ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 754 ดาบสะเทือนใต้หล้า
บทที่ 754 ดาบสะเทือนใต้หล้า
แม้จะอยู่ในสงครามขนาดใหญ่ มีผู้แข็งแกร่งขั้นสี่จำนวนถึงสามสิบคน ก็สามารถมีบทบาทสำคัญได้
ขอเพียงไม่ถูกผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เล็งเป้า พวกเขาย่อมสามารถควบคุมตอนจบของสงครามได้
ครั้งนี้สวี่ชีอันได้โยกย้ายขั้นสี่ที่สามารถโยกย้ายได้โยกย้ายมาหมดแล้ว สิ่งที่เดิมพันก็คือไม่มีใครฉวยโอกาสก่อกวนแนวหลัง
เมืองหลวงต้าฟ่งในเวลานี้ แม้แต่ขั้นเหนือมนุษย์สักคนก็ไม่มี จำนวนยอดฝีมือขั้นสี่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
ต้าฟ่งสร้างชาติมาหกร้อยปี เมืองหลวงของชาติไม่เคยมีช่วงเวลาที่การป้องกันว่างเปล่าเช่นนี้
แต่ผลนั้นเกิดขึ้นทันที หลังจากที่ได้เห็นภาพของกลุ่มผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ปรากฏตัว ภาพที่ขั้นสี่นับสิบคนเข้าควบคุมสถานการณ์ ทหารอารักขาบนกำแพงเมืองต่างระเบิดเสียงคำรามอย่างคาดไม่ถึง
คำรามอย่างไม่มีความหมาย!
เป็นเพียงการระบายอารมณ์ที่หวั่นไหวอยู่ในหัวใจเท่านั้น
หลังจากชิงโจวถูกข้าศึกตีแตก ขวัญกำลังใจของทหารอารักขาเมืองชิงโจวก็ลดลงถึงขั้นต่ำที่สุด ต่อมายังมีความจริงเรื่องการตายของท่านโหราจารย์อีก อีกทั้งข่าวลือที่ว่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งไม่สามารถตีเสมออวิ๋นโจวได้ และการที่ราชสำนักต้องอดทนกับความอัปยศอดสูในการตัดสินใจเจรจาสงบศึกอีก
ทั้งหมดนี้ต่างกำลังบอกเหล่าทหารที่ถอยไปป้องกันเมืองยงโจว…‘พวกเจ้าพ่ายแพ้สงคราม ต้าฟ่งตกอยู่ในอันตรายแล้ว’
จิตใจที่หดหู่ เกรงกลัวนั้นพอที่จะคาดการณ์ได้
ที่สามารถรักษาสวินโจวไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ไม่มีเหตุการณ์ทหารหลบหนีอย่างมากมาย นอกจากเป็นเพราะหยางกงปกครองทหารอย่างเข้มงวดแล้ว ในใจของทหารทุกคนยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง
ความคิดนี้เรียกว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’
ท่านโหราจารย์เป็นเทพผู้พิทักษ์ในสายตาของ ขุนนางชั้นสูง มีเขาอยู่ ทุกอย่างในราชสำนักจะมั่นคง
แต่ท่านโหราจารย์ในสายตาของคนส่วนใหญ่แล้ว มีระยะห่างเกินกว่าคำว่าไกลโพ้น
สวี่ชีอันถึงจะเป็นเทพผู้พิทักษ์ในสายตาของชนชั้นล่างและทหาร มีเขาอยู่ ต้าฟ่งก็จะไม่มีวันล้ม
ตอนนี้ ฆ้องเงินสวี่มาแล้ว!
เขาไม่ทำให้ผิดหวัง เช่นเดียวกับที่เขาสังหารกั๋วกงที่เมืองหลวง การรับมือกับกองกำลังทหารของสำนักพ่อมดแต่เพียงผู้เดียวที่ด่านอวี้หยาง และการสังหารจักรพรรดิผู้โง่เขลาด้วยความโกรธเคืองที่เมืองหลวง เขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง
มือทั้งสองข้างของหยางกงกดสันกำแพง สูดลมหายใจลึก พูดเสียงดังว่า
“ยอมเป็นเศษหยกที่ล้ำค่า ยังดีกว่าเป็นแผ่นกระเบื้องที่ต่ำต้อย!”
