ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 746 ขึ้นครองบัลลังก์
บทที่ 746 ขึ้นครองบัลลังก์
อารองสวี่กับสวี่หลิงเยวี่ยสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จึงหันไปมองนอกห้องโถง
ในความมืด สวี่ชีอันสวมเสื้อคลุมสีคราม ในมือถือเหล้าขวดหนึ่ง เดินมาตรงแสงที่ส่องสว่างจากโคมไฟใต้ชายคา
ก้าวต่อมา เขาข้ามธรณีประตูและเข้าไปในห้องโถง
“หนิงเยี่ยน!”
ความปีติยินดีผุดให้เห็นบนใบหน้าของอารองสวี่ เขาพลันลุกขึ้นและเดินไปหาหลานชาย
อาสะใภ้กับหลิงเยวี่ยผุดยิ้ม ทว่าอาสะใภ้ก็แค่นเสียงในทันทีและวางท่าเย็นชา ขณะที่หลิงเยวี่ยดีอกดีใจเหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ ก่อนลุกขึ้นและเดินไปหาพี่ใหญ่ตามพ่อ
“อารอง ข้ากลับมาแล้ว”
สวี่ชีอันยิ้ม
ผู้ที่เดินทางไปไกลบ้านกลับมา เพียงแค่ ‘ข้ากลับมาแล้ว’ ประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว
“กลับมาก็ดีแล้ว” อารองสวี่ตบบ่าหลานชาย รับขวดเหล้าในมือเขา และหันไปพูดกับลวี่เอ๋อสาวใช้ส่วนตัวของอาสะใภ้ว่า
“เตรียมชามและตะเกียบให้ต้าหลางด้วย”
สวี่หลิงเยวี่ยได้โอกาสจึงเอ่ยเรียกอย่างนุ่มนวล
“พี่ใหญ่…”
น้ำเสียงค่อนข้างกระฉับกระเฉง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เด็กสาวกำลังมีความสุข
สวี่ชีอันพิศดูน้องสาวคนโตแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น
“ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง เจ้าสวยขึ้นมากนะ”
นางที่สืบทอดความงามของอาสะใภ้มาอย่างสมบูรณ์แบบ มีหน้าตาโดดเด่น งดงามไร้ที่ติ องคาพยพงามประณีต
รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่หลิงเยวี่ยอ่อนหวานขึ้น นางบ่นเสียงเบา
“วันนี้พี่ใหญ่จะกลับบ้าน เหตุใดไม่ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้า ข้าจะได้ทำกับแกล้มที่พี่ใหญ่ชอบไว้ให้”
ทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะทันที หลังจากลวี่เอ๋อนำชามกับตะเกียบมาให้ สวี่ชีอันกับอารองก็ดื่มเหล้าคุยเล่นกัน และเอ่ยถึงเอ้อร์หลางที่อยู่ห่างไกลในยงโจว
“หนิงเยี่ยน ในเมื่อเจ้ากลับมายังเมืองหลวง เจ้าคงรู้เรื่องข่าวการล่มสลายของชิงโจวแล้ว”
อารองสวี่ดื่มเหล้าอึกหนึ่งและกล่าวว่า
“เช่นนั้นก็คงไปเยี่ยมเอ้อร์หลางที่ยงโจวมาแล้วสินะ อาสะใภ้ของเจ้าเป็นกังวลเรื่องเอ้อร์หลางมาก ข้าบอกกับนางว่า หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเอ้อร์หลางจริงๆ เจ้าคงกลับมาแจ้งพวกเรานานแล้ว”
สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งค้างไปครู่หนึ่ง
“การล่มสลายของชิงโจวผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว หรือว่าอารองไม่ได้เขียนจดหมายไปถามสถานการณ์ของเอ้อร์หลาง”
สีหน้าของอารองสวี่แข็งค้างไปครู่หนึ่งเช่นกัน
อาหลานมองหน้ากันเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา
แม้จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก แต่ความรู้สึกคุ้นเคยนี้มันอะไรกัน รู้สึกเหมือนเคยเกิดเรื่องที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน…สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ยว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งสำนักอวิ๋นลู่ล้วนอยู่ที่ยงโจว พวกเขาจะคอยดูแลเอ้อร์หลางอย่างดี”
