ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 743 ทั้งรักทั้งเกลียด
บทที่ 743 ทั้งรักทั้งเกลียด
สวี่ชีอันมอบม้าตัวน้อยให้กับหน่วยองครักษ์ราชวัลลภและตรงเข้าไปในพระราชวัง ไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันโออ่าของพระราชวัง วังใน
ก่อนหน้านี้วังในเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย กระทั่งทหารรักษาพระองค์ของพระราชวังก็ยังเข้าใกล้ไม่ได้ มีเพียงสตรีและขันทีเท่านั้นที่สามารถเดินไปเดินมาในวังในได้
แต่วังในสำหรับสวี่ชีอันในตอนนี้เป็นเหมือนสถานที่ที่เขาสามารถเข้าออกได้ทุกเมื่อที่ต้องการโดยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าองค์จักรพรรดิจะกริ้วแต่อย่างใด
แม้ว่าต่อไปจักรพรรดิจะกริ้ว ก็ต้องกริ้วเพราะเหตุผลอื่น
“จะว่าไปแล้ว ปรากฏการณ์เปลี่ยนจักรพรรดิบ่อยเช่นนี้ วังในก็คงยุ่งเหยิงวุ่นวายมากทีเดียว โชคดีที่จักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ไม่ถึงสามเดือน ฮว๋ายชิ่งก็เป็นสตรีนางหนึ่ง”
เมื่อนึกถึงสตรีที่งดงามราวกับดอกไม้ในวังใน สวี่ชีอันก็นึกถึงคำถามนี้ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
สามารถกล่าวได้ว่า หากใต้หล้าสงบสุขหลังจากที่จักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นเหล่านางสนมที่หยวนจิ่งทิ้งไว้ก็จะกลายเป็นของเล่นของหย่งซิ่งในเวลาไม่นาน
สาเหตุของคดีพระสนมฝูในตอนนั้น เป็นเพียงแค่การที่หย่งซิ่งดื่มสุราไปเล็กน้อย จากนั้นนางกำนัลจากตำหนักพระสนมฝูก็เชิญเขาไปในฐานะ ‘แขก’ ซึ่งนำไปสู่คดีของพระสนมฝูในเวลาต่อมา
สวี่ชีอันไม่เชื่อ ถ้าจะพูดว่าหย่งซิ่งไม่ได้คิดอะไรกับนางสนมคนนี้ของเสด็จพ่อแม้แต่น้อย
ในวังใน อาจมีเพียงตำแหน่งพระพันปีและเฉินกุ้ยเฟยเท่านั้นที่หลีกห่างจนรอดพ้นจากชะตากรรมเช่นนั้นได้
แต่หากผู้ที่ขึ้นครองราชย์ครั้งนี้ไม่ใช่ฮว๋ายชิ่ง แต่เป็นองค์ชายสี่ เช่นนั้นนางสนมสาวๆ ที่งดงามดุจดอกไม้ในวังในของหย่งซิ่งก็คงหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ตายตัว กลายเป็นของเล่นของจักรพรรดิองค์ใหม่
มีตัวอย่างที่คล้ายกันมากมายในหนังสือประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จักรพรรดิจะปล้นลูกสะใภ้ ปล้นน้องสะใภ้ ปล้นพี่สะใภ้ ปล้นสตรีของพระราชบิดา
ไม่นานเขาก็มาถึงตำหนักจิ่งซิ่ว ขันทีชราที่เฝ้ายามอยู่ที่ประตูกลัวจนตัวสั่นงันงกและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ชะ เชิญฆ้องเงินสวี่รอในห้องโถงสักครู่ ทะ ทาสจะไปแจ้งไท่เฟยก่อน…”
สวี่ชีอันเข้าไปในห้องโถง ทันทีที่นั่งลง ขันทีคนนั้นก็เดินออกไปและกลับเข้ามา คุกเข่าลงที่ด้านหน้าเขา
“ไท่เฟยเชิญฆ้องเงินสวี่เข้าไปคุยด้านในขอรับ”