ดังนั้น เสียงร้องคำรามที่อลหม่านบนกำแพงเมือง จึงกลายเป็นเสียงร้องว่า “ยอมเป็นเศษหยกที่ล้ำค่า ยังดีกว่าเป็นแผ่นกระเบื้องที่ต่ำต้อย!”
สวี่เอ้อร์หลางฟังคลื่นเสียง ราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่บ้าคลั่ง สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ สีหน้าของเหล่าทหารอารักขาทุกคนสะท้อนอยู่ในสายตาเขา
พวกเขาบางคนชูอาวุธขึ้นสูง แผดเสียงก้องจนใบหน้าและลำคอแดง บางคนน้ำตาคลอเบ้า ในแววตานั้นกลับมีจิตใจแห่งการต่อสู้ลุกโชน บางคนตื่นเต้นดีอกกดีใจ อยากจะวิ่งลงจากกำแพงทันทีและไปยืนเคียงข้างลูกพี่
ในเวลานี้ สวี่ซินเหนียนรู้ว่า นี่เป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดกองหนึ่ง
อารมณ์นั้นสามารถติดต่อกันได้ เมื่อมีใครบางคนสามารถปลุกใจของเหล่าทหารขึ้นมา ทำให้พวกเขาเกิดความฮึกเหิม ถ้าเช่นนั้น ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องตาย ถึงแม้แนวหน้าจะเป็นศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเขาก็ยินดีที่จะไปตายภายใต้การนำของผู้นำในดวงใจของพวกเขา
ผู้นำในดวงใจของทหารอารักขาของต้าฟ่ง ก็คือลูกพี่สวี่ชีอัน!
ตัวของจีเสวียนเองเป็นบุตรอันเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ฝ่ายอวิ๋นโจว และเป็นหนึ่งในทหารที่ก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์เพียงสองคนในบรรดาคนหนุ่มของยุค
แต่เมื่อเขาเห็นสวี่ชีอันเรียกผู้แข็งแกร่งมามากมายเช่นนี้ด้วยกำลังของตัวเองเพียงคนเดียว ทำให้บุคคลขั้นเหนือมนุษย์ที่อยู่เหนือความวุ่นวายของปุถุชนเช่น ลั่วอวี้เหิง โค่วหยางโจวเป็นต้น ยอมยืนเสริมให้โดดเด่นอยู่ข้างหลังเขา
ทำให้ทหารอารักขาของต้าฟ่งที่เดิมทีขวัญทหารตกต่ำ และเอาแต่คล้อยตามต่างเกิดอารมณ์ฮึกเหิม หลับหูหลับตาเลื่อมใสขึ้นมาทันที
ภายในใจของจีเสวียนมีไฟริษยาอันร้อนแรงลุกโชนขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มือที่กำด้ามดาบของเขาออกแรงอย่างเงียบๆ ตะโกนว่า
“สวี่ชีอันในขั้นเหนือมนุษย์นั้น เดิมทีก็ไม่ใช่ว่ายุทธวิธีคลื่นมนุษย์จะสามารถชดเชยได้”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลัง บดบังเสียงอึกทึกครึกโครมบนกำแพงเมืองในทันที
จากนั้น จีเสวียนก็หันไป พนมมือไปทางพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
“ขอเชิญพระโพธิสัตว์ลงมือ!”
ถ้าฝั่งตรงข้ามมีสวี่ชีอันเพียงคนเดียว ถ้าเช่นนั้นเขาอาศัยเพียงกำลังของขั้นสามระยะกลาง ก็สามารถประลองกำลังกับคนแซ่สวี่ได้แล้ว ถึงแม้จะสู้ไม่ไหวอยู่บ้าง แต่ก็แตกต่างกันไม่มาก
แต่ตอนนี้สวี่ชีอันไม่ได้ต่อสู้เพียงคนเดียวแล้ว
มีขั้นเหนือมนุษย์กลุ่มหนึ่งคอยควบคุมสถานการณ์ จีเสวียนไม่คิดว่าตนเองจะมีกำลังที่จะฝ่าขบวนรบได้ ผู้ที่ทำถึงขั้นนี้ได้ มีเพียงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ขั้นหนึ่งเท่านั้น
ภายใต้การนำของขั้นสูง ป้องกันผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
แน่นอนว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าฝีมือการโจมตีของเจียหลัวซู่แย่ บางครั้ง การการป้องกันและการโจมตีนั้นต้องได้สัดส่วนกัน
หลังจากจักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ ทรงอนุญาตให้จ้าวโส่วเข้าสู่ราชสำนักเป็นขุนนางแล้ว? ต้าฟ่งจะปรากฎปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสองในระบบลัทธิขงจื๊อ เป็นหมากที่ดี…สวี่ผิงเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย และเอียงคอมองไปทางพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
“รบกวนพระโพธิสัตว์ไปสำรวจทดสอบฝีมือของพวกเขา” สวี่ผิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“อมิตตาพุทธ!”
