ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 739 บทสรุปของการเจรจา
บทที่ 739 บทสรุปของการเจรจา
หมายเลขหนึ่ง ‘หากคิดจะให้หย่งซิ่งสละราชบัลลังก์นั้นง่ายดาย แต่การรักษาความเสถียรภาพหลังจากนั้นมิใช่เรื่องง่าย’
ฮว๋ายชิ่งแสดงความเห็นของตนผ่านห้องสนทนาส่วนตัว
เจ้าคนเมืองเถื่อนนี่ไม่รับมุกข้าเลยแฮะ จังหวะนี้เจ้าต้องตอบว่า ‘รอแค่ลมบูรพาพัดส่งเท่านั้น’ สิ…สวี่ชีอันบ่นในใจตามความเคยชิน ก่อนจะส่งข้อความลงไป
หมายเลขสาม ‘สิ่งที่พระองค์ตรัสมานั้นมีเหตุผล พระองค์มากล้นด้วยประสบการณ์ ทรงมีข้อชี้แนะหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ’
การบังคับให้หย่งซิ่งสละราชบัลลังก์นั้นเป็นเรื่องง่าย เขาเคยสังหารจักรพรรดิมาแล้วด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการขับหย่งซิ่งออกจากบัลลังก์
สิ่งที่ยากคือการรักษาเสถียรในภาพรวมต่างหาก ทำอย่างไรให้ขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงยอมรับเรื่องนี้ ยอมดำเนินกิจการของราชสำนักต่อไป และยอมรับเขาสวี่ชีอัน
หมายเลขหนึ่ง ‘เราต้องกุมอำนาจขุนนางชั้นสูงเสียก่อน ข้าได้ติอต่อพรรคพวกที่เหลืออยู่ของเว่ยกงเป็นการส่วนตัวแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด’
สวี่ชีอันอ่านข้อความนี้แล้ว หวนนึกถึงขั้นตอนการเจรจาที่ฮว๋ายชิ่งสาธยายเมื่อครู่ หัวใจพลันเต้นแรง
มิน่าล่ะพรรคเว่ยถึงได้นิ่งเงียบจนผิดปกติ ทั้งยังมองผลการเจรจาอย่างเฉยเมยอีก ที่แท้ก็คอยส่งข่าว วางแผนก่อกบฏลับหลังมานานแล้วนี่เอง
‘หลิวหง จางสิงอิง เจ้ากรมทหาร จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้องค์หญิงฮว๋ายชิ่งสยบพวกมัน ทำให้พวกมันถวายชีวิตได้ ศาสตร์การควบคุมคนช่างทรงพลังจริงๆ’ สวี่ชีอันส่งข้อความไป
‘อาศัยเพียงลูกน้องของเว่ยกง ไม่เพียงพอจะรักษาเสถียรภาพของท้องพระโรงได้หรอก’
หมายเลขหนึ่ง ‘ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงหวังให้เจ้าโน้มน้าวสมุหราชเลขาธิการหวาง รวบรวมอำนาจของพรรคหวางและพรรคเว่ย จึงจะรักษาเสถียรภาพของท้องพระโรงไว้ได้ ส่วนพรรคที่เหลือจะตัดสินใจเองตามสถานการณ์
‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าเคยไปพบสมุหราชเลขาธิการหวางบ้างหรือไม่’
หมายเลขสาม ‘เอ่อ พอดีว่าช่วงนี้ข้ามุ่งแต่การบำเพ็ญตน จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท’
บำเพ็ญคู่ก็ถือเป็นการบำเพ็ญตนเช่นกัน…เขาบ่นพึมพำ เมื่อคิดได้ดังนี้ มือหนึ่งก็ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี อีกมือหนึ่งก็จับเอวคอดกิ่วอวบอัดของมู่หนานจือกระแทกขึ้นลงได้อย่างง่ายดาย
เทพดอกไม้อายุเกือบยี่สิบปี ผู้บานสะพรั่งเอิบอิ่มส่งเสียงครางหวาน พลางซบกับไหล่ของเขาในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น
พลังปราณอบอุ่นเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณในกายของนาง ทำให้นางง่วงนอน
