ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 758 หลี่หลิงซู่ “พี่ชายวานรผู้นี้…” (1)
บทที่ 758 หลี่หลิงซู่ “พี่ชายวานรผู้นี้…” (1)
เมื่อต้องเผชิญกับพายุกำลังภายในของชายฉกรรจ์สามคนที่พวยพุ่งออกมาตรงหน้า พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ใช้มือทั้งสองข้างสร้างตราประทับขึ้น เกลี่ยรอยย่นในอวกาศให้เรียบ สร้างกรงอวกาศไว้เบื้องหน้าเพื่อขวางกั้นจอมยุทธ์ขั้นสองทั้งสามคนไว้
โค่วหยางโจวหมุนติ้วราวสว่านไฟฟ้าพร้อมระเบิดเจตจำนงแห่งดาบเจาะช่องว่างในกรงอวกาศ
วงแหวนเพลิงหลังศีรษะอาซูหลัวระเบิดออก กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างพองออกอย่างรวดเร็ว ทุกเซลล์ออกแรงผลักกำปั้นของเขาไปปะทะช่องว่างที่โค่วหยางโจวเจาะไว้
ทันใดนั้นกรงอวกาศก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
เสื้อคลุมสีเขียวรองรับมันไว้ สวี่ชีอันกระโดดออกมา ไขว้ดาบไท่ผิงกับดาบสยบดินแดนไว้ในมือและฟันออก
ในระหว่างนี้ พลังแห่งเวไนยสัตว์ได้อำนวยพรแก่คมมีด
‘ติ๊ง!’ ดาบไท่ผิงกับดาบสยบดินแดนระเบิดประกายแวววาวบนหน้าอกเจียหลัวซู่ ทิ้งร่องรอยสีขาวสองขีดไขว้กันไว้
กินยากจริงๆ…สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ
วินาทีต่อมา กำปั้นของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็เจาะเข้าอกสวี่ชีอัน โลหิตสีทองซีดพุ่งกระฉูดไปด้านหลัง
ถึงจะมีกายาจิตวชิระระดับบรรลุสมบูรณ์กับสายเลือดอสูรของพระเสินซูอยู่ แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นกำปั้นพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้ เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่เกิดจากเส้นทางของจอมยุทธ์ภิกษุขั้นหนึ่ง
สวี่ชี่อันขว้างกระบี่ทิ้ง เอาหลังมือกระแทกแขนขวาเจียหลัวซู่พลางยิ้มแย้ม
‘ตูม!’
หน้าอกของเจียหลัวซู่ยุบลงไปและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บ
หยกสลาย!
สวี่ชีอันคืนความเสียหายทั้งหมดที่เจียหลัวซู่มอบให้กลับไป
โค่วหยางโจวถือดาบไท่ผิงไว้ในมือ ทั่วทั้งตัวกลายเป็นลำแสงดาบแหลมคมปะทะช่วงอกของเจียหลัวซู่ เจตจำนงแห่งดาบของจอมยุทธ์ขั้นสองฉีกผ่านอวกาศโดยมีเจตจำนงจะทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น
‘ตูม’…เจียหลัวซู่ใช้แขนข้างหนึ่งเหวี่ยงสวี่ชีอันไปกระแทกร่างโค่วหยางโจวอย่างรุนแรง ราวกับอุกกาบาตสองลูกชนกัน บังเกิดคลื่นอากาศสั่นสะเทือนแล้วทั้งคู่ก็กระเด็นหายไป
‘ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!’
อาซูหลัวก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ฉวยโอกาสนี้ไว้อย่างแหลมคมราวกับเข็ม วงแหวนเพลิงหลังศีรษะของเขาบรรจบกัน บังเกิดล้อไฟเจิดจ้างดงามปรากฏขึ้น
เขาเอื้อมมือไปจับล้อไฟที่อยู่หลังศีรษะ ทันใดนั้นกำปั้นของเขาก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
‘เคร้ง!’
