ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 736 เลื่อนสู่ขั้นสอง (3)
สวี่ชีอันเบิกตากว้าง หยุดความรู้สึกพลางจับจ้องสายตาไปที่ใบหน้าของมู่หนานจือ นางในตอนนี้ทั้งดูอ้อนแอ้นและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
สวี่ชีอันมองสตรีที่อยู่เบื้องหน้าไม่วางตา ทรงเสน่ห์งดงามแต่ไม่อ่อนแอ เย้ายวนดุจบุปผาในเดือนหก บริสุทธิ์ดุจดังดอกบัวแรกแย้ม ในชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าความรู้สึก ‘หยกสลาย’ เป็นเรื่องสำคัญ หรือสตรีงามน้ำหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่ากันแน่
ข้อมือขาวกลั่นเกล็ดหมอกหิมะ ดอกบัวใกล้นางยังต้องละอาย ผิวพรรณขาวเรียบเนียน บริสุทธิ์ดั่งหยก เอวงามคอด มือเรียวบางนุ่มนวล
ดวงตาของเขาค่อยๆ จมสู่ความหลงใหล เดิมทีเทพดอกไม้สวยเลิศล้ำที่สุดในบรรดามนุษย์ทั้งปวง ในเวลานี้เขาสามารถเด็ดเก็บสตรีงามเช่นนี้ไว้เป็นขวัญตา ความพึงพอใจทางจิตวิญญาณอาจสำคัญกว่าทางกายภาพ
พลังปราณวิ่งพล่านหมุนโคจรครั้งแล้วครั้งเล่า หลิงอวิ้นในร่างของมู่หนานจือผสานเข้ากับพลังปราณอย่างต่อเนื่อง โคจรผ่านเข้าไปในร่างของสวี่ชีอัน ลมปราณของเทพดอกไม้บนร่างของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เบื้องหน้าเขามีเพียงความมืดมิดจนกระทั่งลำแสงทะลุผ่านความมืด แสงสว่างสาดไปบนผืนดินอันรกร้าง
จู่ๆ พื้นดินก็ ‘โค้ง’ ขึ้น บางสิ่งที่มีสีเขียวเจาะทะลุผ่านพื้นดินขึ้นมา
นั่นคือยอดอ่อนของต้นไม้
เขามองยอดอ่อนต้นไม้พลางหวนนึกถึงการแบ่งปันประสบการณ์ผสานเต๋าของโค่วหยางโจว
รากฐานเดิมของผสานเต๋าคือยกระดับ ‘วิถี’ ของจอมยุทธ์ โดยทำให้เหตุผลสมบูรณ์แบบที่สุด แต่อย่างไรถึงจะนับว่าสมบูรณ์แบบที่สุด? วิถีดาบมีเป็นพันเป็นหมื่นวิถี มีทั้งรุกและรับ มีทั้งเร็วและช้า มีทั้งเข้าประชิดและจู่โจมจากระยะไกล มีทั้งจู่โจมจากด้านข้าง แล้ววิถีใดจึงจะเป็นวิถีที่สมบูรณ์แบบที่สุด? โค่วหยางโจวก็ไม่รู้ ดังนั้นกายเนื้อของเขาจึงพังทลายลงกลายเป็น ‘หนอนไม้ขีด’ จำนวนนับหมื่น หนอนไม้ขีดทุกตัวต่างก็ยืนยันว่าวิถีของตนเองสมบูรณ์แบบที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลงติดหล่มศาสนานอกรีต วิถีของข้าคือหยกสลาย ยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ เช่นนั้นการเติมเต็มวิถีของข้าให้สมบูรณ์และยกระดับมันก็คือการผลักดันหยกแหลกให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่?
