ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 757 ชัยชนะครั้งใหญ่
บทที่ 757 ชัยชนะครั้งใหญ่
“ทำลายมรดกของลัทธิขงจื๊อ? สวี่ผิงเฟิง วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้า!”
สวี่ชีอันดีดนิ้วโป้ง ดาบสยบดินแดนส่งเสียงดังชิ้ง เขาสลายพลังปราณทั้งหมดทันทีแล้วเก็บงำความรู้สึกทุกประการ เพื่อสะสมพลังรอปล่อยหยกสลาย
‘ชิ้ง!’
เมื่อดาบสยบดินแดนถูกชักออกมา ประกายดาบสีเหลืองอร่ามก็เจิดจรัสไปทั่ว
ด้วยพลังกายของสวี่ชีอันในตอนนี้ เขาสามารถใช้หยกสลายที่มีพลังเหนือล้ำออกมาได้หลายครั้ง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะชักออกมาได้เพียงครั้งเดียวแล้วพลังกายถูกใช้ไปจนหมด
นี่คือการฟื้นฟูอันทรงพลังของจอมยุทธ์ขั้นสอง
ครู่ต่อมา ประกายดาบสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏอยู่บนทรวงอกของจีเสวียน การวาดดาบไปยังสวี่ผิงเฟิงคือกลลวงตา เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือจีเสวียนต่างหาก
นี่คือการบีบลูกพลับนุ่ม!
ขณะเดียวกันนั้น ซุนเสวียนจีก็ยกเท้าขึ้นให้ค่ายกลวงแล้ววงเล่าเข้าไปปกคลุมจีเสวียน พวกมันมีทั้งค่ายกลสายฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าส่องประกาย มีค่ายกลเพลิงกัลป์ที่มีเปลวไฟโหมกระหน่ำ และมีค่ายกลวิญญาณทองคำที่มีแสงสีขาวเจิดจรัสและใบหน้าดุร้าย…
เงาร่างของโค่วหยางโจวปรากฏตัวอยู่ด้านหลังจีเสวียนราวกับผีสาง ดาบไท่ผิงฟาดฟันลงไปที่ลำคอของเขา
จ้าวโส่วตะโกนเสียงดัง
“อานุภาพของดาบนี้เพิ่มพูนเป็นสองเท่า!”
ดาบไท่ผิงระเบิดแสงอันส่องประกายเจิดจ้าออกมา
ล้อมสังหาร!
จีเสวียนคือจอมยุทธ์ขั้นสามผู้หนึ่ง ตอนนี้เขากำลังเผชิญกับการเพ่งเล็งของผู้อยู่เหนือสามัญแห่งต้าฟ่งในชั่วพริบตา
สัญชาตญาณเตือนอันตรายของเขาใช้ไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งจิตดาบของสวี่ชีอันมาถึงทรวงอก เขาจึงรู้ตัวว่าหยกสลายเพ่งเล็งมาที่เขา
สัญชาตญาณเตือนอันตรายของจอมยุทธ์ย่อมไม่อาจสัมผัสได้ เพราะสวี่ชีอันใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่มาปกปิดกลิ่นอายของดาบนี้
จีเสวียนไม่เคลื่อนไหวใดๆ ราวกับยอมรับชะตากรรมแล้ว และเงาร่างของเจียหลัวซู่กับสวี่ผิงเฟิงที่อยู่ไม่ไกลก็หายวับไปพร้อมกัน ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่รอบๆ จีเสวียน
เจียหลัวซู่ผนึกมุทราอย่างเยือกเย็น ร่างธรรมมัญชุศรีด้านหลังของเขาก็ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน
ร่องรอยยับย่นในพื้นที่สงบลงทันใด ไม่มีแม้แต่สายลมพัด
แสงดาบที่ฟันมายังทรวงอกของจีเสวียนไม่ได้ระเบิดออก ทั้งยังถูกกวาดต้อนออกไป ค่ายกลแบบต่างๆ ของซุนเสวียนจีก็แน่นิ่งไม่ขยับ ราวกับภาพวาดน้ำหมึก
เบื้องหลังของจีเสวียน โค่วหยางโจวที่พยายามฟันลงมาที่คอ ก็ราวกับถูกสะกดด้วยมนตร์ตรึงร่าง
เพียงหนึ่งกระบวนก็สลายการโจมตีของผู้อยู่เหนือสามัญทั้งหมดได้แล้ว นี่ก็คือพลังของพระโพธิสัตว์
แม้ว่าจะสูญเสียร่างธรรมระดับเพชรไป แต่เจียหลัวซู่ก็ยังอยู่ในขั้นหนึ่ง