ทุ่มเทพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ทั้งหมดใส่อกพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
กำปั้นของอาซูหลัวทะลวงอกเจียหลัวซู่ ล้างแค้นให้สวี่ชีอันได้สำเร็จ
ในที่สุดก็ทำลายการป้องกันได้…โค่วหยางโจวกับสวี่ชีอันแทบร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ จากการต่อสู้นอกเมืองสวินโจวจนถึงบัดนี้ ในที่สุดก็ทะลุผ่านหินเหม็นในส้วมทำลายการป้องกันได้สำเร็จ
ร่างธรรม ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ โดดเด่นด้วยคำว่า ‘อนิจจังไม่หยุดนิ่ง’
เจียหลัวซู่ผู้ไม่หยุดนิ่ง แม้แต่ท่านโหราจารย์ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เมื่อเขาหยุดนิ่ง พรของ ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ก็พลันสูญสิ้น
เมื่อเจียหลัวซู่ไม่มีร่างธรรมวชิระ การป้องกันขั้นแรกย่อมต้องเป็นกายเนื้อ
สวี่ชีอันสับเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับหยกสลาย บอกได้ว่าระดับไร้พ่ายขั้นสองของอาซูหลัวรุนแรงพอจะทะลวงการป้องกันของเจียหลัวซู่สำเร็จ
พอเห็นอาซูหลัวทะลวงกำปั้นทะลุอกเจียหลัวซู่ จีเสวียนกับสวี่ผิงเฟิงก็ขมวดคิ้วทันที
พระโพธิสัตว์ผู้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักพุทธได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เข้าสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง
ดูเหมือนนี่จะเป็นลางร้าย
ประกายความโกรธวาวโรจน์อยู่ในดวงตาเจียหลัวซู่ มือขนาดใหญ่เหมือนพัดของเขาบีบหัวอาซูหลัวและยกตัวขึ้น
ในตอนนี้เขาดูประหนึ่งพระพุทธเจ้าที่กลายเป็นมนุษย์กล้ามที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
‘แคร่ก!’
ลั่นเสียงกะโหลกอาซูหลัวแตก โลหิตสีทองซีดไหลซึมออกจากหว่างนิ้วเจียหลัวซู่
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’…ทันใดนั้นก็มีเสียงกลองดังกระชั้นถี่รวดเร็วราวกับเสียงน้ำหลาก
ร่างกายสีทองเข้มของอาซูหลัวถูกย้อมด้วยชั้นสีดำสนิท ราวกับหมึกหกรดร่างกายของเขา
เขาปลดปล่อยพลังแห่งสายเลือดของเผ่าพันธุ์อสูรออกมา
ไม่ได้ยินเสียงกะโหลกแตกอีกแล้ว
ในเวลานี้ สวี่ชีอันลากภาพลวงตาออกมาพเนจรอยู่ข้างหลังเจียหลัวซู่เหมือนดั่งภูตผี เขาหันหลังชนเจียหลัวซู่ ถือดาบสยบดินแดนไว้ด้านหลังแล้วใช้มือขวาแทงไปข้างหลัง
ดาบสยบดินแดนเจาะเข้าไปตรงอกเจียหลัวซู่ ดาบสยบดินแดนก็มีลักษณะดุจเดียวกับระดับเต๋าแยกขันธ์คือระเบิดออกเหมือนกัน จึงเกิดรอยแผลเปลวไฟแผดเผาขึ้น
ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในดวงตาพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ครั้งล่าสุดเขาเพิ่งถูกดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ของท่านโหราจารย์แทงทะลุศีรษะ
‘ตูม!’
