ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 756 ยุติเหตุต้นผลกรรม ชำระล้างบาปกรรม (1)
บทที่ 756 ยุติเหตุต้นผลกรรม ชำระล้างบาปกรรม (1)
สวี่ผิงเฟิงไม่ได้มองลูกชายคนโตมาก ใต้ฝ่าเท้าแสงบริสุทธิ์เจิดจ้า พาเขาเคลื่อนที่พริบตาสู่ท้องฟ้าสูง
อาวุธเวทมนตร์ที่โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งทิ้งไว้นั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง มันไม่เพียงแต่สมบูรณ์ครบถ้วน ขวางกั้นพลังแห่งเวไนยสัตว์ ขณะเดียวกันก็พร้อมด้วยอำนาจที่ไม่อาจทำนาย ไม่อาจสอดส่อง
ด้วยเพราะอำนาจนี้ ถึงปิดบังอาจารย์โหราจารย์สอดส่องอนาคต ให้เขาเห็นเหตุการณ์ที่ ‘ผิดพลาด’ นึกว่าสงครามยามนั้น ผู้ชนะคือเขา
ผู้ที่จัดการปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้ มีเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
ยามนี้ โหราจารย์ถูกผนึก แต่สวี่ชีอันสืบทอดพลังแห่งเวไนยสัตว์ ซ้ำยังเป็นอำนาจที่ ‘ไม่อาจทำนาย ไม่อาจสอดส่อง’ จัดการยอดฝีมือระบบอื่นได้ผลเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง…พ่อมด!
เช่น เทียนกู่!
สวี่ชีอันเห็นเข้า งอเข่าสองข้าง ในซากปรักหักพังบนพื้นดัง ‘ครืน’ ใช้ความเร็วเหนือเสียงพุ่งสู่ท้องฟ้าสูง หวังแย่งชิงจานกลมสัมฤทธิ์
ในหมู่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ข้างหลัง ลั่วอวี้เหิงที่เสื้อผ้าพัดพลิ้วมีความคิดบริสุทธิ์ที่สุด ตอบสนองด้วยการไล่ตามไป ไม่ให้สวี่ชีอันอยู่นอกขอบเขตที่ตนเองดูแลได้
จากนั้นเป็นจีเสวียน ซุนเสวียนจี โค่วหยางโจว เจียหลัวซู่ และจ้าวโส่ว
พวกเขาต่างเตรียมป้องกันยอดฝีมือเหนือมนุษย์ฝ่ายตรงข้ามละเลยคุณธรรมการต่อสู้ จัดการกองทัพของแต่ละฝ่าย
เมื่อระดับเหนือมนุษย์ที่นี่ทยอยออกไป ชีก่วงป๋อมองบนกำแพงเมืองสวินโจว สูดหายใจลึก พูดเสียงดัง
“ตีกลอง! ตีเมือง!”
ช่วงเวลานี้ทัพอวิ๋นโจวก็ไม่ได้นิ่งเฉย เอาชนะจอมยุทธ์ได้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นครอบครองอำนาจยิ่งใหญ่ของยุทธภพฝ่ายหนึ่ง
อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ทัพอวิ๋นโจวได้เปรียบมากขนาดนั้น อำนาจยุทธภพและจอมยุทธ์พเนจรที่ยอมสวามิภักดิ์นับว่าไม่น้อย
ถึงขนาดผู้ร้ายหนีคดีบางส่วน เป็นฝ่ายเริ่มมาชิงโจวเพื่อสวามิภักดิ์ หวังไขว่คว้าความดีความชอบ ผู้ร้ายหนีคดีที่หลบซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง กลายเป็นบุคคลผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง
ในเสียงกลอง กองทัพอวิ๋นโจวที่เป็นระเบียบเรียบร้อยค่อยๆ ก้าวเดิน โล่ใหญ่อยู่หน้า ปืนใหญ่และหน้าไม้ใหญ่อยู่หลัง จากนั้นคือทหารราบที่ถืออาวุธตีเมืองชนิดต่างๆ ทหารม้าอยู่ท้ายแถว
‘ตึงๆๆ!’