อารองสวี่ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน
“เจ้าพูดถูก”
เวลานี้เอง สวี่หลิงเยวี่ยสบโอกาสขัดจังหวะ จึงเอ่ยว่า
“พี่ใหญ่ เหตุใดบนตัวพี่ใหญ่ถึงมีกลิ่นเครื่องแป้งหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อารองสวี่ก็ใช้สายตา ‘ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ มองมาทางหลานชายทันที
“เอ๊ะ กลิ่นแรงเช่นนั้นเชียวหรือ” สวี่ชีอันดมกลิ่นด้วยความประหลาดใจและพูดอย่างใจเย็น
“เมื่อครู่ข้าไปดื่มกับเพื่อนร่วมงานสองสามคนจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แล้วมีหญิงสาวมาร่วมโต๊ะด้วย แต่ใจข้าคิดเพียงอยากกลับมาหาอารองกับอาสะใภ้ แล้วก็น้องสาว จึงนั่งดื่มครู่หนึ่งแล้วกลับมา”
สวี่หลิงเยวี่ยร้อง ‘อ้อ’ แล้วคลี่ยิ้ม พึงพอใจกับคำตอบนี้อย่างมาก
เหตุผลหลักคือตอนกลางคืนไม่มีส้มเขียวขายแล้ว แถมหลิงอินก็ไม่อยู่บ้าน จึงไม่มีทางได้เห็นนางกินส้มเขียวพลางทำหน้าบูดบึ้ง…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
เพราะสวี่หลิงเยวี่ยขัดจังหวะ ทุกคนจึงลืมเรื่องของเอ้อร์หลางไปอีกครั้ง
สวี่ผิงจื้อครุ่นคิดพักหนึ่งและกล่าวว่า
“ข้าได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์”
สวี่ชีอันอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ รวมถึงเหตุผลที่ต้องปลดหย่งซิ่ง
“สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนัก”
อารองสวี่ถอนหายใจ
“หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ เจ้ามีแผนการอย่างไร”
สวี่ชีอันครุ่นคิดและพินิจพิจารณา
“ข้าจะไปพบสวี่ผิงเฟิงที่ชิงโจวก่อน ท้าประลองกับเขาอย่างเป็นทางการ ศึกชี้เป็นชี้ตาย”
นี่คือสถานะอย่างเป็นทางการของเขาในฐานะผู้เดินหมาก ในนามของต้าฟ่งและตัวเขาเอง เขาจะท้าประลองกับอวิ๋นโจวและสวี่ผิงเฟิง
สวี่ผิงจื้อมีสีหน้าซับซ้อน ทั้งเศร้าโศก ทำอะไรไม่ถูก สะเทือนใจและเจ็บปวด เขาบ่นพึมพำ
“เลือดเนื้อเชื้อไขฆ่ากันเอง พ่อลูกฆ่ากันเอง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ
“อารอง เขาไม่ใช่พ่อของข้า ท่านต่างหากที่เป็นพ่อของข้า ระหว่างข้ากับเขา จำเป็นต้องแบ่งแยกความเป็นความตาย เขาไม่มีทางปล่อยข้าไว้ และข้าก็จะไม่ปล่อยเขาไว้เช่นกัน ข้าจะตามล่าเขาไปจนสุดขอบโลก ไม่ตายไม่เลิกรา”
เขารินเหล้าให้สวี่ผิงจื้อและพูดต่อ
“สวี่ผิงเฟิงไม่มีทางถอย เขารู้ว่าข้าจะไม่ปล่อยเขาไป แน่นอนว่าข้าเองก็เช่นกัน”
อาสะใภ้กล่าวว่า
“วันข้างหน้าข้าจะขอให้ตระกูลขีดฆ่าชื่อเขาและขับไล่เขาออกจากตระกูลสวี่”
อาสะใภ้สนับสนุนหลานชายอย่างไม่ลังเล แม้ว่าหลานชายคนนี้จะทั้งน่ารำคาญและพูดมาก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูกที่นางเลี้ยงดูมา
สวี่ผิงเฟิงเป็นพี่ชายของสามี ไม่ใช่พี่ชายของนาง
“ขอบคุณอาสะใภ้”
สวี่ชีอันพูดออกมาตรงๆ อย่างหาได้ยาก ก่อนกล่าวต่อ
