ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 742 จัดการปัญหาที่ตกค้างอย่างเรียบร้อย
บทที่ 742 จัดการปัญหาที่ตกค้างอย่างเรียบร้อย
‘นางต้องการเป็นจักรพรรดิ…’ องค์ชายสี่ยื่นพระหัตถ์ออกไปค้างกลางอากาศ ทรงทอดพระเนตรพระขนิษฐาอย่างตะลึงงัน รู้สึกว่านางเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมาทันที
คำพูดของฮว๋ายชิ่ง ราวกับเสียงฟ้าร้องที่น่าตื่นตระหนก ดังก้องอยู่ในพระกรรณของลี่อ๋องและพระราชวงศ์คนอื่นๆ ระดับความตื่นตระหนก ถึงขั้นเหนือกว่าที่นางกับสวี่ชีอันบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติเสียอีก
‘นางเป็นบ้าไปแล้ว?!’
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัวใจของทุกคนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลี่อ๋องพยายามทำใจให้สงบ แววพระเนตรที่หม่นหมองจ้องมองฮว๋ายชิ่ง แล้วตรัสว่า
“เจ้า… พูดว่าอย่างไรนะ?”
น้ำเสียงของฮว๋ายชิ่งยังคงเหมือนเดิม
“ข้าต้องการขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ”
‘เปรี้ยง!’
ลี่อ๋องทรงตบโต๊ะ ค้ำไม้เท้าลุกขึ้นยืน นิ้วสั่นเทาชี้ไปที่ฮว๋ายชิ่ง ทรงพิโรธอย่างไม่อาจยับยั้งได้
“เหลวไหล! คนชั่วเช่นเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่? เป็นผู้หญิงยิงเรือ มุ่งหมายจะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ ใครจะยอมเจ้า! ข้าคิดว่าเจ้าถูกความทะยานอยากในอำนาจครอบงำจิตใจ จนบดบังสติปัญญาไปหมดแล้ว”
“หากเจ้าขึ้นครองราชย์ จะทำให้ผู้คนยอมรับได้อย่างไร ถึงเวลานั้นจะต้องมีคนฉวยโอกาสก่อกบฏ ต้าฟ่งจะสิ้นชาติเร็วขึ้น”
ยอมรับไม่ได้!
จักรพรรดิหย่งซิ่งสละราชสมบัติ ลี่อ๋องสามารถยอมรับได้ สถานการณ์ทางการเมืองวุ่นวายก็ย่อมมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนอำนาจติดตามมา จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่สามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้ เป็นเพราะเขาไม่มีความสามารถ
ขอเพียงผู้สืบราชสมบัติเป็นชินอ๋องที่มีชาติกำเนิดดี ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา
ฮว๋ายชิ่งเป็นพระราชนิกุลที่มีชาติกำเนิดดี แต่พระองค์เป็นองค์หญิง เป็นผู้หญิงยิงเรือ จะเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร!
บรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ บางคนจับข้อมือถอนหายใจด้วยความโกรธ บางคนตบขาด่าทอคนบ้า อารมณ์ขุ่นเคือง
เหยียนชินอ๋องเห็นบรรดาพระปิตุลาและพี่น้องทุกคนต่างคัดค้านด้วยอารมณ์เดือดดาล พระองค์จึงรีบฉวยโอกาสด้วยความเฉียบแหลม โดยการยกพระหัตถ์ขึ้นปรามว่า
“พระปิตุลาทุกพระองค์ อย่าได้ทรงขุ่นเคือง”
เวลานี้ สถานะพระเชษฐาของฮว๋ายชิ่งได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว บรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องก็สงบลง
ผู้หญิงในครอบครัวเรืองอำนาจ รัศมีย่อมอยู่ที่ตัวของผู้ชาย ฮว๋ายชิ่งเป็นพี่น้องร่วมอุทรของเหยียนชินอ๋อง นางเรืองอำนาจ ทุกคนต่างก็ยอมรับโดยปริยายว่าสิทธิ์ในการพูดอยู่ที่เหยียนชินอ๋อง
เหยียนชินอ๋องกล่าวเตือนด้วยความหวังดีว่า
“ฮว๋ายชิ่ง พี่สี่รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเจ้ามีความมุ่งมาดปรารถนา ให้ผู้หญิงมีความสามารถไม่น้อยกว่าผู้ชาย พี่สี่รับปาก ว่าจะให้โอกาสและพื้นที่ให้เจ้าได้แสดงความมุ่งมาดปรารถนา
“ส่วนเรื่องการขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินั้น อย่าได้พูดถึงอีก แม้ข้าจะเห็นด้วย แต่เหล่าขุนนางก็คงไม่เห็นด้วย คนทั้งใต้หล้าก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน”
ขาดแต่เพียงไม่ได้พูดอย่างเปิดเผยว่า เจ้าเป็นผู้หญิงยิงเรือต้องการเป็นจักรพรรดิ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขันหรือ?
