ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 751 ประชุมสมาชิกพรรคฟ้าดิน (2)
บทที่ 751 ประชุมสมาชิกพรรคฟ้าดิน (2)
พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ท่ามกลางม่านราตรีสีดำสนิท มีดวงดาวหนาวเหน็บประดับอยู่เพียงไม่กี่ดวง
เงาดำเงาหนึ่งพาดร้องผ่านท้องฟ้าสูงและลอยผ่านเมืองยงโจวอันยิ่งใหญ่ไปทางเทือกเขาสามสิบลี้ทางใต้
เมื่อเข้าใกล้เทือกเขา เงาดำก็เริ่มลดความเร็วลงแล้วค่อยๆ ลอยมาหยุดอยู่ที่ไหล่เขา ซึ่งเป็นทางเข้าถ้ำ
“ดูเหมือนข้าจะมาถึงเป็นคนแรก”
ฉู่หยวนเจิ่นมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นสมาชิกพรรคฟ้าดินคนอื่น ดังนั้นจึงค่อยๆ ลอยลงบนพื้นแล้วนั่งกอดดาบอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงรอคอยเงียบๆ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉู่หยวนเจิ่นก็หูกระดิก พลางได้ยินเสียงแผ่นดินสั่นไหวเล็กน้อย
เขามองไปทางด้านซ้ายและเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าและกระโจนอยู่กลางอากาศ แล้วกระแทกลงมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะลงมาสู่พื้นพร้อมเสียงดังโครมคราม
นั่นคือภิกษุเหิงหย่วนผู้มีร่างกายกำยำในชุดนักบวชสีคราม
เนื่องจากจอมยุทธ์ภิกษุนั้นหยาบกระด้างเหมือนกับจอมยุทธ์ จึงไม่อาจขี่เมฆหมอกและขี่กระบี่บินได้ การบินกลางอากาศในระยะสั้นๆ ไม่อาจรองรับการเดินทางระยะยาวได้ ดังนั้นเขาจึงต้องห้อตะบึงมาตลอดทาง
การห้อตะบึงมาตลอดคืนนั้นแสดงให้เห็นถึงความทรหดอดทนของจอมยุทธ์ภิกษุได้อย่างดีเยี่ยม
“ไต้ซือเหิงหย่วน ดูท่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ไกลจากยงโจวกระมัง” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อามิตตาพุทธ!” เหิงหย่วนประนมมือ
“ประสกฉู่มีปราณหนาแน่น การฝึกตนก็ยาวนาน มีโอกาสไปแตะประตูของขั้นสามหรือไม่?”
ฉู่หยวนเจิ่นนิ่งไป จากนั้นเอ่ยอย่างใจเย็น
“ถ้าแค่เทียบพลังต่อสู้กับศัตรูขั้นสาม เช่นนั้นภายในสามเดือนข้าก็สามารถกลายเป็นผู้อยู่เหนือสามัญได้แล้ว แต่หนทางของข้ามีผลสืบเนื่องมากมาย แค่มีพลังต่อสู้เหนือสามัญ แต่กลับไม่มีอายุขัยดั่งยอดฝีมือเหนือสามัญ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพยายามตกตะกอนอีกครั้ง โดยไม่เลื่อนระดับ แต่แสวงหาเส้นทางที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าแทน”
‘น่ากลัวนัก…’ เหิงหย่วนประเมินหนึ่งคำอยู่ในใจเงียบๆ
เขารู้ว่าฉู่หยวนเจิ่นมีพื้นฐานด้านวิทยายุทธและฝึกฝนวิชากระบี่ของนิกายมนุษย์ สิ่งนี้ทำให้เส้นทางของเขาแปลกประหลาดมาก ทั้งไม่ใช่จอมยุทธ์และไม่ใช่เต๋า
หากต้องจัดประเภทตามความแข็งแกร่ง ฉู่หยวนเจิ่นก็คือมือกระบี่ผู้หนึ่ง!
