ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 737 เงื่อนไขของอวิ๋นโจว
บทที่ 737 เงื่อนไขของอวิ๋นโจว
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงพลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่อวิ๋นโจว ใต้เท้าอยากจะฟ้องร้องก็ดำเนินการได้เลย หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็ยังนับถือเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ถ้าไม่กล้า เจ้าก็เป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น”
เขาบีบกระบี่ในมือแน่นด้วยท่าทางหัวแข็งดื้อรั้น
จีหย่วนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
‘เจ้าเป็นคนไร้สมองรึ’…สวี่หยวนซวงมองซ่งถิงเฟิงด้วยความประหลาดใจ จากสถานการณ์ในตอนนี้ จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งและเหล่าขุนนางแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเจรจาเพื่อยุติสงคราม
ขุนนางชั้นสูงทั่วทั้งต้าฟ่งต่างก็อกสั่นขวัญหายกับเรื่อง ‘ความตาย’ ของท่านโหราจารย์ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ผู้ที่ไม่กลัวคณะทูตอวิ๋นโจวและยังแข็งแกร่งเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คนไร้สมองก็ต้องเป็นคนที่มีแรงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
แต่ต่อให้มีขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงคอยหนุนหลังอยู่ การยั่วโมโหพี่ชายเก้าเช่นนี้ เกรงว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตไว้เช่นกัน
“บังอาจนัก!” จีหย่วนไม่ได้เป็นผู้ที่เปิดปากพูด แต่เหล่าขุนนางอวิ๋นโจวที่อยู่ด้านหลังเขาถูกยั่วโมโหและชี้หน้าตำหนิซ่งถิงเฟิงอย่างดุเดือด
“กล้าพูดกับองค์ชายเก้าเช่นนี้ เจ้ามีหัวให้กุดกี่หัวกันรึ?”
“ดูหมิ่นราชทูตต่อหน้าทุกคนในที่สาธารณะ เจ้าไม่เพียงแต่มีความผิด แต่ยังทำให้เจ้าเข้าคุกได้ด้วย”
“จอมยุทธ์หยาบคาย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
จีหย่วนกางพัดพับออก พลางมองไปที่ซ่งถิงเฟิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอ้ ดูเหมือนจะมีคนหนุนหลังเจ้าอยู่ พูดมาสิ ข้าก็อยากจะรู้นัก ใครกันที่ชี้นิ้วสั่งให้เจ้าแฝงตัวอยู่ที่ศาลาพักม้า วางแผนที่จะทำลายการเจรจาสงบศึกและแอบวางแผนชั่วเช่นนี้”
คิดจะโยนความผิดก็โยนกันได้ง่ายๆ หากแรงสนับสนุนของซ่งถิงเฟิงอยู่ในระดับธรรมดา หรือไม่มีแรงสนับสนุนเช่นนั้นอยู่เลย เพียงแค่การกล่าวหาของคณะทูตอวิ๋นโจวก็สามารถทำให้เขาถูกลงโทษจำคุกได้แล้ว
ในบรรดาที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนที่เฝ้ายามอยู่ที่ศาลาพักม้า มีเพียงบุคคลนี้ที่กล้าใช้สายตาปรปักษ์มองข้าอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด ตอนที่เข้ามาอยู่เมื่อวานนี้ จีหย่วนก็สังเกตเห็นเขาแล้ว
ถึงแม้จีหย่วนจะไม่ถึงขนาดแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับฆ้องเงินคนหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทนกับความบังอาจอวดดีที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเองไม่ได้
“พี่ชายเก้า ไปเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงเลือดนกท่านหนึ่งที่อยู่ด้านหลังจีหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คำพูดเพียงไม่กี่คำมิอาจขัดขวางอะไรได้หรอก อีกอย่าง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุไม่ใช่รึ หากท้องพระโรงต้าฟ่งถามขึ้นมา พวกเราก็แค่กล่าวไปตามความจริงเท่านั้น”
นี่ไม่เพียงแต่สร้างความลำบากให้ฆ้องเงินคนหนึ่ง การจงใจมาสายยังสามารถสร้างความกดดันในใจให้กับขุนนางในท้องพระโรงทุกคนอีกด้วย
เมื่อเจอคำพูดที่ปิดกั้นเช่นนี้ สวี่หยวนซวงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
ซ่งถิงเฟิงหัวเราะเยาะและยังคงบีบด้ามกระบี่ไว้แน่นด้วยท่าทางดูหมิ่นทุกคน
ไม่พูดจาเสียดสีรุนแรงแต่ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
‘พรึ่บ!’