บนกำแพงเมืองสวินโจว เสียงตีกลองดังก้อง
หยางเยี่ยนและขั้นสี่คนอื่นๆ ปีนขึ้นบนกำแพงเมืองก่อนแล้ว ต่างคนต่างตั้งมั่นรักษากำแพงเมือง
คงเห็นกำแพงเมืองที่มียอดฝีมือขั้นสี่ตั้งมั่นรักษาเยอะเช่นนี้ได้น้อยมาก
มีการแทงปลุกใจของสวี่ชีอันเมื่อครู่ ซ้ำยังมียอดฝีมือขั้นสี่พวกนี้เข้าร่วม ทหารอารักขาบนกำแพงเมืองมองทัพอวิ๋นโจวที่หลั่งไหลเข้ามา ไม่เพียงแต่ไม่ตึงเครียดหวาดกลัว กลับจะคันไม้คันมือ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ฆ้องเงินสวี่วาดลวดลายแสดงความสง่างามของต้าฟ่ง พวกเราจะรักตัวกลัวตายได้อย่างไร
…
ในท้องฟ้าสูง สวี่ชีอันทะลุผ่านทะเลเมฆ เห็นสวี่ผิงเฟิงที่กำลังรับจานกลมสัมฤทธิ์
ภายใต้การเคลื่อนด้วยลม จอมยุทธ์เร็วเพียงใด ก็เร็วไม่เท่าโหรที่เคลื่อนที่พริบตาได้
ไม่อาจใช้วิชากระโดดสู่เงาย่นระยะทาง…เขากวาดตามองไปเรื่อย เห็นเงาสวี่ผิงเฟิงถูกบิดเบือนสู่บนชั้นเมฆไกลโพ้น
พลังปราณฝ่าเท้าระเบิดดัง ‘ครืน’ ราวกับใบพัดความเร็วสูง ความเร็วเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ขณะเดียวกัน เขามอบอำนาจในการควบคุมร่างกายให้ไต้ซือเสินซู
“กลับใจคือฟากฝั่ง!”
สวี่ชีอันเปล่งเสียงเสินซูออกจากปาก
สวี่ผิงเฟิงตัวแข็งทื่อ เบี่ยงตัวกลับมาเล็กน้อย แต่ฝืนระงับความอยากจะหันหลังทันที
ยามนี้ สวี่ชีอันปรากฏตัวออกจากในเงามืดไม่ไกลแล้ว เขาไม่ได้โจมตีสวี่ผิงเฟิงที่เคลื่อนที่พริบตาได้เสมอ แต่พุ่งไปหาจานกลมสัมฤทธิ์ คิดจะแย่งชิงมัน
เมื่อสวี่ชีอันใกล้จะแตะต้องจานกลมสัมฤทธิ์ ระหว่างเขากับจานกลมปรากฏค่ายกลวงกลม!
วิชาเคลื่อนที่พริบตา!
ถ้าถูกวิชาเคลื่อนที่พริบตาปกคลุม เขาก็อาจถูกส่งไปที่ซึ่งห่างไกลสนามรบ
นี่จะสร้างโอกาสโต้ตอบที่ยอดเยี่ยมให้สวี่ผิงเฟิงกับเจียหลัวซู่ มุ่งมั่นจัดการโค่วหยางโจว ลั่วอวี้เหิง และระดับเหนือมนุษย์คนอื่นๆ
‘เคร้ง!’
แสงกระบี่คำรามเข้ามา กระแทกตรงเอวของสวี่ชีอัน สำหรับจอมยุทธ์สลายแรง แรงเช่นนี้พอให้ถอยพ้นขอบเขตวิชาเคลื่อนที่พริบตาในระยะประชิด
สวี่ชีอันอาศัยพลังกระบี่บิน ให้ตนเองเหินไปฝั่งหนึ่ง กระบี่เหล็กของลั่วอวี้เหิงแทนที่สวี่ชีอัน รับชะตากรรมของการถูกเคลื่อนที่พริบตา
สวี่ผิงเฟิงรับจานกลมสัมฤทธิ์สมดั่งใจหวัง ให้มันเป็นขนาดเท่าฝ่ามือ เก็บสู่อ้อมแขน
ยามนี้ เขาเห็นลูกชายคนโตที่เหินอยู่ กุมด้ามกระบี่สยบดินแดน ทำท่าทางชักดาบ
ครู่ต่อมา แสงกระบี่สีเหลืองทองแวบผ่าน
สวี่ผิงเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย รู้ว่านี่คือ ‘จิต’ ของสวี่ชีอัน ไม่อาจขัดขวาง ไม่อาจหลบหนี เพราะนี่คือการแทงที่เขาเดิมพันด้วยชีวิต อาการบาดเจ็บจะสะท้อนถึงตนเองพร้อมกัน
กายาจิตของโหรขั้นสองไม่อาจมองข้ามการโจมตีรุนแรงของจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้
ยามนี้ ข้างหลังสวี่ผิงเฟิงปรากฏร่างธรรม ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ตรึงพื้นที่นี้ไว้
แสงกระบี่เหลืองทองปรากฏห่างจากสวี่ผิงเฟิงสามสิบนิ้ว จากนั้นค่อยๆ ดับลง แม้แต่ระเบิดก็ทำไม่ได้
เงาร่างพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ปรากฏข้างหลังสวี่ผิงเฟิง
จากนั้น จีเสวียนเคลื่อนมาด้วยลม ยืนข้างสวี่ผิงเฟิงกับเจียหลัวซู่
อีกฝั่งหนึ่ง โค่วหยางโจว ซุนเสวียนจี และจ้าวโส่วทยอยพุ่งมาทะเลเมฆ
แม้พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่อาจแสดงร่างธรรมเทพารักษ์ชั่วคราว แต่เดิมทีก็เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งฉบับอ่อนแอลง ซ้ำยังมีพระโพธิสัตว์มัญชุศรีคุ้มครอง ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน คาดว่าก็ได้แต่สร้างรอยขีดข่วนเท่านั้น…สวี่ชีอันกวาดตามองระดับเหนือมนุษย์ฝ่ายตน จากนั้นมองสวี่ผิงเฟิงและอีกสองคน ในใจวิเคราะห์และพิจารณาอย่างรวดเร็ว
ไม่แน่ว่าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยังจะร้องอย่างสบายๆ
‘ช่างสวี่ ไม่ต้องขีดข่วนแล้ว!’