หลังจากสกัดการโจมตีด้วยร่างธรรม ‘มัญชุศรี’ แล้ว เจียหลัวซู่ก็หันกลับไปยังชายชรา แล้วสะบัดแขนที่หนากว่าเอวสตรีกระแทกไปยังโค่วหยางโจวอย่างแรง
ตลอดทั้งกระบวนการนี้ ค่ายกลทรงกลมที่ถูกสร้างขึ้นจากปราณใสก็ปรากฏขึ้นที่ด้านซ้ายขวาของโค่วหยางโจว ก่อนจะมีโซ่ที่มีปราณใสหนาแน่นหลายเส้นยื่นออกมาผูกมัดสองแขนและสองขาของโค่วหยางโจวเอาไว้
หมัดครั้งนี้ อาจทำให้กายเนื้อของโค่วหยางโจวแยกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อของจอมยุทธ์ขั้นสองไม่อาจต้านทานการโจมตีจากพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้เลย
สวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ร่วมมือกันอย่างรู้ใจ ชั่วพริบตาก็พลิกสถานการณ์ได้แล้ว
ตอนนี้วิธีช่วยเหลือโค่วหยางโจวที่ดีที่สุดคือใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาเขาออกมา
‘พวกเขาต้องการบีบให้ข้าเปลี่ยนกฎ และยกเลิกข้อจำกัดที่ว่า ห้ามใช้การเคลื่อนย้ายในพื้นที่นี้’…จ้าวโส่วใจตกไปที่ตาตุ่ม ขณะนั้นก็เข้าใจถึงความคิดของสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่
ทันใดนั้น จ้าวโส่วก็มีวิธีจัดการแล้ว เมื่อไม่มีเวลาเคลื่อนย้ายพวกเขาและสวี่ชีอัน เขาจึงเลือกเชื่อมั่นในตัวสหายทั้งหลาย
ค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการปรากฏขึ้น มันลอยอยู่ด้านหลังพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ แล้วมีโซ่ปราณใสสี่เส้นยื่นออกมาพันรัดแขนขวาที่เขาออกหมัดเอาไว้
นี่คือขั้นห้าของลัทธิขงจื๊อ พลังแห่งระดับกำเนิดปราชญ์
มันสามารถ ‘เรียนรู้’ วิชาจากศัตรูและบันทึกเอาไว้ในกระดาษได้ แม้จะอ่อนพลังกว่าวิชาดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากสักเท่าใด
เมื่ออยู่ในระดับขั้นเช่นจ้าวโส่วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยแผ่นกระดาษแล้ว เพียงหนึ่งความคิดก็สามารถลอกออกมาได้…ไม่ใช่สิ สามารถเรียนรู้ออกมาได้ต่างหาก
ชั่วขณะที่โซ่ปราณใสพันรัดเจียหลัวซู่ ดาบไท่ผิงก็หลุดออกจากการควบคุมของโค่วหยางโจว เกิดเสียงฉึบฉับดังขึ้น มันกรีดชุดคลุมของเขาออก ปลายดาบสลัดชุดคลุมที่ขาดรุ่งริ่งนั่นไปยังศีรษะของโค่วหยางโจว
ทำให้เงาของชุดคลุมที่ปกคลุมลงมา ตกลงบนร่างของโค่วหยางโจว
เงานั่นขยายตัวฉับพลันจนกลายเป็นร่างของสวี่ชีอัน เขาขวางอยู่เบื้องหน้าโค่วหยางโจว แขนเสื้อของเขาสะบัดขึ้นทันใด สองมือประสานกันที่ท้องส่วนล่าง พลังแห่งเวไนยสัตว์สายแล้วสายเล่ารวมกันจนก่อเกิดเป็นวงกลมอยู่ในฝ่ามือ
‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’
โซ่ที่พัวพันแขนขวาของเจียหลัวซู่และค่อยๆ พังทลายลงจนไม่อาจรัดรึงพลังของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งที่น่าสะพรึงได้ แต่ภารกิจของมันสำเร็จแล้ว มันแย่งชิงโอกาสหายใจหายคออันล้ำค่าให้กับโค่วหยางโจวและแย่งชิงเวลาให้สวี่ชีอันเข้ามาเสริมทัพได้แล้ว
กล้ามเนื้อสองแขนของสวี่ชีอันขยายออก แล้วระเบิดพลังลี่กู่!