สวี่ชีอันลุกขึ้นยืนทันทีและเดินอ้อมไปที่หน้าตำหนักอย่างคุ้นเคยโดยไม่รอให้ขันทีนำทาง ไม่นานเขาก็มาถึงลานด้านหน้าตำหนักอันโอ่อ่าที่เฉินไท่เฟยอาศัยอยู่
ลานหน้าตำหนักไม่นับว่าใหญ่มาก มีวิวต้นไม้สองสามต้นปลูกอยู่ทางทิศใต้ มีแปลงดอกไม้อยู่ข้างต้นไม้ ทางทิศตะวันตกเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีเต่าและปลาคาร์ฟ ส่วนทางทิศเหนือเป็นอาคารสองชั้นทาสีแดงทั้งหลัง
ด้านในตำหนักว่างเปล่า ไม่มีนางกำนัลและขันทีเดินพลุกพล่านไปมา
สวี่ชีอันเดินผ่านลานด้านหน้า เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้วก็เห็นสองแม่ลูกนั่งอยู่บนฟูกนุ่มในห้องนั่งเล่น
นอกจากนางกำนัลข้างกายหลินอันแล้ว ในห้องก็ไม่มีคนอื่นอีก
เฉินไท่เฟยสง่างามเฉกเช่นเคย มวยผมอันงดงามสลับซับซ้อน พร้อมด้วยเครื่องประดับศีรษะอันหรูหรา นางสวมเสื้อผ้าแพรที่ตัดเย็บขึ้นอย่างประณีต ถึงแม้จะมีรอยตีนกาตื้นๆ เกิดขึ้นในวัยสี่สิบกว่า แต่ก็ไม่ได้ทำลายรูปลักษณ์ของนางแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามนางกลับมีความพิเศษและทรงเสน่ห์จนสุดจะพรรณนา
เป็นเพราะรูปลักษณ์อันงดงามเช่นนี้ ถึงได้ให้กำเนิดหญิงงามที่น่ารักและสดใสอย่างหลินอันได้ รวมทั้งหย่งซิ่งก็มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่เลวเช่นกัน
หลินอันสวมชุดกระโปรงสีแดงปักดิ้นทอง นางดูงดงามและหรูหรา ใบหน้ารูปไข่ช่างละเอียดลออ ดวงตาดอกท้อของนางมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เครื่องแต่งกายที่สวยสดและปราณีตเหล่านั้นทำให้ห้องเต็มไปด้วยความแวววาว
ขอบตาของทั้งสองแม่ลูกเป็นสีแดงก่ำราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน
เมื่อเห็นสวี่ชีอันเข้ามา ดวงตาของเฉินไท่เฟยก็ฉายแววความเกลียดชัง ขณะที่หลินอันมองเขาด้วยความคับแค้นและเจ็บปวด ก่อนที่เบ้าตาชื้นจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ถวายบังคมไท่เฟย”
สวี่ชีอันโค้งคำนับอย่างมีมารยาท
“ข้ามิบังอาจรับ!” เฉินไท่เฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเบาด้วยสีหน้าเย็นชา “ฆ้องเงินสวี่เป็นที่น่าภาคภูมิใจของที่ราบกลาง เพียงคำพูดเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจของจักรพรรดิได้ ข้าเป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือคนหนึ่ง มิบังอาจรับการเคารพที่นอบน้อมของฆ้องเงินสวี่ได้หรอก”
“ไท่เฟยต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใด?” สวี่ชีอันถามตรงเข้าประเด็น
เฉินไท่เฟยไม่กล่าวอะไร เพียงแต่ชำเลืองมองหลินอัน
ส่วนหลินอันก็เม้มปากและไม่พูดอะไรสักคำ
