ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 740 ก่อกบฏ (1)
ณ ห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหย่งซิ่งกางหนังสือสัญญาออก และตรวจอ่าน ‘ข้อตกลง’ ของทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื้อหาข้อตกลงมีความซับซ้อน และมีส่วนเกี่ยวข้องไปถึงกฎระเบียบที่ละเอียดเคร่งครัดอย่างมากที่สุด โดยเงื่อนไขข้อแรกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งก็คือ
ตั้งแต่รัชศกหย่งซิ่งปีที่หนึ่งเป็นต้นไป ต้าฟ่งต้องส่งเครื่องบรรณาการให้อวิ๋นโจวห้าแสนตำลึงและแพรไหมหกแสนพับทุกปี
มีการยืดและแก้ไขกฎระเบียบที่เคร่งครัดว่า
ในปีแรกจะต้องส่งเครื่องบรรณาการเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงและแพรไหมสามแสนพับก่อน โดยจะต้องส่งให้หมดในปีถัดไป
เงื่อนไขที่สองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากจบการเจรจาสงบศึก ราชสำนักต้าฟ่งจะต้องส่งแถลงการณ์ราชสำนักให้ที่ว่าการปกครองทุกแห่งว่า ให้การยอมรับว่าสายเลือดอวิ๋นโจวเป็นเชื้อสายดั้งเดิมของที่ราบลุ่มภาคกลาง พร้อมติดประกาศให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วใต้หล้า
เงื่อนไขที่สามเป็นที่ถกเถียงกันยาวนานที่สุด
ทางอวิ๋นโจวขอเรียกร้องให้ราชสำนักส่งมอบยงโจว อวี่โจวและจางโจว
ยงโจวขึ้นไปทางเหนือเป็นเขตแดนเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยกยงโจวให้ นี่เป็นปัญหาทางหลักการ
ระหว่างการเจรจา จีหย่วนกดดันด้วยผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมของอวิ๋นโจวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เป็นผล เจ้ากรมพิธีการและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูไม่ยอมอ่อนข้อให้
ส่วนอวี่โจวและจางโจว ที่แรกอุดมไปด้วยทรัพยากรแร่เหล็ก ที่สองเป็นหนึ่งในสามยุ้งข้าวหลักของต้าฟ่ง หากยกสองโจวนี้ให้กองทัพกบฏอวิ๋นโจว เพียงคิดก็รู้แล้วว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบใด
แต่หากรักษายงโจวไม่ได้ ก็คงจำเป็นต้องยกอวี่โจวและจางโจวให้ หากกล่าวจากตำแหน่งภูมิศาสตร์ ยังถือว่าสองโจวนี้ห่างจากเมืองหลวงอีกไกล จึงไม่อันตรายเท่ายงโจว
เงื่อนไขที่สี่ วัสดุหลอมของท่านโหราจารย์
จักรพรรดิหย่งซิ่งส่งคนไปรับที่สำนักโหราจารย์เมื่อวันก่อน คาดไม่ถึงว่า ซ่งชิงของสำนักโหราจารย์จะมอบให้อย่างสบายอกสบายใจ
สบายใจราวกับสิ่งนี้ไม่ใช่สมบัติของอาจารย์ผู้ล่วงลับ
“ฝ่าบาท แม้การเจรจาสงบศึกจะสำเร็จอย่างราบรื่น แต่กองทัพกบฏอวิ๋นโจวโฉดชั่วเหมือนหมาป่า ไม่อาจเชื่อได้ง่ายๆ”
ลี่หวางผู้ชรา ขณะนี้เขาอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วย เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้นั่งในที่แห่งนี้
“ท่านอาโปรดวางใจ”
ในที่สุดใบหน้าของจักรพรรดิหยางซิ่งก็พอมีรอยยิ้มในอดีตอยู่บ้าง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า
“เรื่องนี้ ข้าเคยหารือกับหลายๆ คนมานานแล้ว รอส่งคณะทูตอวิ๋นโจวไป ข้าจะไปหาฆ้องเงินสวี่ด้วยตนเอง ให้เขาไปขอกำลังเสริมที่ซินเจียงตอนใต้ เผ่าพันธุ์กู่และเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนมีผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมไม่น้อย ให้ฆ้องเงินสวี่ไปเชิญพวกเขามาก็พอ”
“อีกหนึ่งเดือนจะเป็นเทศกาลไหว้วสันต์ หลังผ่านเทศกาลไหว้วสันต์ แผ่นดินจะหวนคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิ และสามารถขจัดภัยหนาว สถานการณ์จะต้องดีขึ้นเป็นแน่”