เขาสะสมพลังและผลักลูกทรงกลมที่หลอมรวมจากพลังแห่งเวไนยสัตว์ไปยังหมัดเล็กของเจียหลัวซู่
‘ตูม ตูม ตูม ตูม!’
พละกำลังระเบิดออกมา ชายชราตัดโซ่ที่พันรัดตนเองออกไปแล้ว จากนั้นจึงวางมือลงบนแผ่นหลังของสวี่ชีอัน พลังปราณระเบิดพล่านออกมาในฉับพลัน
‘ตูม!’
ราวกับการระเบิดของขีปนาวุธมหึมา คลื่นอากาศกระเพื่อมกระจายออกไป จนทำให้ทะเลเมฆหมอกแต่ละชั้นระเบิดออกจนเหลือแต่พื้นที่สุญญากาศที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยจั้ง
ผู้อยู่เหนือระดับทั้งห้าอย่างสวี่ผิงเฟิง จีเสวียน จ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี และลั่วอวี้เหิงล้วนกระเด็นออกไปไกล
ในรอบแรกที่ทั้งสองฝ่ายออกกระบวนท่านั้น ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ของเทพเซียน
จีเสวียนและโค่วหยางโจวล้วนได้ไปเดินอยู่ที่เส้นขอบความเป็นความตายมารอบหนึ่งแล้ว
“จำกัดการเคลื่อนย้ายในพื้นที่ ไม่ให้พวกเราออกไปก็เพื่อชิงเวลาให้กับเพื่อนร่วมรบที่ชิงโจวหรือ?”
จีเสวียนที่หลังชุ่มไปด้วยเหงื่อชักดาบออกมาแล้วพูดพร้อมหัวเราะ
“อย่างมากสุดก็แค่หนึ่งเค่อ พลังเทพวชิระของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็จะฟื้นฟูแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะตายกันอย่างไร สวี่ชีอัน เจ้าคิดว่าจำนวนผู้อยู่เหนือสามัญที่มีมากกว่าจะเสริมความต่างระหว่างระดับขั้นได้หรือ? น่าขำนัก!”
