ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 750 ประชุมสมาชิกพรรคฟ้าดิน (1)
บทที่ 750 ประชุมสมาชิกพรรคฟ้าดิน (1)
ไม่ใช่แค่จัวเฮ่าหราน แต่ผู้อยู่ในระดับสูงของกองทัพที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึงแล้วพากันก่นด่าออกมาตามๆ กัน
“เจ้าจักรพรรดิน้อยยังดื้อรั้นอยู่อีกหรือ? เพราะอยากมีอายุสั้นหรือว่าก้นบนบัลลังก์มังกรรอไม่ไหว จนแทบอยากจะให้พวกเรารีบไปเตะเขาลงมาอย่างนั้นหรือ?”
“มารดามันเถอะ ราชสำนักต้าฟ่งจะเอากำลังที่ไหนมาสู้กัน คลังหลวงก็ว่างเปล่า แต่ละหนแห่งก็วุ่นวายโกลาหลกันหมด แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ยังไม่อยู่แล้ว”
“ฮึ ในเมื่อไม่กลัวตายก็สู้มันไปเลย พอพวกเราตีเมืองหลวงได้สำเร็จ เจ้าจักรพรรดิน้อยนั่นก็ต้องมาคุกเข่าร้องไห้ขอชีวิตแล้ว”
ตั้งแต่ที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึกและชิงโจวถูกยึดครอง ขวัญกำลังของทัพอวิ๋นโจวก็สูงขึ้นเทียมฟ้าและพองโตยิ่งขึ้น พลางคิดว่าการตีเมืองหลวงได้และเข้าครอบครองภาคกลางขึ้นอยู่กับเรื่องเวลาเท่านั้นแล้ว
ยามพูดถึงราชสำนักต้าฟ่ง ในวาจาล้วนมีแต่คำพูดดูถูกเป็นส่วนใหญ่พร้อมกับทัศนคติเหยียดหยามมองข้าม
ดังนั้นในสายตาของแม่ทัพนายกองทั้งหลาย นี่ถือเป็นการให้ทานและความเมตตาสงสารโดยแท้ แต่ราชสำนักต้าฟ่งกลับกล้าปฏิเสธเนี่ยนะ?
พวกเขาคิดว่าเมื่อกองทัพอวิ๋นโจวรุกเข้าไปยังเมืองหลวง และเมื่อยอดฝีมือเหนือสามัญผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างราชครูกับเจียหลัวซู่มาเยือนเมืองหลวง ต้าฟ่งของพวกเขายังจะมีกำลังมาต่อต้านอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าของชีก่วงป๋อเคร่งขรึม เขารอให้พวกแม่ทัพนายกองระบายอารมณ์เสร็จแล้วเคาะโต๊ะเอ่ยว่า
“รายงานจากสายลับของตำหนักความลับสวรรค์กล่าวว่าสวี่ชีอันบีบให้หย่งซิ่งสละราชบัลลังก์แล้วผลักดันให้องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์”
เหล่าแม่ทัพของทัพอวิ๋นโจวที่ก่อนหน้านี้ยังมีอารมณ์ขันและหัวเราะเยาะมาตลอด บัดนี้เมื่อฟังคำพูดของชีก่วงป๋อจบ ต่างก็เงียบงันไร้เสียง พวกเขามองหน้ากัน ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความแปลกใจและตกตะลึง
ข่าวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่ทันตั้งตัว แต่อารมณ์ของมันออกจะเอนเอียงไปทาง ‘ไร้สาระ’ และ ‘แปลกประหลาด’ มากกว่า ผลักดันให้สตรีขึ้นครองบัลลังก์อย่างนั้นรึ?