เวลานี้ ยอดอ่อนสีเขียวเติบโตขึ้น ลำต้นหนาขึ้น แตกหน่อกิ่งก้านสาขา มันเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ภายใต้ร่มเงาของมันยังมีหญ้าอ่อนสีเขียวเติบโตขึ้น ทำให้มีความเขียวขจีมากขึ้นเล็กน้อย
หัวใจของสวี่ชีอันกระตุกวูบราวกับได้เห็นตนเอง เขากล่าวพึมพำว่า “การพัฒนาสิ่งต่างๆ ไม่จำเป็นต้องถูกผลักดันจนสุดโต่ง คำจำกัดความของคำว่าสมบูรณ์แบบก็สามารถเป็นการชดเชยข้อบกพร่องได้เช่นกัน ในเวลาที่จำเป็น ข้าสามารถเป็นไม้ที่หักดีกว่ายอมงอ ยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ แต่ข้าไม่ใช่คนบ้าที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง ข้ามีความปรารถนาที่จะอยู่รอด และข้าเองก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เขาพิจารณาตนเอง มองเห็นตนเองและเข้าใจความปรารถนาเดิมของตนเองที่มีต่อหยกสลายในตอนนั้น
ไม่มีทางที่คนที่อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังจะล่าถอย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงกล้าที่จะเป็นหยกที่แหลกลาญ แต่บ่อเกิดของแรงจูงใจสูงสุดก็คือการมีชีวิตอยู่ต่อไป
หากตอนนั้นชีวิตของเขาไร้ความหมาย ไม่มีใครให้ต้องอาลัยอาวรณ์ เขาก็คงไม่สามารถเข้าใจหยกสลายได้
ในขณะที่ความคิดกำลังแล่นพล่าน ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า มันถูกผ่าแยกเป็นสองท่อน กลายเป็นถ่านโค้กที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
หลายปีต่อมา ไม้แห้งขอดได้ฝนชะโลมลูบ กลายเป็นไม้กระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มียอดอ่อนสีเขียวผุดขึ้นจากลำต้นที่ไหม้เกรียม
“หยกสลายของข้าเผด็จการเกินไป…ขาดชีวิตชีวา ขาดความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด แต่ข้าเป็นร่างอมตะอยู่แล้ว การรักษาตนเองจึงไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า…”
เขาจ้องมองไปยังต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า ก่อนจะจมเข้าสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง
ต้นไม้สูงระฟ้ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีขีดจำกัด มันค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างสูงกว่าพันจั้งที่มีกิ่งก้านและใบปกคลุมทั่วทั้งตัว
สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะอาศัยอยู่บนนั้น แย่งชิงสารอาหารและหลิงอวิ้นของมัน
แต่มันไม่เหี่ยวเฉาโรยราแม้แต่น้อย กลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสิ่งมีชีวิตพึ่งพาอาศัยมันเพื่อดำรงชีพมากเท่าใด มันก็ยิ่งฉกชิงพลังของฟ้าดินมาเติมเต็มตนเองได้มากขึ้นเท่านั้น
จนในที่สุดมันก็กลายเป็นต้นไม้เทพอมตะ
สวี่ชีอันเงยศีรษะขึ้นไปและมองต้นไม้อมตะตาไม่กะพริบ ในดวงตาของเขาสะท้อนสีเขียวขจีที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขารักษาการเคลื่อนไหวนี้ไว้โดยไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
บำเพ็ญเพียรอย่างหนักมาสิบปี ในที่สุดก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้
ชั่วขณะนี้ เขาได้เข้าสู่ขอบเขตผสานเต๋าขั้นสองแล้ว
ที่นอกหอดูดาวชั่วขณะนี้ ดาวแต่ละดวงส่องแสงลงมาบนเวทีเข็มทิศแปดเหลี่ยม
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
สวี่ชีอันลืมตาขึ้น ในทัศนวิสัยเบื้องหน้าคือเตียงที่ยุ่งเหยิง ร่างของหญิงงามกำลังนอนทอดกายอยู่บนนั้น ฮอร์โมนและกลิ่นหอมของสตรีผสมผสานข้าด้วยกันดุงดั่งวสันตโอสถที่ดุเดือด