“อารอง ข้ายังมีน้องชายอีกหนึ่งคนกับน้องสาวอีกหนึ่งคนอยู่ที่อวิ๋นโจว ทั้งสองติดตามคณะทูตแห่งอวิ๋นโจวมายังเมืองหลวงครานี้ เพียงเพื่อทำให้ข้าอับอาย ตอนนี้ถูกข้าจับขังไว้ที่สำนักโหราจารย์”
เขาเล่าเรื่องของสวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหว รวมถึงการพบกันตอนอยู่ที่ยงโจวให้อารองฟัง
“ฟังดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลสวี่” อารองสวี่พูดเสียงหนักแน่น
“หากเจ้ามีเวลาก็พาพวกเขากลับมาพบข้า อย่าทารุณพวกเขาล่ะ”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยขึ้นทันควัน
“ท่านพ่อ เหตุใดพี่ใหญ่ต้องทารุณพวกเขาด้วยล่ะ ถึงแม้พวกเขาจะมองพี่ใหญ่เป็นศัตรู ร่วมมือกับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวเพื่อฆ่าพี่ใหญ่ และต่อต้านพี่ใหญ่ในทุกที่ แต่เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด แม้ว่าพี่ใหญ่จะเจ็บช้ำเพียงใด ก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก”
สวี่ผิงจื้อกำลังจะพยักหน้า แต่ถูกเสียงตบโต๊ะด้วยความโกรธของอาสะใภ้ทำให้ตกใจ
“หึ ก็ร้ายกาจทั้งคู่นั่นแหละ จะพากลับมาเพื่ออะไร”
อาสะใภ้เอ่ยอย่างโมโห “อย่าพากลับมาบ้านเชียว”
“อยู่ดีๆ เจ้าโกรธอะไรขึ้นมาน่ะ…” อารองสวี่พยายามคุยด้วยเหตุผลกับภรรยา
สวี่ชีอันมองน้องสาวคนโตและรีบพูดว่า
“เอาล่ะๆ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันเพราะพวกเขา อารอง ดื่มๆ”
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า
“พี่ใหญ่ก็ดื่มด้วย”
และรินเหล้าให้เขาอย่างรู้ความ
‘พี่ใหญ่เห็นหรือไม่ น้องสาวที่มาจากอวิ๋นโจวคนนั้นแค่อยากทำร้ายพี่ใหญ่ ไม่เหมือนข้าที่รักพี่ใหญ่สุดหัวใจ’
…
ยามเหม่า ท้องฟ้าเริ่มสว่าง
เสียงตีกลองในพระราชวังดังขึ้น ประพันธ์เป็นท่วงทำนองอันงดงาม
พิธีขึ้นครองบัลลังก์จะวุ่นวายเป็นพิเศษ อันดับแรก เจ้ากรมพิธีการจะนำขุนนางบวงสรวงฟ้าดินแทนจักรพรรดิองค์ใหม่
หลังจากบวงสรวงฟ้าดินเสร็จ จักรพรรดิองค์ใหม่จะสวมชุดไว้ทุกข์เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพบุรุษ
เมื่อเสร็จสิ้นทั้งสองขั้นตอนแล้ว พิธีขึ้นครองบัลลังก์ถึงจะเริ่มต้นขึ้น
เจ้ากรมพิธีการจะนำเจ้าหน้าที่กรมพิธีการไปยังหอสักการะฟ้า แท่นบูชาเกษตรและศาลบรรพบุรุษ เพื่อแจ้งให้ทวยเทพและวิญญาณวีรชนของจักรพรรดิแต่ละองค์ในอดีตทราบว่า จักรพรรดิองค์ใหม่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์
หลังจากกลับมา ดนตรีพิธีกรรมจะบรรเลงกึกก้อง เสียงระฆังอันตระหง่านดังก้องไปยังนอกตำหนักกระดิ่งทอง
ณ ตำหนักบูรพา
ด้วยการปรนนิบัติของเหล่านางข้าหลวง ฮว๋ายชิ่งสวมชุดโอรสสวรรค์
ลักษณะเครื่องแต่งกายประเภทนี้ซับซ้อนมาก ประกอบด้วยมงกุฎ ฉลองพระองค์ เสื้อสีดำ ผ้านุ่งสีแดง มงกุฎประดับทองคำ แขวนสายประคำหยกสิบสองเส้น
เสื้อผ้าท่อนบนปักลายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ขุนเขา มังกรและหงส์ฟ้า เสื้อผ้าท่อนล่างปักลายสาหร่าย อัคคี ธัญญาหาร จอกคู่ ขวานและเครื่องหมายผู้ทรงธรรม ทั้งหมดสิบสองลาย จึงเรียกว่าชุดสิบสองสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ
หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นางข้าหลวงสองคนก็เคลื่อนกระจกสำริดที่สูงเท่าคนจริงมาวางด้านหน้าฮว๋ายชิ่ง