เสียงสวดมนต์ดังสะท้อนในท้องฟ้า บดบังเสียงทั้งหมด
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆบนท้องฟ้าม้วนตัว เปลี่ยนเป็นสีทอง ใต้เท้ามีระลอกคลื่นสีทองกระเพื่อมขึ้นมา
ทุกครั้งที่เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว ก็มีเสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้น ดูเหมือนความว่างเปล่าจะรองรับน้ำหนักของเขาไว้ไม่ไหว
หลังจากก้าวออกไปสิบก้าว บริเวณรอบๆ ก็เงียบสงัด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพอวิ๋นโจวหรือกองทัพต้าฟ่ง ต่างตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่างประหลาด
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะพูด แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่กล้าที่จะพูด ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ เป็นสัญลักษณ์ของความหนักแน่นราวกับภูเขา ความกว้างใหญ่ไพศาลของทะเล ‘ร่างธรรมเทพอารักษ์’ เป็นสัญลักษณ์ของพลัง เป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง และการยกทัพจับศึก!
ร่างธรรมทั้งสองซ้อนกัน ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ห้วงน้ำลึก เหมือนเผชิญหน้ากับเทพ
ต่อหน้าเทพ ปุถุชนจะกล้าพูดที่ไหนกัน?
นี่คือความกดดันที่มีอยู่ของบุคลิกสูง ไม่หวั่นไหวไปกับความปรารถนาของปุถุชน
‘ที่แท้คนที่ท่านโหราจารย์ต้องเผชิญหน้า คือศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้เอง’…ทหารอารักขาบนกำแพงเมืองเผชิญหน้ากับร่างธรรมสององค์โดยตรง จึงได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง
ทุกคนต่างได้ยินมาว่าพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธเป็นขั้นสูงสุดที่มีอยู่ในใต้หล้า ทุกท่านล้วนสามารถเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน แต่พูดถึงระยะห่างจากทหารธรรมดาแล้ว พระโพธิสัตว์มีระยะห่างเกินกว่าคำว่าไกลโพ้น ก่อนหน้านี้มีท่านโหราจารย์คอยต้านทานมาโดยตลอด
สำหรับความยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ รู้แต่ผลลัพธ์แต่ไม่รู้ที่มา
เมื่อครู่จีเสวียนใช้กำลังคุกคามทหารทั้งหมดเพียงคนเดียว พลังที่แสดงออกทั้งหมดนั้นสามารถเห็นได้ และอยู่ในขอบเขตที่ทุกคนรับรู้
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่แค่เพียงข่มขู่ ก็ทำให้จอมยุทธ์ต่ำกว่าขั้นเหนือมนุษย์และทหารธรรมดาๆ ต่างพากันกลัวจนไม่กล้าพูดออกมา
ฆ้องเงินสวี่จะโต้ตอบอย่างไร? มีคนมองไปทางคนชุดดำที่ตีนกำแพง
ราวกับรู้กัน สายตาทุกคู่พุ่งไปที่ตัวสวี่ชีอันอย่างพร้อมเพรียง พุ่งไปที่ตัวของศูนย์กลางพลังคนสุดท้ายของต้าฟ่ง
“ส่งใครไปกำจัดเขาดี?”
สวี่ชีอันยืนมือไพล่หลัง ใบหน้ามีรอยยิ้ม
“ข้า!”