สิ่งที่เขาพูดนั้นคือเรื่องจริง ดาบเล่มนั้นที่เขาฟันออกมาที่นอกเมืองสวินโจวทรงพลังอย่างน่าตกใจจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เทียบกับดาบเดียวจากมือของวีรบุรุษแห่งปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อร่างธรรมระดับเพชรของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยในหมู่ผู้อยู่เหนือสามัญเหล่านี้ของต้าฟ่ง ก็ต้องมีคนตายอยู่สองสามคน
เมื่อถึงตอนนั้น เขาและราชครูก็ไม่อาจยืนดูอยู่ข้างสนามเป็นดั่งไพ่ลับได้อีกแล้ว
และจะไม่ปล่อยให้สวี่ชีอันสะสมพลังเพื่อปล่อยดาบเล่มนั้นออกมาได้
…
นอกเมืองชิงโจว
อาซูหลัวมองไปยังนักบวชเต๋าจินเหลียนที่มีแสงสีแดงเต็มใบหน้า
“ท่านนักบวชไม่ไปช่วยรบที่สวินโจวกับข้าหรือ?”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้า
“อาตมาขอผสานเฮยเหลียนเพื่อฟื้นฟูพลังฝึกตนเสียก่อน ส่วนทางด้านสวินโจว เจ้าไปช่วยก็เป็นพอ ไป๋ตี้ยังไม่ปรากฏตัว บางทีอาจไม่อยู่ในจิ่วโจว แต่ในเมื่อมันเป็นพันธมิตรกับสวี่ผิงเฟิง เช่นนั้นก็ไม่มีทางนิ่งเฉย สำหรับแผนในตอนนี้ ขอให้อาตมาฟื้นฟูพลังฝึกตนเสียก่อน พลังต่อสู้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนของขั้นสอง”
เมื่อเขาเสริมพลังเรียบร้อยและกลับคืนสู่ขั้นสอง ศึกของต้าฟ่งก็จะมียอดฝีมือขั้นสองสี่คนแล้ว
ลูกหลานเทพมารอย่างไป๋ตี้จะต้องกลับมายังจิ่วโจวแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นสมรภูมิเป็นตายอย่างแท้จริง
อาซูหลัวพยักหน้าแล้วมองต่อไปยังพวกฉู่หยวนเจิ่นด้านหลังจินเหลียนทั้งสี่คน
“พวกเจ้าเล่า?”
หลี่เมี่ยวเจินไร้ความลังเล
“ย่อมต้องไปที่สวินโจว”
พวกฉู่หยวนเจิ่นทั้งสามคนก็พยักหน้าเช่นกัน
ในเมื่อมาก็มาแล้ว ย่อมไม่อาจพลาดโอกาสสังหารศัตรูอย่างแน่นอน
อาซูหลัวพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าจะเร่งไปเสริมทัพก่อน”
เสียงกึกก้องดังขึ้น เขาดีดตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกระสุน ในชั่วพริบตาก็กลายเป็นจุดสีดำแล้วหายไปในม่านเมฆเสียแล้ว
…
สวี่ชีอันหน้านิ่งไร้อารมณ์
“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
จีเสวียนยิ้มเยาะ
“เช่นกัน ข้าก็จะมอบคืนให้เจ้าด้วย…”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทก็ดังขึ้นมา ชั้นเมฆสลายไป เงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งเข้าชนจีเสวียนอย่างดุดันราวกับดาวตก
‘ใครกัน?!’ สีหน้าของจีเสวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาพิจารณาดูไม่ทัน ดาบยาวในมือวาดออกไปด้านหน้า พลังปราณแห่งเปลวเพลิงฟาดฟันจนอากาศบิดเบี้ยว
‘แคร่ก!’
มีดดาบที่บรรจุพลังปราณของจอมยุทธ์เหนือสามัญระเบิดกลายเป็นเศษๆ ในที่นั้น จีเสวียนสัมผัสได้เพียงพลังอันดุดันไร้ปรานีพุ่งทะลวงเข้ามาที่ฝ่ามือตามด้ามดาบ ง่ามมือถูกกรีดเปิดก่อน จากนั้นมือขวาที่ถือดาบก็ระเบิดขาด
เงาร่างนั้นราวกับรถศึกอันดุดันที่พุ่งโถมใส่จีเสวียนโดยตรง
วงแหวนไฟระเบิดลั่น อาซูหลัวจับข้อเท้าของจีเสวียนแล้วลากเขากลับมา เพื่อเตรียมนำตัวจอมยุทธ์ขั้นสามผู้นี้กลับไป
ขาซ้ายที่ไม่ได้ถูกจับของจีเสวียนถีบใบหน้าด้านข้างของอาซูหลัวอย่างแรง แต่ให้สัมผัสราวกับถีบใส่อาวุธวิเศษ
‘แคร่ก!’