ในกระจกสำริด องค์หญิงใหญ่ทาแป้งบาง เขียวคิ้วหนา แสดงให้เห็นความห้าวหาญและเฉียบแหลม
เดิมทีนางเป็นหญิงสาวผู้เย็นชาและสูงส่ง เวลานี้สวมชุดสิบสองสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ศีรษะสวมมงกุฎสายประคำหยกสิบสองเส้น กลิ่นอายความหรูหราและสง่างามพวยพุ่งขึ้นมา
แม้แต่นางข้าหลวงใหญ่ที่ปกติแย้มยิ้มหวานหยาดเยิ้มก็ไม่กล้าหายใจในเวลานี้ นางค้อมศีรษะและหลุบตาลง ว่านอนสอนง่ายราวกับนกกระทา
หญิงสาวที่น่าเกรงขามเช่นนี้หาได้ยากในโลก
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการคนหนึ่งก้าวเข้าไปในประตูตำหนักบูรพาและเอ่ยอย่างนอบน้อมหลังม่าน
ฮว๋ายชิ่งร้อง ‘อืม’ นางออกจากตำหนักบูรพาภายใต้การคุ้มกันของนางข้าหลวงกับขันที และมุ่งหน้าไปยังตำหนักกระดิ่งทองท่ามกลางเสียงระฆังอันตระหง่าน
หลังข้ามสะพานจินสุ่ย เดินผ่านจัตุรัส ฮว๋ายชิ่งเดินขึ้นบันไดพระราชวัง สายตาจับจ้องไปที่ตำหนักกระดิ่งทองตรงหน้า นางมองเห็นบัลลังก์สูงภายในท้องพระโรงอันเปล่งประกายรางๆ
สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวของนางคือ หยวนจิ่งผู้มีนิสัยหวาดระแวงและไม่อาจทนต่อการกุมอำนาจของทายาทผู้มากความสามารถได้ เว่ยเยวียนผู้สำเร็จวิชาแก่กล้าที่มีจอนผมหงอกขาว ท่านโหราจารย์นักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่งผู้วางแผนได้อย่างยอดเยี่ยมแม่นยำ หย่งซิ่งผู้อ่อนแอ ไร้ความสามารถและขาดความกล้าหาญ
เมื่อนางสะบัดแขนเสื้อกว้าง และนั่งลงบนบัลลังก์ ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตานางอีกต่อไป
มันจบแล้ว!
ต่อจากนี้ไปคือยุคสมัยของนาง ไม่สิ ยุคสมัยของนางกับสวี่ชีอัน
นางกับเขาเป็นสองคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจในต้าฟ่งเวลานี้
ภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่กรมพิธีการ ขุนนางบุ๋นและบู๊เดินเข้ามาจากประตูอู่ ข้ามสะพานจินสุ่ย และยืนสองฝั่งของถนนหลวงอย่างเป็นระเบียบตามระดับตำแหน่งราชการ
จากนั้น เฉียนชิงซูปราชญ์มหาสำนักจากตำหนักอู่อิงก็ได้นำพระราชกฤษฎีกาเรื่องสืบทอดบัลลังก์มามอบให้กับเจ้ากรมพิธีการเพื่อถือพระราชกฤษฎีกาไปยังขั้นตอนต่อไป แล้วมอบให้กับเจ้าหน้าที่กรมพิธีการไปวางไว้ที่แผ่นเมฆาและส่งให้ในมือขันทีผู้รับผิดชอบพิธีกรรม
ขันทีกุมตราลัญจกรผู้รับผิดชอบพิธีกรรมในชุดคลุมลายพญางูสีแดงค้อมตัวรับแผ่นเมฆาและอ่านพระราชกฤษฎีกาเสียงดังให้เหล่าขุนนางฟัง
“พระราชกฤษฎีกานั้นว่า นานมาแล้วสมัยจักรพรรดิเกาจู่ครองราชบัลลังก์ ได้กว้านอาณาเขต สนับสนุนจิ้งซาน สอนสั่งสำนักพุทธ มีคุณธรรม สั่นสะท้านไปทั่วโลกา ปัดเป่าโรคร้ายแห่งต้าโจว ฟื้นฟูความสงบสุขแก่แผ่นดิน เป็นเวลาหกร้อยปีที่แผ่นดินสงบสุข บารมีอันรุ่งโรจน์ หวนคืนสู่จักรพรรดิ หย่งซิ่ง ซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากนางสนม ได้สืบสานปณิธานอันยิ่งใหญ่ ทว่ามีนิสัยอกตัญญู โง่เขลาและอ่อนแอ ไม่เคารพบรรพบุรุษ ไม่รักประชาชน ประจบสอพลอกลุ่มกบฏ ทั้งมนุษย์และทวยเทพต่างโกรธเกรี้ยว หญิงสาวเช่นข้า