“คิก…” ใครบางคนอดกลั้นไม่ไหวจนหัวเราะออกมา
“ทำไม เจ้าแซ่สวี่ผู้นั้นไม่มีหนทางแล้วหรือ ดันคิดอุบายโง่ๆ เช่นนี้ออกมาได้”
“ใช่ๆ ให้สตรีครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินี เขาคิดว่าความวุ่นวายในภาคกลางยังไม่มากพออีกหรือ? ต่อให้ขุนนางทั้งหลายจะหวาดกลัวพลังต่อสู้ต่อของเขาจนไม่กล้าก่อกบฏในทันที แต่เพียงแค่เขาออกจากเมืองหลวง จักรพรรดินีผู้นั้นก็คงได้รับสุรายาพิษหรือไม่ก็ตายแบบไม่รู้สาเหตุอยู่ในวังแล้วกระมัง” จัวเฮ่าหรานกล่าวอย่างดูแคลน
ในฐานะคนสับเนื้อผู้กระหายเลือด สตรีก็เหมือนกับของเล่นในสายตาเขา คู่ควรที่จะนั่งบัลลังก์มังกรหรือ?
หยางชวนหนานส่ายหน้าหัวเราะ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจิตใจของผู้คนในเมืองหลวงจะสั่นคลอน จนทำให้ยากจะรวมกำลังต่อต้านมาพวกเรามากขึ้นแล้วล่ะ พอราชครูหลอมรวมโชคชะตาชิงโจวแล้วเคลื่อนพลไปทางเหนือ อีกไม่นานก็จะสามารถตีเมืองหลวงจนแตกพ่ายได้แล้ว”
แม่ทัพนายพลคนอื่นๆ หัวเราะกันยกใหญ่ มีทั้งเย้ยหยัน ดูถูก หยอกล้อ ส่วนเรื่องที่เจรจาสงบศึกล้มเหลวนั้นกลับไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่นิด
จีเสวียนและเก่อเหวินซวนสบตากัน แม้ว่าจะมีความงุนงงสับสน แต่ก็ไม่ได้รีบเข้าประสมโรงไปกับพวกแม่ทัพนายพล ทว่ามองไปยังชีก่วงป๋อแทน
“ถูกต้อง ผลักดันให้องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์เป็นหมากตาหนึ่งจริงๆ”
ชีก่วงป๋อมองดูผู้คนรอบๆ แล้วค่อยๆ เอ่ย
“ถ้าหากข้าบอกพวกเจ้าว่าเขาไม่เพียงแต่ผลักดันให้สตรีขึ้นครองราชย์เท่านั้น แต่ยังทำให้ราชสำนักมั่นคงขึ้นในเวลาสั้นๆ และในวันที่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์ ก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยดอกไม้ผลิบาน ชาวเมืองจึงมองว่านี่เป็นของขวัญมงคลที่หล่นมาจากฟ้า และมองว่าการที่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์นั้นเป็นการโชคชะตาเพื่อขับอุปสรรคให้แก่ต้าฟ่ง พวกเจ้าคิดว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
เสียงหัวเราะภายในโถงเงียบลงทันใด
บนใบหน้าของแม่ทัพนายพลไร้ซึ่งรอยยิ้ม ต่างก็มองตาหน้ากันเงียบๆ เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมงาน
เก่อเหวินซวนเอ่ยบอก
“เขาบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติเพื่อผลักดันหุ่นเชิดตัวหนึ่งขึ้นเป็นจักรพรรดินี เช่นนี้ยิ่งไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอะไร แต่ในเมื่อเป็นหุ่นเชิด เช่นนั้นก็เลือกเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวสักคนมาเลยจะไม่ดีกว่าหรือ? เหตุใดจะต้องเสี่ยงวางหมากเพื่อผลักดันให้สตรีขึ้นครองราชย์ด้วย?”
ใครบางคนแค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมา
“จักรพรรดินีนั่นคงจะมีใบหน้างดงามดุจบุปผากระมัง ไม่แน่ว่าคงจะเป็นคู่ขาของสวี่ชีอันแล้วด้วย เจ้าคนแซ่สวี่เจ้าชู้ประตูดินจะตาย เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้กันดี”
“มีเพียงคนที่มองศัตรูว่าโง่เขลาเท่านั้น ถึงจะเป็นคนโง่เขลาตัวจริง”
จีเสวียนเอ่ยพึมพำ
“จากข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ต้าฟ่งที่ได้มา องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งคือสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง และเคยศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ ในรัชสมัยที่หยวนจิ่งยังครองราชย์ นางก็เคยรับตำแหน่งบรรณาธิการฮั่นหลิน มิใช่สตรีธรรมดา”
เรื่องภูมิหลังเหล่านี้ จีเสวียนให้ความสนใจกับสมาชิกแต่ละคนในราชวงศ์ต้าฟ่งมากเป็นพิเศษ แม่ทัพที่นั่งอยู่อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องภูมิหลังขององค์หญิงองค์หนึ่ง แต่จีเสวียนรู้ละเอียดยิบ
“แค่เหตุผลเท่านี้หรือ?”
