสองข้างกดกางเกงผ้าไหมไว้
จากนั้นดวงตาคู่งามก็ลืมขึ้นทันที กวาดตามองไปรอบๆ พอเห็นชัดว่าเป็นสวี่ชีอัน นางก็ขมวดคิ้วหน้าบึ้งและพูดจากรุ่นโกรธ
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
ในน้ำเสียงไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมากนัก เหมือนรำคาญที่เขาไม่ยึดถือคุณธรรมการต่อสู้และลอบโจมตีกลางดึก
“เลื่อนระดับเป็นขั้นสอง” สวี่ชีอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ
มู่หนานจือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจ ใบหน้าบอบบางของนางแดงระเรื่อ
นางตั้งสติได้ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่านางโดนเล่นเข้าแล้วจึงหันไปถ่มน้ำลายใส่สวี่ชีอัน
“เจ้าถอนตะปูตอกวิญญาณออกก่อน แล้วค่อยพูด”
พอพูดจบ ก็นึกถึงการกระทำครั้งที่แล้วก่อนเขาจากไปได้ก็รีบพูดเพิ่มเติม
“ไม่ ไม่ได้อนุญาตให้เจ้าเลียเป็นสุนัข”
แม้เขาจะเผลอแสดงความในใจออกมา แต่ตอนนี้อารมณ์ได้ดับมอดลง ไม่เห็นลู่ทางที่จะทำให้เทพดอกไม้ยอมรับว่าชอบเขาและเต็มใจบรรลุผลสำเร็จกับเขาในช่วงเวลาอันใกล้
ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ข้าควรตีเหล็กในตอนที่ยังร้อนและยอมเลียเป็นสุนัขไปก่อน ไม่น่าหยิ่งยโสเลย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของอาซูหลัว…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจเข้าไปในหูนางและกระซิบเบาๆ ว่า
“ข้าถอนตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายออกมาแล้ว”
เขาพูดเรื่องนี้เพื่อบอกมู่หนานจือว่า ถึงเวลาที่จะต้องทำให้สำเร็จและถึงเวลาต้องส่งมอบเลือดหยดแรกแล้วในที่สุดความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็จะคืบหน้า
จู่ๆ มู่หนานจือก็หันกลับมาจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกโพลง
ในเวลานี้ นางเพิ่งตระหนักว่า สวี่ชีอันเปลือยเปล่าและร่างกายแข็งแรงของเขาก็แนบติดอยู่กับร่างกายนาง
มู่หนานจือใจเต้นแรงและใช้มือทั้งสองข้างดันอกเขาออกไป
“เจ้าถอยออกไป…บุรุษสตรีห้ามจูบกัน ห้ามถูกเนื้อต้องตัวกัน อย่าลืมนะว่าข้าเป็นใคร…”
ขณะที่นางพูด นางก็เอาผ้านวมมาห่อตัวและกระถดหนี นางกระถดไปหนึ่งนิ้ว สวี่ชีอันก็ดันไปหนึ่งนิ้ว ในที่สุดนางก็ถูกผลักเข้ามุม
“สำหรับข้าแล้วเจ้าเป็นใคร เจ้าว่าเจ้าเป็นใคร!” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ
นางจ้องมองอย่างกระวนกระวาย “ข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้าไง”
ในแง่อายุ สวี่ชีอันต้องเรียกนางว่าป้า
สวี่ชีอันเกือบได้ตีฆ้องร้องป่าวอยู่แล้วเชียว แต่หลังจากนั้นอีกสองสามวินาทีเขาก็บ่นว่า
“อุตส่าห์สร้างบรรยากาศเสียดิบดี เจ้าทำมันพังหมดแล้ว”
เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง เฝ้ามองคานอยู่เงียบๆ
พานนึกถึงลั่วอวี้เหิงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เขาคิดว่าสองคนนี้สมควรต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน สตรีผู้หยิ่งผยอง อยากตกหลุมรักแต่กลัวถูกข่มเหง ช่างเหมือนกันทุกประการจริงๆ
