ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 758-2 หลี่หลิงซู่ “พี่ชายวานรผู้นี้…” (2)
บทที่ 758 หลี่หลิงซู่ “พี่ชายวานรผู้นี้…” (2)
ในตอนนี้ เจียหลัวซู่ออกหมัดต่อยอาซูหลัวที่เข้ามาสกัดกั้น แล้วรีบไปหาจีเสวียนกับสวี่ผิงเฟิง พลางพูดเสียงต่ำ
“ไปสิ!”
‘ในไม่ช้าร่างธรรมวชิระของเจ้าจะฟื้นตัว’…สวี่ผิงเฟิงกะพริบตาปริบๆ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ปฏิเสธและพาจีเสวียนถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
จ้าวโส่วฉลาดพอจึงไม่ได้ไล่ตาม ซุนเสวียนจีบาดเจ็บสาหัส ลั่วอวี้เหิงก็ใช้ตบะได้ไม่เต็มที่ ถ้าหุนหันพลันแล่นไล่ล่ามัน ในวันนี้ลัทธิขงจื๊ออาจสูญเสียผู้นำไป
“ฮู่ว ฮู่ว ฮู่ว…”
อาซูหลัวกับโค่วหยางโจวโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย หอบหายใจหนักหน่วง เสื้อผ้าพวกเขาขาดรุ่งริ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อและเลือด
“สวี่ผิงเฟิงพรุ่งนี้ข้าจะรออยู่ที่นี่ แน่จริงก็มาสู้กันอีกครั้ง เจ้าคนขี้ขลาด!”
สวี่ชี่อันตะโกนไล่หลังเพราะมั่นใจแล้วว่าปลอดภัย
สวี่ผิงเฟิงมองกลับหลังและถลึงตามองจากระยะไกล
เมื่อร่างของทั้งสามคนลับสายตา สวี่ชี่อันก็ละสายตาแล้วมองไปยังท้องฟ้าสีสดใสและค่อยๆ เปล่งวาจาเสียงดุดันเต็มปากเต็มคำ
“ชนะ!”
เอาชนะสวี่ผิงเฟิงได้แล้ว
เอาชนะสวี่ผิงเฟิงได้อย่างสง่างามและตัวต่อตัว!
ในขณะนี้เขารู้สึกว่าเงามืดบางอย่างที่ปกคลุมหัวใจเขาได้อันตรธานหายไปหมดสิ้น
สวี่ชี่อันเลิกคิดทันที รีบวิ่งไปอยู่ข้างๆ ซุนเสวียนจีแล้วถามว่า
“ศิษย์พี่ซุน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
บาดแผลทะลุบนหน้าอกของซุนเสวียนจีหายดีแล้ว ใบหน้าซีดเซียวทว่าเขายังพยักหน้า
“ไม่…”
“ไม่ต้องกังวลใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจแล้ว” สวี่ชี่อันโล่งใจทันที
คิดถูกแล้ว สำนักโหราจารย์เป็นตระกูลใหญ่มีหน้าที่การงานใหญ่โตย่อมต้องมียาอายุวัฒนะมากมายทั้งที่ช่วยให้รอดชีวิตหรือปลิดชีพให้ดับสูญ ช่วยเสริมสร้างซ่อมแซมเนื้อหนังกระดูกมนุษย์ ตราบใดที่ยังไม่ตาย ศิษย์พี่ซุนก็อาจรอดชีวิตได้ด้วยทองคำคริปตันจากดาวซูเปอร์แมน
ซุนเสวียนจีอ้าปากค้างมีสีหน้าอึดอัด นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะพูด
‘ไม่ไล่ตามรึ?! เจ้าไม่ตามล่าพวกเขาหรอกรึ?’