จีหย่วนพับพัดลงพลางชำเลืองมองซ่งถิงเฟิง และไม่คิดจะเสียเวลากับบุคคลผู้น้อยไปมากกว่านี้แล้ว
เขามีเบี้ยในมือที่ทำให้จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งยอมจำนน เพียงแค่ฆ้องเงินต่ำต้อยคนหนึ่ง คิดจะจัดการเมื่อใดก็ย่อมได้
ซ่งถิงเฟิงมองตามหลังทุกคนเดินออกไปจากศาลาพักม้าก่อนจะหันไปด้านข้างและถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยความเกลียดชัง
“หัวหน้า เมื่อครู่ท่านน่าเกรงขามจริงๆ”
ฆ้องทองแดงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างๆ ต่างก็เขยิบเข้ามารวมกลุ่มกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
“แต่หัวหน้า ท่านทำเช่นนี้จะไม่เกิดเรื่องรึ?”
ฆ้องทองแดงท่านหนึ่งแสดงความกังวลใจ
เจ้าพนักงานต่างก็รู้อยู่แก่ใจ พวกเขารู้ทัศนคติของฝ่าบาทและขุนนางชั้นสูงทุกท่านเป็นอย่างดี ชิงโจวเสียฐานทัพ คลังหลวงว่างเปล่า แม้แต่ท่านโหราจารย์ผู้เป็นเทพเจ้าก็ยังพ่ายแพ้ในสงครามที่ชิงโจว
ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมต่างก็รู้ว่าหากยังรบต่อไปเช่นนี้ ราชสำนักต้องจบเห่อย่างแน่นอน
การไม่รบถึงจะเป็นการดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ การเจรจาสงบศึกจึงกลายเป็นประกายแห่งความหวังในสายตาของฝ่าบาทและขุนนางทุกคน
หัวหน้าซ่งทำให้คณะทูตอวิ๋นโจวขุ่นเคืองใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ไร้ปัญญาที่สุด
ซ่งถิงเฟิงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกพวกเจ้าว่าอย่างไร? ข้าพาสวี่หนิงเยี่ยนออกมาด้วยมือข้าเอง ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ หากพบข้าก็ยังต้องเรียกข้าว่าพี่ซ่ง แล้วข้ายังต้องกลัวเรื่องเล็กแค่นี้รึ ก็แค่พวกคณะทูตอวิ๋นโจวไร้สาระ ทันทีที่เข้าเมืองก็โอ้อวดอำนาจ อวดดีอะไรกันนัก หากเป็นเมื่อก่อนที่ข้ายังอยู่ที่อวิ๋นโจว น้องชายทั้งสองอย่างสวี่หนิงเยี่ยนและจูกว่างเสี้ยวจะจ่อดาบไปที่เขาโดยตรงก็ยังได้”
แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าหัวหน้าซ่งชอบคุยโวโอ้อวด แน่นอนว่าคำพูดของเขาย่อมมีส่วนที่เกินจริง
ตัวอย่างเช่นหัวหน้าซ่งมักจะพูดบ่อยๆ ว่า ‘เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนนั่นมีความชอบอยู่อย่างหนึ่ง วันใดที่ไม่ไปหอคณิกาก็จะอึดอัดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะชอบไปตอนเข้าเวร ข้าและจูกว่างเสี้ยวมีคุณธรรมถึงเพียงนั้น บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ต้องไปลาดตระเวนตรวจตรา แต่กลับถูกเขาลากไปที่หอคณิกา หากเจ้าถามข้าว่าทำไมไม่ไปตอนไม่ได้เข้าเวร แน่นอนว่าเพราะตอนเย็นเขาต้องไปแอ้มฝูเซียงที่สำนักสังคีตฟรีๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาไปหอคณิกา’
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าฆ้องเงินสวี่หลับนอนกับนางโลมที่หอคณิกาโดยไม่จ่ายเงิน
ดังนั้น เหล่าฆ้องทองแดงจึงเชื่อคำพูดของซ่งถิงเฟิงเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น
…
อีกด้านหนึ่งของตำหนักกระดิ่งทอง
การประชุมที่หน้าตำหนักสิ้นสุดลงแล้ว จักรพรรดิหย่งซิ่งระงับความกระสับกระส่ายเอาไว้ ชำเลืองมองขันทีจ้าวเสวียนเจิ้นที่คุมการเมืองด้วยสีหน้าสงบ
ฝ่ายที่ถูกมองเข้าใจได้ทันที จึงตะโกนว่า “เชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเฝ้า!”
