ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 749 ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
บทที่ 749 ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
นักบวชเต๋าจินเหลียนจัดให้มีศิษย์คอยสังเกตและสอบถามสถานการณ์ที่แท่นบูชาหลักนิกายปฐพีจากภายนอกอยู่เสมอ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เหล่าศิษย์ต้องมาเสี่ยงเพราะประมาทเผอเรอ ตราบใดที่พวกเขาให้ความสนใจกับสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในอาณาเขตรายรอบ พวกเขาย่อมเข้าใจการเคลื่อนไหวของเหล่ามารเต๋าในแท่นบูชาหลักของนิกายปฐพีได้คร่าวๆ
ก่อนอื่นเหล่ามารเต๋านิกายปฐพีก็ต้องกินเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องซื้ออาหารและเสบียงจากผู้คนในพื้นที่โดยรอบอย่างแน่นอน
ประการที่สอง เมื่อนักบวชลัทธิเต๋านิกายปฐพีเสื่อมทรามลงจนกลายเป็นปีศาจ ก็จำต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งระบายความปรารถนาภายใน ซึ่งรวมถึงความปรารถนาทางกายและความกระหายเลือดอื่นๆ ออกมา
ในด้านความกระหายเลือด มารเต๋าแห่งนิกายปฐพีย่อมไม่สังหารผู้คนในอาณาเขตรายรอบ ดุจเดียวกับที่กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังของมัน
แต่ในแง่จิตวิทยา มารเต๋านิกายปฐพีมักลงมาจากภูเขาเพื่อปล้นสะดมและข่มเหงผู้หญิง
พวกมันไม่ไปสถานที่เช่นซ่องโสเภณี เพราะโสเภณีที่ยอมจำนนสถานเดียวย่อมไม่อาจสนองความอาฆาตพยาบาทของพวกมันได้ พวกมันชมชอบดูหมิ่นเหยียดหยามครอบครัวดีๆ
“ข้าแอบซุ่มอยู่ใกล้แท่นบูชาหลักมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่พบมารเต๋าตนใดออกมาเพื่อ ‘ล่า’ เลย ดังนั้นข้าจึงแปลกใจเล็กน้อย”
ชิวฉานอีขมวดคิ้วและพูดว่า
“หลังจากสอบถามผู้คนโดยรอบ ก็ได้ข่าวว่ามารเต๋านิกายปฐพีไม่ได้ออกมาสร้างปัญหานานแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ขมวดคิ้วหนักหน่วง
“ครั้งสุดท้ายที่มารเต๋าออกมาคือเมื่อไร?” เขาถามพลางครุ่นคิด
ดวงตาชาญฉลาดของชิวฉานอีเหลือกมองขึ้น ครุ่นคิดและพูดว่า “เกือบหนึ่งเดือนแล้ว”
นักบวชเต๋าจินเหลียนครุ่นคิดเรื่องนี้
“หากฐานตบะอ่อนแอ ต้องใช้เวลาประมาณสิบวันเพื่อระบายความอาฆาตพยาบาท ขั้นสี่สามารถทนถูกความคิดชั่วร้ายกัดกร่อนได้เพียงครึ่งเดือน ถ้าหนึ่งเดือนต้องเหลือทนแน่นอน”
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เข้าใจความจริง…เวลาที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึกคือเมื่อครึ่งเดือนก่อน
เขาพูดด้วยสีหน้าปกติ
“ข้ารู้แล้วว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ดังนั้นจงอย่าได้กังวล”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนพยักหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมองแมวส้มแล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รบกวนการบำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่จินเหลียนแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปพร้อมกับชิวฉานอีจากนิกายปฐพี
เมื่อสาวงามออกจากกระท่อม นักบวชเต๋าไป๋เหลียนก็หันไปมองใบหน้างดงามด้านข้างของศิษย์ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉานอี พลังบุญในตัวเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ใบหน้างดงามของชิวฉานอีเบ่งบานด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“ท่านลุงไป๋เหลียน ข้าออกจากร่างได้แล้ว”
ลัทธิเต๋าขั้นหก ระดับเทพเจ้าหยิน!