“ลองเลื่อนขั้นดูก่อนสิ หลังจากก้าวสู่ขั้นเหนือสามัญแล้วก็ค่อยลองเสริมวิชาการฝึกตนให้สมบูรณ์ ประสกฉู่อาจจะสร้างระบบการฝึกตนแบบใหม่ขึ้นมาได้ก็ได้” เหิงหย่วนกล่าว
หลังจากมายืนในที่สูงระดับหนึ่งแล้ว การย้อนกลับระบบการฝึกตนนั้นง่ายกว่าการพยายามคลำหาและสร้างสรรค์ระบบฝึกตนใหม่ขึ้นมาในขณะที่ยังอ่อนแออยู่มาก
ฉู่หยวนเจิ่นลูบคางแล้วกล่าวว่า
“ในเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้ารู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ในบรรดาการฝึกตนปัจจุบันต่างๆ ปรมาจารย์เต๋าคือผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของระบบฝึกตนเต๋า แม้ว่าเทพพ่อมดจะสร้างระบบพ่อมดขึ้นมา แต่วิชาของระบบพ่อมดก็มีเงาของเต๋าแฝงอยู่มาก
จากตรงนี้ก็สามารถคาดเดาได้ว่า ในปีนั้นเทพพ่อมดก็เคยเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเต๋ามาก่อน หลังจากก้าวสู่ระดับสูงแล้วจึงได้เปิดหนทางใหม่ขึ้น แล้วสร้างระบบฝึกตนพ่อมดขึ้นมา”
เหิงหย่วนพยักหน้าจากนั้นก็เอ่ยพูดตามบทสนทนา
“วิทยายุทธ์มีมาตั้งแต่โบราณกาล วิชากู่มาจากเทพเจ้ากู่ โหรออกจากพ่อมด มีเพียงลัทธิขงจื๊อกับสำนักพุทธเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากศูนย์”
วิชาของลัทธิขงจื๊อและสำนักพุทธแตกต่างจากสายอื่นๆ อย่างยิ่ง ไม่มีความคล้ายคลึงใดๆ เลย
ฉู่หยวนเจิ่นพาดดาบไว้กับเข่าแล้วลูบสันดาบก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง
“ไต้ซือเหิงหย่วน ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ ตอนนี้ในแต่ละสายการฝึกตน มีเพียงผู้ก่อตั้งโหรอย่าง…ท่านโหราจารย์รุ่นแรกเท่านั้นที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นผู้ที่สร้างสายการฝึกตนโหรขึ้นมาทีละขั้นๆ ในช่วงที่ยังมีพลังเล็กน้อยอยู่ เขาคือผู้ที่ดูไม่สมเหตุสมผลที่สุดในบรรดาผู้ก่อตั้งระบบการฝึกตนทั้งหมดแล้ว”
แม้ว่ารุ่นแรกจะออกมาจากระบบพ่อมด แต่ในตอนที่เขาได้ทำสงครามกับจักรพรรดิเกาจู่ก็ยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์ ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้สร้างระดับสูงเลย
“ข้าก็พยายามสร้างเส้นทางการฝึกตนแบบใหม่ขึ้นมาเหมือนกัน เพราะเหตุนี้จึงเข้าใจถึงพรสวรรค์อันน่าทึ่งของท่านโหราจารย์รุ่นแรก รวมไปถึงความไม่สมเหตุสมผลด้วย ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าในตอนนั้นเขาสร้างสายการฝึกตนโหรขึ้นมาได้อย่างไร”
ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ขณะพูดคุยกันอยู่ ทั้งคู่ก็หันหน้ามองไปทางทิศเหนือพร้อมกัน
ท่ามกลางม่านราตรีล้ำลึก เงาดำร่างหนึ่งขี่กระบี่บินกรีดผ่านอากาศราวกับสายลมเข้ามายังไหล่เขา
ผู้ที่ยืนอยู่บนสันกระบี่สวมชุดเกราะเบาและเสื้อคลุมกันลมสีแดงก่ำ ในมือถือทวนยาวสีเงินและรวบผมเป็นหางม้าสูง ท่วงท่าสง่างามอาจหาญ
หลี่เมี่ยวเจินกลับมาสวมชุดเมื่อครั้งที่ปราบกลุ่มโจรในอวิ๋นโจวครานั้น นางกลายเป็นแม่ทัพหญิงผู้ห้าวหาญแล้ว
แม่ทัพหญิงชุดคลุมแดง
…
สำนักโหราจารย์ ห้องนอน
สวี่ชีอันลืมตาขึ้น มือขวายื่นออกมาจากผ้าห่มแล้วดีดนิ้วหนึ่งที
‘ฟู่!’