หลังจากรอเป็นเวลาครึ่งถ้วยชา ที่ด้านนอกตำหนักก็ยังคงเงียบสงัด ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
“เชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเฝ้า!”
ยังคงไร้การเคลื่อนไหว
จ้าวเสวียนเจิ้นชำเลืองมองจักรพรรดิที่กำลังมีสีหน้าเคร่งขรึม หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย เขาจึงหมุนตัวไปทางพระที่นั่งและก้มโค้งลงด้วยความเคารพ ก่อนจะเดินออกไปทางห้องด้านซ้ายเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์
ไม่นานเขาก็วิ่งเหยาะกลับมายังด้านหน้าพระที่นั่งและกล่าวกระซิบว่า “ฝ่าบาท คณะฑูตอวิ๋นโจวยังไม่เข้าวังมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหย่งซิ่งจมมืดและมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
จ้าวเสวียนเจิ้นไม่อธิบายใดๆ เขาเพียงแค่กล่าวเบาๆ ว่า “ส่งคนไปเชิญแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งถอนสายตากลับและกล่าวเสียงเบา “ข้าจะรออีกสิบห้านาที”
“พ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวเสวียนเจิ้นตอบกลับเสียงทุ้ม
แม้ว่าขุนนางในตำหนักจะไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แต่ก็สามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการถ่วงเวลาด้วยการ ‘มาสาย’ ของคณะทูตอวิ๋นโจว
ขุนนางทุกคนต่างก็เป็นผู้ที่เผชิญกับคลื่นใหญ่ลมแรง พวกเขาจึงทำได้เพียงสงบนิ่งแต่ก็แอบประเมินความเสี่ยงอยู่ในใจ
ผู้นำของคณะทูตอวิ๋นโจวคือชายหนุ่มนามว่าจีหย่วน เรียกตนเองว่าองค์ชายเก้า ซึ่งหมายถึงบุตรคนที่เก้าของเจ้าเมืองเฉียนหลง
ในแง่ของสายเลือดก็นับว่าเป็นของราชวงศ์ต้าฟ่ง
การกระทำขององค์ชายเก้าเช่นนี้ ขุนนางทุกคนล้วนมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าเขาเย่อหยิ่ง อวดดีและเผด็จการ
ยังดีที่ยังไม่ทันถึงสิบห้านาที จีหย่วนและพรรคพวกก็ก้าวเข้ามาในตำหนักกระดิ่งทองภายใต้การนำทางของขันที
ขุนนางทุกคนต่างก็หันไปมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในห้องโถง
เขาสวมชุดฮั่นฝูสีขาวนวลปักลายชั้นเมฆอย่างงดงาม แขนเสื้อทั้งสองข้างทิ้งตัวลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ หยกประดับที่เอวกระทบกันเสียงดังกริ๊งกร๊าง หน้าตาและบุคลิกภายนอกดูไม่เลวทีเดียว
ด้านหลังเขาคือชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างคล้ายกัน คนหนึ่งเฉยเมย อีกคนหนึ่งเย็นชา
ถัดไปด้านหลังอีก ในบรรดาผู้อาวุโสที่สวมชุดทางการทั้งหมดหกท่าน มีสองท่านสวมเสื้อคลุมขุนนางสีเลือดนก ปักลายรูปห่าน อีกสี่ท่านสวมเสื้อคลุมขุนนางสีเขียวเข้ม ปักลายรูปไก่ฟ้าหลังขาวและรูปนกกระสา
เสื้อคลุมทางการบนร่างของพวกเขาเป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงหัวใจจักรพรรดิหย่งซิ่งและขุนนางทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเพียงแค่อวิ๋นโจว แต่คณะทูตสวมชุดทางการอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้มันหมายความว่าอะไร?