ต้องบอกว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากย่อมเป็นโอกาสดีในการบำเพ็ญเพียรของนิกายปฐพี เพราะมีโอกาสมากมายในการสั่งสมบุญ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเช่นกัน เพราะในยามทุกข์ยากไม่ว่าใครก็ล้วนทำชั่วได้ทั้งสิ้น
ท่านอาจช่วยคนผู้หนึ่งในวันนี้ วันพรุ่งนี้คนผู้นั้นอาจเผา ฆ่า ปล้นและสร้างขวากหนามให้บังเกิด
เวรกรรมบางส่วนย่อมถูกส่งต่อไปยังนักบวชลัทธิเต๋านิกายปฐพี ในเวลานี้ต้องใช้พลังบุญกุศลจำนวนหนึ่งเพื่อกำจัดมัน
แน่นอนว่าย่อมมีเวรกรรมที่ไม่อาจกำจัดได้ เช่น นักบวชเต๋าตกหลุมรักแมวส้ม เสกอาคมใส่พระราชา ก่อความวุ่นวายในราชสำนัก
“ว่าแต่ ทำไมถึงมีแมวอยู่ในบ้านของท่านลุงจินเหลียนล่ะ? ท่านถูกแมวสิงอย่างนั้นหรือ?”
ชิวฉานอีไม่กล้าถามในตอนนั้น
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนถอนหายใจ
“ตั้งแต่กลับจากเมืองหลวง นิสัยใจคอศิษย์พี่จินเหลียนก็เปลี่ยนเป็นชื่นชอบอยากครอบครองแมวส้ม ต้องเป็นแมวส้มเท่านั้น ถึงจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ทุกคนล้วนมีนิสัยใจคอ กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาเจ้ายังมี วีรบุรุษก็ย่อมมีเช่นกัน”
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้และยกตัวอย่างให้ฟัง
“ไม่ต้องพูดอื่นไกล ยกตัวอย่างคนที่เจ้าคุ้นเคย หลี่เมี่ยวเจิน เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ มีงานอดิเรกเป็นวีรสตรีผู้ผดุงความชอบธรรม ในทางกลับกันเทพบุตรหลี่หลิงซู่ชื่นชอบการหยอกล้อเรือนร่างก่อกวนอารมณ์สตรี จนต้องถูกสั่งจำศีลเป็นเวลาครึ่งปี”
“ยังมีสวี่ชีอันที่เจ้าให้ความเคารพอย่างสูง ก่อนที่เขาจะผงาดฟ้า เขาไปหอคณิกาทุกวันทั้งยังไปที่สำนักสังคีตทุกคืน โดยไม่เสียตังค์สักแดง”
บุคลิกและงานอดิเรกของสมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนถูกศิษย์พี่จินเหลียนพูดถึงระหว่างการสนทนา
ถ้านางถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แสดงว่านางตามหาศิษย์พี่จินเหลียนไม่เจอ จนในที่สุดก็เห็นแมวส้มตัวหนึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงแมวในสวนดอกไม้อย่างมีความสุข ขณะกำลังสอนหมัดแปดทิศให้น้องเล็ก
นั่นยังเป็นตอนที่อยู่ในเจี้ยนโจว
หลังจากฟังนักบวชเต๋าไป๋เหลียนพูด นางพลันรู้สึกว่านิสัยชอบครอบครองแมวของท่านลุงจินเหลียนไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ชิวฉานอีพูดใส่อารมณ์
“ไอ้เด็กเจ้าชู้ฆ้องเงินสวี่ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ!
เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในใจนักบวชเต๋าไป๋เหลียนทันที
ในตอนนี้ ชิวฉานอีรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว สาวน้อยร่างกายบอบบาง เอวเล็ก ขาเรียวและบั้นท้ายปูดบวมราวกับกิ่งหลิวแตกยอดอ่อนผู้นั้น
…
ในกระท่อม
ตอนกลางคืน เทพบุตรเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างเงียบเชียบ ยัดไว้ใต้หมอนจากนั้นก็ขยับเรียวขาที่กดทับท้องไปทางซ้าย นี่เป็นขาของหลานหลานผู้ชมชอบชุดดำ
จากนั้นเขาก็วางหัวแมงป่องบนไหล่ขวาลงบนหมอนนุ่ม แล้วยกผ้าห่มขึ้น พลิกตัวหลานหลานและอวี๋หานซิ่วและลุกออกจากเตียงได้สำเร็จ
เทพบุตรถลกกระโปรงลงพื้น ผ้าคาดหน้าท้องและกางเกงกระจายเกลื่อนเต็มพื้น เขาค้นหาเสื้อผ้าตัวเองและสวมมันอย่างรวดเร็ว
“แน่นอน หลังจากฝึกศิลปะการต่อสู้ไปพร้อมกัน ร่างกายข้าก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก”
เขาตบไตที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้วของตัวเองพลางทอดถอนใจ
หลังจากที่ถูกน้องสาวสองคนทั้งตงฟางหว่านหรงกับตงฟางหว่านชิงบีบจนแห้ง หลี่หลิงซู่ก็เรียนรู้ความเจ็บปวดและเริ่มบำเพ็ญวิทยายุทธ์ จนตัวเขากลายเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ ความเร็วในการบำเพ็ญของเขานั้นจัดว่ารวดเร็วมาก
ขั้นแรกห้ามแตะต้องสตรีเป็นเวลาครึ่งเดือน ออกกำลังกายทุกวัน จากนั้นเสริมยาอายุวัฒนะเพื่อหลอมปราณและเข้าสู่สภาวะหลอมปราณขั้นแปดภายในหนึ่งเดือน
ระดับต่อไปคือระดับหลอมวิญญาณ สำหรับลัทธิเต๋าผู้เชี่ยวชาญการบำเพ็ญจิตเดิม ระดับหลอมวิญญาณย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ขณะนี้เทพบุตรยังติดอยู่ที่ระดับหลอมปราณ
จากการหลอมปราณขั้นต้นจนกระทั่งหลอมปราณเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีฐานตบะอย่างเขา ก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี
หลังจากนั้นคือกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก จากระดับนี้ ความยากจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทว่าความแข็งแกร่งขั้นห้านั้นย่อมขึ้นอยู่กับพรสวรรค์โดยแท้
แน่นอน การที่วิทยายุทธ์ของเทพบุตรไปถึงฐานตบะลัทธิเต๋าขั้นสี่ได้ ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธ์ แต่เป็นเพราะความสามารถของจอมยุทธ์ผู้นั้นเอง
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากโจมตีจอมยุทธ์ขั้นสี่ มันออกจะยากเกินไป
หลังจากออกจากบ้าน เขาก็มุ่งหน้าไปยังลานเล็กๆ ที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ที่นั่นหยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยอาศัยอยู่
ศิษย์พี่ศิษย์น้อง คนหนึ่งอยู่ห้องทางทิศตะวันออก อีกคนอยู่ห้องทางทิศตะวันตก
ทันทีที่หลี่หลิงซู่เข้าไปในสนาม ประตูห้องทางทิศตะวันออกก็เปิดออกทันทีแล้วเสียงของหยางเชียนฮ่วนก็ดังมาจากข้างใน
“พี่หลี่มาเยี่ยมดึกดื่น มีเรื่องอะไรรึ?”