ซุนเสวียนจีตอบง่ายๆ ได้ใจความ พูดจบ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และสวี่ชีอันด้วยวิชาส่งตัว
หลังจากนั้น ศิษย์พี่ซุนก็ได้แสดงให้เห็นว่าอะไรคือความสลับซับซ้อนของค่ายกลของสำนักโหราจารย์
ค่ายกลวงกลมสว่างขึ้นใต้เท้าเขา ส่องแสงระยิบระยับสลับไปมาเหมือนสไลด์โชว์ ค่ายกลวงกลมเล็กประกอบกันเป็นค่ายกลวงกลมใหญ่ อานุภาพซ้อนกันเป็นชั้นๆ
ในขณะเดียวกัน นิ้วมือของเขาก็วาดไปในอากาศอย่างรวดเร็ว วาดเป็นลวดลายบูดเบี้ยว ลวดลายรวมตัวกันเป็นค่ายกล
แสงอันรุ่งโรจน์สว่างขึ้นและดับลงไม่ขาดสาย ระยิบระยับราวกับสไลด์โชว์
ท่ามกลางผู้คนที่มากมายละลานตา ใต้ตัวของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ปรากฏค่ายกลยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหกสิบจ้าง ค่ายกลนี้มีพระจันทร์เป็นศูนย์กลาง ควบรวมพลังของธาตุทั้งห้าจากทั่วทุกสารทิศ และหมุนทวนเข็มนาฬิกา
บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของพระพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ปรากฏค่ายกลยักษ์เช่นเดียวกัน ค่ายกลนี้มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ควบรวมแรงลม สายฟ้า และหมุนตามเข็มนาฬิกา
สังหาร!
ค่ายกลยักษ์ทั้งสองเหมือนเครื่องโม่ ควบรวมพลังจากที่ต่างๆ ในใต้หล้า ให้พวกมันกลายเป็นดาบคม สังหารพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่อยู่ในค่ายกล
ค่ายกลแบ่งเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน
ด้านบนคือลมกลายเป็นพายุทอร์นาโด ฟ้าผ่าลงตรงกลาง สายฟ้าแต่ละเส้นเป็นประกายระยิบระยับท่ามกลางพายุเฮอริเคน ด้านล่างคือธาตุทั้งห้าของหยินและหยาง ทิศทางการหมุนตรงข้ามกับพายุทอร์นาโด
รอยต่อของพลังทั้งสอง ก็คือพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
จีเสวียนเลิกคิ้ว เขาเคยต่อสู้กับซุนเสวียนจีหลายครั้ง จึงนับว่ารู้กำลังและนิสัยของโหรชุดขาวท่านนี้ดี
ซุนเสวียนจีเป็นคนไม่ทำอะไรสุดกำลัง แม้จะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ก็ยากที่เขาจะต่อสู้สุดชีวิต
แต่เวลานี้ โหรชุดขาวได้ระเบิดพลังการรบที่เหนือกว่ามาตรฐานมาก ราวกับใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะ
แนวหน้าของกองทัพอวิ๋นโจว ชีก่วงป๋อถือกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวมองค่ายกลที่ยิ่งใหญ่มหาศาล พร้อมกับพูดด้วยความสะเทือนใจว่า
“สมกับเป็นโหรระดับสาม ซุนเสวียนจีมีหวังที่จะเลื่อนสู่ระดับสอง หากให้เวลาอีกสักหน่อย บางทีเขาอาจจะกลายเป็นท่านโหราจารย์คนที่สอง ถ้าหากไม่มีราชครู”
เก่อเหวินเซวียนจิตใจสับสน เมื่อเทียบกับอาจารย์ที่มองเห็นแต่เข้าไม่ถึง พลังที่ซุนเสวียนจีแสดงออกมา สามารถดึงดูดเขาได้มากกว่า กลายเป็นความหวังของเขา
“แต่จะมีประโยชน์อะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ พลังขั้นนี้ไม่เท่าไรเลย”
ราวกับเป็นการตอบคำถามของเก่อเหวินเซวียน ร่างธรรมเทพอารักษ์บนศีรษะของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยกหมัดทั้งสองข้างขึ้น กระแทกเข้าหากันอย่างแรง
‘หง่าง!’
เสียงระฆังดังขึ้นในใต้หล้า
พลังอันบ้าคลั่งมีหมัดทั้งสองข้างเป็นศูนย์กลางระเบิดออกมา ฉีกพลังล่องหน ฉีกสายฟ้า ฉีกค่ายกลทั้งสองราวกับต้องการทำลายให้พังพินาศ
ในระหว่างนั้น เท้าของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่ได้หยุดนิ่ง
ซุนเสวียนจีถูกโจมตีเป็นคนแรก ร่างกายโค้งงอทันที ถูกพลังอันบ้าคลั่งนี้ผลักกระเด็นไปด้านหลัง
แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ โดยใช้ร่างกายควบรวมค่ายกลแต่ละชั้น เพื่อหักล้างคลื่นสั่นสะทือน
“โฮก!”