ทันใดนั้นเฉินไท่เฟยก็จ้องนางด้วยสายตาเฉียบคมและชั่วร้าย หยดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของหลินอัน จากนั้นนางก็สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “หนิงเยี่ยน ทะ ทำไมเจ้าทำกับเสด็จพี่จักรพรรดิเช่นนี้”
หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย
นางเป็นเหมือนเด็กสาวที่ถูกคนรักหักหลังและทอดทิ้ง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร้องไห้ อ่อนแอและน่าสมเพช
เฉินไท่เฟยก็ร้องไห้ขึ้นมาเช่นกัน นางร้องไห้ไปเช็ดน้ำตาไป “ตอนที่เจ้ายังเป็นฆ้องทองแดงคนหนึ่ง หลินอันปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสุดหัวใจ อ้อนวอนจักรพรรดิองค์ก่อนแทนเจ้า มอบยาอายุวัฒนะ เงินทองด้วยความไม่ตระหนี่ ข้ายังจำฉากที่นางขอยาจากจักรพรรดิองค์ก่อนมารักษาบาดแผลเจ้า ใครจะไปคิดว่าภายในพริบตาเดียว เจ้าจะปฏิบัติกับนางเช่นนี้ ตอนแรกตระกูลสวี่ของเจ้าก็ลำบากยากแค้นเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว เจ้าก็ละทิ้งผู้คนที่ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจราวกับรองเท้าสำรอง หัวใจของเจ้าเป็นหินงั้นรึ?”
หลินอันได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางก็เหมือนถูกคมมีดบาดลึกขึ้นเรื่อยๆ
เฉินไท่เฟยร่ำไห้พลางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของหย่งซิ่งจบลงแล้ว และข้าก็ไม่ได้ขออะไรฟุ่มเฟือย เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเห็นแก่หลินอัน ปล่อยพวกเราสองแม่ลูกจากไปเถอะ ข้ารู้ เจ้าสามารถพูดว่าตนเองจะดูแลหย่งซิ่งและรักษาชีวิตเขาได้ แต่ฮว๋ายชิ่งอดทนมาหลายปี จิตใจก็โหดเหี้ยมอำมหิต ย่อมไม่มีทางปล่อยหย่งซิ่งไปอย่างแน่นอน เจ้าก็ไม่สามารถอยู่ที่เมืองหลวงได้บ่อยๆ หากนางลอบสังหารหย่งซิ่งอย่างลับๆ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้?”
นางกล่าวไปร้องไห้ไป “ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว หากเขาตายไป ข้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้”
นางไม่ได้ร้องไห้ให้สวี่ชีอันเห็น แต่นางกำลังร้องไห้ให้หลินอันเห็น
เล่ห์เหลี่ยมนี้ใช้ไม่ได้ผลกับสวี่ชีอัน แต่สำหรับหลินอันแล้ว สามารถพูดได้ว่ามันทิ่มแทงจิตใจของนางค่อนข้างมาก อย่างไรเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่มีทางแยกออกจากกันได้ เมื่อเห็นมารดาที่มีฐานะศักดิ์สูงต้องยอมถ่อมตนเช่นนี้ หลินอันก็มองสวี่ชีอันด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ขะ ข้ารู้ว่าตนเองไร้ประโยชน์ ไม่ดีเท่าฮว๋ายชิ่ง แต่สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าจะเห็นแก่ไมตรีจิตระหว่างเราก่อนหน้านี้ แล้วปล่อยเสด็จพี่จักรพรรดิไปได้หรือไม่?”