น้ำเสียงของเขามีแววระแวดระวัง
ศิษย์พี่ศิษย์น้องย่อมเป็นพี่น้องกัน ไม่อาจปล่อยให้ใครมารังแกได้
หลี่หลิงซู่ไม่รู้เรื่องราวภายในของหยางเชียนฮ่วน จึงเดินผ่านลานบ้านเข้าไปในห้องทิศตะวันออก
เทียนสว่างขึ้น ปัดเป่าความมืดในพริบตา
หยางเชียนฮ่วนนั่งขัดสมาธิบนเตียงหันหลังให้ประตู
“พี่หยางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่”
หลี่หลิงซู่เห็นเขาแต่งกายรัดกุมและดูเหมือนไม่ได้หลับอยู่
“พยายามโจมตีขั้นสาม”
“ว่าอย่างไรนะ?” หลี่หลิงซู่ตาเป็นประกาย
“เหนือมนุษย์เป็นวิถีให้มนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์ หากเจ้าก้าวข้ามมันไป เจ้าจะไม่อยู่ในระดับของมนุษย์อีกต่อไป ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีขั้นสี่มากมายดุจขนวัว แต่เหนือมนุษย์นั้นมีเพียงไม่กี่คน แม้แต่อัจฉริยะอย่างข้าก็ยังไม่อาจเลื่อนอันดับเป็นขั้นสามได้ในเวลาอันสั้น”
มีอารมณ์ล้นปรี่อยู่ในคำพูดของหยางเชียนฮ่วน
น้ำเสียงนั้นเหมือนจะพูดว่า ถึงเป็นข้า ข้าก็ทำได้แค่เป็นผู้ไร้พ่ายในโลกใบนี้
‘หลังจากที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึก หยางเชียนฮ่วนก็บำเพ็ญเพียรหนักขึ้น’…หลี่หลิงซู่คุ้นเคยกับวิธีการพูดของเขามานานแล้ว จึงเอ่ยว่า
“ดึกดื่นค่ำมืดข้ามาเยือนที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่หยาง เรื่องนี้ย่อมขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
หยางเชียนฮ่วนชื่นชอบการติดต่อสังสรรค์กับหลี่หลิงซู่อย่างยิ่ง เพราะเขามีพรสวรรค์และพูดจาไพเราะ
“พูดได้ดี!”
“เพื่อให้มีชีวิตรอด ข้ากับพรรคพวกไม่กี่คนต้องตามล่าศัตรูตัวฉกาจ ข้าหวังว่าพี่หยางจะช่วยข้าได้” หลี่หลิงซู่พูดเสริม
“ท่านไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงโดยตรง เพียงใช้ค่ายกลช่วยเมื่อจำเป็นเท่านั้น”
หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าแม้ลั่วอวี้เหิงจะอยู่ขั้นสอง แต่จินเหลียนก็ไม่ได้อ่อนแอ ทั้งยังมีสวี่ผิงเฟิงกับพวกเหนือมนุษย์คนอื่นๆ เป็นพันธมิตร
ย่อมไม่ใช่ศัตรูที่จะเข่นฆ่าได้ตามต้องการ ดังนั้นจึงต้องมีคาถายาครอบจักรวาลที่สามารถหลบหนีและตามล่าได้…นั่นคือ วิชาส่งตัว!
“ไม่มีปัญหา!”
หยางเชียนฮ่วนพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าเป็นใคร?”
“มันเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์ตัวหนึ่งที่ปิดล้อมและสังหารท่านโหราจารย์ในวันนั้น” หลี่หลิงซู่ตอบ
“เมื่อใดเจ้าจะลงมือ!” จู่ๆ กำลังภายในของหยางเชียนฮ่วนก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน
“ไม่ต้องรีบ แผนการทั้งหลายยังอยู่ระหว่างเตรียมการ” หลังจากหลี่หลิงซู่พูดปลอบให้เขาใจเย็นลงแล้วก็พูดถึงจุดประสงค์ที่สองในการมาที่นี่วันนี้
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าหนักใจ
“ข้ามีข่าวร้ายจะบอกพี่หยางเกี่ยวกับสวี่ชีอัน พี่หยางจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้”
หยางเชียนฮ่วนหูกระดิก แต่น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก แม้จะเจือไปด้วยอาการดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อยก็ตาม
“สวี่ชีอัน เจ้าเด็กนั่นยังทำเรื่องจิ๊บจ้อยโอ่ประโคมตัวเองต่อหน้าผู้อื่นอีกหรือ?”