นี่คือสาเหตุที่สวี่ชีอันอาบน้ำเย็นตอนหน้าหนาว ก็เพื่อคลายความร้อนให้ทั้งสองฝ่าย
‘บำเพ็ญตนอย่างนั้นหรือ? ตบะของเจ้าถึงระดับคอขวดนานแล้ว ทั้งยังไม่ได้ถอนตะปูตอกวิญญาณ จะบำเพ็ญตนได้อย่างไร…’ ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว รู้สึกว่าสวี่ชีอันกำลังโกหกนาง
หมายเลขสาม ‘ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง’
ด้วยความเข้าใจในตัวหวางเจินเหวินของเขา ผนวกกับการตัดสินใจของเขาในสถานการณ์ปัจจุบัน หวางเจินเหวินต้องร่วมมือกับเขาอย่างแน่นอน
ประการแรก หวางเจินเหวินเป็นปัญญาชนจำพวกยอมเสียน้อยไม่ยอมเสียมาก หากมีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยดินแดนและเห็นความหวัง เขาพร้อมที่จะเสี่ยงอยางแน่นอน
ประการที่สอง คุณหนูตระกูลหวางกับเอ้อร์หลางยังหมั้นหมายกันอยู่ การสมคบคิดกับเครือญาตินั้นน่าเชื่อถือกว่าการเป็นพันธมิตรเพียวๆ เป็นไหนๆ
เมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากสวี่ชีอันแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ซักไซ้อะไรอีก เช่นเดียวกับสวี่ชีอันที่ไม่ถามนางว่าไปจัดการพวกจิ้งจอกเฒ่าของพรรคเว่ยอย่างไรให้มาร่วมก่อกบฏกับนางได้
นี่คือความไว้วางใจในความสามารถของทั้งสองฝ่าย
หมายเลขหนึ่ง ‘หลังจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องกำลังทหารอีก หลังจากลงมือแล้ว ข้าจะยึดประตูวังให้เร็วที่สุดและบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติ เมื่อฝุ่นผงร่วงหล่นหมดแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทหารรักษาวังอีก’
ทหารรักษาวังห้ากองภักดีต่อจักรพรรดิ เชื่อฟังแต่จักรพรรดิเท่านั้น
แม้ว่าฮว๋ายชิ่งจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากสักเพียงใด ก็ไม่อาจยุยงผู้นำกองทัพทหารรักษาวังทั้งหมดให้ก่อกบฏได้ แค่ยุยงกลุ่มเล็กๆ ยังยากที่จะจินตนาการถึง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าทหารรักษาวังจะควบคุมยาก แต่หากดึงองครักษ์สิบสองหน่วยพิทักษ์เมืองหลวงมาเป็นพวกได้ก็สบายโข
ตราบใดที่นางยังมีเข็มเทพใต้ทะเลอย่างสวี่ชีอัน ฮว๋ายชิ่งก็มั่นใจว่าจะยึดครองกำแพงพระราชวังได้ในระยะเวลาอันสั้น
หมายเลขสาม ‘ท่าทีของเชื้อพระวงศ์ล่ะ’
หมายเลขหนึ่ง ‘ตอนนี้เชื้อพระวงศ์อยากจะลากหย่งซิ่งลงจากบัลลังก์จนตัวสั่น การให้คนเหล่านั้นยอมรับว่าสายเลือดอวิ๋นโจวเป็นเชื้อสายที่แท้จริง ยังยากกว่าการสังหารคนเหล่านั้นเสียอีก’
หลังจากสรุปรายละเอียดแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็กล่าวอย่างเป็นกังวล
‘แม้ว่าราชสำนักจะมั่นคง หลังจากทัพกบฏในอวิ๋นโจวพักการเคลื่อนไหวแล้ว ยงโจวก็ยังจับไม่ได้อยู่ดี หนิงเยี่ยน เจ้าพอจะมีวิธีบ้างหรือไม่’