ก่อนที่สวี่ชีอันจะดึงกระบี่ตัวเองกลับมา เจียหลัวซู่ก็เตะดาวรุ่งที่กล้ามาทำร้ายเขา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงอาซูหลัวไปชนสวี่ชีอันที่กำลังเหาะอยู่ล้มคว่ำลง
ร่างสีดำสนิทสองร่างปะทะกัน สวี่ชีอันกับอาซูหลัวต่างคนต่างเปล่งเสียงผรุสวาท ความคิดเดียวกันแวบเข้ามาในหัวของพวกเขาสองคน
บุรุษผู้นี้ลงมือเต็มที่!
‘ตูม ตูม ตูม’…ฝ่าเท้าของเจียหลัวซู่ปล่อยไอพ่นพลังปราณออกมา เหมือนเท้าแต่ละข้างเหยียบย่ำอยู่บนพื้น บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เขาไล่ตามสวี่ชีอันกับอาซูหลัวที่กำลังลอยละลิ่วกลับหัวอยู่ทันและระเบิดพลัง หมัด เข่า ศอกที่ใช้เป็นอาวุธทั้งหมดออกไป กระดูกและเส้นเอ็นของทั้งสองคนหัก โลหิตสีทองซีดหลั่งไหลลงมาราวกับสายฝน
ระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้น โค่วหยางโจวพยายามเข้าไปช่วยเหลือหลายครั้ง แต่เขาก็โดนหมัดหรือฝ่ามือของเจียหลัวซู่ตีกลับมาเสมอ
‘แครก แครก!’
เจียหลัวซู่ผู้เป็นฝ่ายโจมตีหยุดชะงัก มีเสียงกระดูกในร่างกายหลายแห่งหักสะบั้น
สวี่ชีอันขัดจังหวะการโจมตีผสมของเจียหลัวซู่ด้วยหยกสลาย
‘ฉึก’…เจตจำนงแห่งดาบเอาแต่ใจไร้ผู้ต้านแทงทะลุหน้าอกที่ยังไม่ได้เยียวยารักษาอาการบาดเจ็บของเจียหลัวซู่ สำหรับจอมยุทธ์ขั้นสองอย่างโค่วหยางโจว ความเฉื่อยชาของเจียหลัวซู่ในตอนนี้เป็นจุดอ่อนที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
ถูกแทงเข้าที่หน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า เจียหลัวซู่โกรธมาก หันกลับมาและเหวี่ยงแขนของเขา ซัดกลับด้วยหมัด
ชายชราหดหัวลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกะโหลกของเขาลอยละลิ่ว
ในอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันและอาซูหลัว ‘รวบรวม’ แขนและกะโหลกที่หัก ใส่ลำไส้ที่ห้อยกลับเข้าไปในท้องของพวกเขา และในขณะที่อาการบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็กระโจนไปยังเจียหลัวซู่ เพื่อแบ่งปันแรงกดดันให้โค่วหยางโจว
ทั้งสี่คนต่อสู้กัน ‘ปัง ปัง ปัง’ บางครั้งหัวของใครบางคนจะกระเด็นออกไปและต้นขาของใครบางคนจะบิดเป็นเกลียว ฉากนั้นมีแต่เลือดและความรุนแรงท่วมท้น
เจียหลัวซู่ต่อยสวี่ชีอันด้วยหมัดซ้ายและอาซูหลัวด้วยหมัดขวา ทั้งยังสามารถเหยียบ โค่วหยางโจวได้ภายใต้ฝ่าเท้า แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของยอดฝีมือขั้นหนึ่ง
แต่หน้าอกมักจะเสียดสีพุ่งชนกันอยู่เสมอ พลังของระดับเต๋าแยกขันธ์และลักษณะดาบสยบดินแดนทับซ้อนกัน ทำให้อาการบาดเจ็บฉกาจฉกรรจ์มากขึ้นเรื่อยๆ
วิถีแห่งแสงแจ่มชัดพุ่งออกมาจากแขนของสวี่ผิงเฟิง กู่ก้องร้องคำรามอยู่เหนือหัวฝูงชน ในเวลาเดียวกัน ค่ายกลวงกลมใต้เท้าเขาก็แผ่ขยายออกไป พยายามจะครอบฝูงชนไว้ข้างใน
เขาต้องการใช้โอกาสนี้ขยายขอบเขตแผ่นทองสัมฤทธิ์ เพื่อแยกโลกนี้ออก สวี่ชีอันจะได้ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้
การเพิ่มพลังแห่งเวไนยสัตว์ทำให้เขาเปลี่ยนจากจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นสองเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดที่จะระเบิดพลังได้เทียบเท่าอาซูหลัว พวกเขาทั้งสองคนจึงเป็นกำลังหลักในการต่อต้านเจียหลัวซู่
ตราบใดที่สวี่ชีอันกลับคืนสู่สภาพเดิม ก็สามารถทำให้สถานการณ์พลิกกลับได้
จ้าวโส่วสะบัดมงกุฎขงจื๊อด้วยมือตัวเองและพูดเสียงต่ำ
“ห้ามใช้ค่ายกลที่นี่!”