จู่ๆ ศิษย์พี่ซุนก็นึกถึงผู้พิทักษ์หยวนขึ้นมา
“ให้…”
ซุนเสวียนจีหยิบขวดลายครามออกมาด้วยท่าทีเป็นกังวล โยนให้สวี่ชี่อัน แล้วชี้ไปที่อาซูหลัวกับโค่วหยางโจว
ลั่วอวี้เหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มีสีหน้าเย็นชา
สวี่ชี่อันรับขวดลายครามมาด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ล้มเลิกความคิดที่จะป้อนเข้าปากแล้วคว้าตัวลั่วอวี้เหิงไว้และพูดเสียงแผ่วเบา
“ท่านราชครู ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย
“ไม่มีปัญหา”
แต่ข้ายังต้องป้อนเจ้าก่อน…สวี่ชี่อันดึงจุกออก เทยาแล้วพูดว่า
“ขอบคุณท่านราชครูที่ให้ความช่วยเหลือ”
แค่นั้นลั่วอวี้เหิงก็พอใจแล้ว หลังจากกินยาแล้วนางก็ถลาลงไปหากระบี่เทพ
สวี่ชี่อันใช้โอกาสนี้ป้อนยาให้โค่วหยางโจวกับอาซูหลัว เพื่อช่วยให้พวกเขาฟื้นตัว
อาซูหลัวมองไปใต้ทะเลเมฆและพูดเบาๆ
“ผู้หญิงคนนี้จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมได้หรือไม่ก็เป็นตัวตัดสินจุดจบของพวกเราได้ทั้งนั้นว่าจะเป็นหรือจะตาย”
สวี่ชี่อันเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไรจึงคิดหนัก
“นั่นย่อมเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก”
ถึง ‘ปฏิบัติการสังหารดอกบัว’ จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนทำให้ราชวงศ์ต้าฟ่งมีผู้แข็งแกร่งขั้นสองเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน แต่ตราบใดที่ไป๋ตี้กลับไปยังแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวและร่วมมือกับเจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิง เขาก็สามารถผลักดันราชวงศ์ต้าฟ่งไปในแนวราบได้เช่นกัน
สำหรับทุกคนชัดเจนแล้วว่าพลังของเจียหลัวซู่นั้นคือขั้นหนึ่ง
หากราชวงศ์ต้าฟ่งไม่มีผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งอยู่ การจะเอาชนะอวิ๋นโจวย่อมเป็นเรื่องยาก
ปัจจัยสำคัญคือชะตากรรมของลั่วอวี้เหิงที่อยู่ห่างจากหายนะเพียงครึ่งก้าว
แน่นอนว่า สวี่ผิงเฟิงย่อมเห็นสิ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้ลั่วอวี้เหิงหลุดพ้นจากบ่วงกรรมได้อย่างราบรื่น
อาซูหลัวพูดเสียงต่ำ
“มั่นใจหรือ?”
สวี่ชี่อันส่ายหัวแล้วพยักหน้าอีกครั้ง
“ห้าสิบห้าสิบ”
เขาไม่ได้อธิบายอะไรมากนักและหันไปมองจ้าวโส่ว
“เจ้าสำนัก ท่านอยากกลับเมืองหลวงหรือไม่?”
จ้าวโส่วตอบว่า “อืม”
“ไม่ว่าอย่างไรเมืองหลวงก็ย่อมต้องการเหนือมนุษย์คอยดูแล”
นั่นคือสิ่งที่ข้าพูด แต่ถ้าไม่มีท่าน โอกาสชนะของเราอาจลดลง…สวี่ชี่อันกำลังจะพูด แต่แล้วเขาก็เห็นรอยแผลของจ้าวโส่ว
มีเลือดไหลออกมาจากรอยแผลเป็นคล้ายใยแมงมุมบนตัวจ้าวโส่ว
“มันเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น” จ้าวโส่วถอนหายใจ สะบัดมงกุฎขงจื๊อเบาๆ และพูดว่า
“อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว”
มงกุฎขงจื๊อแห่งรองปราชญ์เอกเปล่งประกายและในวินาทีต่อมา จ้าวโส่วก็หายจากอาการบาดเจ็บ
สีของมงกุฎขงจื๊อแห่งรองปราชญ์เอกพลันจางลง กลายเป็นมงกุฎขงจื๊อธรรมดา
“ข้าสามารถใช้พลังของมงกุฎขงจื๊อแห่งรองปราชญ์เอกเพื่อแสดงคำพูดของข้า และข้าจะแบกรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเอง ตราบใดที่ ‘ความต้องการ’ ไม่เกินจริงมากเกินไป มงกุฎขงจื๊อย่อมสามารถต้านทานได้” จ้าวโส่วยิ้มแย้มอธิบาย
แน่นอนว่านี่เป็นการบังคับขู่เข็ญ…สวี่ชี่อันคุกรุ่นอยู่ในใจ
จ้าวโส่วไม่รู้เรื่องราวภายในใจเขาจึงพูดว่า
“ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้ากังวล เรื่องนี้จัดการได้ไม่ยาก หนังสือส่งตัวของสำนักโหราจารย์สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“เจ้าสามารถให้ซุนเสวียนจีวาดค่ายกลส่งตัวในเมืองหลวงและเมืองยงโจว จากนั้นสร้างค่ายกลส่งตัวที่สอดคล้องกัน ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าข้าจะสนับสนุนยงโจวหรือเจ้าจะกลับเมืองหลวง ทุกอย่างก็จะยุติในชั่วพริบตา”
สวี่ชีอันตาเป็นประกาย
อาซูหลัวกับโค่วหยางโจวแสดงความคิดเห็น
“แผนนี้ฉลาดมาก”
ซุนเสวียนจีพยักหน้า
“สามารถทำได้!”