ฮว๋ายชิ่งทรงมองเหยียนชินอ๋อง แล้วกวาดพระเนตรมองชินอ๋องและจวิ้นอ๋องทุกพระองค์ พระสุรเสียงสงบ
“ใครว่าผู้หญิงไม่สามารถเป็นจักรพรรดิได้ เรื่องนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยมีจักรพรรดินีแห่งต้าหยางเป็นผู้ริเริ่ม”
‘หยาง’ เป็นราชวงศ์ก่อนหน้าราชวงศ์โจว ที่มีประวัติศาสตร์ห่างจากปัจจุบันเกือบสองพันปี ในยุคกลางของต้าหยาง นครรัฐทุกแห่งก่อการกบฏ บุกโจมตีและยึดครองเมืองหลวงของต้าหยาง เข่นฆ่าสมาชิกของพระราชวงศ์ และฆ่าผู้ชายจนแทบไม่เหลือ
ในเวลานั้นองค์หญิงของต้าหยางพระองค์หนึ่ง มีพรสวรรค์อย่างยิ่งยวด ไม่เรียนด้านศิลปวรรณคดี ทรงโปรดด้านวิทยายุทธ์เพียงด้านเดียว ในขณะที่พระบิดา พระเชษฐา และผู้ชายในตระกูลถูกฆ่าจนเกือบหมดในการก่อกบฏ พระองค์ได้ทรงยืนขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
พระองค์ได้รวบรวมกองกำลังทหาร ปราบกบฏทุกแห่งให้สงบลง โดยใช้เวลาหกปี ในที่สุดก็ปราบความวุ่นวายของนครรัฐให้สงบลงได้
จากนั้นพระองค์ก็เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ และกลายเป็นจักรพรรดินีคนแรกในประวัติศาสตร์ของที่ราบลุ่มภาคกลาง
ลี่อ๋องทรงหัวเราะเยาะเย้ยแล้วตรัสว่า
“ถ้าเจ้าเป็นทหารขั้นสอง ข้าจะคุกเข่าลงและขอร้องให้เจ้าขึ้นครองราชย์”
จักรพรรดินีของต้าหยางอยู่ในขั้นสอง
ฮว๋ายชิ่งยังคงสงบ สีพระพักตร์ไม่เปลี่ยน ทรงตรัสอย่างเย็นชาว่า
“ตบะของข้าตื้นเขิน แค่ขั้นสี่เท่านั้น แต่สวี่ชีอันนั้นได้เลื่อนสู่ขั้นสองแล้ว”
ในตำหนักด้านข้าง สีหน้าทุกคนตื่นตะลึง
ลี่อ๋องเบิ่งตาโต พระหัตถ์ที่ค้ำไม้เท้าสั่นเล็กน้อย
“สวี่ชีอัน…เขาเลื่อนสู่ขั้นสองแล้ว?!”
เมื่อเห็นว่าฮว๋ายชิ่งไม่พูด ก็ร้อนใจจนต้องกระแทกไม้เท้า ตรัสด้วยความพิโรธว่า
“ตอบข้ามา”
ฮว๋ายชิ่งยิ้มและกล่าวว่า
“มิเช่นนั้น จะมีกำลังไปสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายกับทหารกบฏจากอวิ๋นโจวได้อย่างไร?”
สีหน้าของอวี้อ๋องสะเทือนใจเล็กน้อย
“เจ้าหมายความว่า เขาสนับสนุนเจ้าให้เจ้าขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ…”
ฮว๋ายชิ่งใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ทั้งสองคนส่งข้อความผ่านหนังสือปฐพี…
หมายเลขสาม ‘คำถามสุดท้าย…’
หมายเลขหนึ่ง ‘เชิญพูดมาได้เลย’
หมายเลขสาม ‘เจ้าเต็มใจแต่งตั้งองค์ชายสี่จริงๆ หรือ?’
หมายเลขหนึ่ง ‘ทำไมจึงถามเช่นนี้’
หมายเลขสาม ‘เพราะข้าคิดว่า เจ้าอยากเป็นจักรพรรดิ’
เงียบไปเป็นเวลานาน…หมายเลขหนึ่ง ‘หากข้าต้องการขึ้นครองราชย์ เจ้าจะทำอย่างไร?’
หมายเลขสาม ‘ได้!’