ประกายความหวังในดวงตาของหลินอันดับวูบลง นางไม่ได้พูดอะไร ไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์ เพียงแค่ก้มหน้าลงเท่านั้น
นางกำนัลข้างกายไม่เคยเห็นทูนหัวของตนเองต้องถ่อมตัวเช่นนี้มาก่อน นางจ้องสวี่ชีอันตาเขม็งด้วยความโกรธ ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความเศร้าสร้อย
‘ฝ่าบาททรงเลี้ยงสุนัขด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้ง’
สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “ต้าฟ่งอยู่ในมือของหย่งซิ่ง และคงจะล่มสลายในไม่ช้าก็เร็ว หากข้าบอกเจ้าว่าข้าต้องตายไปพร้อมกับการล่มสลายของต้าฟ่ง เจ้าจะยังให้ข้าปล่อยหย่งซิ่งไปหรือไม่”
หลินอันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง
นางไม่รู้เรื่องที่สวี่ชีอันต้องพลีชีพไปพร้อมกับการล่มสลายของต้าฟ่ง
เฉินไท่เฟยพยายามใช้ช่องว่างให้เกิดประโยชน์โดยการกล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่จักรพรรดิแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ยอมออมมืออีก”
สวี่ชีอันหัวเราะเย้ยหยันและกล่าวว่า “พาหย่งซิ่งออกจากเมืองหลวง หลังจากนั้นก็เรียกกองกำลังทหารจากทั่วทุกพื้นที่ ขจัดความวุ่นวายในนามของกบฏ เฉินไท่เฟยคงมีความคิดเช่นนี้กระมัง”
เฉินไท่เฟยตกใจจนหน้าซีด แต่นางก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและร้องไห้สะอึกสะอื้น “หลินอัน นี่เขายืนยันจะฆ่าพี่ชายเจ้าให้จงได้”
“พอเถอะ!” สวี่ชีอันขมวดคิ้วและกล่าวตำหนิว่า “เฉินไท่เฟย ท่านคิดว่ามีหลินอันอยู่แล้วข้าจะไม่ฆ่าท่านใช่หรือไม่? แม้แต่เจินเต๋อข้าก็ฆ่าได้ นับประสาอะไรกับท่าน เดิมทีข้าก็อยากจะไว้หน้าท่านต่อหน้าหลินอัน แต่ในเมื่อข้าไว้หน้าท่านแล้วท่านไม่สนใจ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแล้ว”
เขาหันไปมองหลินอันทันทีและกล่าวเสียงนุ่ม “เจ้าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่ตัวเองหรือไม่?”
หลินอันตกตะลึง
“เฉินไท่เฟย ท่านเป็นผู้บงการในคดีพระสนมฝู ใช้กลยุทธ์ทนทุกข์กาย ขององค์รัชทายาท ดึงเรื่องไร้สาระของกั๋วจิ้วในตอนนั้นออกมา จุดประสงค์เบื้องหน้าคือดึงไท่โฮ่วให้ตกต่ำลง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการขูดลอกผิวหน้าของเว่ยเยวียนและหยวนจิ่ง หากหยวนจิ่งปลดไท่โฮ่วลงจากตำแหน่ง เว่ยเยวียนย่อมไม่สามารถนั่งดูเฉยๆ ได้ เสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งต้องบาดเจ็บ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ก็ล้วนเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับบางคน ซึ่งนี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ท่านจะคิดออกได้ ท่านและสวี่ผิงเฟิงเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
เมื่อได้ยินชื่อของ ‘สวี่ผิงเฟิง’ ออกมาจากปากเขา สีหน้าของเฉินไท่เฟยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
นางสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแสดงท่าทีน่าสงสาร