แสงเทียนสว่างไสวขึ้นและแผ่แสงสลัวรางออกมา
เขาเก็บมือกลับแล้วบีบบั้นท้ายที่นุ่มหยุ่นดุจลูกท้อของมู่หนานจือ เทพดอกไม้ที่หลับใหลอยู่กลับไม่รู้สึกตัวสักนิด
สวี่ชีอันดึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วเรียกหาเจดีย์พุทธ จากนั้นปล่อยตัวไป๋จีออกมา
“เจ้าอยู่เป็นเพื่อนนางที่นี่ ข้าจะออกไปทำธุระ”
สวี่ชีอันตบหัวทุยๆ ของจิ้งจอกเบาๆ แล้วเอ่ยกำชับ
ไป๋จียืนอยู่ที่ขอบเตียง ดวงตาสีดำขลับมองดูเงาร่างของมู่หนานจือที่นอนหันข้างอยู่ จากนั้นก็แค่นเสียงเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
“ไม่มีศักดิ์ศรี!”
‘บอกอยู่หยกๆ ว่าจะไม่สนใจเขา แต่พอฆ้องเงินสวี่ดันตื๊อเข้าหน่อย ทั้งจูบทั้งกอด นางก็กึ่งต่อต้านกึ่งยินยอมไปเสียแล้ว แถมยังแกล้งขึ้นไปนอนบนเตียง บอกว่าตนเองจะพักผ่อน อย่าได้รบกวน แบบนี้มันกำลังบอกชัดๆ ไม่ใช่หรือว่าอยากขึ้นเตียงด้วยกันกับเขา’
“ท่านน้า เจ้านี่ไม่มีศักดิ์ศรีเลย…” ไป๋จีทิ้งตัวหมอบอยู่ข้างกายมู่หนานจือ จากนั้นโบกอุ้งเท้าเล็กๆ แล้วตบเข้าไปชุดหนึ่ง
เมื่อสวี่ชีอันสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยขึ้น
“ข้าจะไปยงโจว วันนี้มีศึกหนักที่ต้องทำ เจ้าอยู่ในสำนักโหราจารย์ทำตัวให้ดี ถ้าว่างนักก็ออกไปเดินเล่นในเมืองก็ไม่ก็ไปนั่งเล่นที่จวนสกุลสวี่”
แต่อย่าได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเชียว ไม่อย่างนั้นเจ้าจะโดนหลิงเยวี่ยกับอาสะใภ้ร่วมมือกันต่อยเอา…สวี่ชีอันกลายเป็นเงาแล้วหายตัวไป
พอเขาไปแล้ว มู่หนานจือก็ตื่นขึ้นมาแล้วเคาะหัวไป๋จีทันที จากนั้นดุว่า
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้ากำลังลงโทษเขาอยู่ต่างหาก ให้เขาปรนนิบัติข้าเพื่อชดเชยความผิดอย่างไรล่ะ”
ไป๋จีมองดูเทพดอกไม้ที่ไม่ได้สวมสร้อยข้อมืออย่างโง่งม
…
หลี่เมี่ยวเจินลงจากกระบี่แล้วมองซ้ายมองขวา จึงเห็นว่าเหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นล้วนอยู่ที่นี่แล้ว
“พี่ฉู่ ไต้ซือเหิงหย่วน!”
นางไม่ได้คำนับเป็นพิธีการ แต่เพียงกอบมัดมอบให้
หลังจากทั้งสามทักทายกันแล้วก็รอคอยอย่างอดทน ไม่ถึงครึ่งเค่อ ในจุดที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลนักก็มีปราณแสงสีใสสว่างวาบขึ้น หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนมาแล้ว
“เอ๋ พวกเขาอยู่ตรงนั้น!”