ตอนแรกลั่วอวี้เหิงคิดมองหาเขาเพราะการบำเพ็ญคู่และเข้านอนด้วยอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเรื่องราวจบลงก็มาสำนึกเสียใจ สวี่ชีอันพยายามเปลื้องผ้านาง ก็ถูกนางตบตีกลับมาสองสามครั้ง
อันที่จริง สิ่งที่ข้าพูดกับอาซูหลัวเมื่อครู่ จริงครึ่งหนึ่งเท็จครึ่งหนึ่ง ลั่วอวี้เหิงบำเพ็ญคู่กับเขาสองครั้งเท่านั้น (สองเดือน) และอย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ ระยะสั้นที่สุดคือสามเดือน ระยะยาวที่สุดคือครึ่งปี
เมื่อนั้นนางจะสามารถดับไฟแห่งกรรมได้อย่างหมดจดและข้ามผ่านความทุกข์ยากได้โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าจะใช้ไพ่ลั่วอวี้เหิงให้ได้ผล ก็ต้องหนึ่งเดือนหลังจากนั้น
ตอนนี้นางไม่สามารถโจมตีเต็มกำลังได้ ไม่อย่างนั้น ไฟแห่งกรรมในร่างกายนางจะดับลงและจะนำมาซึ่งความหายนะทันที แล้วนางก็จะตาย
นอกจากลั่วอวี้เหิงแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอยู่ในขั้นสามและไม่เต็มใจเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ของท่านโหราจารย์ เพราะถ้าขั้นหนึ่งต่อกรกับขั้นสาม ก็อาจถูกฆ่าตายในสิบกระบวนท่า
“ทัศนคติของจ้าวโส่วค่อนข้างคลุมเครือ เป็นการยากที่จะลากเขาลงน้ำ นี่เป็นความยากลำบากอีกอย่าง พูดสั้นๆ คือ เขาต้องได้เลื่อนระดับเป็นขั้นสองโดยเร็ว”
ขณะที่คิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่ามู่หนานจือเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ แล้วมือเล็กๆ นุ่มๆ ของนางก็ลูบคลำหน้าอกเขาอยู่พักหนึ่งและพูดด้วยความประหลาดใจ
“ตะปูตอกวิญญาณหายไปแล้วจริงๆ!”
“ข้าโกหกเจ้าหรือไง?”
สวี่ชีอันพูดด้วยความไม่พอใจ
มู่หนานจือที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “โอ้” และถอยกลับไปที่มุมเตียงอย่างเงียบงัน
ในความเงียบนั้น เวลาดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ เทียนลุกไหม้อย่างเงียบเชียบและน้ำตาเทียนก็หยาดไหล
สวี่ชีอันขยับเข้าไปใกล้มู่หนานจืออีกครั้ง แขนล่ำสันโอบกอดรอบเอวบางของนาง
มู่หนานจือถูกข่มขู่ด้วยปืนมีชีวิตจากด้านหลัง ร่างกายนุ่มนิ่มของนางพลันแข็งทื่อทันที
สวี่ชีอันพยายามถอดเสื้อผ้านางออก แต่ทำไม่สำเร็จ นางจับคอเสื้อไว้แน่นแล้วขดตัวราวกับว่า…นางไม่ยอมจำนนต่อความตาย
สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยขึ้นมองหน้านาง
ดวงตาของนางแดงก่ำ กัดริมฝีปากแน่น มิได้เขินอายหรือประหม่า เพียงแค่โศกเศร้าเสียใจเท่านั้น
ในขณะนี้ ดูเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีจะหายไป เขาคลายแขนที่โอบกอดรอบเอวบางของนาง
“ข้าขอโทษ…”
มู่หนานจือผงะไปครู่หนึ่ง แต่ยังปิดปากเงียบไม่แสดงท่าทีอะไร
สวี่ชีอันพูดเสียงแผ่วเบา
“ที่จริงข้ารู้จักตัวตนของเจ้ามานานแล้ว ไม่นานนักหลังข้าพาเจ้าจากชายแดนตอนเหนือมาเมืองหลวง”