“สวี่ผิงเฟิงอะไรกัน ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงใคร”
“สวี่ผิงเฟิงคือหนึ่งในผู้นำกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว เฉินไท่เฟยสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ นี่คือความผิดที่ต้องลงโทษประหารชีวิตโดยการตัดมือ ตัดเท้า แล้วเชือดคอ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างเลือดเย็น
เฉินไท่เฟยกล่าวเสียงแหลม
“ไร้สาระ ฆ้องเงินสวี่บังคับให้ลูกชายข้าสละบัลลังก์ ตอนนี้แม้แต่คนแก่อย่างข้าก็ยังจะกำจัดให้สิ้นซากงั้นรึ”
สวี่ชีอันกลับไม่สนใจนางและมองไปที่หลินอันพลางกล่าวอธิบายว่า “ตอนแรกที่สืบสวนคดีนี้ เพียงแค่นางกำนัลของตำหนักจิ่งซิ่วคนหนึ่ง แต่สามารถหลบหลีกวิชามองปราณของข้าได้ เป็นเพราะนางมีอาวุธเวทมนตร์ในการปิดกั้นลมปราณอยู่กับตัว สำนักโหราจารย์ไม่มีทางมอบอาวุธเวทมนตร์เช่นนี้ให้กับแม่ของเจ้า เช่นนั้นอาวุธเวทมนตร์ที่อยู่กับนางกำนัลของตำหนักจิ่งซิ่วมาจากที่ใดกัน? ข้าจึงนึกถึงเป้าหมายที่แท้จริงของคดีพระสนมฝู หลินอันเจ้าลองคิดดู หากเว่ยเยวียนและหยวนจิ่งแตกหักกัน ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ใครกันที่ได้ประโยชน์? กบฏอวิ๋นโจวก็ดีอกดีใจที่เห็นความสำเร็จ”
หลินอันมองมารดาด้วยความตกตะลึง
เฉินไท่เฟยกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าอย่าไปเชื่อเขา เขาทำร้ายพี่ชายเจ้ายังไม่พอ แม้แต่ข้าก็ยังคิดจะฆ่าจะแกงกัน หลินอัน ลูกสาวของแม่ ทำไมชีวิตของเจ้ามันขมขื่นเช่นนี้นะ”
สวี่ชีอันยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ข้ายังพูดไม่จบ จีหย่วนย้ำชัดในระหว่างการเจรจาสงบศึกแล้ว ท่านส่งคนไปติดต่อเขาเป็นการส่วนตัว หวังว่าเขาจะยกมือให้การสนับสนุน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ เกี่ยวกับข้าและหลินอันจากท่านไม่น้อย ท่านเป็นแค่ไท่เฟยที่อยู่ในวังในคนหนึ่ง เอาอะไรมาคิดว่าสมณทูตอวิ๋นโจวจะไว้หน้าท่าน?”
เขาเกือบจะมั่นใจได้ว่าเฉินไท่เฟยเป็นสายลับของสวี่ผิงเฟิง แต่อย่างไรก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง ดังนั้นเขาจึงไม่พูดออกมา
การคาดเดาที่ยังไม่แน่นอนย่อมไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะถ้าหากมันผิดพลาด ก็อาจทำให้คนกระทำความผิดจับจุดความลึกตื้นของเจ้าออกและนำพาไปสู่เส้นทางที่ผิด
“คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว ท่านเถียงไปจะมีความหมายอะไร? ต้องให้ข้าพูดออกมาต่อหน้าหลินอันรึ?” สวี่ชีอันแสดงท่าทางราวกับคนที่ถือความจริงอยู่ในมือ
ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็แอบเปิดใช้พลังของซินกู่อย่างเงียบๆ ซึ่งมันส่งผลต่ออารมณ์ของเฉินไท่เฟย กระตุ้นความปรารถนาของนางที่จะสารภาพ ระบาย และบอกเล่า
ด้วยระดับการบำเพ็ญซินกู่ของเขาในตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะโน้มน้าวจิตใจของสตรีธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อได้รับผลกระทบจากซินกู่ สีหน้าของเฉินไท่เฟยก็ดูไม่มั่นคง แล้วจู่ๆ นางก็กรีดร้องออกมา