หลี่หลิงซู่เปิดสัมผัสชั่วขณะและหาจุดที่พวกฉู่หยวนเจิ่นทั้งสามคนอยู่ได้อย่างง่ายดาย
จุดที่เขาจับได้คือสถานที่ที่เขาลงไปในสุสานกับ ‘สวีเชียน’ ในวันนั้น อีกทั้งวันนั้นข้างกายยังมีเหมียวโหย่วฟางและราชครูอยู่ด้วย
ตรงนี้อยู่ห่างจากทางเข้าถ้ำโจรของฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนประมาณหนึ่ง
หยางเชียนฮ่วนสวมหมวกผ้าโปร่งคลุมหน้าแล้วยกเท้าก้าวขึ้น จากนั้นทั้งสองก็หายวับไป ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามคน
“ข้าพากำลังเสริมมาให้กับพรรคฟ้าดินด้วย เมื่อมีค่ายกลอันน่าทึ่งของพี่หยาง พวกเราก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”
หลี่หลิงซู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางหันไปมองรอบๆ
“เอ๋ สวี่ชีอันกับนักบวชเต๋าจินเหลียนยังไม่มาหรือ? นักบวชเต๋าจินเหลียนอาจจะเป็นเพราะระยะทางห่างไกล ส่วนสวี่หนิงเยี่ยนนั้น ไม่แน่ก็อาจจะกำลังมีความสุขอยู่บนเตียงกับผู้หญิงสักคน”
เขานั่งขัดสมาธิอย่างสบายๆ แล้วหยิบเอาไหสุราออกมาจากในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า
“ยังห่างจากยามเหม่าอีกมาก ยากนักที่ทุกคนจะมารวมตัวกันได้ เช่นนั้นจะขาดสุราไปได้อย่างไร”
ฉู่หยวนเจิ่นเป็นผู้รักสุรา เขาจึงรับมาพร้อมรอยยิ้ม ไต้ซือเหิงหย่วนเป็นภิกษุ ไม่อาจดื่มสุราเมรัยได้
พวกเขาจุดกองไฟและนั่งดื่มสุราอยู่รอบๆ
มีเพียงหยางเชียนฮ่วนเท่านั้นที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ไม่ไกล ดื้อดึงที่จะแสดงท่าทางอันสูงส่งคาดเดาได้ยากให้กับทุกคน
หลี่หลิงซู่ดื่มสุราไปอึกหนึ่งก็เอ่ยพูดถึงเรื่องที่ทุกคนล้วนแต่สนใจ
“มีใครรู้ตัวตนของหมายเลขแปดบ้าง เป็นชายหรือหญิงกัน?”
“อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว!” หลี่เมี่ยวเจินชำเลืองมองหนุ่มหล่อแล้วหัวเราะคิกคัก
“กระต่ายยังไม่แม้แต่จะกินหญ้าข้างรัง หากเป็นสตรี ท่านก็อย่าไปล่อลวงนางจะดีที่สุด”
‘ทำไมเจ้าถึงได้มีสัมพันธ์คลุมเครือกับสวี่ชีอัน แต่กับข้าดันบอกว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังเนี่ยนะ’…หลี่หลิงซู่โต้แย้งอยู่ในใจ เขาสงสัยจริงๆ ว่าหมายเลขแปดมีตัวตนเช่นไร
“ล้อเล่นแล้ว ข้างกายพี่หลี่มีคนงามอยู่ถึงสามคนให้บรรเลงบทเพลงร่วมกันยามค่ำคืน ใช่คนที่ไม่เคยเห็นสตรีมาก่อนที่ไหนกัน”
หยางเชียนฮ่วนที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยเพื่อผดุงความยุติธรรม
พวกหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามคนหันขวับไปมองหลี่หลิงซู่ ในใจก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
‘สมแล้วที่เป็นเจ้า’ ‘มิน่าถึงอยากจะเรียนวิทยายุทธ’ ‘นิกายสวรรค์ฝึกฝนการตัดอารมณ์ความรู้สึกจริงหรือ?’