จัวเฮ่าหรานเข้าใจความหมายของจีเสวียน เมื่อองค์หญิงใหญ่ผู้มากความสามารถและเป็นอัจฉริยะขึ้นนั่งบัลลังก์ ก็อาจจะเก่งกาจยิ่งกว่าหย่งซิ่ง แต่เนื่องจากอคติต่อสตรี เขาจึงยังมีความคิดดูแคลนอยู่
ชีก่วงป๋อเคาะโต๊ะอีกครั้งแล้วเอ่ย
“ตอนที่สายลับตำหนักความลับสวรรค์ส่งข่าวมา คณะทูตที่ส่งไปยังเมืองหลวงยังอยู่ที่นั่น สวี่ชีอันไว้ชีวิตไม่ได้สังหาร คาดว่าคงจะใช้มาแลกเปลี่ยนกับพวกเรา”
ทุกคนพากันมองไปยังจีเสวียน
หากเป็นลูกนอกสมรสธรรมดาๆ ย่อมมีน้ำหนักจำกัดและไม่ปล่อยให้ราชสำนักต้าฟ่งมีโอกาสทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้างหรอก
แต่ลูกนอกสมรสผู้นี้คือน้องชายมารดาเดียวกันกับจีเสวียน (ไม่ใช่แฝด) และในฐานะที่จีเสวียนเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามสายหลักของอวิ๋นโจวจึงมีสถานะเหนือธรรมดา น้องชายของเขาย่อมไม่อาจเทียบได้กับลูกนอกสมรสทั่วไป
จีเสวียนเอ่ยเสียงขรึม
“ทุกสิ่งตามแต่ท่านแม่ทัพใหญ่ตัดสินใจ”
เขาเป็นฝ่ายถอยให้ก้าวแรก
ชีก่วงป๋อเอ่ย
“สามวันหลังจากนี้เราจะรวบรวมกองกำลังบุกเข้าไปยังอาณาเขตยงโจว แล้วปิดล้อมเมืองโดยไม่โจมตีเพื่อสร้างความกดดันให้กับราชสำนักต้าฟ่ง จากนั้นส่งคณะทูตไปติดต่อกับหยางกงอีกครั้งเพื่อบีบให้เขาปล่อยคน”
“เช่นนี้ พวกเราก็สามารถแลกตัวคุณชายจีหย่วนกลับมาด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนจำนวนน้อยได้แล้ว”
การรวบรวมกองกำลัง ไม่เพียงแต่กดดัน ทว่ายังแสดงถึงท่าทีทรงอำนาจน่าเกรงขาม เพื่อตัดโอกาสไม่ให้ราชสำนักต้าฟ่งทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง
เหล่าแม่ทัพในโถงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างก็คันไม้คันมืออย่างตื่นเต้น
“แทบจะรอไม่ไหวแล้ว”
“เหล่าแม่ทัพทั้งหลายต้องตั้งหน้าตั้งตาโจมตียงโจวทั้งวันทั้งคืน”
“ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะไม่ส่งตัวคุณชายจีหย่วนออกมา”
…
เมืองชิงโจว ภายในคฤหาสน์ที่อยู่ห่างจากจวนผู้ว่าการมณฑลไม่ถึงสามลี้
สวี่ผิงเฟิงนั่งขัดสมาธิ พลังเหนือสามัญที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหลายสายเข้ามารวมตัวกันในคฤหาสน์แล้วกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในร่างของโหรชุดขาว
พลังเหล่านี้ถูกหลอมรวมอยู่ในตันเถียนและก่อตัวเป็นมวลอากาศที่ขุ่นมัว
สวี่ผิงเฟิงถือมวลอากาศไว้ด้วยมือสองข้าง แล้วหล่อหลอม ‘สิ่งเจือปน’ ในมวลอากาศนั้นทีละนิดๆ เพื่อทำให้มันชัดเจนไร้ที่ติ
ความสามารถหลักของนักหลอมปราณคือการหลอมรวมโชคชะตาของเมืองหนึ่งและชำระล้าง จากนั้นก็ผสานเข้าสู่ร่างกาย โดยโชคชะตาที่ถูกหลอมรวมมาก็จะสั่นคลอนพลังแห่งสรรพสิ่ง
เมื่อโชคชะตาหนาแน่นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางคุณภาพ คือสามารถเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ล่วงรู้อนาคต และกลายเป็นผู้วางหมากสูงสุดของโลกได้
เสียงกระพือปีกดังมาจากในลานเรือน นกพิราบส่งสาส์นตัวหนึ่งร่อนลงมาในลานเรือนอย่างมั่นคง