ฉะนั้นจัดการเจียหลัวซู่ ทำได้เพียงตรึงไว้ ไม่ต้องคิดจะเอาชนะเขา เรื่องที่โหราจารย์ยังทำไม่ได้ พวกเราก็ทำไม่ได้ อีกทั้งเดิมทีการสู้รบครั้งนี้ก็เพื่อถ่วงเวลา ให้อาซูหลัวฆ่าเฮยเหลียนที่บัญชาการชิงโจว…สวี่ชีอันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ใช้กลยุทธ์เปลี่ยนม้า
เขาส่งกระแสจิตบอกทุกคน
“เจ้าสำนักศึกษา เจ้ากับข้าตรึงเจียหลัวซู่ไว้ ผู้อาวุโสโค่วไปฆ่าจีเสวียน ศิษย์พี่ซุนกับราชครูจัดการสวี่ผิงเฟิง”
ไม่ว่าอย่างไรโค่วหยางโจวก็เป็นขั้นสอง ต่อสู้กับจีเสวียนได้ ถึงขนาดฆ่าเขาได้
ส่วนลั่วอวี้เหิงกับซุนเสวียนจีจัดการโหรขั้นสองผู้โด่งดังด้านความสุขุม ทั้งตรึงไว้ได้ผล และไม่ถึงขนาดทำให้ราชครูบาดเจ็บมากเกินไปจนไฟแห่งกรรมในร่างเสียสมดุล
ส่วนเขากับเจ้าสำนักศึกษาตรึงเจียหลัวซู่ไว้ แม้เจียหลัวซู่ไม่มีร่างธรรมเทพารักษ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นขั้นหนึ่ง ในสถานการณ์ทั่วไป แม้จอมยุทธ์ขั้นสองสองคนก็ไม่อาจต่อต้านเขา
แต่ลัทธิขงจื๊อต่างออกไป ลัทธิขงจื๊อคือผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุด ซ้ำยังมีพลังมงกุฎแห่งปราชญ์เอกคุ้มครอง คุ้มค่าที่จะลอง
จ้าวโส่วและคนอื่นๆ ใคร่ครวญชั่วครู่ เห็นด้วยกับแผนของสวี่ชีอัน
“ผู้อาวุโสโค่ว ให้ยืมอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้น”
หน้าอกสวี่ชีอันเปล่งประกายเล็กน้อย ดาบไท่ผิงทะลุ ‘กระจก’ ออกมา ส่งตนเองเข้าสู่มือตาเฒ่าอย่างไม่เต็มใจ
โค่วหยางโจวรับดาบไท่ผิง ปราณดาบทะลุทะเลเมฆ เขาชะงักเล็กน้อย คล้ายนึกไม่ถึงว่าอาวุธวิเศษชิ้นนี้จะคมกริบเช่นนี้ ชื่นชมอย่างดีใจ
“ดาบดี!”