“ในตอนนั้น ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าซับซ้อนยิ่งนัก ข้าอยากครอบครองจิตวิญญาณของเจ้าเพราะข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า ทว่าข้าไม่อาจควบคุมความสงสารและความชื่นชมของตัวข้าเองได้ ดังนั้นข้าจึงเก็บเจ้าไว้ข้างนอก คิดว่าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”
“ต่อมา เจ้าตามข้าไปรอบๆ แม่น้ำและทะเลสาบ หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ข้าไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ อยู่ๆ ข้าก็ไม่อยากครอบครองจิตวิญญาณของเจ้าอีกต่อไป”
“ข้าคิดว่า ในเมื่อโค่วหยางโจวยังพึ่งพารากบัวเพื่อเลื่อนระดับเป็นขั้นสองได้ ข้าก็น่าจะทำได้”
ในการรวบรวมปราณมังกรช่วงต่อมา เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะคว้าวิญญาณเจ้าหญิงไว้
มู่หนานจือจมูกตื้อเหมือนจะร้องไห้แต่พยายามสงบสติอารมณ์และพูดเสียงเย็นชา
“ทำไมเจ้าถึงบอกขอโทษ เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม ทำไมเจ้าถึงล้มเลิกความคิดที่จะครอบครองจิตวิญญาณข้า”
สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่งและพูดตามจริง
“ข้าขอโทษ เพราะความตั้งใจเดิมของข้าที่ติดต่อเจ้าและรับเจ้ามานั้นเป็นแค่ความเห็นแก่ตัว ไม่ได้สูงส่งไปกว่าเจินเต๋อเลย ถ้าข้าเผชิญหน้ากับความจริงข้อนี้ไม่ได้ ข้าก็ไม่คู่ควรกับเจ้า
“ทำไมเราถึงพูดแบบนี้ ทั้งที่พวกเราได้เดินร่วมทางกันแล้ว แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างบีบคั้นอยู่ในใจพวกเราสองคน มีอารมณ์มากมายที่ยังไม่ได้แสดงออก ข้าอยากใช้โอกาสนี้บอกเล่าความในใจของข้า”
เขาชะงักชั่วครู่แล้วตอบคำถามสุดท้าย
“เพราะยิ่งเราคบกันนาน ข้าก็ยิ่งหลงใหลในตัวเจ้า แม้ข้าจะไม่เคยแสดงออกก็ตาม แต่ข้าไม่รู้ว่าการครอบครองจิตวิญญาณจะทำให้เจ้าเจ็บปวดได้อย่างไร”
“ข้าไม่แม้แต่จะหวังว่าเมื่อเราทำสำเร็จแล้ว เจ้าจะรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ในภายหลัง ถ้าเจ้าคิดว่าข้าอยากครอบครองเจ้าเพียงเพราะวิญญาณเทพดอกไม้”
เขาเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดมันออกไป หากความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนร้อนแรงขึ้นเมื่อใด พวกเขาก็จะแนบชิดกันเมื่อนั้น
ด้วยวิธีนี้ต้องไม่ปรากฏว่าเขาจงใจทำเพื่อวิญญาณเทพดอกไม้
แต่โลกนี้คาดเดาไม่ได้ ผู้คนมักถูกผลักไสไปตามกระแสและตอนนี้เขาต้องการจิตวิญญาณของมู่หนานจืออย่างเร่งด่วนเพื่อเลื่อนระดับเป็นขั้นสอง
มู่หนานจืออ่อนไหวต่อเรื่องนี้เป็นพิเศษเนื่องจากประสบการณ์ในอดีตของนาง
ตอนนี้นางนั่งลงข้างเตียงและปรับทุกข์ในใจ มันคือคำสารภาพจริงๆ ครั้งแรกในชีวิตของนางที่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้ผู้ชายเห็น
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความใจร้อนของผู้ชายคนนั้น นางปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำแต่เพราะนางรู้สึกคับแค้นใจอย่างควบคุมไม่ได้