สวี่ผิงเฟิงลืมตาขึ้นแล้วนำมวลอากาศขุ่นมัวนั้นเข้าสู่ตันเถียน จากนั้นเอื้อมมือไป ‘จับ’ พิราบส่งสาส์นในลานเรือนมาไว้ในมือ มันนำจดหมายของชีก่วงป๋อมาให้
สวี่ผิงเฟิงอ่านเนื้อหาในกระดาษจบแล้วนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วแตะปลายนิ้วลงบนกระดาษ
ตัวอักษรที่ดำเลือนหาย กลายเป็นคำหนึ่งคำ
‘ได้!’
เขาสอดกระดาษเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่ขาของนกพิราบแล้วโยนมันไปเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นก้าวไปทางซ้าย และมายังห้องทำสมาธิที่อยู่ถัดไป
อุณหภูมิในห้องนั้นร้อนราวกับอยู่กลางฤดูร้อน พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่นั่งขัดสมาธิอยู่ ส่วนลำคอไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ศีรษะเริ่มเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว
“การเจรจาสงบศึกล้มเหลว”
สวี่ผิงเฟิงเอ่ยยิ้มๆ
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ลืมตา ใบหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ใดๆ จากนั้นค่อยๆ เอ่ยช้าๆ ว่า
“ท่านโหราจารย์หลงเหลือหนทางเอาไว้จริงๆ ด้วย แต่ว่ามันเป็นไพ่ลับแบบใดกัน ถึงกับทำให้เขามั่นใจที่จะสู้รบกับพวกเราเช่นนี้?”
สวี่ผิงเฟิงเอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยยิ้มเล็กน้อย
“เจ้ายังไม่เข้าใจเขามากพอ การที่กล้าสู้เป็นสู้ตายกับพวกเราไม่จำเป็นต้องมีความมั่นใจหรอก หากเดินไปถึงทางตัน ก็แค่ตกตายไปพร้อมกันก็พอ แม้ว่าอาจารย์โหราจารย์จะทิ้งไพ่ลับเอาไว้ก็ไม่อาจทำให้เขาเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งได้ทันที เพียงแค่เป็นวิธีการเสริมพลังต่อสู้บางอย่างเท่านั้น และลั่วอวี้เหิงก็กำลังจะผ่านด่านเคราะห์เพื่อเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง ถือเป็นการเพิ่มพลังต่อสู้บางส่วนขึ้นมา และทำให้ในใจของเขามีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พยักหน้าเล็กน้อย
สวี่ผิงเฟิงเอ่ยต่อ
“หลังจากนี้สามวันเราจะยกทัพไปยงโจว เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะรู้เรื่องมากกว่าเดิมแล้ว”
“ไป๋ตี้ยังไม่กลับมาที่ดินแดนจิ่วโจวอีกหรือ?” พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เอ่ยถาม
“ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง” สวี่ผิงเฟิงตอบ
ลูกหลานเทพมารผู้นั้นทำอะไรอยู่นอกมหาสมุทรและวางแผนอะไรเอาไว้ ไม่มีใครล่วงรู้ได้
แน่นอนว่า หากสวี่ผิงเฟิงตั้งใจสืบเสาะก็จะสามารถสืบพบร่องรอยเบาะแสได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น
หากทำเช่นนั้นมีแต่จะทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตร ได้ไม่คุ้มเสีย
…
สำนักโหราจารย์
ณ แท่นแปดทิศ สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โต๊ะแล้วมองไปยังชาวเมืองทั้งหลายในเมืองหลวงพลางตระหนักรู้ถึงพลังแห่งเวไนยสัตว์
แสงใสด้านหลังของเขาส่องประกาย ซุนเสวียนจีในชุดสีขาวมาและผู้พิทักษ์หยวนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเขา
“อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วหรือ?”