อาซูหลัวส่งเสียงบอกสวี่ชี่อัน
“ตอนข้าร่วมมือกับจินเหลียนเพื่อสังหารเฮยเหลียน ข้าได้พบเรื่องแปลกประหลาด! ดูเหมือนหนังสือปฐพีจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์”
เขาบอกสวี่ชี่อันเรื่องความผิดปกติหลังจากรวบรวมเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว
หนังสือปฐพีมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ของวิเศษที่สง่างามจะไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร…สวี่ชี่อันส่งเสียงตอบกลับ
“ด้วยนิสัยของนักบวชเต๋าจินเหลียน ข้าเกรงว่าเขาคงไม่บอกความจริงกับเรา”
อาซูหลัวบอกว่า
“ข้าคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ดังนั้นข้าจึงหารือกับเจ้า ถ้าเขาไม่บอกความจริง เราจะขับเขาออกจากพรรคฟ้าดินและหนังสือปฐพีจะตกเป็นของเรา”
“ร้ายกาจมาก!” พอสวี่ชี่อันพูดจบเขาก็เสริมว่า
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอเขาช่วยข้ามีชัยเหนืออวิ๋นโจวก่อน”
อาซูหลัวส่งเสียง “เฮอะ”
ลั่วอวี้เหิงเจอกระบี่เทพที่บรรพบุรุษลัทธิเต๋ามอบให้ในที่ลุ่มบนภูเขา หลังจากสวี่ผิงเฟิงขัดเกลาแล้ว สนิมบนพื้นผิวก็หายไป แต่คุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงเป็นอาวุธวิเศษไร้เทียมทานเช่นเดิม
อย่างไรเสีย อาวุธวิเศษไร้เทียมทานย่อมต้องเป็นเพดานอาวุธเวทมนตร์และของวิเศษย่อมต้องการโอกาส ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถขัดเกลาได้
นางถอนหายใจโล่งอกและเก็บกระบี่เทพอย่างระมัดระวัง
อาวุธวิเศษของลัทธิเต๋าย่อมไร้เทียมทาน หากสูญเสียมันไปย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดาย
‘ถ้ามันหายไป ก็เอาดาบของสวี่ชี่อันไปใช้แทน’…ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวนาง
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วทันที จำได้ว่าเขาไม่พอใจและไม่สนใจนางมาตั้งแต่แรก จึงจงใจแสดงสีหน้าเรียบเฉยต่อหน้าเขา กระทำและความคิดเป็นเยี่ยงเด็กหญิงตัวน้อยจริงๆ
…
ชิงโจว สมุหเทศาภิบาล
ในโถงหลัง สวี่ผิงเฟิงผู้กินยาอายุวัฒนะมองไปยังมือที่เลือดเนื้อค่อยๆ เติบโตขึ้น กล่าวเสียงทุ้ม
“เฮยเหลียนหายตัวไป มารเต๋าทั้งหมดในนิกายปฐพีก็ถูกสังหาร”
เขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในชิงโจว เขาย่อมรู้สถานการณ์ของตัวแทนติดตามสถานการณ์เป็นอย่างดี
จีเสวียนทำหน้าถมึงทึง
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ในบรรดาลูกหลานของเทพมาร เฮยเหลียนเป็นเพียงงาขาวบนขนมเปี๊ยะเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งเท่านั้นที่เป็นกุญแจสู่ชัยชนะ ถ้าข้าอ่านสถานการณ์ถูก ในไม่ช้า ลั่วอวี้เหิงจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนครองพิภพ”
“ข้าจะไม่ทำตามความปรารถนาของนาง” สวี่ผิงเฟิงพูดแล้วมองไปที่เจียหลัวซู่แล้วถามว่า
“ถอนตัวเพราะเหตุใด?”