อาซูหลัวบีบข้อเท้าของเขาอย่างแรง จากนั้นก็ถอยกลับไป
‘หวึ่ง’…อากาศสั่นสะท้าน รอยยับย่นราบเรียบ ไม่มีลมพัดเข้ามาแม้แต่นิด
โชคดีที่อาซูหลัวถอยออกมาได้เร็ว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเจอกับวิกฤตเหมือนโค่วหยางโจวก่อนหน้านี้
“มาแล้วหรือ!”
สวี่ชีอันเบะปาก รอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อาซูหลัวตอบรับ ‘อืม’ เขาก้าวเดินกลางอากาศและค่อยๆ เดินมายังฝ่ายรบของทัพต้าฟ่ง
พวกลั่วอวี้เหิงต่างก็ถอนหายใจออกมา
เห็นได้ชัดว่าปฏิบัติการที่ชิงโจวสำเร็จอย่างราบรื่นแล้ว
อีกด้านหนึ่ง กระดูกข้อเท้าของจีเสวียนที่ถูกบีบแตกก็งอกขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ราวกับมีพลังน่าสะพรึงบางอย่างกัดกร่อนบาดแผนอย่างต่อเนื่องและหยุดยั้งการรักษาเอาไว้
‘หากไม่มีความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ภายในสิบกระบวนท่า ข้าคงถูกเขาฆ่าตายแล้ว’…จีเสวียนจิตใจเย็นเฉียบ
ขณะเดียวกัน เขาก็ตระหนักได้ว่าการปรากฏตัวของอาซูหลัวนั้นหมายถึงเฮยเหลียนสิ้นแล้ว
อวิ๋นโจวขาดผู้อยู่เหนือสามัญขั้นสองไปหนึ่งคน
สวี่ผิงเฟิงคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้วว่าเฮยเหลียนจะตาย ด้วยจิตใจและบุคลิกนิสัยของเขา ตอนนี้จึงไม่มีอารมณ์ใดๆ เล็ดลอดออกมา มีเพียงสีหน้าที่อึมครึมลงไปเล็กน้อยเท่านั้น
“สวี่ผิงเฟิง มิใช่ว่าเจ้าคาดเดาทุกเรื่องของศัตรูได้ล่วงหน้าหรอกหรือ? เคยคิดบ้างหรือไม่เล่าว่าจะมีวันนี้”
สวี่ชีอันกลับไม่คิดจะปล่อยเขาไป จึงรีบใช้โอกาสนี้เอ่ยเยาะเย้ยถากถาง
“ราชครูสุนัขอะไรกัน ถุย!”
“อาซูหลัว!” เจียหลัวซู่เอ่ยเสียงขรึม
“เจ้ากล้าทรยศข้า กล้าทรยศสำนักพุทธ!”
อาซูหลัวยิ้มเย็น
“ทำไม คิดจริงๆ หรือว่าข้าขายชีวิตให้กับสำนักพุทธ? แค้นสังหารเผ่าพันธุ์และบิดา ข้าจะค่อยๆ คิดบัญชีกับสำนักพุทธทั้งหมด”
“เจ้าทรยศสำนักพุทธได้อย่างไรกัน?”
“เดาเอาสิ!” อาซูหลัวยิ้ม
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มองเขาอย่างล้ำลึก จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก
“ดี วันนี้ข้าจะล้างคนทรยศให้สำนักเสีย!”
เงาร่างสูงใหญ่เก้าฉื่อขยายตัวขึ้นอีก เลือดลมหลั่งไหลผ่านท้องฟ้า ทำให้อากาศทั้งผืนสั่นสะเทือน
“ก็ลองเข้ามา!”
อาซูหลัว สวี่ชีอัน และโค่วหยางโจวพุ่งเข้าหาเจียหลัวซู่พร้อมกัน ราวกับเป็นภาพค้าง!