ลี่หวางรับทราบ เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า
“ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้หลายวัน ฝ่าบาททะเลาะกับฆ้องเงินสวี่จนไม่สบายใจหรือ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งส่ายมือพร้อมเอ่ยว่า
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง โดยปรกติข้าเคารพเขาอยู่แล้ว แต่ประเทศชาติเป็นเรื่องใหญ่ ข้ามีความคิดเห็นของข้าเอง จะไม่ยอมให้เขาโอ้อวดความกล้าหาญอย่างคนเขลา”
ส่วนเรื่องขอกำลังเสริม จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่เคยคิดว่าสวี่ชีอันจะเปลี่ยนการเชิญอย่างไร เชิญยากหรือไม่ ราวกับทุกอย่างเป็นสิ่งที่สวี่ชีอันควรทำ
เหมือนเขาพัฒนาความสัมพันธุ์ของเผ่าพันธุ์กู่และเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นพันธมิตร
ลี่หวางส่งเสียง ‘ฮืม’ เอ่ยช้าๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อยว่า
“ที่แท้ฝ่าบาทก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
จักรพรรดิหย่งซิ่งมีความคิดอะไร เมื่อครู่ได้พูดไว้อย่างชัดเจน เจรจาสงบศึกเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กองทัพกบฏก่อน จากนั้นให้ฆ้องเงินสวี่บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรซินเจียงตอนใต้ ในขณะเดียวกันก็รอให้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เพื่อบรรเทาภัยหนาว
ลี่หวางก็ไม่เคยคำนึงถึงความยากของภารกิจเช่นเดียวกัน
…
ที่นอกประตูเมือง ทหารม้าหกนายเฆี่ยนม้าตะบึงเข้ามา พวกเขาสวมผ้าคลุม ขี่คร่อมม้าเร็ว ส่งเสียงร้องขณะผ่านประตู
ความเร็วในการวิ่งของม้าลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่ประตูเมือง ทหารม้าที่เป็นผู้นำดึงบังเหียนม้า แล้วหันศีรษะมองไปทางกำแพง
เขามีสีหน้าตายด้าน ขาดอารมณ์ความรู้สึก เหมือนสลักมาจากก้อนหิน
หยางเยี่ยน
หลังจากคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว หยางเยี่ยนก็อยู่ที่นั่น ราชสำนักแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการฉู่โจวและผู้บัญชาการฉู่โจว
แม้เว่ยเยวียนจะเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ยังอยู่ที่ฉู่โจวตลอด ไม่เคยกลับเมืองหลวง
“เรียกพี่น้องทั้งหมดที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงมารวมตัว และรอคำสั่ง” หยางเยี่ยนชายศีรษะมองลูกน้องทางซ้ายมือ
“รับทราบ”
ลูกน้องยกมือคำนับ ก่อนดึงบังเหียนม้า ลากเบาๆ แยกออกไปจากกลุ่ม และควบม้าไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง
‘ไม่สามารถประคองพระราชโอรสที่สี่ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนพ่อบุญธรรมเสียชีวิต บัดนี้ ควรเป็นฝ่ายพวกข้าควบคุมดูแลฟ้าดิน’…หยางเยี่ยนเคลื่อนสายตาไปตามเส้นทางหลักที่กว้างขวาง และมองไปทางพระราชวัง
…
ณ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ฆ้องทองคำทั้งสี่มารวมตัวกัน ประตูและหน้าต่างถูกปิดอย่างแน่นหนา
ฆ้องทองคำจ้าวจิ่นจ้องฆ้องเงินซ่งถิงเฟิงที่อยู่ตรงหน้า ก่อนหรี่ตาเอ่ยว่า
“ฆ้องเงินสวี่พูดเช่นนั้นจริงหรือ”
ฆ้องเงินสวี่กลายเป็นฉายาอย่างหนึ่งไปแล้ว ไม่ใช่ตำแหน่งขุนนางอีกต่อไป
ขอเพียงเอ่ยว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’ สามคำที่ต้าฟ่ง ทุกคนล้วนรู้ว่าหมายถึงคนใด
ซ่งถิงเฟิงเอ่ยเยาะว่า
“บัดนี้ที่ราบลุ่มภาคกลางไร้เสถียรภาพ ราชสำนักเองก็อยู่ในภาวะวิกฤติ ฆ้องทองคำทั้งหลายสามารถคว้าโอกาสท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลบ่านี้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่การเลือกในวันนี้”