หลี่หลิงซู่เว้นระยะไปพักหนึ่ง
“ฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิ”
หยางเชียนฮ่วนพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ในฐานะที่นางเป็นสตรี นางจะเป็นจักรพรรดิแบบไหนกันนะ เรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว ในช่วงหกร้อยปีนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งมา ไม่เคยมีสตรีคนใดปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิเลย ฝ่าบาทฮว๋ายชิ่งต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์แน่นอน”
เรื่องนี้ทำให้หยางเชียนฮ่วนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสวี่ชีอันล่ะ?” หยางเชียนฮ่วนพูด ถ้าโจรสวี่มันกล้าขึ้นครองราชย์ ข้าจะนำกองทหารของข้าไปโค่นมันลงมา
‘ด้วยวิธีนี้ ข้าจะมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์แล้วมันก็จะมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ด้วย สถานการณ์แบบนี้มีแต่ได้กับได้!’
หลี่หลิงซู่พูดจาเงียบเชียบ
“โจรสวี่ สนับสนุนให้นางขึ้นสู่ตำแหน่ง”
พูดจบ เขาก็เห็นหยางเชียนฮ่วนเอนตัวพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง เหมือนคนจนเป็นลมหลังจากได้ยินข่าวร้าย
“พี่หยาง เป็นอะไรไป?!”
หลี่หลิงซู่ตกตะลึง เมื่อเห็นเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็นึกดีใจทันที
หลังจากนั้นไม่นาน หยางเชียนฮ่วนก็พึมพำ
“บอกข้าที ถ้าข้าไม่ถูกท่านอาจารย์โหราจารย์ไล่ออก ถ้าข้ายังอยู่ในเมืองหลวง…”
เขาจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในเมืองหลวง บีบบังคับบรรดาข้าราชการทั้งหมดและสนับสนุนจักรพรรดินีขึ้นเป็นใหญ่…
หยางเชียนฮ่วนกระแทกหัวของเขาเข้ากับกำแพง เสียใจอย่างยิ่งเสียใจจนไส้เขียว
“ท่านโหราจารย์ แม้ว่าท่านจะถูกผนึก ท่านก็ยังนึกถึงข้า!!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่หลิงซู่ก็รู้ว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว เขาประสานมือคารวะแล้วพูดว่า
“พี่หยาง ข้าจะกลับไปพักผ่อนแล้ว ท่านเองก็ควรนอนแต่หัวค่ำ ถ้าท่านโมโหโทโสไปมากกว่านี้ มันจะส่งผลต่อสุขภาพของท่าน”
เขาหันหลังเตรียมจะจากไป เมื่อเขาปิดประตู เขาก็ได้ยินหยางเชียนฮ่วนคร่ำครวญกับตัวเองว่า
“ข้าน่าจะช่วยให้หลินอันขึ้นครองราชย์ได้…นางมีความสัมพันธ์กับเจ้าโจรสวี่ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าโจรสวี่จะข่มเหงนางได้…”
…
หมายเลขเก้า ‘ข้ามีเรื่องจะแจ้งพวกท่านทุกคน เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้รับรายงานจากศิษย์ของข้าว่าผู้คนตรงแท่นบูชาหลักนิกายปฐพีหายไปแล้ว มารเต๋าถูกถ่ายโอนไปแล้ว’
เมื่อสมาชิกของพรรคฟ้าดินเห็นข้อความที่นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งมา หัวใจของพวกเขาก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
หมายเลขหนึ่ง ‘มีเหตุผล สวี่หนิงเยี่ยนเลื่อนอันดับเร็วเกินไป บังคับให้เฮยเหลียนต้องเข้าร่วมมือกับสวี่ผิงเฟิง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเฮยเหลียนหวาดกลัวเขา’
‘ย้ายข้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นไปได้หรือว่าเจ้าจะงมโข่งทำรังอยู่ที่บ้านแล้วรอให้ศัตรูมาถึงบ้าน?’