สวี่ชีอันยังคงนั่งอยู่ เหลือไว้เพียงด้านหลังที่ตั้งตรงแน่วแน่ให้เผชิญหน้ากับหนึ่งคนหนึ่งลิง ท่าทางราวกับท่านโหราจารย์ในช่วงแรกๆ
ผู้พิทักษ์หยวนมองไปที่ซุนเสวียนจีก่อน จากนั้นก็กลับมามองแผ่นหลังของสวี่ชีอันก่อนเอ่ยว่า
“ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว”
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วหยิบถุงหนังใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
“ของด้านในจะบอกเจ้าเองว่าต่อไปต้องทำอย่างไร”
ซุนเสวียนจีรับถุงหนังไปแต่ไม่ได้เปิดออก เขามองเงาหลังของสวี่ชีอันเงียบๆ
ผู้พิทักษ์หยวนทำหน้าที่แปลให้
“เจ้ากำลังเลียนแบบอาจารย์โหราจารย์อยู่หรือ? แต่ข้าว่าเจ้าเหมือนกับศิษย์น้องหยางมากกว่า!”
สวี่ชีอัน ‘เฮอะ’ ออกมาแต่ไม่เอ่ยตอบ
ผู้พิทักษ์หยวนแปลความในใจให้อย่างมีน้ำใจ
“ในใจของฆ้องเงินสวี่บอกว่า อย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับราชาจอมเก๊กนั่น ข้าไม่ใช่คอสเพลย์ของท่านโหราจารย์ ข้ากำลังเลียนแบบขงเบ้งอยู่ต่างหาก…ข้าประมาทแล้ว ดันไม่ป้องกันเจ้าลิงน่าตายนี่เสียได้ คืนนี้ข้าจะกินสมองลิงให้ดู”
ผู้พิทักษ์หยวนสะดุ้งโหยงตกใจ จากนั้นหลุดออกจากภาวะดื่มด่ำกับการอ่านใจแล้วแอบขดตัวอยู่ด้านหลังซุนเสวียนจี ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกักออกมา
“ให้โอกาสข้าสักครั้งเถอะ”
ซุนเสวียนจีเปิดถุงหนังออกแล้วกวาดตามอง ก่อนจะส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา ลวดลายค่ายกลขยายตัวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา จากนั้นก็พาผู้พิทักษ์หยวนหายตัวจากไป
ผู้พิทักษ์หยวนราวกับได้ปลดภาระหนักและรู้สึกว่าตนรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่าวิชาอ่านใจของตนก้าวหน้าขึ้น ในสถานการณ์ที่ฆ้องเงินสวี่ไม่ได้กักเก็บความคิด เขาล้วนสามารถอ่านออกทั้งหมด
ฉับพลันก็ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี
ซุนเสวียนจีเพิ่งจะจากไป สวี่ชีอันก็ลุกขึ้นต้านแรงลมแล้วบินไปทางอารามรัตนะ
กลับมาเมืองหลวงหลายวันแล้ว เขายังไม่ได้ไปที่อารามรัตนะเลย ตอนแรกมีใจแต่ไม่มีเวลา ต่อมาก็ยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญคู่กับเทพดอกไม้ จึงเป็นฝ่ายละเลยราชครูไป
ถึงอย่างไรราชครูก็ต้องรู้เรื่องการบำเพ็ญคู่ของเขากับมู่หนานจือแน่ๆ การไปหาเรื่องซวยในเวลานี้ ไม่ใช่การกระทำเพื่อมีชีวิตรอดของนักจับปลาคนหนึ่งเลย
แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องไปที่อารามรัตนะให้ได้
…
ในอารามรัตนะ
ลั่วอวี้เหิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนผิวน้ำและหลับตาทำสมาธิ