ก่อนที่ค่ายกลวงกลมจะขยายวงกว้างจนมีโอกาสกลืนกินทุกคนที่นี่ กฎของสถานที่แห่งนี้ห้ามไว้และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสลายไป
สวี่ผิงเฟิงมีความสุขแทนที่จะโกรธ มุมปากของเขากระตุก
ทันใดนั้น จีเสวียนซึ่งเดิมทีอยู่แต่ขอบสนามรบก็ได้แฝงตัวเข้ามาใกล้ซุนเสวียนจี ในขณะหนึ่ง เมื่อจ้าวโส่วบอกว่าห้ามใช้ค่ายกลที่นี่เขาก็กระโดดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวและพุ่งเข้าหาซุนเสวียนจี
โหรที่ไม่สามารถใช้ค่ายกลได้ก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่รอวันสังหารต่อหน้าจอมยุทธ์เหนือมนุษย์
รูม่านตาของซุนเสวียนจีหดตัวอย่างรุนแรง เขาไม่มีลางสังหรณ์แจ้งเตือนวิกฤตเยี่ยงจอมยุทธ์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตรวจจับอันตรายล่วงหน้าได้ แต่ตอนนี้ ทุกเส้นประสาทและทุกเซลล์กำลังส่งสัญญาณอันตรายถึงเขา
เกราะป้องกันชิ้นหนึ่งลอยออกมาจากกระเป๋าอุปกรณ์คาดเอวของเขา มีระฆังทองสัมฤทธิ์ มีเกราะคันฉ่อง มีโล่เหล็ก…แต่อาวุธเวทมนตร์เหล่านี้เผยตัวออกมาสายเกินไปหรือไม่ก็หลังจากที่พวกมันปรากฏตัวก็อาจถูกจีเสวียนฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยความรุนแรงเยี่ยงจอมยุทธ์
เป้าหมายที่แท้จริงของสวี่ผิงเฟิงไม่ใช่การขยายขอบเขตของแผ่นจานกลมทองสัมฤทธิ์ ด้วยจ้าวโส่ว นักพรตขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีโอกาสสังเวยอาวุธเวทมนตร์รุ่นแรก
การสังเวยอาวุธเวทมนตร์ในตอนนี้เป็นเพียงการปกปิด เป็นซุนเสวียนจีต่างหากที่เขาต้องการฆ่าจริงๆ
ซุนเสวียนจีก็เช่นเดียวกับจีเสวียนคือเป็นผู้มีพลังเหนือมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุด สังหารได้ง่ายดายที่สุดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ตราบเท่าที่ซุนเสวียนจีสามารถสังหารได้ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการเสียเลือดเสียเนื้อ
เขาสรุปได้ว่าความสามารถของจ้าวโส่วจะจำกัดอยู่แค่ค่ายกล ไม่ใช่อาวุธเวทมนตร์ เพราะค่ายกลเป็นความสามารถเฉพาะของโหร แต่อาวุธเวทมนตร์ประกอบด้วยของวิเศษและอาวุธวิเศษไร้เทียมทาน
จำกัดการใช้อาวุธเวทมนตร์ก็เท่ากับตัดแขนสวี่ชีอัน
‘ปัง ปัง ปัง!’