หมายเลขเก้า ‘ข้าเชื่อว่าพวกเขาน่าจะอยู่ในชิงโจวไม่ก็อวิ๋นโจว’
สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้เหตุผลได้ให้ข้อสรุปเพิ่มเติมว่า
หมายเลขสาม ‘ข้าคิดว่ายังอยู่ในชิงโจว ฐานตบะของมารเต๋านิกายปฐพีไม่ได้อ่อนแอและเป็นพลังที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่สวี่ผิงเฟิงจะปล่อยให้พวกมันอยู่เฉยๆ ในค่ายอวิ๋นโจว สำหรับมารเต๋าแล้ว พื้นที่ที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าและความโกลาหลคือสวรรค์ของพวกมัน’
‘ส่งข้อความเร็วทีเดียว’…ฉู่หยวนเจิ่นลบข้อสรุปของตัวเองอย่างเงียบเชียบ นี่เป็นข้อสรุปเดียวกับสวี่ชีอัน
‘ใช่ ไม่อยู่ในอวิ๋นโจวอย่างแน่นอน’…หลี่เมี่ยวเจินก็ลบข้อความ ‘ข้าคุ้นเคยกับอวิ๋นโจวมาก’ และเปลี่ยนข้อความเป็น
หมายเลขสอง ‘นี่เป็นเรื่องลำบากทีเดียว ชิงโจวกว้างใหญ่มาก ยากที่จะหาพวกมันเจอ นอกจากนี้ กลยุทธ์ของเราในการล้อมเว่ยช่วยจ้าวจะใช้ไม่ได้ผล’
หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่ เรื่องนี้ไม่ได้ขัดขวางแผนการของเรา เพียงแค่ต้องให้สวี่หนิงเยี่ยนกล้าเสี่ยง’
‘ผู้หญิงคนนี้นี่’…หลี่เมี่ยวเจินกัดฟัน ถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ในมือแล้วคอยติดตามอยู่เงียบๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนถามว่า
หมายเลขเก้า ‘อย่างไรล่ะ’
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าสามารถหาตำแหน่งของมารเต๋านิกายปฐพีได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ภายในเวลาไม่นานนัก หลังจากค้นหาที่อยู่ของนิกายปฐพีแล้ว ให้ดำเนินการตามแผนการต่อไป สำหรับยอดฝีมือเหนือมนุษย์ในอวิ๋นโจว สวี่หนิงเยี่ยนต้องใช้ความคิดริเริ่มควบคุมพวกเขา’
‘เรื่องนี้อันตรายมาก เพราะมีขั้นหนึ่งสองคนคือ เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้อยู่และสวี่ผิงเฟิงอาจขัดเกลาโชคชะตาของชิงโจวเรียบร้อยแล้ว ถึงจะยังขัดเกลาได้ไม่สมบูรณ์ เขาก็ยังได้โชคชะตาที่พิเศษขึ้นกว่าเดิม หากระดับสุดยอดสามคนนี้ร่วมมือกัน พวกเขาก็เกือบเป็นผู้ไร้พ่ายอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าต้องการความช่วยเหลือ’
หมายเลขสอง ‘เจ้าจะรับประกันได้อย่างไรว่าเจ้าสามารถหาที่ซ่อนของมารเต๋านิกายปฐพีได้ในระยะเวลาอันสั้น’
นักบวชเต๋าจินเหลียนกับฉู่หยวนเจิ่นก็อยากถามคำถามนี้เช่นกัน
หมายเลขหนึ่ง ‘สายลับที่เว่ยกงทิ้งไว้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า’