…
สวินโจว
บนกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนปืนใหญ่และมีแต่รอยเลือดและรอยไหม้เกรียม สวี่เอ้อร์หลางได้ยินเสียงแตรถอยทัพของทัพอวิ๋นโจวแล้ว
กองทัพข้าศึกจำนวนมากล่าถอยอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงซากศพกองเต็มพื้น
เสียงปืนใหญ่บนกำแพงเมืองไม่หยุดยั้ง และมอบการโจมตีให้ทัพข้าศึกที่ถอยร่นไป
สวี่เอ้อร์หลางถอนสายตากลับมามองไปยังซากศพของทหารข้าศึกและทหารคุ้มกันเมืองที่กองเต็มกำแพงเมือง แล้วถอนหายใจออกมาราวกับปลดภาระหนัก
“น่าจะเป็นเพราะพวกสวี่หนิงเยี่ยนรบสำเร็จแล้ว”
ฉู่หยวนเจิ่นเดินมาอยู่ข้างกายเขาแล้วประคองสวี่เอ้อร์หลางที่โซเซเหมือนจะล้ม
สวี่เอ้อร์หลางนิ่งงันไป ก่อนจะเอ่ยว่า
“ดูจากตอนนี้แล้ว พี่ใหญ่น่าจะชนะกระมัง?”
หลี่หลิงซู่เอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างกายทั้งคู่ตอนไหน
“หรือไม่ก็อาจจะเสมอกัน ทางด้านกองทัพอวิ๋นโจว ยังมีขั้นหนึ่งคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมรบด้วย สถานการณ์ของต้าฟ่งยังคงมองในแง่ดีไม่ได้”
สวี่เอ้อร์หลางเหลือบมองเขา เขาไม่คุ้นเคยกับหลี่หลิงซู่ รู้เพียงแต่ว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่
นอกจากนี้ยังเป็น ‘คนงาม’ อย่างหาได้ยากที่สามารถเทียบหน้าตากับเขาได้ด้วย
เสียงปืนใหญ่ค่อยๆ สงบลง ทัพข้าศึกหนีออกจากนอกระยะยิงแล้ว
ทัพคุ้มกันเมืองไม่ยิงปืนใหญ่อีก พวกเขาชูอาวุธแล้วโห่ร้องเสียงดัง
ในความเข้าใจของทหารคุ้มกันเมือง ศึกครั้งนี้พวกเขาชนะแล้ว
ทัพข้าศึกรวบรวมกำลังพลนับหมื่นและทหารมาบุกประชิดเมือง ยอดฝีมือเหนือสามัญต่างรวมกำลังออกมารบและโจมตีเมืองอย่างอุกอาจ
ตอนนี้พวกเขาถอยร่นจากไป เห็นได้ชัดว่าในอีกสมรภูมิ ฆ้องเงินสวี่ได้รับชัยชนะแล้ว
ตั้งแต่ที่ชิงโจวเสียเมืองไป ชัยชนะครั้งใหญ่อย่างศึกในสวินโจวครั้งนี้ ก็ถูกกำหนดให้แพร่ไปทั่วยงโจวแล้ว
สวี่เอ้อร์หลางได้ยินเสียงโห่ร้องของเหล่าทหารก็รู้สึกปลื้มใจขึ้นมา
“เมื่อรายงานการต่อสู้ครั้งนี้กลับไปยังเมืองหลวง คนที่ยังมีใจไม่ยินยอมพวกนั้นก็น่าจะยอมรับชะตากรรมแล้วกระมัง ฝ่าบาทฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์คือวาสนาอันยิ่งใหญ่”
กลับกัน หากสวินโจวเสียเมืองไป การขึ้นครองราชย์ของฮว๋ายชิ่งก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้บางคนมาโจมตี จนกลายเป็นเป้าหมายของการตั้งคำถามและคำวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนและใต้หล้า
……………………………………………………..