ดวงตาของมู่หนานจือเลือนราง บริเวณพวงแก้ม ลำคอ และผิวขาวราวกับหิมะถูกย้อมด้วยสีแดง
ราวกับกำลังหมดสติอีกครั้ง สวี่ชีอันรู้สึกว่าหลิงอวิ้นในร่างของนางเริ่มฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่พลังปราณส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในร่างของเทพดอกไม้ เช่นเดียวกับหลิงอวิ้นส่วนใหญ่ของเทพดอกไม้ที่ถูกเขาดูดซับไป
…
ณ อารามรัตนะ
ลั่วอวี้เหิงที่สวมเสื้อคลุมขนนกและกวานดอกบัวบนศีรษะเดินออกจากห้องสงบใจไปยังลานด้านหน้า
นางเพ่งมองไปที่หอดูดาว เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันแน่น หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ นางก็ถอนหายใจก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินกลับเข้าไปยังห้องสงบใจ
“ถ้ารู้แต่แรก ตอนนั้นข้าไม่ควรใจอ่อน น่าจะขายเข้าไปในซ่องนางโลมซะ…”
…
“ฝ่าบาท มีข่าวมาจากภายนอกว่าสำนักโหราจารย์มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น”
ฮว๋ายชิ่งถูกนางกำนัลที่อยู่ข้างกายเขย่าร่างเบาๆ
เมื่อได้ยินว่าสำนักโหราจารย์มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น นางก็ลุกขึ้นทันที ความง่วงซึมพลันหายไปและกล่าวว่า “เอาเสื้อคลุมมาให้ข้า”
น้ำเสียงเจือความเกียจคร้านราวกับเพิ่งตื่นนอน
นางกำนัลหยิบเสื้อคลุมยาวเนื้อหนาขึ้นมา ฮว๋ายชิ่งสั่นข้อมือ เสื้อคลุมพาดลงที่ไหล่นางอย่างนุ่มนวล
นางลุกขึ้นจากเตียง ร่างบางดุงดั่งขนของห่านหงส์เยื้องกรายกระโดดขึ้นไปบนสันหลังคาและมองไปทางสำนักโหราจารย์
จากมุมมองของนาง สำนักโหจารย์ยืนอยู่อย่างเดียวดายในที่รกร้าง เผยให้เห็นหนึ่งในสามของตัวอาคาร
ชั่วขณะนี้ ดวงดาวแต่ละดวงที่ส่องลงมาจากม่านราตรีสาดแสงลงบนหอดูดาว
‘นี่…’ ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิดแต่ก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้
นางกระโดดลงจากสันหลังคาทันที กลับไปที่ห้องส่วนตัว ถอยห่างจากนางกำนัล หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอนและส่งข้อความว่า
หมายเลขหนึ่ง ‘สวี่หนิงเยี่ยน ปรากฏการณ์แปลกประหลาดของสำนักโหราจารย์เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?’
ต้าฟ่งตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ส่วนสำนักโหราจารย์ก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ นางย่อมไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้เห็นและยิ่งไม่สามารถหยุดคิดหรือหยุดถามอย่างใจเย็นได้
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความโต้กลับโดยไม่รอคำตอบของสวี่ชีอัน
หมายเลขสอง ‘เกิดอะไรขึ้นกับสำนักโหราจารย์? เกิดอะไรขึ้นกับสวี่หนิงเยี่ยน?’
หลังจากนั้นก็เป็นจ้วงหยวนหลางฉู่หยวนเจิ่น
หมายเลขสี่ ‘คิดดูแล้วไม่น่าใช่เรื่องร้ายกระมัง แต่ไม่กี่วันก่อน สวี่หนิงเยี่ยนทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่างลับๆ และไม่ส่งข้อความมาบอกพวกเราเช่นกัน’
จากนั้นไต้ซือเหิงหย่วนก็กระโดดออกมาอธิบายว่า
หมายเลขหก ‘ใต้เท้าสวี่เชื่อมโยงกับชะตากรรมของต้าฟ่ง จักรพรรดิหย่งซิ่งกำลังตั้งใจจะเจรจาสงบศึก สำหรับเขาแล้ว สามารถพูดได้ว่าเป็นศึกภายนอกและศึกภายใน แล้วเขาจะยังมีกะจิตกะใจข้อส่งความมาคุยเรื่อยเปื่อยกับพวกเราได้อย่างไร?’