“หุบปาก! พวกเจ้าผู้ชายตระกูลสวี่ไม่มีใครใช้ได้สักคน ตอนนั้นพ่อของเจ้าสาบานกับข้าว่าจะรักและซื่อสัตย์ซึ่งกันและกันตลอดไป จะไม่แต่งงานกับใครนอกจากข้า พริบตาเดียวกลับสนับสนุนให้ท่านพ่อส่งข้าเข้ามาในวัง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขามองข้าเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง หลังจากใช้ประโยชน์จากข้าจนหมดก็ก่อเรื่องขึ้นที่อวิ๋นโจว พยายามยึดบัลลังก์ของลูกชายข้า”
…สวี่ชีอันอึ้งไปชั่วขณะ ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขากลับไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบใด
เขาคิดว่าเฉินไท่เฟยเป็นสายลับของสวี่ผิงเฟิง การคาดเดานี้ไม่ผิด แต่คิดไม่ถึงว่านอกจากสายลับแล้ว นางยังมีตัวตนอีกชั้นหนึ่ง
หลินอันก็ลืมที่จะร้องไห้เช่นกันและจ้องมองมารดาด้วยความตกตะลึง
“แล้วเจ้า!” เฉินไท่เฟยขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวว่า “ไอ้สารเลวสวี่ผิงเฟิงของเจ้า พ่อเจ้าหักหลังข้า ตอนนี้เจ้ายังจะมาทำร้ายลูกสาวข้าอีก หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้า คิดว่าข้าจะยอมให้หลินอันแต่งงานกับเจ้ารึ? ตอนนี้เจ้าบีบบังคับให้หย่งซิ่งสละบัลลังก์ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็อย่าได้คิดจะแต่งงานกับหลินอัน”
“สะ เสด็จแม่ตรัสอะไรเพคะ…” หลินอันสะอึกสะอื้น “ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้ ทำไม…”
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามารดาของนางจะเป็นคนรักเก่าของบิดาของคู่หมั้นตนเอง
สวี่ผิงเฟิงออกจากเมืองหลวงเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนและตัดสินใจสังหารท่านอาจารย์ของตนเอง ซึ่งก่อนหน้านั้นหลินอันได้กำเนิดออกมาแล้ว และในช่วงเวลานั้น หยวนจิ่งก็เกือบจะบรรลุการบำเพ็ญธรรม…จิตใจของสวี่ชีอันจมดิ่ง เขาพยายามกล่าวอย่างสงบว่า “หลินอันเป็นลูกของท่านกับสวี่ผิงเฟิงรึ?”
ด้วยขั้นตอนการบำเพ็ญของสวี่ผิงเฟิงในตอนนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะลักลอบรักกับเฉินไท่เฟยได้สำเร็จ ท่านโหราจารย์อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องไม่เอาไหนเหล่านี้ แน่นอนว่าหากจักรพรรดิหย่งซิ่งเป็นเชื้อสายของสวี่ผิงเฟิง เช่นนั้นท่านโหราจารย์ก็จะไม่มีทางปล่อยให้เขากลายเป็นองค์รัชทายาท
ดังนั้นจักรพรรดิหย่งซิ่งย่อมต้องเป็นสายเลือดของราชวงศ์อย่างแน่นอน แต่หลินอันนั้นไม่แน่ เพราะนางคือองค์หญิงที่ไม่มีโอกาสได้ครองบัลลังก์
และถึงแม้ว่าหลินอันจะมีปราณม่วงติดตัว แต่ของอย่างลมปราณเป็นสิ่งที่อาจได้มาโดยกำเนิดหรือได้มาหลังจากกำเนิดแล้วก็ได้
หากรากหญ้าคนหนึ่งตั้งตนเป็นจักรพรรดิ จากนั้นก็เพิ่มปราณม่วงเข้าไปในร่าง ในทำนองเดียวกันนั้น หลินอันเป็นองค์หญิงมายี่สิบกว่าปี ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดราชวงศ์ นางก็เป็นผู้ที่มีปราณม่วงติดตัวเช่นกัน
ดังนั้นวิชามองปราณทำได้เพียงดูชะตากรรม แต่ไม่มีทางทดสอบความเป็นพ่อลูกกันได้
เฉินไท่เฟยอุทาน ‘ถุย!’ และกล่าวว่า “เขาสมควรได้รับมันรึ?”