นางสวมเสื้อคลุมขนนกและมงกุฎดอกบัว หว่างคิ้วแต้มสีชาดหนึ่งจุดสะดุดตา
เยือกเย็นเหนือธุลีราวกับนางฟ้านางสวรรค์ แค่ปราณอมตะที่แทรกซึมออกมาผ่านการบำเพ็ญธรรมหลายปีก็สามารถสังหารสตรี ‘ในโลกธุลี’ บางคนได้แล้ว
ในศาลาริมน้ำ สตรีคนหนึ่งนั่งกอดลูกจิ้งจอกแล้วส่งเสียงจิ๊ๆ
“ราชครูช่างงามจริงๆ ผิวพรรณเรียบลื่น ดวงตาหงส์ริมฝีปากชาด เนื้อน้ำแข็งกระดูกหยก ความงามยอดเยี่ยมแห่งโลกโลกา ทำให้คนเนื้อหยาบหนังหนาอย่างข้าอิจฉาเสียจริงๆ”
นางมีใบหน้าธรรมดาสามัญที่มีอายุประมาณหนึ่ง ยามพูดจาก็ล้อเล่นติดตลก ไม่มีอารมณ์ดูแคลนตนเองแม้แต่นิด
“อิจฉาเสียจริงๆ!” ไป๋จีตบมือกล่าวตาม
มู่หนานจือถอนหายใจกล่าว
“ราชครูรูปโฉมงดงาม แต่กลับไม่มีชายใดเจ็บปวด นี่ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายแท้”
ไป๋จีว่าตาม “น่าเสียดายแท้!”
มู่หนานจือเอ่ยต่อ
“ไม่เหมือนข้า ถึงจะมีหน้าตาธรรมดาสามัญ แต่ดีร้ายอย่างไรก็มีผู้ชายมาข้องเกี่ยว”
จู่ๆ นางก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก นั่นมันคนลามกใจร้อนผู้หนึ่ง ไม่ยอมให้ข้าลงจากเตียงด้วยซ้ำ”
บนหน้าผากเรียบเนียนของลั่วอวี้เหิงมีเส้นเลือดเขียวนูนออกมา
นางทำเป็นไม่ได้ยินแล้วทำสมาธิต่อไป
นอกเรือนเล็ก ผนังอีกด้านหนึ่ง
เขาจากไปอย่างเงียบๆ…สวี่ชีอันใช้ความจากสามารถ ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่มาปกปิดกลิ่นอาย แล้วมาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้น เพราะเขายังต้องเก็บรักษาความดีงามและชื่อเสียงเอาไว้
เจ้าบื้อมู่หนานจือ หลังจากปลุกเทพดอกไม้หลิงยวิ่นขึ้นมาก็ลอยลิ่วมานี่เสียแล้ว…ท่านราชครู นี่คือผลกรรมตามติดชัดๆ ใครให้ตอนนั้นท่านข่มขู่นางกันเล่า…อืม ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า
ช่วงนี้ข้าช่างเป็นที่นิยมในหมู่พี่สาวน้องสาวจริงๆ ทั้งเทพดอกไม้ไปยังราชครู ฮว๋ายชิ่งและยังมีหลินอัน ไหนจะหลิงเยวี่ยและหยวนซวงอีก…
สวี่ชีอันออกมาจากอารามรัตนะ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แมวส้มตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นบนกำแพงแล้วมายังลานเล็ก
มู่หนานจือและลั่วอวี้เหิงมองไปยังแมวส้มพร้อมกัน
แมวส้มไม่ลนลานแม้แต่น้อย มุมปากคาบจดหมายเอาไว้ในปาก แล้วก้าวอย่างสง่างามมายังริมสระ ก่อนวางจดหมายลงไป
จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
ราชครูและเทพดอกไม้ขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถามหยั่งเชิงออกมา
“สวี่ชีอัน?”
แมวส้มรู้สึกตัว แล้วร้อง ‘เมี๊ยว’ ออกมาอย่างน่ารักแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
ลั่วอวี้เหิงยื่นมือไปรับจดหมายแล้วเปิดอ่าน จากนั้นก็ยิ้มเย็นออกมา
“จดหมายของใครกัน?”