สวี่ชีอันเข้าใจจิตใจนาง
เขาซบซอกคอนาง สูดกลิ่นหอมเย้ายวนใจ เสียงของเขาทุ้มและมีเสน่ห์
มู่หนานจือน้ำตาไหล
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว ข้า…ข้าไม่ได้ขาดแคลนจิตวิญญาณอะไรขนาดนั้น” นางสูดน้ำมูกและพูดจาหยิ่งยโส
ความคับแค้นใจค่อยๆ ละลายหายไป ราวกับน้ำผึ้งแผ่กระจายอยู่ในใจ เป็นความหอมหวานที่ทำให้คนติดอกติดใจ
ทันทีที่พูดจบ เขาก็คว้าข้อมือขวาแล้วค่อยๆ รูดกำไลลง
จากนั้นมู่หนานจือก็เห็นสายตาโง่งมและหมกมุ่นของเขา
นางอายเล็กน้อย หน้าแดงและเอียงศีรษะ
แสงเทียนสลัว โฉมงามบนเตียงเคอะเขินและเอียงอาย เฝ้ารอให้เลือกแล้วเลือกอีก นางเม้มริมฝีปากทว่าขนตายาวของนางกลับสั่นไหวเพราะความประหม่า
ไม่มีเสน่ห์ใดที่น่าเสน่หามากไปกว่านี้อีกแล้ว สวี่ชีอันบีบคางมนของนาง ลูบไล้ใบหน้ายั่วเมืองของนาง ก้มศีรษะลงและจูบริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มของนาง
มู่หนานจือหลับตาปี๋ มือเล็กๆ ทั้งสองข้างของนางทาบอยู่บนหน้าอกเขา นางหอบหนักกระชั้นถี่ ใบหน้าของนางแดงมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสวี่ชีอันเงยหน้าขึ้น นางก็หอบอย่างหนักราวกับขาดอากาศหายใจ ริมฝีปากแดงของนางแดงเรื่อบวมเจ่อจากการถูกดูดอย่างแรง
‘ฟุบ’…
สวี่ชีอันตลบผ้าห่มออก พลิกตัวและนั่งลงบนท้องส่วนล่างของมู่หนานจือ มองลงมาจากที่สูง
เขาถกชายกางเกงชั้นใน เผยให้เห็นสะดือและเอวเรียวสวย เย้ายวนใจและเรียวเล็ก ผิวพรรณเรียบลื่นนุ่มนิ่มเหมือนครีม ไม่ต่างจากหยกเนื้อดีไร้ข้อตำหนิ
สวี่ชีอันครอบครองร่างกายของนาง จูบท้องของนางราวกับได้ชิมอาหารที่อร่อยที่สุดด้วยท่าทางคลั่งไคล้ศรัทธา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน มู่หนานจือรู้สึกว่านางถูกพลิกตัว จากนั้นก็รู้สึกเย็นที่หลัง นางใจหายวาบและกระซิบเสียงแผ่ว
“เจ้าจะทำอะไร…”
น้ำเสียงค่อนข้างพึงพอใจทว่าเกียจคร้าน
“ดื่ม!” สวี่ชีอันเทเหล้าองุ่นในเหยือกลงบนตัวนาง
เขาไม่เคยมีช่วงเวลาที่คึกคะนองเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกแห่งพิธีกรรมสำหรับการบำเพ็ญคู่ท่วมท้นอยู่ในใจเขาและคิดว่าการร้องขออย่างกระเหี้ยนกระหือรือเป็นการดูหมิ่นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง
หลังจากชิมน้ำในฤดูใบไม้ร่วงที่ไหลมารวมกันเป็นแอ่ง เขาก็ทำกลอุบายอื่นๆ ต่อและดื่มเหล้าองุ่นอย่างรวดเร็ว
มู่หนานจืออับอายมากจนอยากจะมุดไปอยู่ใต้เตียงเพราะในที่สุดก็รู้แล้วว่าสุนัขเลียคืออะไร
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเทพดอกไม้ที่กลับชาติมาเกิดเห็นว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่นานก็มึนงงเล็กน้อย
“ไม่รู้จะเริ่มเช่นไร…”
สวี่ชีอันทำอะไรไม่ถูกกับเหยือกเหล้าองุ่นเปล่าในมือ
มู่หนานจืออับอายและนึกโกรธพลางพูดกับตัวเองว่า เจ้ามาบอกอะไรข้าในช่วงสำคัญเช่นนี้ เจ้าอยากให้ข้าสอนงั้นหรือ ตอนเจ้ากับลั่วอวี้เหิงบำเพ็ญคู่กัน นางสอนเจ้าเองกับมือหรือไง?!