ฟู่ เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี…สวี่ชีอันโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาเห็นหลินอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
“ท่านติดต่อกับเขาได้อย่างไร” สวี่ชีอันถาม
“มีคนที่เขาจัดไว้ในตำหนักจิ่งซิ่ว แต่หลังจากรู้เรื่องการกบฏอวิ๋นโจว ข้าก็ทำให้นางจมน้ำตาย” เฉินไท่เฟยกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
เวลานี้เอง ผลกระทบของซินกู่ก็พลันหายไป เฉินไท่เฟยแสดงอาการงุนงง
‘นี่ข้าพูดอะไรไป?’
“หลินอัน ไปกับข้า”
สวี่ชีอันคว้ามือของสาวน้อยกระโปรงแดงและลากนางออกไป
สาวน้อยกระโปรงแดงเดินตามเขาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
“เจ้าจะพานางไปไม่ได้…”
เฉินไท่เฟยลุกขึ้นและพยายามขัดขวางเขา แต่กลับมีพลังลึกลับบางอย่างโจมตีที่เข่าของนาง
เข่าทั้งสองข้างทรุดลง จากนั้นก็มีอาการปวดอย่างรุนแรงจนเฉินไท่เฟยถึงกับล้มลงไปที่พื้น
นางกรีดร้องตะโกนดังลั่น “สวี่ชีอัน เจ้าอย่าคิดจะแต่งงานกับลูกสาวข้า ถึงข้าตายก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าแต่งงานกันเด็ดขาด”
หลินอันหันกลับมาโดยจิตใต้สำนึกพลางกล่าวสะอื้นไห้
“เสด็จแม่…”
สวี่ชีอันบีบบังคับลากให้นางออกไปกับเขา
หลังจากออกมาจากตำหนักจิ่งซิ่ว หลินอันก็หลุดพ้นจากฝ่ามือของเขา นางพยายามรักษาระยะห่างจากเขาพอสมควรและเดินอย่างเงียบๆ อยู่ในวังใน
สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ท่านพ่อของข้าเป็นโหรขั้นสอง เขาฉกชิงชะตากรรมของต้าฟ่งมาในยุทธการด่านซานไห่และซ่อนมันไว้กับข้า แต่ข้าไม่ได้บอกเจ้าว่าข้าเกี่ยวพันกับชะตากรรมของต้าฟ่ง ย่อมตายไปพร้อมกับการล่มสลายของต้าฟ่ง ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องช่วยต้าฟ่ง ทั้งเพื่อประชาชนและปกป้องตัวข้าเอง หย่งซิ่งไม่คู่ควร ต้าฟ่งอยู่ในมือของเขา คงถึงวาระที่ต้องล่มสลาย…”
เขาชำเลืองมองหลินอัน เห็นนางเย็นชาและเฉยเมยราวกับน้ำแข็ง เขายิ้มด้วยความขมขื่นและกล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่พูดแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ข้าส่งฝ่าบาทกลับไปที่ตำหนักเส้าอินจะดีกว่า”
หลินอันยังคงไม่ตอบโต้
สวี่ชีอันถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว ก่อนจะกลายเป็นเงาและหายไป
ทันทีที่เขาไป หลินอันก็อ่อนแรงลงทันที ร่างบางเดินโซเซและเหี่ยวแห้ง นางนั่งพิงเข้ากับกำแพงสีแดง กอดเข่าและร่ำไห้
…
ตำหนักจิ่งซิ่ว
เฉินไท่เฟยทรุดตัวนั่งลงบนฟูกนุ่ม เท้าแขนลงบนตั่งวางเครื่องดื่มน้ำชาพลางขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวพึมพำว่า
“อย่าได้คิดจะแต่งงานกับหลินอัน อย่าแม้แต่จะคิด เจ้าไม่กล้าฆ่าข้า ก็เหมือนกับที่เจ้าฆ่าหย่งซิ่งไม่ได้ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จ”
นางไม่มีทางปล่อยให้หลินอันแต่งงานกับคนที่บีบบังคับให้ลูกชายของนางต้องสละบัลลังก์เด็ดขาด
นางทำอะไรกับสวี่ชีอันไม่ได้ แต่หลินอันเป็นลูกสาวของนาง นางย่อมคุ้นเคยกับลูกสาว มันจึงมีวิธีที่จะแก้แค้นสวี่ชีอันผ่านหลินอัน
เวลานี้เอง ก็มีเสียงก่นด่าดังมาจากลานด้านนอก
“พวกเจ้าเป็นใครถึงกล้าบุกรุกเข้ามาในตำหนักจิ่งซิ่ว…”
จากเสียงก่นด่ากลายเป็นเสียงกรีดร้องขึ้นมากะทันหัน
เฉินไท่เฟยพยุงตัวเองขึ้นมา ในขณะที่กำลังมองออกไปที่ลานด้านนอกก็เป็นเวลาพอดีกับที่ขันทีชราเดินเข้ามา
“เป็นเจ้ารึ!”