…หลี่หลิงซู่หัวเราะแห้งๆ
“ข้าไม่เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม ทั้งยังดูแลบริหารกองกำลังไม่เป็น ก็แค่ไปหาคนรู้จักที่มีความสามารถด้านนี้มาช่วยเท่านั้น”
‘นี่เป็นเรื่องแปลกแท้ๆ สวี่หนิงเยี่ยนบอกว่าทุกคนรู้กันทั่วว่าหญิงงามของเทพบุตรนิกายสวรรค์มีอยู่ทั่วภาคกลาง ข้ายังคิดว่ามันเกินจริงไปหน่อยเลย ตอนนี้พอดูแล้ว ไม่เกินจริงแม้แต่นิด’…ฉู่หยวนเจิ่นบ่นอยู่ในใจ
หลี่เมี่ยวเจินรู้ว่าพี่ชายสุดหล่อของตัวเองเป็นคนแบบไหน จึงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เอ่ยสนทนาในหัวข้อเดิมต่อ
“พลังฝึกตนของหมายเลขแปดน่าจะไม่สูงมาก”
นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่มีทางมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้กับบุคคลที่มีระดับขั้นสูงมากแน่นอน เรื่องแบบนี้ทั้งไม่มีคุณค่าใดๆ และยังควบคุมได้ยากด้วย ดังนั้นอนาคตที่เขาจึงเลือกผู้มีโอกาสกลายเป็นผู้มีศักยภาพของ ‘กลุ่มอำนาจ’ ฝ่ายหนึ่ง
เมื่อพิจารณาจากจุดนี้ ตอนที่หมายเลขแปดรับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไป ก็คงมีพลังฝึกตนไม่สูงมากเหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ แน่
หลี่หลิงซู่หัวเราะ
“ถ้าไม่ถึงขั้นสี่ เช่นนั้นก็ให้เขากลับไปเถอะ แต่ในเมื่อนักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้ขัดขวาง นั่นแปลว่าหมายเลขแปดคงเก่งกาจอยู่บ้าง”
ฉู่หยวนเจิ่นเห็นด้วยกับความคิดของเทพบุตร
“อย่างน้อยต้องเป็นพลังต่อสู้ขั้นสี่ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมปฏิบัติการกองโจรเต๋ามารนิกายปฐพีได้ หากแผนการครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี สัญญาของพวกเรากับนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว และชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็จะกลายเป็นอาวุธเวทมนตร์ของพวกเราโดยสมบูรณ์”
หลี่เมี่ยวเจินเบะปาก
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไร นักบวชเต๋าจินเหลียนจับเสือมือเปล่าแล้ว”
ขณะที่กำลังพูด จิตใจของคนทั้งห้าก็สั่นสะเทือนขึ้น พวกเขาพากันมองขึ้นไปยังท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ภายใต้ม่านราตรี นักพรตเต๋าชราก้าวเดินอยู่กลางอากาศเข้ามา ทุกครั้งที่ก้าวก็จะมีดอกบัวแสงทองมารองรับเท้าของเขา แต่ละก้าวก่อเกิดปทุม
และเมื่อเขายกเท้าขึ้น ดอกบัวก็จะกลายเป็นประกายแสงแล้วจางหายไป
“นักบวชเต๋าจินเหลียน!”
พวกหลี่เมี่ยวเจินร้องเรียงเสียงดัง
ขณะเดียวกัน ทุกคนก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ‘นี่สิถึงจะเป็นหน้าตาที่ผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญควรจะมี’
นักบวชเต๋าจินเหลียนค่อยๆ ก้าวลงสู่พื้น เบื้องหลังยังมีประกายแสงทองลอยหายไป จนเกิดเป็นบรรยากาศเหนือมนุษย์และขับเน้นความเป็นเซียนของเขาขึ้นมา
“ทุกท่าน จากกันครึ่งปี ท่าทางดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก”
นักบวชเต๋าจินเหลียนหัวเราะ
‘รู้สึกเหมือนเจ้ากำลังชมตัวเองอยู่เลย’…สมาชิกพรรคฟ้าดินเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจเงียบๆ
“ท่านนักพรต สวี่หนิงเยี่ยนกับหมายเลขแปดยังไม่มา”
หลี่หลิงซู่เพิ่งจะพูดจบ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็มองไปยังเงาที่บิดเบี้ยวไปตามแสงจากกองไฟใต้เท้าของหลี่เมี่ยวเจิน จากนั้นเอ่ยว่า
“เขามาตั้งนานแล้ว”
เงามือขยายขึ้นทันใดแล้วกลายเป็นร่างคนสีดำสนิทและองคาพยพทั้งห้าแจ่มชัดขึ้น นั่นก็คือสวี่ชีอันที่สวมชุดสีครามอันหรูหรา
“ทุกท่าน ไม่เจอกันนานเลย”
สวี่ชีอันรวบมือทักทายพร้อมรอยยิ้ม
หลี่เมี่ยวเจินตกใจจนสะดุ้งโหยงแล้วก้มหน้ามองเงา ใบหน้าสีขาวเกิดริ้วสีแดงขึ้น จากนั้นก็เอ่ยอย่างโมโห
“เจ้ามาซ่อนอยู่ในเงาของข้าทำอะไร!”