จนถึงขณะนี้ เมื่อหวนระลึกถึงการเจรจากันคราวนั้น ฮว๋ายชิ่งก็ยังคงรู้สึกได้ถึงพระหทัยที่ปั่นป่วนตลอดเวลา
ในช่วงเวลานั้น พระองค์พระดำเนินมาถึงริมพระบัญชร ทรงเปิดพระบัญชร ปล่อยให้แสงตะวันและกระแสลมหนาวพรั่งพรูเข้ามาพร้อมกัน
พระองค์ทรงหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ เงยพระพักตร์ขึ้น หลับพระเนตร ตรัสสามคำออกมาราวกับถอนหายใจ
‘สวี่หนิงเยี่ยน…’
ฮว๋ายชิ่งไม่ได้ตอบคำถามของอวี้อ๋อง เพราะไม่มีความจำเป็น
พระองค์รับสั่งต่อไปว่า
“พรรคเว่ยและพรรคหวาง ล้วนเป็นคนของข้า องครักษ์สิบสองหน่วยส่วนใหญ่ต่างมาขอพึ่งพาอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าแล้ว กองทหารต้องห้ามทั้งห้าค่ายยอมรับตราพยัคฆ์เท่านั้น ไม่ยอมรับบุคคล และเวลานี้ตราพยัคฆ์ได้เป็นของในถุงผ้าของข้าแล้ว และยังได้รับการสนับสนุนจากสวี่หนิงเยี่ยนทหารขั้นสอง พระอัยกา พระปิตุลาทุกท่าน ในพระราชวงศ์ มีคนที่เหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิมากกว่าข้า?
“เจียงลวี่จงและจางไคไท่ที่ปกครองทหารอารักขานับหมื่นนายอยู่ที่ด่านอวี้หยางต่างก็เป็นคนของข้า หัวหน้าผู้บัญชาการของฉู่โจวเป็นคนของข้า พระอัยกาคิดว่า เพียงพอหรือไม่”
เงียบกริบ หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ลี่อ๋องก็ทรงตรัสอย่างเคร่งขรึมว่า
“ผู้หญิงเป็นจักรพรรดิ เป็นการทำลายจริยธรรมผิดกฎมนเทียรบาลราชสำนัก อย่าลืมว่านอกเมืองหลวง ยังมีสำนักอวิ๋นลู่อยู่”
“พอดีเลย ข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้พอดี” ฮว๋ายชิ่งพูดอย่างเย็นชาว่า
“ข้ารับปากแล้วว่า จะให้สำนักอวิ๋นลู่หวนกลับมายังราชสำนัก และจ้าวโส่วจะเข้ามามีส่วนร่วมในสำนักราชเลขาธิการ”
‘…’ ลี่อ๋องหลับพระเนตร
ฮว๋ายชิ่งถือโอกาสถามอีก
“พูดถึงการวางแผน พูดถึงความรู้ความสามารถ พูดถึงความกล้าหาญ ในแง่ของการวางแผนในแง่ของความสามารถในแง่ของความกล้าหาญในหมู่พระราชวงศ์ มีใครเหนือกว่าข้าบ้าง”
เหยียนชินอ๋องอ้าปาก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร
ฮว๋ายชิ่งทรงลุกขึ้นยืน กวาดตามองชินอ๋องและจวิ้นอ๋องทุกพระองค์ด้วยดวงพระเนตรแข็งกร้าว แล้วรับสั่งว่า
“นอกจากข้าแล้ว ในบรรดาพระราชวงศ์ยังมีใครที่สามารถช่วยต้าฟ่งที่กำลังตกอยู่ในภาวะล่อแหลมอันตรายให้รอดได้ ช่วยพวกท่านที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันให้รอดได้
นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์แสดงความสามารถของตัวเอง แสดงการดูแคลนออกมา
เวลานี้บรรดาสมาชิกของพระราชวงศ์จึงตระหนักว่า ที่ผ่านมาดูถูกองค์หญิงใหญ่เกินไป โดยคิดว่าพระองค์แค่ชอบเรียนหนังสือและฉลาดมากเท่านั้น
ตั้งแต่หยวนจิ่งจนถึงหย่งซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาพระองค์ทำตัวเรียบง่าย ไม่แสดงตัว และไม่สนใจเรื่องการบริหารบ้านเมือง
จนถึงเวลานี้ พระองค์เพิ่งจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตนเอง เมื่อพวกเขารู้ตัว ชีวิตก็อยู่ในกำมือของนางแล้ว
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขัดขืน ฮว๋ายชิ่งก็ลดการแสดงความสามารถของตัวเอง รับสั่งว่า
“ที่เรียกทุกท่านมาในวันนี้ ก็เพราะข้าไม่ต้องการให้พระราชวงศ์ต้องนองเลือด หากพวกท่านสนับสนุนข้า ก็ย่อมสามารถมีความสุขกับความมั่งคั่งสูงศักดิ์ หากคิดไม่ซื่อ ก็จะโดนประหารโดยไม่มีการยกโทษ”
“พระอัยกา ท่านเป็นผู้อาวุโส เชิญกล่าวอะไรเสียหน่อยเพคะ”
ลี่อ๋องอดทอดพระเนตรไปทางฮว๋ายชิ่งไม่ได้ รู้สึกตกใจกับดวงพระเนตรที่สงบหม่นหมอง แต่กลับแฝงไว้ด้วยอันตรายถึงชีวิต ในใจรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที รับสั่งน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ข้าจะพูดอะไรได้อีก”
จากนั้นฮว๋ายชิ่งหันไปทอดพระเนตรพระเชษฐาที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ช่วยจัดสาบเสื้อ ลูบรอยยับบริเวณอกเสื้อให้เรียบอย่างอ่อนโยน รับสั่งเสียงอ่อนหวานว่า
“ต่อไปต้องลำบากพี่สี่และหย่งซิ่ง แล้วยังมีพี่น้องคนอื่นๆ ให้ไปอยู่ที่ชั้นใต้ดินของหอดูดาวชั่วคราวก่อน”
“พี่สี่และพี่น้องผู้สืบสกุลทุกคน ข้าจะดูแลทุกคนอย่างดี หากพระปิตุลาทุกท่านสนใจที่จะไปพักที่หอดูดาว ข้าก็ยินดีต้อนรับ”
สีพระพักตร์สมาชิกพระราชวงศ์ที่อยู่ในเหตุการณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘แปะๆ!’
ฮว๋ายชิ่งทรงปรบพระหัตถ์ เรียกทหารที่อยู่นอกตำหนักด้านข้าง สั่งการว่า
“พากลับไปที่ตำหนักกระดิ่งทอง แล้วค่อยพาสมาชิกของพรรคหวางมาหาข้า”
พรรคหวางไม่รู้เรื่องที่พระองค์ต้องการที่จะขึ้นครองราชย์ สวี่ชีอันใช้เรื่องการแต่งตั้งเหยียนชินอ๋องเป็นเหตุผลในการเกลี้ยกล่อมหวางเจินเหวิน
แต่ว่า ตอนนี้ได้ขึ้นเรือโจรแล้วคิดจะลงก็ยากแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ ฮว๋ายชิ่งต้องเปิดใจคุยกับเหล่ากำลังสำคัญของพรรคหวาง
…
ใกล้เที่ยง ความวุ่นวายจากพระราชวังถึงเขตพระราชฐานสงบลงอย่างสิ้นเชิง ยอดฝีมือในกองทหารต้องห้ามถูกสวี่ชีอันปราบหมดแล้ว ทหารจากองครักษ์สิบสองหน่วยที่จงรักภักดีต่อหย่งซิ่งนั้น ที่สามารถชักจูงให้ยอมจำนนได้ก็ชักจูงทั้งหมด ส่วนผู้ที่จงรักภักดีอย่างสุดจิตสุดใจนั้นถูกสังหารทั้งหมด
มีสวี่ชีอันคอยควบคุมอยู่ ภายในเขตพระราชฐาน ขุนนางต่างถิ่นที่ขุนนางชั้นสูงเลี้ยงไว้ ไม่มีใครกล้าโผล่หัวออกมา
ภายในตำหนักกระดิ่งทอง เหล่าขุนนาง ขุนนางชั้นสูง และพระราชวงศ์รวมตัวกันอีกครั้ง ฮว๋ายชิ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางการอารักขาของทหารสองแถว ก้าวเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง ด้วยฉลองพระองค์กระโปรงสีขาว ชายฉลองพระองค์กระโปรงลากพื้น
พระองค์พทรงพระดำเนินไปยังพระราชอาสน์ด้วยพระอิริยาบถสง่าผ่าเผย ทอดพระเนตรลงมายังกลุ่มขุนนางในตำหนัก พระสุรเสียงเยือกเย็น
“นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูหนาวเป็นต้นมา ภัยหนาวคุกคาม ประชาชนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หย่งซิ่งปกครองบ้านเมืองไม่ราบรื่น จนทำให้ราษฎรสั่งสมความแค้นเคือง ก่อการกบฏขึ้นทั่วทุกแห่งหน พระองค์รู้ว่าจริยธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง จึงต้องการที่จะสละราชสมบัติให้กับผู้ที่มีคุณธรรมและความสามารถ ฝากฝังบ้านเมืองไว้กับข้า”
“จ้งชิงมีความเห็นต่างหรือไม่?”