ฮว๋ายชิ่งภูมิใจในความฉลาด เจ้าแผนการของตนเองอย่างยิ่ง ทว่าเรื่องการไล่ล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้นางต้องคิดหนักอยู่นาน นางเคยคิดจะดึงพวกเผ่าพันธุ์กู่ หรือปีศาจทักษิณมาเป็นพวก แต่ถ้าไม่ถูกควบคุม ก็ยุ่งตัวเป็นเกลียว
ยากจะยื่นมือมาช่วยเหลือต้าฟ่งได้
หมายเลขสาม ‘ข้าขอทูลความจริงไม่ปิดบัง พระองค์ ข้าได้ถอนตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายออกไป และขึ้นไปถึงขั้นสองแล้ว’
อีกฝ่ายเงียบหายไปนาน ก่อนฮว๋ายชิ่งจะส่งข้อความกลับมา
‘เจ้าทำได้อย่างไร’
นางไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยายความรู้สึกของตนได้ ทั้งยินดี ทั้งพ่ายแพ้ราบคาบ…ความรู้สึกนั้นซับซ้อนปนเป ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือนางรู้สึกสุขใจราวกับได้เห็นฟ้าหลังฝน
เฉกเช่นนักเดินทางที่หลงทางอยู่กลางหมอกหนา ในที่สุดก็ฝ่าม่านหมอกนั้นมาได้
หมายเลขสาม ‘ข้าเผยความลับแก่ท่านได้สักเล็กน้อย แต่จำต้องเก็บเป็นความลับนะ’
ฮว๋ายชิ่งตื่นตัวขึ้นมาทันใด
‘ว่ามาสิ’
สาม ‘เป็นหมายเลขแปดที่ช่วยถอนตะปูตอกวิญญาณออก เขาคือตะปูตอกวิญญาณ’
ฮว๋ายชิ่งเบิกตาโพลงอ่านข้อความดังกล่าว กระจกหยกเกือบจะหลุดมือเสียแล้ว
‘หมายเลขแปดคืออาซูหลัวอย่างนั้นหรือ จริงด้วย หมายเลขแปดปลีกวิเวกมาโดยตลอด อาซูหลัวเองก็หวนคืนสู่ตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้เอง หลังจากที่อาซูหลัวกลับคืนสู่แหน่งแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เลิกปลีกวิเวก ต่อจากนั้นไม่นานก็บอกว่าหมายเลขแปดเลิกปลีกวิเวก ช่วงเวลาประจวบเหมาะพอดี…’ ฮว๋ายชิ่งทั้งดีใจ ทั้งหงุดหงิด
นางประมาทเกินไป จึงไม่ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างหมายเลขแปดกับอาซูหลัว
“หากหมายเลขแปดคืออาซูหลัวจริงๆ เขาไม่เพียงแต่ช่วยให้สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปสู่ขั้นสอง แต่ตัวเขาเองยังเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดิน และเป็นพันธมิตรอีกด้วย เท่ากับว่าจู่ๆ ต้าฟ่งก็มีจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อด้านพลังต่อสู่ถึงสองคน บุตรในเงามืดของนักบวชเต๋าจินเหลียนคนนี้พลิกสถานการณ์ได้ในคราวเดียว ช่างเก่งกาจนัก…”
ในฐานะที่เป็นจอมวางแผน นางคิดว่าแม้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจะไม่ได้โอ้อวด แต่เขาคือผู้เดินหมากอันดับหนึ่งของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้เดินหมากที่แท้จริง สิ่งที่งดงามที่สุดหาใช่การงัดทักษะขั้นสูงมาใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ทว่าคือการวางหมากด้วยความสุขุม ไม่หวั่นไหว
ฮว๋ายชิ่งมีรายชื่อของบุคคลด้านนี้อยู่ในใจหลายชื่อ รายชื่ออันดับแรกย่อมตกเป็นท่านโหราจารย์อย่างไม่ต้องสงสัย ปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวา ตกเป็นของเว่ยเยวียนและสวี่ผิงเฟิง