“ร่างธรรมวชิระของท่านใกล้จะฟื้นตัวแล้ว”
พิจารณาจากสถานการณ์ตอนนี้ หากยันไว้สักระยะหนึ่ง สถานการณ์อาจพลิกกลับ
แต่สวี่ผิงเฟิงรู้ว่าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่จะไม่ล่าถอยโดยไม่มีเหตุผล แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผล
จีเสวียนผงกหัวขึ้นและมองไปทางเจียหลัวซู่ด้วยสีหน้างงงวย
“สวี่ชี่อันอยู่ขั้นสองและก้าวเข้าสู่ระดับผสานเต๋าแล้ว” พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มองไปที่ทั้งสองคน
“แต่ในการต่อสู้เมื่อครู่ ข้าไม่รู้ว่าวิถีของเขาคืออะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จีเสวียนก็ขมวดคิ้ว
สวี่ผิงเฟิงครุ่นคิดรำพึงรำพัน
“การฟาดฟันย่อมไม่สนใจระยะทางและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจไว้เมื่อเขาอยู่ในระดับขั้นสี่ เขาเคยใช้การส่งคืนความเสียหายเพียงครั้งเดียวตอนเขาอยู่ในเจี้ยนโจว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสามารถก่อนที่เขาจะเข้าสู่ผสานเต๋า”
เจียหลัวซู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“การต่อสู้ครั้งนี้ โค่วหยางโจวกับอาซูหลัวเสียเรี่ยวแรงไปมาก แต่เขาคนเดียว ไม่ว่าข้าจะเอาชนะเขาอย่างไร กลิ่นอายของเขาก็ไม่เคยลดลง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่ายหัวอีกครั้ง
“ไม่หรอก พูดให้ชัดก็คือ หลังจากที่กลิ่นอายของเขาลดลงถึงระดับหนึ่ง มันก็จะเพิ่มขึ้นทันที หลังจากเกิดซ้ำสองสามครั้ง พลังต่อสู้ของเขาก็มาถึงวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสองแล้ว”
“หากแนวโน้มนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนที่ร่างธรรมวชิระของข้าจะฟื้นคืน พลังต่อสู้ของเขาน่าจะไปถึงเกณฑ์ขั้นหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าสองคนต้องตายแน่นอน”
จีเสวียนพูดจาสยดสยอง
“นี่คือวิธีของเขาหรือ?”
สวี่ผิงเฟิงขมวดคิ้ว
“อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด…ไม่ เราต้องมีโอกาสค้นหาความสามารถที่เขาได้ในระดับผสานเต๋าก่อน”
…
เวลากลางคืนในค่ายทหารสวินโจว
หม้อเหล็กตั้งอยู่ในสนามประลองศิลปะการต่อสู้ หอมกลิ่นเนื้อสัตว์โชยมาตามลมหนาว
ซุปในหม้อเหล็กเดือดพล่าน เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อม้าและเครื่องในสัตว์คลุกเคล้าอยู่ในน้ำซุปร้อนๆ
ทหารอารักขาหกคนเฝ้าหม้อเหล็กอยู่ แบ่งปันอาหารในหม้อกัน ปากของพวกเขาล้วนมันแผล็บ
ทุกคนหน้าแดงมีความสุขยิ่งนัก นอกจากได้กินอิ่มแล้วยังมีความสุขจากชัยชนะที่ได้ในวันนี้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังกำจัดเงามืดของวันที่แล้วๆ มาและได้ความมั่นใจกลับคืนมาด้วย
“ก่อนหน้านี้ข้ามักจะบ่นว่าฆ้องเงินสวี่ไม่มาเข้าร่วมสงครามที่ชิงโจว ถ้าเขามาเร็วกว่านี้ บางทีอาจได้ชิงโจวไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าไม่บ่นแล้ว ฆ้องเงินสวี่ต้องมีเหตุผลอยู่แน่”