ได้รับความโปรดปรานจากสรวงสวรรค์และวิญญาณบรรพบุรุษ ทว่าถูกลิขิตให้พบอันตราย จึงส่งผลให้มีผู้มากความสามารถอยู่รอบกาย เวลานี้ เหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊ต่างเฝ้าเพ็ดทูลแนะนำให้ขึ้นครองบัลลังก์ เทิดทูนข้าเป็นจักรพรรดิ เพื่อดูแลประชาชน ตามคำขอของทุกท่าน ข้าจะขึ้นเป็นจักรพรรดิในวันที่สิบเจ็ด เดือนหนึ่ง ตั้งชื่อยุคว่า ‘ฮว๋ายชิ่ง’ เมื่อพิธีเสร็จสิ้น ทุกคนควรจัดการงานต่างๆ ของรัฐบาลร่วมกัน”
เมื่อพูดจบ!
ณ ถนนหลวงสองฝั่ง เหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊ค่อยๆ คุกเข่าลงและตะโกนว่า
“องค์จักรพรรดินี ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
เสียงตะโกนดังกระหึ่ม ดังก้องจนหูหนวก
บนบัลลังก์ ฮว๋ายชิ่งมองลงไปยังเหล่าขุนนาง ดั่งจักรพรรดิผู้เฝ้ามองฟ้าดิน
…
ณ หอดูดาว แท่นแปดทิศ
มู่หนานจือในชุดกระโปรงยาวงดงามสีชมพูกลีบบัวยืนอยู่ตรงขอบแท่นแปดทิศ และค่อยๆ ถอดสร้อยข้อมือที่ข้อมือข้างขวาออก
สายลมพัดชายกระโปรงและเส้นผมสีดำสลวยของนางจนปลิวไสว เยื้องกรายราวกับเทพธิดาผู้งดงาม งามสง่ายิ่งกว่าผู้ใดในโลก
นางยกแขนขวาขึ้น แขนเสื้อเลื่อนลงตาม ที่ข้อมือมีน้ำแข็งเกาะอยู่
นิ้วที่เรียบเนียนดุจหยกบิดเป็นรูปทรงคล้ายดอกไม้ มู่หนานจือหลับตาและเอ่ยเสียงเบา
“ข้าขอให้ดอกไม้ในเมืองหลวงบานสะพรั่ง อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมทั่วบ้านทั่วเมือง!”
ภายในความว่างเปล่าที่ดวงตาของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจมองเห็น เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตเอ่อล้นออกมาจากร่างของนางและปลิวไสวไปตามสายลม
ยามลอยข้ามแม่น้ำ ต้นหลิวตรงริมแม่น้ำก็แตกหน่อ
ยามลอยข้ามลานกว้าง ลานกว้างก็มีดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่งจนงดงามลานตา ยามลอยข้ามทุกซอกทุกมุมของเมือง พืชพรรณก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ดอกไม้บานสะพรั่งในพริบตา
เมื่อมองลงมาจากที่สูงจะเห็นสีสันอันสดใสงดงามของดอกไม้ที่บานสะพรั่ง แต่งแต้มอยู่ทุกหนแห่งในเมืองหลวง กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยคลุ้ง ชวนให้จิตใจเบิกบานและเป็นสุข
…
หนังสือประวัติศาสตร์ยุคหลังบันทึกไว้ว่า
ฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่สิบเจ็ด เดือนหนึ่ง จักรพรรดินีขึ้นครองบัลลังก์ ดอกไม้ในเมืองหลวงบานสะพรั่งในพริบตา ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกลนับสิบลี้ ความเป็นสิริมงคลโปรยลงมาจากฟ้า ประชาชนในเมืองหลวงต่างปลื้มปีติ ออกจากบ้าน คุกเข่าตรงถนน และตะโกนว่าทรงพระเจริญหมื่นปี
ทว่าสิ่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์คือ ในวันที่เมืองหลวงเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่งนั้น ฆ้องเงินสวี่จัดดอกไม้อยู่ในหอดูดาวที่สำนักโหราจารย์ตลอดทั้งวัน
…
ดวงตาของมู่หนานจือมืดลง นางล้มลงอย่างอ่อนปวกเปียก
ทว่านางไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่ล้มตัวลงในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน
“พักเสียหน่อยเถอะ!”