ยกเว้นคณะทูตจากอวิ๋นโจวแล้ว เหล่าขุนนาง ขุนนางชั้นสูงและพระราชวงศ์ทั้งตำหนัก ต่างก้มหน้าตะโกนเสียงดังว่า
“พระองค์ทรงคุณธรรม สามารถสืบทอดพระราชภารกิจสำคัญนี้ได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถเรียกฝ่าบาทได้
คณะทูตจากอวิ๋นโจวยืนอย่างโดดเดี่ยว นอกจากรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ยังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างยิ่ง
…
บนหลังคาตำหนักกระดิ่งทอง สวี่ชีอันยืนมือไพล่หลัง มองลงมาที่พระราชวัง
สายลมหนาวเปิดชายเสื้อของเขาออก พัดจอนผมของเขา เสียงของเหล่าขุนนางในตำหนักดังก้องอยู่ในหู สวี่ชีอันนึกถึงเมื่อสองปีก่อน ที่เขายังเป็นคนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีค่าพอที่จะพูดถึงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
หยวนจิ่ง เว่ยเยวียน ท่านโหราจารย์ หวางเจินเหวิน และเหล่าขุนนางในตำหนัก ทุกคนล้วนมีตำแหน่งสูง และเป็นบุคคลที่เขาได้แต่มองจากที่ไกลๆ โดยไม่สามารถเข้าถึงได้
สองปีต่อมา คนเหล่านี้ที่ตายก็ตายไป ที่ป่วยก็ป่วยไป และเหล่าขุนนางในราชสำนัก รวมทั้งทั่วทั้งเมืองหลวง ต่างอยู่ใต้เท้าเขา
‘แม่น้ำฉางเจียงโหมซัดสาดสู่บูรพาทิศ วีรบุรุษจำนวนเท่าใดที่สูญหายไปดุจดังคลื่นที่ซัดกระเซ็น ไม่ว่าความถูกหรือความผิด ความสำเร็จหรือความล้มเหลว ล้วนไม่จีรัง มีเพียงภูเขาเขียวขจีที่ยังคงอยู่ และดวงอาทิตย์ที่ยังคงมีขึ้นและตกดิน…’
หากกวีบทนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้เกิดข้อโต้แย้งครั้งใหญ่อีกครั้ง อารองก็จะต้องถูกตำหนิอีกแล้ว
หลังจากท่องบทกวีแล้ว เขาก็ยิ้มด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
แต่ข้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมีชื่อเสียงด้วยบทกวีดังเช่นในอดีตอีกแล้ว
…
ในห้องทรงพระอักษร มีเพียงฮว๋ายชิ่งและสวี่ชีอันเท่านั้น
“นับว่าข้ายังเป็นคนมีเกียรติอยู่บ้าง องครักษ์สิบสองหน่วยและกองทหารต้องห้ามของเมืองหลวงนั้นถูกปราบหมดแล้ว และทุกคนต่างก็ให้เกียรติข้ามาก โดยการอยู่ในความสงบชั่วคราว”
สวี่ชีอันยืนอยู่ในห้องโถง มองไปที่หญิงงามผู้เย็นชาที่อยู่หลังโต๊ะ พูดว่า
“ต่อจากนี้จะรักษาขวัญทหารให้มั่นคง สับเปลี่ยนคนสนิท และรักษาจิตใจของประชาชนให้มั่นคงได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องของพระองค์แล้ว”
เขาทำท่าทางไม่สนใจเรื่องของคนอื่น
ต่อจากนี้ เมืองหลวงจะเข้าสู่ช่วงเวลาสับสนวุ่นวายระยะสั้นๆ อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ๆ ทั้งหลายต้องทำการกวาดล้างทั้งหมด
สามารถดึงมาเป็นพวกได้ก็ดึงมา ไม่สามารถดึงมาได้ก็กำจัดไปเสีย แน่นอนว่า ที่ควรประนีประนอมก็ประนีประนอม ยอมถอยในระดับหนึ่ง
เรื่องพวกนี้เขาไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว สวี่ชีอันเชื่อว่าองค์หญิงสามารถจัดการเองได้
นิ้วของฮว๋ายชิ่งลูบพู่กันบนราวแขวนพู่กัน แล้วเลือกพู่กันงาช้างมาด้ามหนึ่ง แล้วทรงรับสั่งอย่างเย็นชา
“ต่อจากนี้จะเผชิญหน้ากับหลินอันอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเจ้าเช่นกัน”
“เมื่อครู่ นางกำนัลตำหนักจิ่งซิ่วเสี่ยงตายมาถ่ายทอดคำพูด เฉินกุ้ยเฟยต้องการพบเจ้า หลินอันก็อยู่ด้วย”
หลังจากประตูทั้งสี่ของพระราชวังอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็ได้ผ่อนคลายข้อจำกัด โดยไม่ห้ามบรรดาพระราชโอรส พระราชธิดา และนางสนมทุกตำหนักทุกวังในการเข้าออกที่พักอีกต่อไป
สวี่ชีอันคิดไปคิดมา แล้วพูดว่า
“เรื่องการรักษาจิตใจของประชาชนให้มั่นคง ข้าพอมีวิธี สามารถนำคณะทูตจากอวิ๋นโจวไปเดินแห่ประจาน จากนั้นก็ติดประกาศ บอกว่าการกวาดล้างขุนนางทรยศครั้งนี้ข้าเป็นคนจัดการเอง เจ้าเป็นองค์หญิง ขึ้นครองราชย์อย่างไม่ถูกต้อง ในขณะที่ยังไม่มีความดีความชอบอะไร ราษฎรในใต้หล้าจะไม่มีวันยอมรับเจ้า”