หลังจากอาวุธเวทมนตร์สามชิ้นระเบิดติดต่อกัน กำลังภายในของจีเสวียนที่แม้แต่ลำไผ่ยังหักโค่นก็ต่อยเข้าที่อกซุนเสวียนจี
โลหิตย้อมผ้าขาวเป็นสีแดงเลือดทันที
ตอนที่จีเสวียนกำลังจะเก็บเกี่ยวชีวิตของโหรขั้นสาม จู่ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายหยิบกลุ่มก้อนใยไหมสีดำที่ปล่อยไอพิษออกมา
ใยไหมพันรอบตัวจีเสวียนอย่างรวดเร็ว มัดเขากับซุนเสวียนจีไว้ด้วยกัน
ไหมอเวจี!
นี่คือใยไหมส่วนเกินหลังจากทอธงกวักวิญญาณขึ้น และซุนเสวียนจีก็เอามาหลอมเป็นอาวุธเวทมนตร์
มีเพียงสองหน้าที่คือ ผูกมัดศัตรูและเป็นพิษร้ายแรง
พิษหนอนไหมอเวจีสามารถสร้างความเสียหายให้กับจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้ แน่นอนว่าที่ซุนเสวียนจีเลือกใช้ไม่ใช่เพราะพิษแต่เป็นเพราะความดื้อรั้น
เขาต้องการใช้สิ่งนี้ตามรังควานจีเสวียน
ด้วยฐานตบะของจีเสวียนและหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาวุธวิเศษไร้เทียมทาน ย่อมไม่มีทางหลุดพ้นจากไหมอเวจีได้ในช่วงเวลาอันสั้น
‘ฟิ้ว…’
ท่ามกลางเสียงหวีดเสียดอากาศ ก็มีกระบี่เหล็กขึ้นสนิมลอยข้ามทะเลเมฆมา แสงกระบี่ระเบิดศีรษะจีเสวียนออก เนื้อและกระดูกกระเซ็นกระจาย
ลั่วอวี้เหิงปลดปล่อยกระบี่ที่สอง…วิชากระบี่ราชวงศ์!
หลังจากสูญเสียศีรษะไป ร่างกายของจีเสวียนก็แข็งทื่อ
ซุนเสวียนจีใช้โอกาสนี้ปลดไหมอเวจีและถอยไปหาจ้าวโส่ว
เขาไม่ได้ใช้ดาบล้างแค้นจีเสวียน เพราะร่างกายของโหรแสนอ่อนแอ หน้าอกทะลุเป็นแผลฉกรรจ์ และถ้าเขาไม่ได้รับการรักษาทันเวลา เขาจะตายก่อนจีเสวียน
ลั่วอวี้เหิงร่ายคาถากระบี่แล้วกระบี่เหล็กขึ้นสนิมก็หมุนวนในอากาศและจู่โจมจีเสวียนอีกครั้ง ด้วยกระบี่นี้ นางปรารถนาจะสังหารจิตเดิมของจีเสวียนด้วยวิชากระบี่ใจของนาง
สวี่ผิงเฟิงก้าวขึ้นไปบนพัดกล้วย เหมือนกับเหยียบสเกตบอร์ดเข้าไปขวางหน้าจีเสวียนไว้อย่างแผ่วเบาทว่ารวดเร็ว
เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดควรต้องสวมถุงมือที่เบาบางราวปีกจักจั่นและคว้ากระบี่บินของลั่วอวี้เหิงอย่างโจ่งแจ้ง
‘ชู่ ชู่ ชู่’…ท่ามกลางเสียงแหลมคมของเหล็กที่เสียดสีหินเจียร กระบี่บินก็แทงเข้าอกสวี่ผิงเฟิงทีละนิดและพุ่งออกไปด้านหลัง
ถุงมือเขามอดไหม้กลายเป็นฝุ่นและสลายไป เนื้อและเลือดจากมือของเขาละลายหายไป เหลือแต่กระดูกสีขาว
นี่ไม่ใช่บาดแผลจากกระบี่ธรรมดา แต่ยังรวมปราณกระบี่ที่อยู่ยงคงกระพันของลั่วอวี้เหิงด้วย
สำหรับโหรแล้ว แม้อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะไม่ถึงชีวิต แต่ก็เป็นอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่บั่นทอนพลังต่อสู้อย่างยิ่ง
แต่ลั่วอวี้เหิงไม่ได้แสดงอาการดีใจออกมาแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะนางสูญเสียการควบคุมกระบี่เทพไปแล้ว
“เป็นอาวุธที่ดี ข้ายินดีรับมันไว้!”
สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ
เขาขัดเกลากระบี่เทพของลั่วอวี้เหิงตรงนั้นทันที
ด้วยบุคลิกของสวี่ผิงเฟิง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะปรับแต่งอาวุธวิเศษได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์
“หัวเราะสิไอ้สารเลว ข้าเอาคืนแน่!”
สวี่ชีอันส่งเสียงคำรามจากระยะไกล ขว้างดาบไท่ผิงด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี
ลั่วอวี้เหิงเบือนหน้าไปตามเสียงที่ได้ยิน บังเอิญเห็นสวี่ชีอันขว้างดาบไท่ผิงไป แต่ถูกเจียหลัวซู่เป่าหัวกระจุย
‘เผชิญหน้ากับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งยังกล้าฟุ้งซ่านอีกหรือ?’ สวี่ผิงเฟิงหัวเราะเยาะ กำลังจะหยิบดาบไท่ผิงไป แต่จ้าวโส่วกลับคว้าดาบไท่ผิงได้ก่อน
สวี่ชีอันส่งดาบให้เจ้าสำนัก
จ้าวโส่วถือดาบไท่ผิงไว้ ตรงกลางหว่างคิ้วเขาเคลือบสีทอง เดินไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว
เขามาที่นี่ได้โดยอาศัยพลังเทพวชิระของสวี่ชีอัน
ในทางทฤษฎีแล้ว ตราบใดที่จ้าวโส่วมีระดับสูงพอ เขาอาจเป็นโสเภณีสีขาว[1]ให้กับร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเจียหลัวซู่โดยเปล่าประโยชน์
หลังจากเสริมพลังเทพวชิระแล้ว จ้าวโส่วก็ถือดาบไท่ผิงไว้ในมือ แล้วฟันไปที่สวี่ผิงเฟิงด้วยพลังอันยิ่งใหญ่
‘เคร้ง!’
สวี่ผิงเฟิงฟันกระบี่ในแนวนอน สกัดกั้นการโจมตีของดาบไท่ผิงทันที แต่พลังความแข็งแกร่งของเขาจะเทียบกับของจ้าวโส่วในขณะนี้ได้อย่างไร กระดูกมือขวาของเขาหักทันที แม้กระทั่งกระบี่เทพก็กระเด็นหลุดจากมือเขา
ในเวลานี้ ในที่สุดจีเสวียนผู้ไร้หัวก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม วาดขาเตะจ้าวโส่วออกไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ผิงเฟิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ต่อให้เขาไม่ได้เอากระบี่ของลั่วอวี้เหิงมา แต่เป้าหมายของเขาที่จะปกป้องจีเสวียนก็บรรลุผล
ถึงต้นทุนจะสูงมากก็ตาม
……………………………………….
[1] โสเภณีสีขาว (白嫖) หมายถึง คนที่ให้มีความสัมพันธ์ด้วย โดยไม่ต้องเสียเงิน หรือคนที่เสียผลประโยชน์ของตัวเองให้อีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์