มู่หนานจือแสร้งทำเป็นเอ่ยถามเหมือนไม่สนใจ
“สวี่ชีอันอย่างไรเล่า”
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยเสียงเรียบ
“เขียนอะไรน่ะ?” มู่หนานจือหูกระดิกขึ้นมา
ลั่วอวี้เหิงมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยสบายๆ
“ขอบำเพ็ญคู่”
…
ยามดึก ณ แท่นแปดทิศ
สวี่ชีอันถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วอาศัยแสงดาวเลือนรางมองไปยังข้อความในกระจก
หมายเลขหนึ่ง ‘ฐานที่มั่นของเต๋ามารในนิกายปฐพีสืบจนรู้ชัดแล้ว พวกเขาอยู่ที่ชิงโจวจริงๆ และเข้าร่วมกับทัพกบฏอวิ๋นโจว ตอนนี้ผู้ที่ควบคุมชิงโจวอยู่ที่สำนักตุลาการความมั่นคง พูดกันชัดๆ คือสำนักตุลาการความมั่นคงแห่งเมืองชิงโจว
‘พวกเขามักจะสวมใส่เสื้อคลุมนักบวชเต๋าของนิกายปฐพี แยกแยะได้ง่ายมาก’
‘สายลับของเว่ยเยวียนนี่ร้ายกาจจริงๆ…’ สมาชิกในพรรคฟ้าดินพากันทอดถอนใจ
หมายเลขเก้า ‘ดี เช่นนั้นทำตามแผน ทุกคน พวกเรามาเจอกันสักที่เถอะ’
หมายเลขสาม ‘พวกเราไปเจอกันในวังใต้ดินนอกเมืองยงโจวแล้วกัน ทุกคนล้วนรู้จักที่นั่น อีกอย่างยงโจวก็อยู่ใกล้ชิงโจว ง่ายต่อการปฏิบัติการ ไม่จำเป็นต้องกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว’
หมายเลขแปด ‘วังใต้ดินนอกยงโจว?’
อาซูหลัวไม่รู้ที่ตั้งของวังใต้ดิน
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความบอก ‘ทิศใต้ของเมืองยงโจวยี่สิบลี้มีเทือกเขาแห่งหนึ่ง เจ้าไปที่นั่นก็จะเจอพวกเราเอง หมายเลขแปด เจ้าอยู่ที่ใด? หากอยู่ไกลมาก พวกเราสามารถขี่กระบี่บินไปรับเจ้าได้’
อาซูหลัวส่งข้อความปฏิเสธ ‘ไม่ต้องหรอก ไม่ถือว่าไกลนัก ข้าอยู่ในภาคกลางแล้ว’
ห่างจากยงโจวเป็นระยะทางไม่กี่พันลี้เท่านั้น
หมายเลขเก้า ‘เช่นนั้นเจอกันพรุ่งนี้ยามเหม่า!’
สมาชิกทุกคนพากันตอบกลับ ‘ได้!’
พรุ่งนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว…สวี่ชีอันเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วเข้าสู่เงามืดมายังห้องนอน
แสงตะเกียงสว่างเหมือนเมล็ดถั่ว
มู่หนานจือกอดไป๋จีไว้และนั่งอ่านหนังสือนิยายภาพและคำศัพท์บนโต๊ะ
“เหตุใดยังไม่นอนอีกเล่า”
สวี่ชีอันพูดพลางปลดเสื้อคลุมออกแล้วเตรียมตัวเขย่าเตียงไปกับเทพดอกไม้
มู่หนานจือยิ้มเย็น
“ฆ้องเงินสวี่ไม่ไปบำเพ็ญคู่กับราชครูหรือ มาหาข้าทำไมกัน”
? ทำไมข้าต้องไปบำเพ็ญคู่กับราชครูด้วย ยังไม่ถึงเวลาบำเพ็ญคู่นี่นา ลั่วอวี้เหิงในยามปกติต่อต้านการคลุกโขมงกับข้าจะตายไป…สวี่ชีอันไม่เข้าใจว่านางกำลังหึงอะไรอยู่
ยามกลางวันก็กำลังผยองพองขนอยู่เลยไม่ใช่หรือ ยังโม้ได้สวยอยู่เลย!
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่พอใจ
มู่หนานจือ ‘เฮอะ’ ออกมา ขี้เกียจจะสนใจเขา
……………………………………………….