“แต่สามารถยืมชื่อเสียงของข้าได้”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” ฮว๋ายชิ่งยกพู่กันขึ้นจุ่มน้ำหมึก เขียนบทกวีที่เขาเคยประพันธ์ก่อนหน้านี้ตามอารมณ์ลงบนกระดาษ รับสั่งว่า
“เฉินกุ้ยเฟยนั้นไม่ต้องสนใจ หากรู้สึกรำคาญ ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง สำหรับหลินอัน…”
มุมพระโอษฐ์ขององค์หญิงใหญ่โค้งขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“ฆ้องเงินสวี่ถนัดในเรื่องคำหวาน ใช้ความชำนาญของเจ้าก็พอแล้ว”
อย่าพูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้… สวี่ชีอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“ถึงอย่างไรหย่งซิ่งก็เป็นพี่ชายของนาง”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
“ดังนั้นการไว้ชีวิตเขาก็เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับหลินอัน ร้องไห้สักสองสามวัน นางก็จะคิดได้เอง”
สวี่ชีอันรู้สึกพ่ายแพ้ จึงพูดด้วยความไม่พอใจ
“นี่คือท่าทีในการช่วยเหลือข้าของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ฮว๋ายชิ่งวางพู่กันลง มองเขาด้วยพระพักตร์เรียบเฉย
“หย่งซิ่งได้สละราชสมบัติแล้ว การสมรสพระราชทานของเขาจึงไม่มีผล หลังจากที่ข้าขึ้นครองราชย์แล้ว ย่อมต้องช่วยฆ้องเงินสวี่ยกเลิกการหมั้นหมายอยู่แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการปลอบขวัญหลินอันอีก”
“อารองของข้าได้รับปากแล้ว จะยกเลิกได้อย่างไร” สวี่ชีอันส่ายหน้าไม่หยุด
“ข้าบอกว่าได้ก็ต้องได้” ฮว๋ายชิ่งแสดงอำนาจบาตรใหญ่อย่างไม่คาดคิด ราวกับไม่ยกเลิกการหมั้นหมายไม่ได้
“พระองค์กังวลกับเรื่องตรงหน้าก่อนเถิด!”
สวี่ชีอันประสานมือคารวะ ออกจากห้องทรงพระอักษร ไม่ได้ไปวังหลัง แต่เดินออกไปจากพระราชวัง ไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ในห้องทรงพระอักษร ฮว๋ายชิ่งทรงกัดริมพระโอษฐ์ ทำเสียงออกทางพระนาสิกด้วยความไม่พอพระทัย
…
เขาขี่แม่ม้าน้อย ‘กุบกับ กุบกับ’ กลับไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แล้วไปที่คุกใต้ดิน โดยการนำของซ่งถิงเฟิง
ทหารประจำคุกเปิดประตูเหล็กที่ไปสู่ชั้นใต้ดิน ซ่งถิงเฟิงเดินนำหน้า ขณะที่เดินผ่านห้องไต่สวนก็พูดด้วยความสงสัยว่า
“หนิงเยี่ยน ทุกครั้งที่เห็นเครื่องลงทัณฑ์แปลกประหลาดเหล่านี้ ข้าก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ลืมอะไรบางอย่างไป”
สวี่ชีอันไม่คุ้นเคยกับคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และไม่คุ้นเคยกับเครื่องลงทัณฑ์เสียยิ่งกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจคำพูดของซ่งถิงเฟิง
“แล้วเราค่อยไปหอคณิกากัน แต่เจ้าจะต้องปลอมตัวก่อน”
“มีเวลาว่างแล้วค่อยคุยกัน ตอนนี้มีเวลาไปหอคณิกาที่ไหนกัน”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปมา ไม่นานก็มาถึงประตูคุกที่คุมขังคณะทูตจากอวิ๋นโจวไว้
ทหารคุ้มกันของคณะทูตจากอวิ๋นโจวนั้นฮว๋ายชิ่งได้มีพระราชโองการให้สังหารไปแล้ว เหลือไว้เพียงขุนนางของคณะเจรจาและจีหย่วน สวี่หยวนซวง สวี่หยวนไหว
ทั้งสามคนถูกขังไว้ด้วยกัน โดยถอดเสื้อชั้นนอกที่สวยงามออก สวมชุดนักโทษแทน
เส้นเอ็นมือและเท้าของสวี่หยวนไหวถูกตัดขาด สวมกุญแจมือและตรวน นั่งพิงผนังห้องอย่างหมดแรง
เมื่อเห็นสวี่ชีอันเปิดประตูคุกเข้ามา ทั้งสามคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน
จีหย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย และถอยหลังไปหนึ่งก้าว