สวี่ชีอันโอบแขนรอบเอวของหญิงคร่ำครึ เขารู้สึกเพียงว่าสัมผัสที่มือซึ่งทำให้รู้สึกดีที่สุดในโลกคงจะเป็นแบบนี้ และคงเป็นได้แค่แบบนี้เท่านั้น
มู่หนานจือนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนปวกเปียก รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ก่อนพึมพำว่า
“ทุก ทุกอย่างเป็นความผิดเจ้า ทำให้ข้าปวดหัวเจียนตาย…”
นางกึ่งทำตัวออดอ้อนกึ่งทำเป็นโกรธ ซึ่งทำให้กระดูกของชายหนุ่มอ่อนยวบได้
สวี่ชีอันยกมือขึ้น นวดหว่างคิ้วของนางเบาๆ และทอดถอนใจ
“หญิงงามในโลกมีมากมาย เพียงแต่เทพดอกไม้มีผู้เดียว ไม่มีหนึ่ง ไม่มีสอง”
มู่หนานจือขมวดคิ้ว
“หยุดพูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจเสียที ถึงแม้เจ้าจะพูดจนริมฝีปากเปื่อย ข้าก็ไม่มีทางบำเพ็ญคู่กับเจ้าอีก หลังจากช่วยเจ้าเลื่อนขั้นสู่ระดับสอง พวกเราก็ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว และหากเจ้าบังคับข้าอีก ข้าจะละทางโลก”
สวี่ชีอันแยกไม่ออกว่านางเป็นคนเย่อหยิ่ง หรือนางลืมค่ำคืนแรกไม่ลง จนเกิดเงามืดในจิตใจขึ้น
“รู้แล้วๆ!”
เขาอุ้มคุณป้าคนงามวัยสี่สิบปี แล้วลงบันไดไปเพื่อออกจากแท่นแปดทิศ
ปัญหาของมู่หนานจือไม่ได้ร้ายแรง นางใช้พลังเยอะไป จึงอ่อนแอและหมดแรงเล็กน้อย รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว
วิญญาณของต้นไม้ที่ยังไม่ตายยังคงตื่นอยู่ พลังที่นางสามารถใช้ได้มีจำกัด สำหรับมู่หนานจือในตอนนี้ การทำให้ดอกไม้บานสะพรั่งทั่วทั้งเมืองค่อนข้างยากลำบาก
“ยังรู้สึกเจ็บอยู่หรือไม่”
สวี่ชีอันเทน้ำอุ่นให้นางและถ่ายพลังปราณลงไปเล็กน้อย
มู่หนานจือรู้สึกวิงเวียนศีรษะ จึงเอ่ยเสียงเบา
“ข้าอยากพักผ่อน…”
“บำเพ็ญคู่เสียหน่อยเถอะ การบำเพ็ญคู่สามารถฟื้นฟูจิต ปราณ วิญญาณได้อย่างรวดเร็ว” สวี่ชีอันฉวยโอกาสนี้เสนอ
เขาไม่ได้พูดหลอกล่อ เวลาอ่อนแอและหมดเรี่ยวแรง สามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วด้วยการบำเพ็ญคู่ ซึ่งเร็วกว่าการฟื้นฟูเองตามธรรมชาติมาก
“ไม่ เจ้า หากเจ้าแตะต้องข้า ข้าจะละทางโลก” มู่หนานจือรีบส่ายศีรษะและถ่มน้ำลาย
“เจ้าคนหน้าไม่อาย”
นางนอนตะแคงอ่อนปวกเปียกอยู่บนเตียง สะบัดเท้าอย่างไร้เรี่ยวแรงสองสามครั้ง ดูเหมือนจะอยากสะบัดรองเท้าปักลายออก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
สวี่ชีอันจับเท้าของนางและช่วยถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก
“ให้ข้าช่วยนวดหรือไม่ เจ้าจะได้รู้สึกดีขึ้น…”
“แค่นวดเท้าพอ อย่าคิดทำอย่างอื่น”
“ข้าดูเป็นคนแบบนั้นหรือ”