เวลานี้เอง สมาชิกพรรคฟ้าดินก็เห็นหมายเลขแปดส่งข้อความมามีส่วนร่วมในหัวข้อกลางดึก
หมายเลขแปด ‘ดูเหมือนจะเลื่อนสู่ขั้นสองแล้วกระมัง’
หมายเลขสอง ‘เข้าสู่ผสานเต๋าขั้นสองรึ?’
หลี่เมี่ยวเจินพูดในใจ ‘เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรกัน เข้าสู่ผสานเต๋าขั้นสองเป็นเรื่องง่ายที่ไหนกัน?’
กวาดสายตามองแผ่นดินจิ่วโจว มีจอมยุทธ์ขั้นสองสักกี่คน?
หมายเลขเจ็ด ‘ฮ่าๆ หมายเลขแปดน่าสนใจทีเดียว ข้าชอบความไร้เดียงสาของเจ้า แต่เจ้าอาจจะไม่รู้ ตะปูตอกวิญญาณในร่างของสวี่ชีอันนั้นยากที่จะขจัดทิ้ง ภายในสถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางเลื่อนขั้นได้’
หมายเลขสี่ ‘ปรากฏการณ์แปลกประหลาดของสำนักโหราจารย์อาจจะมาจากการถูกรุกรานของท่านโหราจารย์หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นก็ได้ แต่เทพบุตรพูดถูก ในร่างของสวี่หนิงเยี่ยนยังมีตะปูตอกวิญญาณอยู่ อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเขาแน่นอน หมายเลขแปด เจ้าน่าจะไม่รู้ว่าตะปูตอกวิญญาณคืออะไร ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังสักหน่อย
‘ตะปูตอกวิญญาณเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้กลั่นขึ้น ครั้งนึ่งมันเคยปิดผนึกราชันอสูร อืม ซึ่งก็คือบิดาของอาซูหลัวที่เทพบุตรเคยบอกเจ้า’
หมายเลขสอง ‘แม้แต่อาซูหลัวก็ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของสวี่ชีอัน’
…
ไป๋จีตื่นขึ้นจากความง่วง รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครและอยู่ที่ใด
มันยกอุ้งเท้าหน้าสองข้างขึ้นมาลูบดวงตาดำแป๋ว เมื่อมองไปรอบๆ ทั้งซ้ายและขวาก็พบว่าตนเองอยู่ในเจดีย์พุทธะ
มีร่างธรรมสีทองสององค์อยู่ทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ที่ข้างโต๊ะน้ำชาทางด้านทิศตะวันออก มีภิกษุชราเคราขาวรูปหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอย่างสงบ
“ท่านน้าของข้าล่ะ?”
ไป๋จีเดินโซเซไปทางภิกษุชราถ่าหลิง
ภิกษุชราถ่าหลิงมองมันและกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่หายดี”
ไป๋จีเดินโซเซราวกับพวกมนุษย์ที่เมาค้าง มันกล่าวด้วยน้ำเสียงของเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยความประหลาดใจ “เมื่อคืนข้าฝันว่าข้ากำลังล่องลอยไปตามกระแสทะเล เรือสั่นโคลงเคลง แกว่งไปแกว่งมา ข้าอยากจะตื่นแต่ก็ตื่นไม่ได้ งุนงงและสับสน ข้ายังได้ยินเสียงร้องไห้ของท่านน้าของข้า ดูเหมือนนางถูกตีอย่างไรอย่างนั้น”
มันยังฝันว่าท่านน้าถูกตี เสียงดังโครมคราม ในใจรู้สึกโกรธมาก อยากจะแก้แค้นให้ท่านน้า แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตื่นขึ้นมาไม่ได้
ภิกษุชราถ่าหลิงฟังอย่างสงบ หลังจากนั้นก็อธิบายว่า “เจ้าถูกส่งเข้ามา ประสกสวี่และประสกมู่ไม่ได้เข้ามาด้วย”
ในขณะที่พูด เขาก็โบกมือให้ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ เศษแสงขนาดเล็กที่กระจัดกระจายออกมาจากขวดหยกที่อยู่ในฝ่ามือของร่างธรรมลอยเข้าไปในร่างของไป๋จี