“จีหย่วนจากอวิ๋นโจว เข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
จีหย่วนก้มคำนับเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มอันสง่างามและสงบ
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้าและกล่าวเสียงเรียบ “ใต้เท้าจีมาถึงเมืองหลวงเพื่อเจรจาสงบศึกในนามของอวิ๋นโจว ข้าให้การต้อนรับเจ้าอย่างมีเกียรติที่สุด แต่เจ้ากลับมาสาย นี่คือความจริงใจในการเจรจาสงบศึกของอวิ๋นโจวงั้นรึ?”
เขาแสดงท่าทีจริงจังและมองจีหย่วนอย่างดูหมิ่น
จีหย่วนไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยและยกกำปั้นขึ้นมาคำนับด้วยรอยยิ้ม “หาใช่เจตนาของกระหม่อมไม่ เพียงแต่ก่อนออกเดินทางวันนี้ กระหม่อมถูกฆ้องเงินท่านหนึ่งกลั่นแกล้งและด่าประจานที่ศาลาพักม้า ก็เลยทำให้กระหม่อมล่าช้าไปหน่อย กระหม่อมมาด้วยความจริงใจ คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ฆ้องเงินคนหนึ่งก็ยังกล้าถลึงตาจ้องมองกระหม่อมอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งยังใช้คำพูดเย้ยหยันดูถูกกระหม่อม จีหย่วนบังอาจถามฝ่าบาทสักหน่อย นี่เป็นความจริงใจของต้าฟ่งในการเจรจาสงบศึกงั้นหรือ?”
สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวฟังเขาพูดอยู่ด้านข้าง สองพี่น้องต่างก็รู้จักฝีปากของจีหย่วนเป็นอย่างดี อย่าว่าแต่มาสายสิบห้านาที ต่อให้มาสายหนึ่งชั่วโมง เขาก็สามารถอธิบายและให้เหตุผลได้อย่างชัดเจน ทำให้ความไร้เหตุผลของตัวเองมีเหตุผล
นี่เป็นการฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์โดยการโจมตีฆ้องเงินที่ไม่รู้จักกลัวตายคนนั้นต่อหน้าจักรพรรดิและขุนนางทุกคน
หากจักรพรรดิหย่งซิ่งไม่จัดการกับฆ้องเงินนั่น ก็เท่ากับเป็นการยืนยันความตั้งใจที่จะเฉยเมยต่อการกลั่นแกล้งและเลือกที่จะเก็บจุดอ่อนเอาไว้
จักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดคิ้วพลางกล่าวเสียงทุ้มดังคาด “ใครกันที่ดื้อด้านและดูหมิ่นท่านทูตจี?”
จีหย่วนตอบกลับด้วยความสงบ “ฆ้องเงินซ่งถิงเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งรื้อฟื้นความทรงจำในสมอง แต่เขาไม่มีความทรงจำกับชื่อนี้ ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ อาจมีคนอยู่เบื้องหลังฆ้องเงินที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนั้น เขาอาจได้รับคำสั่งให้มาทำลายการเจรจาสงบศึกนี้
เพียงแค่จัดการกับฆ้องเงินคนหนึ่งย่อมไม่จำเป็นต้องลังเลอะไร ในขณะที่เขากำลังจะเปิดปากพูด เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงก็ก้าวออกมาและกล่าวว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางในชุดคลุมสีแดงเลือดนกที่อยู่ด้านหลังจีหย่วนโต้กลับว่า “ใต้เท้าท่านนี้หมายความว่าใต้เท้าจีของพวกเรากำลังพูดจาไร้สาระงั้นรึ?”