“อืม อืมม เจ้าเบาหน่อย…”
…
ณ สำนักอวิ๋นลู่
จ้าวโส่วอดอาหารเป็นเวลาสองวัน วันนี้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ หวีผมอย่างพิถีพิถัน สวมมงกุฎขงจื๊อ
เคราสีดอกเลาก็ใช้มีดโกนเล็มอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น ร่างทั้งร่างก็เปลี่ยนโฉมใหม่หมด ดูแตกต่างจากภาพลักษณ์ของปราชญ์เกเรที่มีอิสระและไร้การควบคุมอย่างก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
จ้าวโส่วหยิบกล่องตำราไม้ไผ่ออกมาจากในตู้ที่ฝุ่นเกาะมานาน เขาใช้ผ้าซับเหงื่อเช็ดฝุ่นบนกล่องตำราจนสะอาดอย่างระมัดระวัง ไพล่ไว้ด้านหลัง แล้วออกจากสำนักอวิ๋นลู่ไป
เหมือนที่แบกมันเดินทางไปแสวงหาความรู้ในตอนนั้น เดินทางไปไกลหลายพันลี้เพื่อร่ำเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่ในเมืองหลวง
หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ก็ราวกับเขาได้กลับไปเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง
เขาเดินไปบนถนนในเมืองหลวงและท่องตำราเสียงดัง
“…คนหนุ่มสาวต้องขยันร่ำเรียน ความรู้จะช่วยให้ยืนหยัด ขุนนางสูงศักดิ์ในราชสำนัก ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญาชน…อย่าหาว่าการเรียนทำให้คนล่าช้า การร่ำเรียนไม่เคยทำให้ผิดหวัง…”
…
เมื่อมู่หนานจือตื่นขึ้น ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ภายในห้องมืดสนิทเพราะไม่ได้จุดเทียน
‘ฟ้ามืดแล้วหรือ ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเชียว’ นางสะลึมสะลือและลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มือกุมที่หน้าผาก ผ่านไปสิบกว่าวินาที ความคิดที่สับสนก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้น และจำเรื่องที่ร่ายคาถาดอกไม้ผลิบานช่วงระหว่างวันได้
‘คิดไม่ถึงว่าจะฟื้นฟูเร็วเช่นนี้’ มู่หนานจือรู้สึกว่านอกจากอาการวิงเวียนศีรษะแล้ว สภาพร่างกายยังดีขึ้นมากด้วย ตันเถียนอบอุ่น ราวกับกอดเตาอยู่
นางกำลังจะยกผ้านวมและลุกขึ้น ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง แผ่นหลังเย็นเฉียบ นั่นทำให้นางรู้ว่าตัวเองเปลือยเปล่า เสื้อผ้าถูกถอดออกหมด
จากนั้น นางก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังกลับมาที่ห้องกับสวี่ชีอันได้
นวดเท้า นวดแล้วก็นวด นวดมาจนถึงขา หลังจากนั้น…ก็บำเพ็ญคู่กับเขาโดยไม่รู้สาเหตุ
“เจ้าคนหน้าไม่อาย” มู่หนานจือดึงหมอนที่รองหลังอยู่ออกแล้วโยนลงพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“หมอนนี่ยังใช้นอนได้อีกหรือ!”