เฉินไท่เฟยเห็นแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่านี่คือขันทีจากตำหนักเฟิ่งชี นางกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ามาทำอะไร มาเบ่งอำนาจแทนนายท่านของเจ้ารึ?”
ขันทีชราส่ายศีรษะและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทาสได้รับบัญชาจากองค์หญิงใหญ่ให้มารับใช้เฉินไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่ให้ทาสนำของขวัญเหล่านี้มาด้วย”
นางกล่าวเสียงแข็ง “นำมาให้ข้า”
ขันทีสองคนเดินเข้ามาในห้อง แต่ละคนถือถาดอยู่ในมือ ถาดที่มีสิ่งของอยู่สองชิ้น
ผ้าขาวและสุราพิษหนึ่งจอก
ขันทีชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงใหญ่ตรัสว่า สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้ พระองค์ยังไม่ได้ตัดสินพระทัยว่าจะประทานของชิ้นใด จึงให้เก็บไว้ที่ตำหนักจิ่งซิ่วก่อน วันใดที่ไท่เฟยก่อความวุ่นวาย ไม่คะนึงถึงความเป็นมนุษย์ ก็ให้เลือกสิ่งของหนึ่งในสองอย่างนี้และจากไปอย่างสงบพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินไท่เฟยมองไปที่ผ้าขาวและสุราพิษด้วยสีหน้าซีดเซียว
สวี่ชีอันฆ่านางไม่ได้ แต่ฮว๋ายชิ่งทำได้
…
ที่ข้างกำแพงวัง หลินอันร้องไห้จนเหนื่อย นางพยายามยืนขึ้นแต่ขาของนางก็ชาโดยไม่คาดคิด ฝีเท้าของนางโซเซจนเกือบจะล้มลงไป
โชคดีที่มีคนประคองนางไว้อย่างรวดเร็ว
เดิมทีนางคิดว่าเป็นนางกำนัลข้างกาย แต่เมื่อหันไปมองกลับพบว่าเป็นสวี่ชีอันที่ย้อนกลับมา
เขาสวมชุดฮั่นฝูสีเขียวฟ้า ใบหน้าและรูปลักษณ์หล่อเหลา แต่ในดวงตากลับสิ้นหวังและเศร้าหมอง
หลินอันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
วินาทีต่อมา นางก็ถูกเขาสวมกอดไว้แน่น เสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาดังขึ้นที่ข้างหู “ที่พวกเราทำอยู่เรียกว่ากงจู่เป้า สมชื่อจริงๆ”
หลินอันซบใบหน้าลงที่หน้าอกเขาและสะอื้นไห้ “ข้าเกลียดเจ้า”
“เกลียดเถอะ! ยิ่งเกลียดข้า เจ้าก็ยิ่งไปจากข้าไม่ได้”
สายลมกลุ่มหนึ่งพัดเข้ามา กระโปรงสีแดงและสีเขียวฟ้าปลิวไสวไปตามลม ทั้งสองเดินอยู่ข้างกำแพงที่ยาวเหยียดอย่างเงียบๆ จนกระทั่งร่างของทั้งสองค่อยๆ ห่างออกไปไกล
………………………………………………………