“หนิงเยี่ยนเป็นลูกศิษย์ของเว่ยกง ใต้เท้าทั้งสี่ก็มีความชอบพอกับเขา หาใช่คนแปลกหน้า เกรงว่าเขาคงหลอกพวกท่านไม่ได้ อีกอย่าง หากจะให้กล่าวคำพูดที่ผิดหลักทำนองคลองธรรรม บัดนี้ในต้าฟ่ง ผู้ใดมีแนวโน้มถวายความจงรักภักดีมากที่สุด”
“ไม่ใช่คนที่นั่งกระดิกหางเอาใจกองทัพกบฏอยู่ในตำหนักกระดิ่งทอง แต่เป็นพี่น้องของข้า”
จ้าวจิ่นและฆ้องทองคำอีกสามคนที่เหลือจ้องมองซึ่งกันและกัน พวกเขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า
“เหตุใดฆ้องเงินสวี่ไม่มาเอง”
ซ่งถิงเฟิงไม่ตอบ แต่หยิบบันทึกออกมาแทน ซึ่งเขียนไว้ว่า
“อ่านจบพวกเจ้าจะรู้เอง”
จ้าวจิ่นรับไว้ พร้อมคลี่บันทึกออกมาอ่าน เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเป็นอย่างแรก ก่อนเอ่ยประเมินว่า
“ใช่ลายมือของเขา”
จากนั้นดวงตาก็แข็งเกร็ง และจ้องมองหน้ากระดาษเป็นเวลานาน
จ้าวจิ่นสูดหายใจลึก ข่มความรู้สึกตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านในหัวใจไว้ และส่งบันทึกให้ฆ้องทองคำอีกสามคนโดยไม่แสดงอารมณ์ หลังจากผลัดกันอ่านเรียบร้อย เขาจึงเอ่ยว่า
“เจ้าตอบกลับเขา ตราบใดที่เขาไม่หลอกข้า ข้าจ้าวจิ่นผู้นี้มอบชีวิตให้เขาได้ แต่พวกข้าต้องการเจอกับเขา”
…
ณ ศาลาพักม้า
จีหย่วนถือหอยสังข์กระแสจิตไว้ และเอ่ยว่า
“น่าเบื่อ”
จักรพรรดิน้อยแห่งต้าฟ่งช่างน่าเบื่อ ขุนนางในท้องพระโรงเองก็น่าเบื่อ บัณฑิตในราชวิทยาลัยเองก็ยิ่งน่าเบื่อไปอีก
“ข้าได้ยินมาว่าขณะขนย้ายพระศพของอ๋องสยบแดนเหนือกลับไปยังเมืองหลวงในตอนแรก หยวนจิ่งปิดวังและไม่พบเห็นเจ้าหน้าที่คนใด มีซู่จี๋ซื่อนามว่าสวี่ซินเหนียนยืนขวางประตูอู่ตำหนิเขาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ด่าจนหยวนจิ่งประนีประนอมให้เปิดประตู”
“น่าเสียดายที่ไม่เห็นคนคนนี้ที่ท้องพระโรง ระหว่างการเจรจาก็ไม่เห็น อาจเพราะเขามีฐานะต่ำต้อยและคำพูดไม่มีน้ำหนัก ไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมถกเถียงกับข้า”
ส่วนเรื่องของสวี่ซินเหนียน เขาได้ยินว่ามีคนแอบซุบซิบเป็นการส่วนตัวจากการเจราเมื่อไม่กี่วันมานี้เป็นครั้งคราวว่า เจ้าหนุ่มที่มาจากอวิ๋นโจวนั่นเขี้ยวเล็บแหลมคม หากใต้เท้าสวี่แห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินมาได้ จะต้องตำหนิเขาจนร้องไห้ขี้มูกไหลคาที่ และกลิ้งกลับอวิ๋นโจวไปอย่างว่านอนสอนง่าย
หอยสังข์กระแสจิตส่งเสียงหัวเราะของเก่อเหวินเซวียนมาว่า
“ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสเจอแล้ว สวี่ซินเหนียนคนนี้เป็นน้องชายฝั่งบิดาของสวี่ชีอัน และพี่ชายฝั่งบิดาของหยวนซวงกับหยวนไหว
“เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่ตามกองทัพต้าฟ่งไปสู้รบที่ชิงโจว ฮึม หลังจากชิงโจวสูญเสียการป้องกัน เขาก็ถูกจัวเฮ่าหรานสะบั้นไปหนึ่งดาบ เป็นตายไม่รู้”
จีหย่วนทำเสียงจุปากพร้อมส่ายศีรษะและเอ่ยว่า
“บัณฑิตผู้หนึ่ง ดันทุรังสังหารแม่ทัพ เกรงว่าท่าจะไม่ดี ขอไม่เอ่ยถึงเขาแล้ว แม่ทัพเก่อ คนที่สกุลสวี่นั่นจนถึงตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัวอีกเลย”
เก่อเหวินเซวียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“ดูเหมือนคลาดเคลื่อนกับที่พวกเราคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ไม่มากนัก คนที่สกุลสวี่นั่นหมดน้ำยาแล้ว จึงยอมเจรจาสงบศึกโดยดีเพื่อยื้อเวลาให้ทนผ่านฤดูหนาว จากนั้นไปขอความช่วยเหลือที่ซินเจียงตอนใต้”