สวี่หยวนไหวเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หันหน้าหนี สีหน้าเย็นชา
“เจ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่…”
ความรู้สึกของสวี่หยวนซวงที่มีต่อพี่ใหญ่คนนี้มีความซับซ้อนยิ่งนัก มีทั้งความเป็นศัตรูที่ถูกกรอกความคิดมาตั้งแต่เด็ก มีทั้งความเห็นใจที่ได้รับอิทธิพลมาจากแม่ มีทั้งความเคารพของน้องสาวที่มีต่อพี่ชาย และมีทั้งต่างคนต่างจนใจ
สำหรับตัวนางเองก็ไม่แน่ใจว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อพี่ใหญ่กันแน่
“สวี่ผิงเฟิงให้พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่เมืองหลวง จงใจทำให้ข้าชิงชัง หรือเพื่อเพิ่มความผิดให้จีหย่วน”
สวี่ชีอันมองพวกเขาอย่างเคียดแค้นเหยียดหยาม
สวี่หยวนซวงก้มหน้า พูดเสียงเบาว่า
“ข้าคิดว่ามีทั้งสองอย่าง”
สวี่ชีอันพิจารณาคนทั้งสอง หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า
“ดูท่าทางจะถูกมองเป็นมดที่สามารถทอดทิ้งได้ตามอารมณ์ ช่างไร้ค่าเสียจริง ไม่มีแม้กระทั่งคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์”
สวี่หยวนไหวกำหมัดแน่นทันที แต่เอ็นมือขาดแล้ว แม้แต่หมัดก็กำไม่ได้
สวี่หยวนซวงทั้งเสียใจและอับอาย จึงก้มหน้าลง
“ในเมื่อมาเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ต้องคิดจะกลับไปแล้ว ที่นี่ไม่คู่ควรกับพวกเจ้า” สวี่ชีอันหันไปมองซ่งถิงเฟิง
“ย้ายพวกเขาไปที่ชั้นใต้ดินของหอดูดาว”
ซ่งถิงเฟิงพยักหน้า
“เจ้าหมอนั่นสอบปากคำแล้วหรือยัง” สวี่ชีอันมองจีหย่วนที่นั่งพิงผนังอยู่
“ได้สอบถามโหรแห่งสำนักโหราจารย์แล้ว ข้อมูลเป็นความลับ ข้ายังไม่ได้อ่านเลย” ซ่งถิงเฟิงพูดจบ ก็มองไปที่สวี่หยวนซวง จุปากแล้วพูดว่า
“สาวน้อยรูปงามเช่นนี้ อย่าส่งไปที่สำนักโหราจารย์เลย หนิงเยี่ยน เจ้าพากลับบ้านไปเป็นอนุภรรยาเถิด”
เขาไม่รู้ชาติกำเนิดของสวี่ชีอัน และไม่รู้เรื่องความวุ่นวายเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นของวงศ์ตระกูลอวิ๋นโจว
ต่อไปหากมีโอกาสก็สามารถพากลับบ้านไปให้อารองได้พบกับพวกเขา จะได้ดูวิธีการต่อสู้ของพวกญาติผู้น้องผู้หญิงด้วย ว่าใครจะร้ายกาจกว่ากัน… สวี่ชีอันเดินไปหาจีหย่วน มองลงไป
“เจ้าจัดอยู่ในอันดับที่เก้าในหมู่พี่น้องที่ไร้ค่านั้น?”
จีหย่วนไม่โกรธแม้แต่น้อย ใบหน้ามีรอยยิ้ม
“จีหย่วนคารวะญาติผู้พี่”
หลังจากที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จีหย่วนก็สงบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากวิเคราะห์อย่างง่ายๆ แล้ว เขาคิดว่าสวี่ชีอันยังคงมีความคิดอยู่บ้าง ถึงแม้จะฉวยโอกาสก่อการเปลี่ยนแปลงคณะปกครองบ้านเมือง ยกผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นครองราชย์ แต่สวี่ชีอันไม่ได้สังหารตนเอง แสดงว่าคิดว่าตนเองยังมีคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์ ไม่แน่ว่าอาจจะนำเขาไปเจรจากับอวิ๋นโจว
‘เผียะ!’
หลังมือของสวี่ชีอันตบลงบนใบหน้าของเขา
จีหย่วนซึ่งเป็นปัญญาชนร่างกายอ่อนแอ จะทนได้อย่างไร จึงกระเด็นออกไปเหมือนกระสอบทราย หูอื้อ ผ่านไปเป็นเวลานานก็ยังไม่ลุกขึ้นมา
“อย่ามาอ้างตัวเป็นญาติ ใครเป็นญาติผู้พี่ของเจ้า?” สีหน้าสวี่ชีอันสงบ เหมือนเมื่อครู่เพิ่งตบแมลงวันตัวหนึ่ง
“เป็นลูกเมียหลวงหรือลูกเมียน้อย” เขาถามอีกครั้ง
จีหย่วนหูอื้อหูหนวกหู ฟังไม่ชัดเจน เมื่อเห็นสวี่ชีอันยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สวี่หยวนซวงเห็นแก่ความเป็นญาติกันจึงตอบแทนเขา
“ลูกเมียน้อย…”
สวี่ชีอันร้อง ‘โอ้’ หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า
“เกิดจากเมียน้อยหรอกหรือ เป็นหมากที่ไม่มีคุณค่าอีกตัว เจ้าคิดว่าคนในเมืองเฉียนหลงคนนั้น ยินดีที่จะจ่ายราคาเท่าไหร่เพื่อไถ่ตัวเจ้า?