ลูกสุนัขจิ้งจอกนอนกลิ้งลงไปบนพื้นอย่างสบายใจ เผยให้เห็นหน้าท้องอันอ่อนนุ่มของมัน หลังจากนั้นมันก็ลุกขึ้นมาและกล่าวอย่างชื่นมื่น
“สบายจริงๆ สบายจริงๆ ข้าไม่เวียนหัวแล้ว ขอบคุณท่านไต้ซือมาก”
ภิกษุชราถ่าหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกันและก้มศีรษะลงอย่างสงบ
สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยกระโดดขึ้นไปบนฟูกข้างภิกษุชรา ก่อนจะขดตัวเพื่อรอการเรียกของมู่หนานจือ หลังจากรอแล้วรอเล่า มันก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
…
วันต่อมา ยามเหม่า
ช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดที่สุดก่อนรุ่งสาง คบเพลิงสีแดงกำลังลุกโชนอยู่ที่ประตูอู่เหมิน
เหล่าขุนนางต่างก็รวมตัวกันอย่างเงียบๆ ที่นอกประตูอู่เหมิน กำลังรอเสียงกลองดังขึ้นและรอเพื่อประชุมยามเช้า
ในเวลาเดียวกันนั้น จีหย่วนก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกจากห้อง
สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวรออยู่ในห้องโถงแล้ว นอกจากนี้ ในสมณทูตยังมีผู้อาวุโสอีกสี่ท่านที่มีความรู้สูงส่งและมีความอาวุโส
พวกเขาเต็มไปด้วยพลังอันกระปรี้กระเปร่าและแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะกดขี่ขุนนางและจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งที่ตำหนักกระดิ่งทองเพื่อยกระดับศักดิ์ศรีของอวิ๋นโจว
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ จีหย่วนก็พาทั้งหกคนออกไปที่ลานด้านนอก เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเครื่องแบบฆ้องเงิน แววตาเรียบเฉย หน้าตาหล่อเหลากำลังจ้องมาที่ตนเองอย่างเย็นชา
“ใต้เท้าท่านนี้มีนามว่าอะไรรึ?”
จีหย่วนถามด้วยรอยยิ้ม
“ซ่งถิงเฟิง!”
น้ำเสียงของฆ้องเงินนั่นเย็นชาพอๆ กับการแสดงออกของเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“เป็นชื่อที่ไม่เลว”
จีหย่วนแสดงความคิดเห็นอย่างไร้อารมณ์ พลางเดินเข้าไปหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าข้าน้อยทำอะไรให้ใต้เท้าซ่งขุ่นเคืองที่ใดหรือไม่? ตั้งแต่เมื่อวาน สายตาที่ใต้เท้าซ่งมองข้าช่างดูไม่เป็นที่พอใจนัก”
ซ่งถิงเฟิงยิ้มเยาะ “ทำไมข้าต้องแสดงสีหน้าดีๆ ให้กับศัตรูด้วยเล่า”
“ศัตรูงั้นรึ” จีหย่วนส่งเสียงจึ๊ในปากอย่างต่อเนื่อง “จำไว้ให้ดีล่ะ ข้าหันหลังกลับไปพบจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งของพวกเจ้าที่ตำหนักกระดิ่งทองเมื่อใด ข้าจะพูดว่า เจ้าพนักงานฆ้องเงินซ่งถิงเฟิงเห็นข้าเป็นศัตรูและปรารถนาที่จะลอบสังหารข้า ใต้เท้าซ่งคิดว่าจักรพรรดิของพวกเจ้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร?”
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงเปลี่ยนไปทันที
จีหย่วนหัวเราะด้วยความเย็นชา “เห็นข้าเป็นศัตรูงั้นรึ ก็แค่ฆ้องเงินคนหนึ่ง เจ้ามีสิทธิ์ด้วยรึ?”
…………………………………..………………………