ด้านหลังของศัตรู กองทัพอวิ๋นโจวนับหมื่นนายคำรามขึ้นพร้อมกัน เพื่อเสริมพลังของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ให้แข็งแกร่ง
ทหารอารักขาของต้าเฟิ่งบนกำแพงเมืองจ้องมองผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์หลายท่านที่มีสวี่ชีอันเป็นตัวแทนด้วยความตื่นเต้น
สวี่ชีอันหรี่ตาเล็กน้อยให้ ทำเสียงจุ๊ปาก พูดว่า
“ตัวร่างธรรมเทพอารักษ์เองนั้นแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ ส่วนร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่มีเพียงการป้องกันเท่านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“แม้ว่าจะเป็นขั้นหนึ่ง เกรงว่าจะไม่สามารถที่จะทำลายการป้องกันของเขาได้เช่นกัน”
จ้าวโส่วพยักหน้า
“ท่านโหราจารย์ไม่เคยทำให้เจียหลัวซู่ได้รับความเสียหายได้จริงๆ เลย”
สวี่ชีอันหันไปมองโค่วหยางโจว จักรพรรดิแห่งกัวซา พูดยิ้มๆ ว่า
“ผู้อาวุโส ต้องการจะไปลองดูบ้างหรือไม่? เป็นการล้างอายครั้งก่อน”
หลังจากที่โค่วหยางโจวฝ่าด่านได้แล้ว ก็รักษาระดับให้มั่นคง ลับจิตดาบอยู่ที่เจี้ยนโจวมาโดยตลอด พลังทั้งหมดมีความก้าวหน้าอย่างมาก
‘แต่ถ้าจะรับมือร่างธรรมเทพอารักษ์แล้วละก็…’ ชายชราแสยะปาก
“ลองก็ลอง”
ไม่ใช่ลองลองก็ตายหรอกหรือ? สวี่ชีอันพูดว่า
“ข้าพอจะรู้ระดับฝีมือของร่างธรรมเทพอารักษ์แล้ว ผู้อาวุโสโค่ว ราชครู เจ้าสำนักศึกษา รวมกับพลังของพวกเราสี่คน ร่วมกันทำลายร่างธรรมเทพอารักษ์ ”
การที่จะทำลายร่างธรรมเทพอารักษ์ จะต้องมีกำลังปะทะของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง และต้องไม่ใช่คนที่เพิ่งเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งด้วย
ลั่วอวี้เหิงและโค่วหยางโจวพยักหน้า เหาะขึ้นฟ้าพร้อมกัน สูงเท่ากับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
ปลีกวิเวกมาห้าร้อยปี วันนี้จะให้จิ่วโจวได้จดจำข้า… ผมขาวเต็มศีรษะของชายชราปลิวว่อน ค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมา
‘หึ่งๆๆ…’ ทหารอารักขาบนกำแพงเมือง กองทัพอวิ๋นโจวที่อยู่ไกลออกไป รู้สึกได้พร้อมกันว่าดาบคาดเอวในฝักกำลังสั่น ราวกับได้รับจิตวิญญาณ ต้องการจะหลุดพ้นจากการควบคุมของเจ้าของ
“ข้าคือปรมาจารย์ดาบแห่งยุค เข้ามา!”
ชายชราตะโกนเสียงดัง
ทันใดนั้น ดาบคาดเอวแต่ละเล่มก็ออกจากฝัก ดิ้นหลุดจากการควบคุมของเจ้าของ กลายเป็นกระแสเหล็กที่เกรียงไกร ลอยไปทางโค่วหยางโจว
กระแสเหล็กของต้าฟ่งและทหารกบฏสองสายปกคลุมท้องฟ้า
“ฝีมือของเซียน …”
เหมียวโหย่วฟางตกตะลึง พึมพำกับตัวเอง
ในกองทัพทั้งสอง ทหารที่ฝึกจิตดาบ อยากจะคุกเข่าให้ชายชราใจจะขาด
อีกด้านหนึ่ง ลั่วอวี้เหิงก้มลงมองไปที่สวี่ชีอัน น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู
“ข้าออกกระบี่ได้แค่สามครั้งเท่านั้น”
รอจนสวี่ชีอันพยักหน้าแล้ว นางก็พูดอย่างเย็นชาว่า
“ครั้งแรก กระบี่ใจ!”