เพียงแค่ประโยคนี้ก็ปัดเป่าความกังวลสุดท้ายของนักบวชเต๋าจินเหลียนให้หมดไป
หมายเลขสี่ ‘ข้ามีแผนการดีๆ แล้ว การเจาะลึกเข้าไปในค่ายศัตรูนั้นอันตรายเกินไป เจ้าอาจใช้ประโยชน์จากสมณทูตอวิ๋นโจว ทำให้กองทัพอวิ๋นโจวเดือดดาล แล้วปล่อยให้พวกมันเริ่มโจมตียงโจวก่อน เป็นการล่องูออกจากรู’
ฉู่หยวนเจิ่นเริ่มพูดคุยเรื่องที่เขาคิดเสียยืดยาวและขอให้สวี่ชีอันกับฮว๋ายชิ่งเสนอแนวคิดที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์
…
ดวงอาทิตย์ลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างสงบ
ผู้ว่าการมณฑลชิงโจว หอประชุม
ชีก่วงป๋อในชุดเครื่องแบบทหารก้าวเข้ามาในหอประชุม ถอดหมวกออกแล้ววางลงบนโต๊ะ มองไปยังที่นั่งทั้งสองด้านอย่างใจเย็น
จีเสวียน เก่อเหวินเซวียน จัวเฮ่าหราน ฯลฯ นายทหารระดับสูงเกือบยี่สิบนายมาประชุมร่วมกัน
“เร่งเข้ายึดครองชิงโจวทั้งหมดและเกณฑ์ทหารเตรียมโจมตียงโจว”
คำพูดแรกของชีก่วงป๋อทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ทางฝั่งจีเสวียน หยางชวนหนานในเก้าอี้ที่สองเป็นคนแรกที่ตอบสนอง
“เจรจาสงบศึกล้มเหลวรึ?”
ชีก่วงป๋อไม่ตอบ แต่มองไปทางเก่อเหวินเซวียนที่กำลังถอนใจและพูดเสียงต่ำ
“ข้าติดต่อคุณชายจีหย่วนไม่ได้ ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว”
ชีก่วงป๋อสร้างโลงศพขึ้นและสรุปเรื่องราว
“เมื่อคืนข้าปล่อยให้กองทัพอสูรเหินเวหาแฝงตัวเข้าไปในยงโจว หลังได้รับข่าวจากเมืองหลวงว่าแผนการเจรจาสงบศึกล้มเหลว”
ระหว่างทางไปเมืองหลวงชิงโจว มียงโจวคั่นอยู่
ไม่ไกลเกินไป แต่ก็ไม่ใกล้เกินไป ข่าวสารไม่ได้ส่งเร็วขนาดนั้น อาวุธเวทมนตร์ เช่น หอยสังข์กระแสจิตหายากมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่สายลับของพระราชวังเทียนจีจะมีใช้
ดังนั้นกองทัพอสูรเหินเวหาจึงแอบเข้าไปในเมืองยงโจวและติดต่อกับสายลับของพระราชวังเทียนจีที่ประจำการอยู่ในเมืองยงโจว หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมง ข่าวจากเมืองหลวงก็มาถึงเมืองยงโจวทั้งวันทั้งคืน
จัวเฮ่าหรานตบโต๊ะและพูดน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ให้ตายเถอะ ไอ้พวกราชวงศ์ต้าฟ่งไร้ยางอาย มีแค่แตงสามลูก พุทราสองผล พวกเขาคิดจริงๆ หรือว่าพวกเขาสามารถแข่งขันกับท่านราชครูและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้ด้วยสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์เพียงไม่กี่ตัวนั่น?”
“สามารถแข่งขันกับสัตว์วิญญาณไป๋ตี้ได้อย่างนั้นหรือ?”
……………………………………….