“ถ้าฆ้องเงินสวี่ไม่มา คงต้องมีใครสักคนละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ในที่สุดทุกคนก็มีสิ่งที่รอคอย แม้ว่าวันหนึ่งข้าจะตายในอวิ๋นโจวด้วยน้ำมือตัวเอง ข้าก็ยอมตายเพื่อชัยชนะในการต่อสู้และข้าก็เต็มใจยิ่ง”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้หญิงคนนี้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ? ในอนาคตข้างหน้า ถ้าใครกล้าพูดว่าผู้หญิงขึ้นมาเป็นจักรพรรดิจะนำพาหายนะมาสู่ประเทศชาติและประชาชน ข้าจะเป็นคนแรกที่ตัดหัวมัน”
“บอกข้าที ตอนนี้ฆ้องเงินสวี่อยู่ขั้นไหนแล้ว? ตอนกลางวันดาบเล่มนั้นทรงพลังมาก ไม่แปลกใจเลยที่นอกด่านอวี้หยาง ฆ้องเงินสวี่สามารถสังหารกองทัพสำนักพ่อมดสามแสนคนได้ด้วยดาบเล่มเดียว”
“ไร้สาระน่า ไม่ใช่ดาบเล่มเดียวสังหารคนหนึ่งคน แต่เป็นดาบเล่มเดียวสังหารกบฏสามแสนคนด้วยการโจมตีครั้งเดียว แต่ละวันเวลามองดาบ ก็นึกไปถึงเรื่องที่ฆ้องเงินสวี่ทำนอกด่านอวี้หยาง”
นายทหารใหญ่พล่ามน้ำลายแตกฟอง
สวินโจว จวนสมุหเทศาภิบาล
หยางกงเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงที่ลานบ้านเพื่อต้อนรับหยางเยี่ยนและยอดฝีมือขั้นสี่คนอื่นๆ ที่สนับสนุนสวินโจว รวมถึงผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ หลี่หลิงซู่ และสมาชิกหลายคนของพรรคฟ้าดิน
มีผู้หญิงเพียงสองคนคือหลี่เมี่ยวเจินกับเซียวเยว่หนู
หลังจากหยางกงดื่มสุราหนึ่งจอก เขาก็พูดด้วยอารมณ์พาไป
“ในสถานการณ์นี้ ถ้าให้หนิงเยี่ยนร่ายกวีสักบท มันก็จะสมบูรณ์แบบ”
น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นและในงานเลี้ยงตอนนี้ไม่มีใครกล้าอ้าปากพูด
ว่ากันว่า ฆ้องเงินสวี่มีพรสวรรค์ด้านกวีนิพนธ์ ดังนั้นถ้าเขาร่ายบทกวีจึงเป็นเรื่องดียิ่ง
แต่ตอนนี้กระทั่งเชิญเขามาดื่มสุราโต๊ะเดียวกันยังเป็นเรื่องยาก
คืนนี้ไม่มีพวกเหนือมนุษย์สักคนมาที่นี่ พวกเขาอาจกำลังพักฟื้นเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บหรือกลับเมืองหลวงไปแล้วหรืออาจกำลังฟื้นฟูกลิ่นอายอยู่
หลังจากฟู่จิงเหมินได้ยิน เขาก็มองไปยังเซียวเยว่หนูที่อยู่ข้างๆ และพูดจาเปี่ยมรอยยิ้ม
“ท่านเซียว ตอนที่เขายังอยู่ในระดับขั้นหก ประธานเฉาเหมิงจู่ขอให้ท่านวิวาห์กับเขา แต่ท่านไม่เห็นด้วย ตอนนี้ท่านเสียใจหรือไม่?”
เซียวเยว่หนูขมวดคิ้ว “หุบปาก!”
นางหยิบจอกสุรา ยกผ้าคลุมขึ้น จิบเล็กน้อย ดวงตาของนางค่อนข้างมึนเมา
หลี่หลิงซู่เป็นคนเปิดเผย เนื่องจากนี่เป็นช่วงสงคราม ทำให้ไม่มีนักร้องและนางระบำที่ช่วยให้ความบันเทิง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่งานออกจะน่าเบื่อเล็กน้อย
เขาหันไปสนใจผู้พิทักษ์หยวนที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเพียงคนเดียวในโต๊ะ อยู่ปะปนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ราวกับหิ่งห้อยในคืนที่มืดมิด ช่างสะดุดตายิ่งนัก
“พี่ชายท่านนี้ แซ่เกาหรือ?”
หลี่หลิงซู่ถือจอกสุราและเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นเช่นนี้ หยางกงก็รีบไอค่อกแค่กและพูดว่า
“สหายหลี่…”
เขาต้องการเตือนหลี่หลิงซู่ว่าอย่ายั่วโมโหลิงตัวนี้
มันเกิดขึ้นรวดเร็วทว่าสายเกินไปแล้ว เหมียวโหย่วฟางเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงขัดขวางหยางกงทันทีด้วยการกระแทกโต๊ะและเอนตัวไปเกี่ยวไหล่หลี่หลิงซู่
“พี่หลี่ ให้ข้าแนะนำเถอะ ให้ข้าแนะนำเจ้าเอง”
……………………………………….