ตอนนี้มีเพียงมาอีกสองคน คนแรกแม้จะตายไปกว่าห้าร้อยปีแล้ว ก็ยังทำให้ท่านโหราจารย์ทุกข์ทรมานได้ อยู่ในอันดับหนึ่งเช่นเดียวกับท่านโหราจารย์ นักบวชเต๋าจินเหลียนถูกวางไว้ในระดับเดียวกับสวี่ผิงเฟิง
จากนั้นสวี่ชีอันจึงอธิบายถึงการฝึกหนึ่งลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นไตรวิสุทธิเทพ ซึ่งเป็นโดยการใช้ร่างแยกเป็น ‘พิกัด’ ขัดขวางการโจมตีด้วยวรยุทธ์ ‘อนิจจังทั้งสี่’ ของสำนักพุทธ
ฮว๋ายชิ่งเลิกสงสัย ไม่สิ ยังมีข้อสงสัยอีกหนึ่งข้อ
‘เหตุใดหนิงเยี่ยนถึงต้องบอกเรื่องนี้กับนางตามลำพัง’
แต่กลับปกปิดสมาชิกพรรคฟ้าดินคนอื่นๆ
เพราะมีเพียงเจ้าที่ยังไม่ทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าธารกำนัล ดังนั้นจะบอกหรือไม่บอกเจ้า ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร…สวี่ชีอันส่งข้อความอธิบาย
‘เรื่องนี้จำเป็นต้องขอได้รับการอนุญาตจากอาซูหลัว ข้าลำบากใจที่จะเปิดเผยความลับของคนใกล้ตัว แต่กับพระองค์ กระหม่อมจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย ย่อมกราบทูลสิ้นทุกสิ่งที่กระหม่อมทราบ’
ที่ตำหนังฮว๋ายชิ่ง ในห้องทรงพระอักษรยามบ่าย ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ใช้มือต่างพู่กันเขียนข้อความส่งไป ‘ข้าเกือบหลงเชื่อเสียแล้ว…’
นางไม่ได้ส่งข้อความนั้นไป แต่ใช้ปลายนิ้วมือลบทิ้ง แล้วเขียนใหม่
‘เป็นเพราะพวกเขาต่างเย้ยหยันอาซูหลัวในกลุ่มกันยกใหญ่นั่นล่ะ…’
พอคิดๆ ดูแล้ว ก็ลบทิ้งอีกครั้ง
จนในที่สุดก็ส่งข้อความตามปกติ
‘ข้ารู้แล้ว’
สาม ‘พระองค์ คำถามสุดท้าย…’
…
สำนักโหราจารย์
สวี่ชีอันลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ สองมือกระชับเอวคอดของมู่หนานจือ นางยกขาเกี่ยวเอวกำยำไว้แน่น สองแขนคล้องคลองของเขา พลางซบหน้าลงกับบ่าของสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว
สีผิวของทั้งสอง คนหนึ่งขาวใส คนหนึ่งผิวแทน ให้ความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรง
เขาวางมู่หนานจือลงเป็นเตียงนอนอย่างแผ่วเบา ถอนด้ามจับที่สอดใส่ในกายนางออก
เทพดอกไม้ส่งเสียง ‘อืม’ ในขณะหลับลึก คิ้วเรียวชวนมองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้อึดยิ่งกว่ายาโด๊ปขนานใดเสียอีก…สวี่ชีอันห่มผ้าให้นางอย่างไม่อิดออด แล้วหยิบกำไลที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมที่ข้อมือเย็นเฉียบยิ่งกว่าหิมะ
แล้วเทพดอกไม้ก็กลายสภาพจากยาโด๊ปที่แรงที่สุดในปฐพี เป็นป้าแก่ที่เห็นแล้วใจเย็นเหมือนน้ำ
จากนั้นสวี่ชีอันจึงหยิบดาบไท่ผิงออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วสั่งการ
“คอยดูแลนายหญิงของเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาได้ เข้าใจหรือไม่”
ดาบไท่ผิงสั่น ‘อืดๆ’ เป็นการบอกว่า ‘เข้าใจแล้ว’
ดาบไท่ผิงแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ยอดฝีมือระดับสี่ทั่วไปเปรียบเสมือนแกะรอถูกเชือดเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