หลิวหงไม่สนใจและกล่าวต่อไปว่า “ฆ้องเงินซ่งมีใจซื่อสัตย์และภักดี ตอนปราบกบฏที่อวิ๋นโจว เขาก็ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสวี่ชีอันด้วยความกล้าหาญ หลังจากนั้นเขาก็มีคุณงามความดีมากมายและยังเป็นมือขวาของสวี่ชีอันตอนที่เขารับตำแหน่งฆ้องเงิน แล้วเขาจะตั้งใจดูหมิ่นและสร้างความลำบากใจให้กับคณะทูตอวิ๋นโจวได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ขอฝ่าบาททรงโปรดตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “ขุนนางหลิวพูดมีเหตุผล ข้าต้องตรวจสอบสถานการณ์ให้ละเอียดและต้องให้คำอธิบายกับท่านทูตจีอย่างแน่นอน”
‘ตรวจสอบอะไร? ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบกระมัง!’
มีกองหนุนเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตราบใดที่เขาไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจอะไรอีก
จักรพรรดิหย่งซิ่งย่อมไม่ยืนกรานที่จะขัดใจกับสวี่ชีอันด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แน่นอน เขาจึงส่งคนไปเตือนฆ้องเงินผู้นั้น แล้วค่อยย้ายเขากลับไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
จีหย่วนตกตะลึงชั่วขณะ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมไอ้หมอนั่นถึงกล้าทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใครเช่นนั้น
ที่แท้ก็มีจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งคอยหนุนหลัง
“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทมาก”
เขาไม่ได้โลภหรือกัดไม่ปล่อย
เห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิน้อยจะไม่ขัดใจสวี่ชีอันด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หากเขากัดไม่ปล่อยก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับตัวเอง
ขุนนางทั้งหกคนหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ มิน่าเล่าเพียงแค่ฆ้องเงินเล็กๆ คนหนึ่งถึงกล้ายโสโอหังถึงเพียงนั้น
ภายในใจยังคงไม่พอใจ แต่การเจรจาสงบศึกวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ การไม่คิดเล็กคิดน้อยกับบุคคลเล็กๆ เช่นนั้นจะเป็นการดีกว่า
หลังจากพูดคุยโต้เถียงกัน จีหย่วนก็กล่าวเสียงดังว่า “นับตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมา อวิ๋นโจวของข้าสู้รบกับต้าฟ่งเป็นเวลากว่าสองเดือน เป็นผลให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า พลทหารทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ข้าได้รับคำสั่งให้มาเจรจาสงบศึกที่เมืองหลวง ฝ่าบาทและขุนนางทั้งปวงเห็นด้วยในการเจรจาสงบศึกครั้งนี้หรือไม่…”
กระบวนการเฉพาะของการเจรจาสงบศึกคือต้องกำหนดเสียงหลักก่อน จากนั้นขุนนางกรมการต่างประเทศจะรับผิดชอบในการเจรจาต่อรอง ยืนยันรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง หากเรื่องนั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษ กรมพิธีการก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในระหว่างขั้นตอนนี้ ยังต้องส่งมอบกระบวนการเจรจารายวันให้จักรพรรดิตรวจสอบด้วย