นางยกผ้านวมขึ้นแล้วลุกจากเตียง มือสองข้างกวาดพื้นข้างเตียงอยู่นาน ในที่สุดก็แตะเจอชุดกระโปรง จึงหยิบมาสวมอย่างเร่งรีบ นางรู้สึกได้ว่าตรงต้นขาเปียกแฉะ
เทพดอกไม้เป็นคนรักความสะอาดแล้วก็เป็นผู้หญิงขี้เกียจเช่นกัน เมื่อคิดว่าต้องไปตักน้ำมาอาบน้ำเอง ระดับความโกรธก็เพิ่มสูงขึ้น
หลังจากสวมชุดกระโปรง นางคลำไปที่โต๊ะและจุดเทียน เพื่อขับไล่ความมืด
ภายในห้องเงียบสนิท ไป๋จีไม่อยู่ ดาบหักๆ เล่มนั้นก็ไม่อยู่ เจดีย์พุทธะก็ไม่มี นี่ทำให้มู่หนานจือเดาว่าผู้ชายหยาบกระด้างคนนั้นอาจจะอยู่ที่สำนักโหราจารย์
นางจุดเทียนในห้องทีละเล่ม เคลื่อนไปรอบๆ หลังม่าน อาศัยแสงเทียนอันสว่างไสวมองไปยังถังอาบน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เต็มถัง สะอาดและใสกระจ่าง ไม่ใช่น้ำที่ถูกพวกเขาทำให้เปรอะเปื้อนครั้งก่อนแน่นอน
มุมปากของมู่หนานจือยกขึ้นเล็กน้อย แล้วก็กลับมาทำหน้าบึ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนทำเสียงฮึดฮัดว่า
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้างสินะ…”
…
ณ ชั้นใต้ดินสำนักโหราจารย์
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าจงหลีและถามอย่างสงสัย
“เจ้าแน่ใจหรือว่าหากจำนวนครั้งที่ทุบเพียงพอ ข้าจะได้รับไพ่ตายของท่านโหราจารย์”
จงหลีนั่งลงตรงหน้าเขา เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองสูงกว่าสวี่ชีอันเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงอ่อน
“ค้อนก่อกวนชะตากรรมเกี่ยวข้องกับชะตากรรมและรูปแบบชะตากรรม ในหนังสือรับรองหลอมอาวุธของท่านอาจารย์ก็บอกว่าผู้ที่มีดวงชะตาติดตัวทุบมันแล้วจะตรัสรู้ได้ ดังนั้นมันต้องเป็นของที่มีไว้เพื่อเจ้าอย่างแน่นอน”
“แต่นอกเหนือจากโสเภณีที่หอนางโลม อู่ต้าหลางและปัญญาชน ข้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
จงหลีเอ่ยเสียงเบา
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือจุดประสงค์ของท่านอาจารย์ จุดประสงค์ที่เขาทิ้งค้อนก่อกวนชะตากรรมไว้คืออะไร เพื่อให้เจ้าตรัสรู้หรือ แต่เจ้าอยู่ระดับสอง ไม่จำเป็นต้องตรัสรู้”
พูดจบ นางก็เอียงศีรษะ ราวกับกำลังทดสอบสวี่ชีอัน
‘ปึก’ สวี่ชีอันดีดนิ้วที่หน้าผากของนางและเย้ยหยัน
“เจ้ากำลังทดสอบการอนุมานของข้าหรือ”
นางกลั้นยิ้มทันที ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้ววิเคราะห์ว่า
“แม้ว่าท่านโหราจารย์จะสะดุดล้มครั้งหนึ่ง แต่ด้วยสติปัญญาของเขา จะต้องมีไพ่ตายเผื่อเอาไว้เป็นแน่ คนธรรมดายังเตรียมการล่วงหน้า นับประสาอะไรกับเขา เช่นนั้น หากต้าฟ่งไม่มีเขาอยู่ จุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดคือการขาดพลังต่อสู้ระดับเหนือมนุษย์ เมื่อคิดตามทิศทางนี้ ก็สรุปได้ไม่ยากว่าท่านโหราจารย์จะต้องมีวิธีชดเชยความเหลื่อมล้ำด้านพลังต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝั่ง ค้อนก่อกวนชะตากรรม เกี่ยวข้องกับชะตากรรม ตรัสรู้…”
ยิ่งความคิดมีเหตุผลมีผลมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในสมองของสวี่ชีอัน ราวกับสายฟ้าผ่าเข้ามาในสมอง
เขามองค้อนไม้ขนาดเล็กในมือจงหลีด้วยสายตาลุกโชน ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
เขารู้ประโยชน์ใช้สอยจริงๆ ของค้อนก่อกวนชะตากรรมแล้ว
…………………………………………