สวี่ชีอันเปิดประตูจากไป ละเลงพิษร้ายที่ทำให้คนเป็นอัมพาตหมดสติได้ลงบนประตูด้วยปลายนิ้ว
…
จวนหวาง
หวางเจินเหวินสั่งคนไปส่งเฉียนชิงซู ไม่นานข้ารับใช้ก็เดินเข้ามาเงียบๆ และรายงานข้างนอกห้อง
“นายท่าน ฆ้องเงินมาแล้วขอรับ”
หวางเจินเหวินที่กำลังหนื่อยล้า ตื่นตัวขึ้นทันที รีบสั่งการ
“เร็วเข้า ไปเชิญเขาเข้ามา”
ข้ารับใช้จากไปตามคำสั่ง ทันใดนั้นประตูห้องนอนก็ถูกผลักออก หวางเจินเหวินเห็นชายหนุ่มสูงหล่อในชุดสีดำเดินเข้ามา
เมื่อเห็นชายชุดสีดำนอกม่าน แววตาของหวางเจินเหวินพลันฉายแววงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าของสวี่ชีอันชัดเจน ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความปลงตกหรือเสียดายก็ไม่ทราบได้
“ชั่วขณะเมื่อครู่ ข้าเกือบคิดว่าเว่ยเยวียนกลับมาแล้ว”
หวางเจินเหวินจ้องมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา พลางกล่าวยิ้มๆ
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการเจ็บป่วยได้อย่างไรหรือขอรับ”
สวี่ชีอันเดินเข้าไปข้างเตียง จับชีพจรที่ข้อมือของหวางเจินเหวิน พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
นี่มัน…เขาขมวดคิ้วแน่น ร่างกายของหวางเจินเหวินเหมือนกับเครื่องยนต์เมื่อถึงคราวปลดระวาง อวัยวะต่างๆ แก่ชราลงไปมาก
“เทพเซียนจะสิ้นยังมีลางถึงห้าอย่าง นับประสาอะไรกับมนุษย์ปุถุชนเล่า”
หวางเจินเหวินยิ้มอย่างไม่แยแส
“โหรจากสำนักโหราจารย์เคยกล่าวไว้ว่า พักผ่อนให้สงบ บางทีอาจจะเป็นดั่งไม้เฉาแตกใบใหม่ก็เป็นได้ นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีหนทางอื่น”
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอ พลางเคลื่อนพลังปราณลับๆ เล็กน้อย เพื่อช่วยกระตุ้นเลือด หล่อเลี้ยงปราณของเขา
อันที่จริงสำนักโหราจารย์มียาครอบจักรวาลหลายขนาน ชุบชีวิตคนตาย เสกเนื้อหุ้มกระดูกก็มีไม่น้อย ส่วนนิกายมนุษย์เองก็มียาอายุวัฒนะไม่น้อย
แต่ยิ่งยาอายุวัฒนะสูงค่ามากเพียงใด ฤทธิ์ยาที่มีย่อมรุนแรงขึ้นเท่านั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปุถุชนที่ไม่เคยบำเพ็ญตนจะรับไหว
ยกตัวอย่าง เช่น ยาโลหิต พลังชีวิตของมันเข้มข้นมาก ทว่าเนื่องจากระดับสูงเกินไป ผู้แข็งแกร่งระดับสี่บริโภคเข้าไปสิบคน ตายเรียบไม่มีเหลือหลอ
ดังนั้นการชุบชีวิตผู้แข็งแกร่งระดับสูงคนหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะชุบชีวิตคนธรรมดาที่ไม่มีพื้นฐานตบะนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย…อืม ตั้งแต่ซ่งชิงสร้างเคล็ดวิชาปรับแต่งร่างกายมนุษย์ขึ้นมา ก็ถือว่าไม่ยากเท่าไร
ตราบใดที่มีเมล็ดบัวเก้าสีที่เสกได้ทุกสรรพสิ่ง คนธรรมดาก็สามารถเกิดใหม่ได้ผ่านเปลือก
“เจ้าคงจะเคยได้ยินเรื่องการเจรจามาบ้างสินะ” หวางเจินเหวินเป็นฝ่ายเข้าประเด็นก่อน เข้าจ้องมองสวี่ชีอันที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“บอกข้ามาเถิดว่าเจ้ามีแผนการอะไร”