สุดท้ายก็ต้องหารือกับจักรพรรดิและเหล่าขุนนางก่อน จึงจะสามารถสรุปผลได้
แต่สิ่งที่ต้องกำหนดขึ้นมาก่อนในวันนี้คือ ‘เสียงหลัก’ และขอบเขตการเจรจา
หลังจากจีหย่วนกล่าวบทความยืดยาวจนจบแล้วก็กล่าวอีกว่า “กองทัพอวิ๋นโจวของข้าบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ ยึดครองชิงโจวได้แล้ว ท่านโหราจารย์แห่งต้าฟ่งก็พลีชีพเพื่อชาติไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม เสด็จพ่อทรงมีจิตใจเมตตาและไม่อาจทนเห็นประชาชนต้องเผชิญกับหายนะในสงครามได้อีก จึงต้องการเจรจาสงบศึกกับต้าฟ่งด้วยความเต็มใจ โดยต้าฟ่งจำเป็นต้องสัญญากับพวกเราสี่เงื่อนไข”
เจ้าเมืองเฉียนหลงประกาศตนเป็นจักรพรรดิแห่งอวิ๋นโจวก่อนหน้านี้นานแล้ว
‘ทั้งเสด็จพ่อ…ทั้งท่านโหราจารย์ที่โรยราไป’…จักรพรรดิหย่งซิ่งกวาดสายตามองที่ด้านหลังจีหย่วน ขุนนางอวิ๋นโจวที่สวมชุดคลุมทางการเหล่านั้น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “เชิญท่านทูตจีพูดเถิด”
จีหย่วนกล่าวว่า “เงื่อนไขแรก ต้าฟ่งต้องจ่ายส่วยให้กับอวิ๋นโจวเป็นจำนวนห้าแสนตำลึงและสิ่งทอผ้าไหมหกแสนพับทุกปี อันจะมีผลทันทีหลังจากการเจรจาสงบศึกและกระหม่อมต้องนำเครื่องบรรณาการประจำปีนี้กลับไปก่อน”
เขาเพิ่งกล่าวจบ เจ้ากรมการคลังก็ก้าวออกมาทันทีและกล่าวตำหนิว่า “เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดโกหกหน้าตาย เงินห้าแสนตำลึง? ผ้าไหมหกแสนพับ? เจ้าไม่กลัวลิ้นต้องลมยามอ้าปากพูดรึ”
การที่เจ้ากรมการคลังกระโดดออกมาพูดนั้นย่อมมีเหตุผล เงินเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรในยามที่บ้านเมืองสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่ตอนนี้คลังหลวงกำลังว่างเปล่า เพื่อรักษาและควบคุมการดำเนินงานของราชสำนักและค่าใช้จ่ายทางทหารก็จำต้องลำบากอยู่คนเดียว แม้แต่เงินหรือเสบียงก็ยังไม่มีช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย
หากต้องใช้เงินครึ่งล้านตำลึงในคราวเดียว อวิ๋นโจวคงไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพียงแค่นั่งรอให้ราชสำนักล่มสลายไปเองก็พอ
นี่เป็นการเจรจาสงบศึกที่ไหนกัน นี่เป็นเจตนาร้ายที่ต้องการบีบบังคับให้ต้าฟ่งล่มสลายต่างหาก
เจ้ากรมการคลังเกรงว่าจักรพรรดิหย่งซิ่งจะไม่เข้าใจเรื่อง ‘เศรษฐกิจ’ และรีบตกปากรับคำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงก้าวออกไปโวยวายก่อน
จีหย่วนกางพัดออกพลางส่ายศีรษะ “ดินแดนที่ราบลุ่มกลางอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนั้น เพียงแค่ห้าแสนตำลึงจะเป็นอะไรไป”
ดวงตาเขาเป็นประกายและกล่าวอีกว่า “หรือว่าแม้แต่เงินห้าแสนตำลึง ราชสำนักก็ยังนำออกมาไม่ได้งั้นรึ?”
เจ้ากรมการคลังหัวใจหล่นวูบและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ต้าฟ่งแข็งแกร่งและทรงพลังนัก เด็กอย่างเจ้าจะประเมินได้อย่างไร”
จีหย่วนถามเชิงบีบบังคับ “โอ้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต้าฟ่งก็คงไม่มีความตั้งใจที่จะยุติสงครามกระมัง”
‘เด็กนี่ปากคอเราะร้ายนัก’…เหล่าขุนนางแอบขมวดคิ้ว
………………………………………………