แม้จอมยุทธ์เลื่องชื่อว่าร่างกายคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ต้องดูว่าในมือคืออะไร
เอ่ยเพียงระดับความแข็งแกร่ง ร่างกายจอมยุทธ์ขั้นสองเทียบกับอาวุธวิเศษส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่เอกลักษณ์ของของวิเศษ เป็นสิ่งที่ร่างกายจอมยุทธ์ไม่เพียบพร้อม
เช่นกระบี่สยบดินแดนมีปราณกระบี่ที่ทำให้บาดแผลไม่อาจรักษาตนเองได้เผาไหม้
ยามนี้ดาบไท่ผิงยังไม่อาจเทียบกับกระบี่สยบดินแดน เพียงแต่ บำรุงในปราณมังกรหลายวัน มันช่วยเพิ่มจิตดาบของโค่วหยางโจว ให้พลังโจมตีของตาเฒ่าเพิ่มขึ้นอีกขั้น
อีกฝั่งหนึ่ง เจียหลัวซู่พึมพำว่า
“พลังแท้จริงของสวี่ชีอันผิดปกติอยู่บ้าง”
แข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเหนือความคาดหมาย
สวี่ผิงเฟิงนิ่งเงียบชั่วครู่ คล้ายนึกอะไรได้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้ารับรู้สักหน่อย ตะปูตอกวิญญาณในร่างเขายังอยู่หรือไม่”
ดวงตาสองข้างของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ปรากฏอักษร ‘卍’ สีทอง พินิจสวี่ชีอันชั่วครู่ ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้ว กลายเป็นจริงจังและหนักแน่นกว่าเดิม
“ในร่างเขาไม่มีตะปูตอกวิญญาณ!”
ถ้าในร่างอีกฝ่ายยังมีตะปูตอกวิญญาณ เคล็ดวิชาของเขาจะมองเห็น แต่ไม่มี
สวี่ผิงเฟิงมีสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมาทันที
“เขาเลื่อนสู่ขั้นสอง ผู้ใดถอนตะปูตอกวิญญาณให้เขา”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่คลายคิ้วชั่วครู่ คิ้วกระตุกเล็กน้อย พูดทีละคำว่า
“อาซูหลัว…”
ในสำนักพุทธ บุคคลที่ถอนตะปูตอกวิญญาณได้ก็มีไม่กี่คนนั้น น้อยจนนับนิ้วได้
เมื่อเชื่อมโยงกับการพ่ายแพ้สงครามชายแดนตอนใต้ ก็สันนิษฐานได้ง่ายๆ ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ผู้ใด
แต่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่เข้าใจว่าอาซูหลัวหลีกเลี่ยงวิชาพุทธะถามใจได้อย่างไร
สวี่ผิงเฟิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น
‘อาซูหลัวกับสวี่ชีอันเป็นพันธมิตรกัน? เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักพุทธย่อมต้องไม่มีที่ซุกหัวนอนให้บุตรชายคนเล็กของราชันอสูรท่านนี้ แต่ในเมื่อเขาเข้าสู่ค่ายต้าฟ่งแล้ว เหตุใดยามนี้ไม่ปรากฏตัว’
‘เขาทำอะไรอยู่’
‘มีเป้าหมายอะไรอีก’
ชั่วพริบตานั้น นักวางหมากระดับสูงสุดแห่งยุคท่านนี้ก็เดาเป้าหมายแท้จริงของสวี่ชีอันได้
“เฮยเหลียน เป้าหมายแท้จริงของพวกเขาคือเฮยเหลียน”
สวี่ผิงเฟิงพูดเสียงขรึม
“เจียหลัวซู่ ปกป้องทัพอวิ๋นโจว ข้ากลับชิงโจวหน่อย”
ขณะพูด ค่ายกลเคลื่อนที่พริบตาใต้ฝ่าเท้าสว่างวาบ
“ที่นี่ห้ามเคลื่อนที่พริบตา!”
จ้าวโส่วขยับมงกุฎแห่งปราชญ์เอก แสดงพลังลั่นประกาศิตแห่งลัทธิขงจื๊อ แก้ไขกฎเกณฑ์ฟ้าดินของที่นี่
เขาไม่ได้สะท้อน ‘ผลการทำลาย’ สู่ร่างของศัตรูโดยตรง และไม่ได้โอ้อวดเกินควร เพียงจำกัดการเคลื่อนที่พริบตา ถึงขนาดไม่ได้จำกัดค่ายกลอื่น
ข้อดีของการทำเช่นนี้คือจะใช้พลังลั่นประกาศิตได้นานขึ้น
ไม่มีวิชาเคลื่อนที่พริบตา โหรก็สูญเสียการปรับเปลี่ยนพลิกแพลงซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ ไม่อาจไปจากสนามรบ
“จ้าวโส่ว!” สวี่ผิงเฟิงเผยสีหน้าเดือดดาลเป็นครั้งแรก คำรามเสียงขรึม
“วันหน้ายึดครองที่ราบลุ่มภาคกลาง ข้าจะทำลายผู้สืบทอดลัทธิขงจื๊อของเจ้า!”
จ้าวโส่วมีรอยยิ้มเจือบนใบหน้า
“มารดามันเอ๊ย ไม่สบอารมณ์โดยแท้”
……………………………………………………………….