การโผล่ออกมาจากเงาของสาวน้อยคนงาม ดีกว่าเงาของชายฉกรรจ์หยาบกระด้างตั้งเยอะ…สวี่ชีอันหันไปมองหยางเชียนฮ่วน
“ศิษย์พี่หยางก็อยู่ด้วย”
‘อืม’ หยางเชียนฮ่วนตอบรับ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ และเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ
“ได้ยินว่าเจ้าสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ให้ครองบัลลังก์หรือ? ทำได้ไม่เลว”
‘เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอิจฉาจนอยากจะโขกกำแพงอยู่แล้ว’…หลี่หลิงซู่ก่นด่าอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็แหงนมองฟ้าก่อนเอ่ยว่า
“ถึงยามเหม่าแล้ว เหตุใดหมายเลขแปดยังไม่มาอีกเล่า”
นักบวชเต๋าจินเหลียนและสวี่ชีอันเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“เขามาแล้ว”
เมื่อทั้งคู่เอ่ยจบ มนุษย์ยักษ์ตัวสูงใหญ่เกือบเก้าฉื่อผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินออกมาจากป่าทึบข้างๆ พวกเขา เขาสวมชุดกาสาวพัสตร์สีเหลืองแดง ที่คอมีประคำแขวนอยู่
รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูอัปลักษณ์ มีโหนกคิ้วนูนออกมา ซ่อนเร้นดวงตาอันเฉียบคมไว้
ท่ามกลางความอัปลักษณ์นั้น กลับมอบความรู้สึกองอาจกล้าหาญมาให้
เมื่อหลี่หลิงซู่เห็นเงาร่างที่สูงใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดา เขาก็รู้แล้วว่าหมายเลขแปดอาจจะไม่ใช่คนงามในจินตนาการของเขาอีกแล้ว จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อหมายเลขแปดเดินเข้ามาใกล้กับขอบเขตกองไฟที่เปล่งประกายเจิดจรัส หลี่หลิงซู่ที่มองเห็นหน้าตาของเขาชัดๆ ก็เอ่ยอย่างตกตะลึง
“เผ่าอสุรา?!”
ในยงโจว หลี่หลิงซู่เคยพบกับอสุราระดับเพชรตู้ฝานมาก่อน และคุ้นเคยกับเผ่าอสุรามากกว่าพวกหลี่เมี่ยวเจินเสียอีก
“คนของสำนักพุทธ?”
หลังจากหลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น และไต้ซือเหิงหย่วนเห็นชุดกาสาวพัสตร์ที่หมายเลขแปดสวมบนร่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ
หลี่หลิงซู่หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาแล้วพูดว่า
“หมายเลขแปด?”
ภิกษุร่างกำยำก็หยิบกระจกหยกออกมาแสดงตัวตนของตัวเองเช่นกัน
‘เป็นหมายเลขแปดจริงๆ ด้วย’…พวกหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ เลิกหวังและยอมรับความจริงอย่างจนปัญญา
พูดตามตรง การที่หมายเลขแปดคือศิษย์สำนักพุทธนั้นเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลย
‘ในตอนนี้สำนักพุทธและต้าฟ่งก็เหมือนน้ำกับไฟ หมายเลขแปดกลับเป็นศิษย์ของสำนักพุทธอีก เรื่องนี้ช่างแยกไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นศัตรูหรือมิตร’…หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วมุ่น
ฉู่หยวนเจิ่นก็เป็นกังวลเช่นกัน หลังจากได้ยินหลี่หลิงซู่ร้องออกมาว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าอสุรา เขาก็ตัดการคาดเดาที่ว่า ‘บางทีอาจจะเหมือนกับไต้ซือเหิงหย่วน’ ไป และมองว่าอีกฝ่ายมาจากดินแดนประจิมทิศทันที
เพราะมีแต่ที่ดินแดนประจิมทิศเท่านั้นที่จะมีเผ่าอสุรา
เขายังคงมีความเชื่อถือต่อนักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่ จึงเก็บความกังวลนั้นไว้ในใจแล้วกวาดตามองคนอื่นๆ เงียบๆ จากนั้นก็พบว่าทุกคนล้วนมีความกังวลแบบเดียวกัน
“นั่ง!”