“คิดดีแล้วค่อยตอบ นี่มีผลว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตกลับไปอวิ๋นโจวหรือไม่”
‘หยาบ ทหารที่หยาบคาย…’ จีหย่วนยันผนังลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก แก้มบวมเป่ง จู่ๆ ก็ก้มหน้า บ้วนฟันที่เปื้อนเลือดออกมาซี่หนึ่ง
สวี่หยวนซวงพูดเสียงต่ำว่า
“เขาเป็นน้องชายแท้ๆของจีเสวียน”
ตาสวี่ชีอันเป็นประกาย หัวเราะออกมา
“น่าสนใจ!”
เขาเดินไปทางจีหย่วนอย่างเชื่องช้า ฝ่ายหลังพิงผนังด้วยความตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ฝ่ามือเมื่อครู่ตบจนกำลังและความมั่นใจของเขาหายไปจนหมดสิ้น
“สมกับที่เป็นพี่น้องกัน เจ้ากับจีเสวียนเหมือนกัน ต่างไม่รู้จักตัวเอง”
เขาตบหน้าของจีหย่วนเบาๆ แล้วเดินนำซ่งถิงเฟิงและน้องสาวน้องชายเดินออกจากคุก
จีหย่วนพิงผนังห้อง กำหมัดทั้งสองข้างแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอัปยศ
ที่ทางเดินมีหลังคา สวี่ชีอันเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงใสไพเราะของหญิงสาว ดังมาจากห้องขังทางด้านซ้ายห้องหนึ่ง
“นี่ๆ ใช่ฆ้องเงินสวี่หรือไม่”
หันกลับไปมอง เป็นหญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมชุดนักโทษมอมแมม หน้าตาสวยสดงดงาม
สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่ง
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าเป็นขโมย ไม่ใช่สิ อาจู๋แห่งลัทธิเทพขโมย ตอนที่นิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์ต่อสู้กัน เจ้าเป็นคนจับข้าเข้ามา”
หญิงสาวดูเหมือนสะเทือนใจอย่างหนัก จับรั้วลูกกรงด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“อ้อ เจ้าเองหรือ มีอะไรหรือไม่” สวี่ชีอันพูดด้วยความฉงน
“เมื่อไหร่เจ้าจะปล่อยข้าออกไป ข้าถูกขังไว้เก้าเดือนแล้ว” น้ำเสียงของอาจู๋ตื่นเต้น
สวี่ชีอันมองไปที่ซ่งถิงเฟิง
“จะจัดการอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้”
ซ่งถิงเฟิงบุ้ยปาก
“นักโทษที่ก่อความผิดบ่อยครั้งที่มีชื่อเสียง ถ้าไม่เนรเทศ ก็ตัดมือ หรือไม่ก็ขังไว้จนตาย ก่อนที่เจ้าจะส่งนางเข้ามา เคยกำชับไว้ว่าให้ดูแลให้ดี ต่อไปจะเป็นประโยชน์มิใช่หรือ”
สวี่ชีอันคิดในใจ ทำไมข้าลืมไปหมดแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องใช้คนพอดี วันหลังหาตำแหน่งให้นางตำแหน่งหนึ่ง…ขณะที่สวี่ชีอันเพิ่งจะเดินออกจากประตูคุกใต้ดิน สวี่หยวนซวงก็กระซิบว่า
“หลายวันนี้จีหย่วนได้ติดต่อกับเฉินกุ้ยเฟยอย่างลับๆ”
เฉินกุ้ยเฟย…สวี่ชีอันพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับซ่งถิงเฟิง
“พรุ่งนี้ลากตัวคณะทูตจากอวิ๋นโจวออกไปเดินเล่นเสียหน่อย สร้างความประหลาดใจให้ราษฎรในเมืองหลวงเล็กน้อย”
ออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว ก็แยกทางเดินกับซ่งถิงเฟิงที่คุมตัวสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวไปยังสำนักโหราจารย์
เขาควบม้าห้อตะบึงไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
พอดี ในคดีพระสนมฝูมีข้อกังขาที่ทับถมอยู่ในใจที่ยังไม่ได้คลี่คลาย เขาต้องการถามเฉินกุ้ยเฟยด้วยตัวเอง
…………………………………………..