แววตาของเขาลุกโชน ราวกับคนสิ้นหวังที่รอคอยความหวังสุดท้าย
หากข้าบอกเขาว่าข้าไร้ซึ่งหนทาง คงไม่อาจยื้อลมหายใจสุดท้ายของสมุหราชเลขาธิการเฒ่าต่อไปได้…เสี้ยวขณะหนึ่ง จู่ๆ สวี่ชีอันก็รู้สึกโชคดีที่ตนเองเลื่อนการเยี่ยมเยือนออกไป หากว่าวันนั้นเขาพูดคุยกับฮว๋ายชิ่งแล้วมาพบสมุหราชเลขาธิการที่จวนอ๋องทันที
คำพูดที่ว่า ‘ข้าไร้ซึ่งหนทาง’ อาจะจบชีวิตชายชราผู้พยายามยืนหยัดอย่างทุกข์ทนผู้นี้ลงได้
สวี่ชีอันทำสีหน้าจริงจัง พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าเข้าสู่ขั้นสองแล้วขอรับ”
หวางเจินเหวินกำผ้าปูที่นอนแน่น เส้นเลือดหลังมือปูดขึ้นทันตาเห็น เขาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของสวี่ชีอัน แล้วทันใดนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะร่าเริงไม่ขาดห้วง ปัดเป่าความอึมครึมจนสิ้นซาก
เขาสัมผัสได้ถึงความมั่นใจอันกล้าแกร่งในตัวของสวี่ชีอัน
เขาโล่งใจแล้ว
สวี่ชีอันนั่งลงเงียบๆ รอจนกระทั่งสวี่ชีอันเฒ่าอาเจียนเอาความเศร้าในทรวงอกออกมาจนหมด
“เจ้ามีแผนอย่างไร”
หวางเจินเหวินค่อยๆ ปรับอารมณ์ของตน วางท่าสุขุมลุ่มลึกอีกครั้ง
สวี่ชีอันกล่าวตรงประเด็น
“ข้าจะเปลี่ยนตัวจักรพรรดิ!”
ที่น่าแปลกใจคือสีหน้าเรียบเฉยของหวางเจินเหวิน ดูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
สมุหราชเลขาธิการเฒ่าถอนหายใจ แล้วกล่าว
“หย่งซิ่งเป็นจักรพรรดิผู้สืบสันตติวงศ์ แบกรับดินแดนที่กำลังจะล่มสลายแห่งนี้ไม่ได้ ต่อให้ผ่านการเจรจาครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่น แต่หากประสบกับความเสียเปรียบเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม เขาจะถอดใจกลางคันได้
“บางครั้ง ปัญหาที่มาจากเบื้องหลังก็เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด หากราชสำนักคิดจะแก่งแย่งชะตาบ้านเมืองจากอวิ๋นโจว จำเป็นต้องมีเบื้องหลังที่มั่นคง”
เขาเว้นวรรคไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองสวี่ชีอัน
“เจ้าจะสวามิภักดิ์ต่อผู้ใด”
สวี่ชีอันตอบอย่างไม่ลังเล
“เหยียนชินอ๋องขอรับ”
สมุหราชเลขาธิการได้ยินเช่นกันก็ถอนหายใจโล่งอก
“ดี เช่นนั้นก็ดี เหยียนชินอ๋องเป็นตี๋จื่อ เป็นพระราชโอรสในฮองเฮา หากเขาขึ้นครองบัลลังก์ ชื่อของเขาย่อมเป็นที่ยอมรับ”
หลังจากพูดคุยปรึกษากันแล้ว สมุหราชเลขาธิการเฒ่าก็หยิบกระดิ่งบนหัวเตียงขึ้นมา สั่นกระดิ่ง
ข้ารับใช้ข้างนอกเปิดประตูเข้ามาทันที
หวางเจินเหวินสั่งการ
“ไปหาสมุหราชเลขาธิการเฉียน เจ้ากรมซุน รองเจ้ากรมจ้าว…เชิญพวกเขามา”
เขาร่ายชื่อต่อมาอีกหกถึงเจ็ดรายชื่อ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกระดูกสันหลังของพรรคหวางทั้งสิ้น
สวี่ชีอันอาศัยจังหวะลุกขึ้น
“ข้าน้อยขอตัวลาก่อน”
…
“หย่งซิ่งเสียสติไปแล้ว!”