พูดจบ ลั่วอวี้เหิงอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น นางแตกต่างจากกายเนื้อ จิตวิญญาณแห่งธาราทมิฬประกอบกันเป็นชั้นราวกับกระโปรงยาว จิตวิญญาณแห่งไฟเข้าสู่ดวงตาทั้งคู่ ขณะกะพริบตา เห็นแววกล้าหาญคุกคาม
จิตวิญญาณแห่งดินคว้าร่างของนางไว้ ยินยอมหมอบคลานอยู่แทบเท้านาง
จิตวิญญาณแห่งลมคว้าผมยาวสลวยของนางไว้ สะบัดขึ้นไปด้านบนและทั้งสี่ด้าน ตามอำเภอใจ เส้นผมแต่ละเส้นเห็นอย่างชัดเจน
เทพเจ้าหยางแห่งลัทธิเต๋า!
กายเนื้อของลั่วอวี้เหิงไม่ขยับเขยื้อน เทพเจ้าหยางหายตัวเข้าไปในกระบี่
ทันใดนั้น ดาบเหล็กที่มีสนิมเกาะมากมายเปล่งรัศมีร้อนแรง สนิมหลุดออกอย่างรวดเร็ว
และในขณะที่ผู้แข็งแกร่งขั้นสองต่างคนต่างแสดงฝีมืออยู่นั้น สวี่ชีอันก็ยื่นมือออกไป คำรามว่า
“กระบี่จงมา!”
ลำแสงสีส้มลอยมาจากขอบฟ้า ส่งตัวเองเข้าไปในมือของสวี่ชีอัน
อาวุธวิเศษอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง ดาบสยบดินแดน!
ในขณะที่กำดาบ สวี่ชีอันงอนิ้วมือ เคาะที่หว่างคิ้ว
สิ่งที่สว่างขึ้นไม่ใช่สีทอง แต่เป็นสีดำเข้ม เป็นสีผิวที่มีอยู่ในเส้นเลือดของอสุราเท่านั้น
พลังของไต้ซือเสินซูผสมผสานเข้าไปในร่างกายของเขา ทำให้ปราณโลหิตและลมปราณของสวี่ชีอันซึ่งเดิมเป็นทหารขั้นสองสูงขึ้นส่วนหนึ่ง
เขาพูดช้าๆ ว่า “ทุกคนฟังคำสั่งข้า!”
ในเขตยงโจว พลังแห่งเวไนยสัตว์ทะลักเข้ามาเหมือนฝูงผึ้ง ราวกับแม่น้ำทะลักลงสู่มหาสมุทรที่กว้างใหญ่
ในจำนวนนี้รวมถึงทหารอารักขานับพันนายบนกำแพงเมืองสวินโจว พลังของพวกเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่า แข็งแกร่งยิ่งกว่า
จากนั้น สวี่ชีอันทลายลมปราณ สำรวมตน เดิมทีก็ผสมผสานสุดยอดของเคล็ดวิชา รวบรวมพลังไว้รอเวลาแสดงออกมา!
ดาบสยบดินแดน ‘หึ่งๆ’ สั่นราวกับไม่สามารถรับพลังที่น่ากลัวนี้ได้
แต่สวี่ชีอันยังคงไม่พอใจ แขนข้างที่ถือดาบ ขยายขึ้นสองเท่าอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อพองตัว
ลี่กู่…บ้าคลั่ง!
สวี่ผิงเฟิงสะเทือนใจเล็กน้อย ดูเหมือนตกใจ
“พลังแห่งเวไนยสัตว์! เจ้าสามารถเคลื่อนย้ายพลังแห่งเวไนยสัตว์?!”