สวี่ชีอันผายมือเชิญอาซูหลัว
อาซูหลัวนั่งลงข้างกองไฟโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เขารับสุราจากสวี่ชีอันก่อนยกดื่มแล้วมองทุกคน ก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ตั้งแต่ออกจากด่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกันทุกคน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
อาจเป็นเพราะท่าทีที่ดูเป็นมิตรของเขา ท่าทางยามพูดคุยก็ดูอ่อนโยน ความกังวลของพวกหลี่เมี่ยวเจินจึงลดลง
ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยพินิจ
“หมายเลขแปด ท่านคงแจ้งแก่ใจดีถึงความขัดแย้งระหว่างต้าฟ่งและเฮยเหลียน ความหมายของการล้อมสังหารเฮยเหลียน ท่านก็รู้ดี ท่านเป็นศิษย์ของสำนักพุทธ แล้วเหตุใดถึงเข้าร่วมกับปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยเล่า”
ฉู่จ้วงหยวนแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เขาเอ่ยเปิดเรื่องเพื่อแถลงไขข้อดีข้อเสียตรงๆ
เมื่อเห็นสายตาของทุกคนรวมมาที่ตัวเอง อาซูหลัวก็เอ่ยพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
“ถึงข้าจะสวมชุดกาสาวพัสตร์ของภิกษุ แต่ก็ไม่ได้มองว่าตัวเองคือศิษย์ของสำนักพุทธ บุญคุณความแค้นระหว่างสำนักพุทธและอสุรานั้น ทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้คงจะรู้ดีอยู่แล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น สมาชิกพรรคฟ้าดินก็กระอักกระอ่วนและถอนหายใจเล็กน้อย พวกเขาก็เคยแจ้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้าและอสุราให้กับหมายเลขแปดมาก่อน
ความสัมพันธ์อันวุ่นวายของราชันอสูร อาซูหลัว และจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจากซินเจียงตอนใต้นั้น ทุกคนล้วนสอดปากสอดคำกันมาก
พอรู้ว่าหมายเลขแปดกลับเป็นเผ่าอสุรา ก็ยากจะไม่เกิดความกระดากอายขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ดี!”
หลังจากยืนยันแล้วว่าเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู หลี่หลิงซู่ก็ยกไหสุราขึ้นแล้วเอ่ย
“ข้าก็ถือว่าเคยติดต่อสมาคมกับเผ่าอสุรามาก่อน เจ้าคือเผ่าอสุราที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยพบมาก่อนเลย อสุราระดับเพชรตู้ฝาน ราชันอสูร และลูกชายของเขาอาซูหลัวล้วนแต่เป็นศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ของสำนักพุทธ ตู้ฝานระดับเพชรผู้นั้นเสียชีวิตอยู่ที่เจี้ยนโจว อาซูหลัวก็ถูกสวี่ชีอันของพรรคฟ้าดินของเราสยบไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า มีแต่เจ้านี่ล่ะที่มีใจจริง ไม่ถูกสำนักพุทธเปลี่ยนแปลง”
สมาชิกทุกคนพากันพยักหน้า คิดว่านี่คือเหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเลือกหมายเลขแปดมา
จากการสังเกตเมื่อกี้ พวกเขาก็พอจะยืนยันได้ว่าพลังฝึกตนของหมายเลขแปดไม่สูงนัก น่าจะอยู่ระหว่างขั้นห้าถึงขั้นสี่
แต่ก็มีจุดที่พิเศษอยู่จริงๆ
พอหลี่หลิงซู่เอ่ยจบก็ยกสุราขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถาม
“จริงสิ ยังไม่รู้จักซื่อแซ่ของเจ้าเลย”
อาซูหลัวกวาดตามองทุกคน มุมปากกระตุกขึ้น
“อาซูหลัว!”
……………………..