เมื่อลี่อ๋องผู้แก่ชราได้ทราบข่าว เขาก็หยัดกายขึ้นตัวสั่นงันงกด้วยไม้เท้า พร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังลั่น
ในห้องโถงมีชินอ๋อง และจวิ้นอ๋องกลุ่มหนึ่ง
“หัวขโมยทรราชเป็นสายเลือดโดยตรง แล้วพวกเราเป็นอะไรเล่า เชื้อพระวงศ์แล้วอย่างไร” อวี้อ๋องกดเสียงต่ำ
“ฝ่าบาทหวั่นกลัวเกินไปแล้ว อวิ๋นโจวคิดจะแยกอาหาร ที่ดิน ต่อให้พวกเรากัดไม่ปล่อย เราเชื่อว่าเขาก็ยังไม่กล้าไปจากเมืองหลวงอยู่ดี”
“ใครให้มันขึ้นเป็นจักรพรรดิล่ะ”
ตอนนี้เองมีคนกระซิบกระซาบพูดจา
เหล่าชินอ๋องและจวิ้นอ๋องต่างหันไปมองกันเอง คนที่พูดขึ้นมาคือชินอ๋อง
ลี่หวางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“พอได้แล้ว อวิ๋นโจวกำลังใช้อำนาจข่มเหงผู้คน ฝ่าบาททรงมีหนทางใดบ้าง”
เขาเหลือบมองจวิ้นอ๋อง ชินอ๋องที่ความโกรธล้นทะลัก พลางกดเสียงทุ้มต่ำพูด
“ตอนนี้มีแต่คำโกหกและงูพิษ รอให้วสันตฤดูมาเยือนเสียก่อนเถิด ตราบใดที่ราชสำนักยอมปล่อยผ่านลมปากพวกนี้ จะพูดอะไรย่อมได้ทั้งนั้น ตราบใดที่สายเลือดของพวกเรายังมั่นคงในดินแดนนี้ บอกว่ามันผิด มันย่อมผิด บอกว่ามันถูก มันย่อมถูก”
แม้จะเกลียดจักรพรรดิหย่งซิ่งเข้าไส้ แต่ลี่หวางก็ตัดสินใจมองภาพรวม พยายามข่มความรู้สึกของเหล่าเชื้อพระวงศ์
ราชกิจแดนดิน จักรพรรดิสามารถตัดสินใจได้ แต่กิจในหมู่เชื้อพระวงศ์ ใช่ว่าจักรพรรดิพระองค์เดียวจะมีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จ
การตัดสินใจของจักรพรรดิหย่งซิ่ง เป็นการผลักบรรพบุรุษไปสู่ความอยุติธรรม
…
สามวันต่อมา การเจรจาระหว่างอวิ๋นโจวและราชสำนักสิ้นสุดลง การเจรจาครั้งนี้มาถึงบทสรุป
ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของขุนนางระดับกลางถึงระดับต่ำ ราษฎร หรือบัณฑิตในเมืองหลวงจะเป็นอย่างไร
ในสายตาของทุกคน การเจรจาสันติภาพนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว
…………………………………………………..