ไม้ตายของท่านโหราจารย์คือพลังแห่งเวไนยสัตว์ ให้สวี่ชีอันได้มีพลังแห่งเวไนยสัตว์
สวี่ผิงเฟิงไม่มีความลังเลอีกต่อไป วินาทีต่อมา เขาระงับความประหลาดใจและโกรธเคืองเคืองลง ตบถุงหอมที่เอวด้วยมือข้างเดียว
ชิ้นส่วนทองแดงที่ส่องประกายระยิบระยับเป็นทางลอยออกมา รวมตัวกันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันค่ายกลวงกลมใต้เท้าสวี่ผิงเฟิงก็แผ่ขยายตัว พยายามรับผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งสองฝ่ายเข้ามาสู่ขอบเขต
ไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิงแล้ว ในเมื่อรู้ไม้ตายแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ใช้พลังที่มีอานุภาพดุจฟ้าผ่าสังหารสวี่ชีอัน
เมื่อพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เห็นว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว จึงไม่หยั่งเชิงแบบช้าๆ อีกต่อไป และจู่โจมเข้าใส่สวี่ชีอันทันที
ในเวลานี้เอง จ้าวโส่วงอนิ้วดีดมงกุฎแห่งปราชญ์เอก ปากเปล่งวาจาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
“ณ ที่นี้ห้ามใช้ค่ายกล!”
เขาไม่ได้บอกว่าห้ามใช้อาวุธเวทมนตร์ ทำแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อสวี่ชีอันที่อยู่ในภาวะสะสมกำลัง รวมทั้งลั่วอวี้เหิงด้วย
แต่ค่ายกล มีโหรเท่านั้นที่มี
จานกลมทองแดงประกอบร่างเสร็จ แต่ไม่มีค่ายกลที่เข้าชุดมาสั่งการ จึงไม่สามารถแสดงพลังของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ในการตัดขาดฟ้าดินตรงนี้
กระบี่เหล็กของลั่วอวี้เหิง ค่ายกลดาบของโค่วหยางโจว นำหน้าในการโจมตีพร้อมกัน เพื่อต่อสู้อย่างห้าวหาญกับดาบสะเทือนใต้หล้าที่กำลังจะฟาดฟันออกมา
“กระบี่นี้ ทำให้สงครามดำเนินไปอย่างราบรื่น!”
ดูเหมือนจ้าวโส่วจะไม่พอใจ จึงแสดงพลังตามคำสั่ง เติมพลังให้กับดาบสยบดินแดน
ดาบนี้สามารถทำลายร่างธรรมเทพอารักษ์หรือไม่?
…
ตุลาการความมั่นคง ชิงโจว
ในคุกที่ชื้นและหนาวเย็น เสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงกรีดร้องและขอร้องให้ยกโทษ
ในห้องทรมานแต่ละห้อง มีการแสดงการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม บรรดานักโทษบางคนโดนโบยทั้งที่ถูกมัดอยู่ บางคนโดนแผ่นเหล็กที่ถูกเผาจนแดงลวกผิว บางคนถูกมีดกรีดเนื้อครั้งแล้วครั้งเล่าจนเห็นกระดูกขาวอย่างชัดเจน
เครื่องลงทัณฑ์ทุกชิ้นล้วนมีประสิทธิภาพ แสดงเอกลักษณ์ในการทรมานของมันอย่างเต็มที่
แต่เสียงร้องอย่างน่าเวทนาของหญิงสาวกลับดังมาจากในห้องขัง ซึ่งถูกล่วงประเวณีจากเต๋ามารของนิกายปฐพี
หลังจากที่กองทัพอวิ๋นโจวยึดครองชิงโจวได้แล้ว ก็ปราบปรามกองกำลังต่อต้าน และเสนาบดีเล็ก จอมยุทธ์พเนจรของยุทธภพ เป็นต้นอย่างกำเริบเสิบสาน
ในบรรดาคนเหล่านี้ บางส่วนถูกสังหาร บางส่วนถูกขังอยู่ในคุก ‘นักโทษ’ เมืองชิงโจวในนั้น ทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในสำนักตุลาการความมั่นคง โดยมอบหมายให้เต๋ามารแห่งนิกายปฐพีจัดการ
นี่เป็นการทรมานที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย
สิ่งที่ตอบรับเสียงร้องอย่างน่าเวทนาก็คือการแสยะยิ้ม และเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี พวกเขาระบายความดุร้ายและความอัปลักษณ์ของมนุษย์ตามอำเภอใจ มีความสุขกับสีหน้าที่เจ็บปวดและเสียงร้องอย่างน่าเวทนาขณะที่ใกล้ตายของบรรดานักโทษ
…………………………………………….