สวี่ชีอันไม่มีเงื่อนงำอะไรเลยจริงๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำนา หากเกี่ยวกับการดูดซับจิตวิญญาณของมู่หนานจือ
เหตุผลที่ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถดูดซับจิตวิญญาณได้สำเร็จ เนื่องจากเทพดอกไม้เป็นเจ้าหญิงมายี่สิบปีแล้วและอ๋องสยบแดนเหนือทางชายแดนตอนเหนือไม่เคยแตะต้องนาง จากเรื่องนี้สรุปได้ว่า สิ่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสายเลือดเทพดอกไม้รุ่นแรก
ลืมเรื่องนี้ไป แล้วมาทดสอบเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ของลัทธิเต๋าโบราณดีกว่า…สวี่ชีอันก้มลง ภายใต้แสงเทียน เงาของทั้งสองคนสอดประสานซึ่งกันและกัน
สวี่ชีอันหลับตาและชี้นำพลังปราณให้ไหลเวียนระหว่างคนทั้งสองด้วยวิชาลับของลัทธิเต๋าโบราณ การบำเพ็ญคู่
พวกเขาสองคนเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนใช้ร่างกายเดียวกัน หลังจากพลังปราณได้ผ่านเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดของทั้งสองคนแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นการโคจรมหาจักรวาล
สวี่ชีอันจดจ่อกับงานสองอย่างและเมื่อเสียงเตียงดัง ‘เอี๊ยด’ เขาก็โคจรมหาจักรวาลสำเร็จ
ในชั่วพริบตา เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายของมู่หนานจือได้ตื่นขึ้นและถูกพลังปราณดึงดูดให้โคจรจักรวาลไปด้วยกัน
พลังนี้มีพลังชีวิตเหนือจินตนาการ เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายของสวี่ชีอันพร้อมกับพลังปราณ เขาก็รู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แขนขาและกระดูกของเขาก็เปิดรับพร้อมกัน
เซลล์ทั้งหมดถูกหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตขึ้นทันที
ในขณะนี้ ร่างกายของสวี่ชีอันดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด กระดูกของเขาแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นและเซลล์ของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความแข็งแกร่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะโคจรจักรวาลให้เร็วขึ้น
มู่หนานจือแก้มแดงและนิ่วหน้ามากขึ้น
ทั้งสองฝ่ายต่างหมกมุ่นในกันและกัน
“ไม่ว่าพลังปราณจะแข็งแกร่งเพียงไหน กายเนื้อก็เติบโตรวดเร็วเพียงนั้น คุณลักษณะทุกด้านพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของการเลื่อนระดับ แต่มีบางอย่างขาดหายไป… ใช่ มันคือ ‘ความตั้งใจ’ ที่จะระเบิด
“จอมยุทธ์ขั้นสองเรียกว่า ‘ผสานเต๋า’ ไม่เพียงแต่กายเนื้อจะแข็งแกร่งขึ้น แต่หยกสลายของข้าก็ควรยกระดับขึ้นอีกหนึ่งชั้นด้วย หนานจือชุ่มชื้นมากจริงๆ… บ๊ะ ยั้งใจของเจ้า ตั้งสติไว้”
“อืม การระเหิดของหยกสลายคืออะไร? หยกสลายขั้นแรกคือการระเบิด ขั้นสูงคือการสะท้อนกลับ หลังจากผสานเต๋าจะเกิดอะไรขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากผสานเต๋าแล้ว…”
แสงเทียนทอดเงาบนผนัง สะท้อนร่างกายท่อนบนของบุรุษที่เชิดหัวอกผายกายตั้งตรง
……………………………………….