นี่เป็นเรื่องที่สามารถอนุมานได้อย่างง่ายดาย พลังต่อสู้ในระดับบรรลุธรรมของต้าฟ่งขาดแคลน ทั้งหมดเป็นขั้นสามจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งและขั้นสอง
และเมื่อถึงระดับบรรลุธรรมแล้ว หากคิดจะเลื่อนขั้นไปอีก ตั้งแต่ขั้นสามเป็นต้นไป นั่นเป็นเรื่องยากมาก
ผู้ที่ขาดปัญญา ก็เหมือนอย่างโค่วหยางโจวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ห้าร้อยปีกว่าจะฝืนเลื่อนขั้นกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองได้
ผู้ที่ปัญญาโดดเด่น อย่างเช่นพวกราชครูและลั่วอวี้เหิง พวกเขาบรรลุขั้นสองตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ติดอยู่ที่ขั้นสองยี่สิบปีเต็มๆ
ในเมื่อไม่สามารถเลื่อนขั้นเพื่อตีเสมอพลังต่อสู้โดยการพึ่งพาตนเองในระยะเวลาอันสั้นได้ เช่นนั้นการขอความช่วยเหลือจึงเป็นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวของสวี่ชีอัน
จีหย่วนเอ่ยด้วยเสียงเยาะเย้ยว่า
“เผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้ได้รับข้อจำกัดจากพลังของเทพเจ้ากู่ ซึ่งจากที่จะกำเนิดขั้นหนึ่ง ในเจ็ดฝ่ายมีเพียงแม่ย่าแห่งเทียนกู่ที่เป็นขั้นสอง แต่ไม่ชำนาญการต่อสู้ ผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมของปีศาจตอนใต้ก็ยิ่งหายากจนน่าสงสาร”
“ศพที่น่ากลัวนั่นคงไม่สามารถออกจากซินเจียงตอนใต้ได้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอาจจะแทรกแซงศึกที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ว่า หากนางมายังที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่นนั้นดินแดนประจิมทิศก็คงไม่ถูกตรึงไว้ สามารถแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งมาโจมตีที่ราบลุ่มภาคกลางได้”
“ที่จริงแล้วตัวแปรเพียงอย่างเดียวอยู่ที่สำนักพ่อมด หลังจากน่าหลันเทียนลู่หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก สำนักพ่อมดก็ได้มีพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งคน เจ้าแห่งวัสสานหนึ่งคน”
“หากพวกเขาผูกพันธมิตรกับต้าฟ่ง คงจะปวดหัวเล็กน้อย”
“คุณชายเก้าฉลาดมาก” เก่อเหวินเซวียนเอ่ยยิ้มว่า
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่พูดตามตรง ไม่ต้องสนใจสำนักพ่อมดสักระยะ ส่วนมูลเหตุ ข้าเองก็ไม่รู้”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า
“ในเมื่อสวี่ชีอันเต็มใจเป็นเต่าหดหัว ก็ปล่อยเขาไปเถอะ จอมยุทธ์ขั้นสามคนเดียว พลิกคลื่นลมอะไรไม่ได้หรอก ว่าแต่ออกจากเมืองหลวงพรุ่งนี้หรือ”
จีหย่วนส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเอ่ยว่า
“แลกเปลี่ยนหนังสือสัญญาตอนประชุมราชสำนักรอบเช้าของวันพรุ่งนี้ และจากนั้นก็ออกจากเมืองหลวงกลับไปยังอวิ๋นโจว”
นี่คือขั้นตอนที่จำเป็น หลังจากการเจรจาสิ้นสุด ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญา จากนั้น ‘อำลา’ ในที่สาธารณะอย่างการประชุมราชสำนัก
หลังจากสิ้นสุดการโทรจิต จีหย่วนคืนหอยสังข์กระแสจิตให้สวี่หยวนซวง และยิ้มตาหยีถามสวี่หยวนไหวที่อยู่อีกข้างว่า
“หยวนไหว คณิกาในสำนักสังคีตของเมืองหลวง ทุกคนล้วนเป็นสตรีงามที่โดดเด่น ก่อนออกจากเมืองหลวงวันนี้ พี่เก้าขอถือโอกาสที่ยังมีเวลาพาเจ้าไปเพลิดเพลินสักหน่อยได้หรือไม่”
สวี่หยวนไหวไม่สนใจเขา
ขณะจีหย่วนเดินเล่นพัดพับออกจากประตูไปโดยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาพลันเอ่ยไปว่า ไม่กล้าไปสำนักสังคีตจริงๆ สมมุติว่าถูกลอบสังหารขึ้นมาจะทำเช่นไร
…………………………………………..