ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 761 หนังสือปฐพีและคนเฝ้าประตู (1)
บทที่ 761 หนังสือปฐพีและคนเฝ้าประตู (1)
‘ความลับของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี’…หัวใจของลั่วอวี้เหิงกระตุกวูบ นางกำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่อยู่ในมือแน่นเพื่อป้องกันสวี่ชีอันคว้ามันไปอย่างกะทันหัน
นางเป็นคนมีตำแหน่งฐานะและเป็นที่เคารพนับถือ ไม่สามารถแสดงท่าทีออดอ้อนหรือเจ้าแง่แสนงอนกับผู้ชายหนุ่มๆ เหมือนมู่หนานจือได้
อืม แต่ข้างต้นนั้นก็เป็นเพียงการคาดเดาตามความคิดเห็นเฉพาะบุคคลที่ออกมาจากอารมณ์ในจิตใจของลั่วอวี้เหิงเท่านั้น
‘นักบวชเต๋า ข้าว่าอาซูหลัวคงล้อท่านเล่น พวกเราไม่สามารถขับไล่ท่านออกจากพรรคฟ้าดินได้หรอก’…หลี่เมี่ยวเจินเห็นข้อความของนักบวชเต๋าจินเหลียนก็แทบจะหัวเราะไม่ออก
หมายเลขเจ็ด ‘นี่เป็นคำพูดไร้สาระที่ปรากฏขึ้นหลังจากผสานหนังสือปฐพีใช่หรือไม่?’
ในฐานะผู้ยึดถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หลี่หลิงซู่ก็ได้ยินคำพูดไร้สาระที่น่ากลัวนี้เช่นกัน ตอนที่อาซูหลัวข่มขู่นักบวชเต๋าจินเหลียน เขาก็ยังอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความลับที่นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดในทันที ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องนี้
ผู้ยึดถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคนอื่นๆ ไม่พูดอะไรพลางจ้องมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมืออย่างใจจดใจจ่อ
เวลานี้เอง ลี่น่าก็แสดงตัวออกมาโดยการส่งข้อความหลังจากที่หายไปนาน นักบวชเต๋า ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านได้’
สตรีผิวขาวจากซินเจียงตอนใต้ที่มีความคิดและจิตใจเรียบง่ายรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก
หมายเลขเก้า ‘ไม่เป็นไร โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่สามารถเป็นไปตามที่เราคิดได้อยู่แล้ว ตอนนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ที่ราบกลาง ย่อมไม่มีทางมาทัน ไม่ใช่ความผิดของเจ้า’
ทันทีที่ข้อความนี้ถูกส่งออกไป เขาก็เห็นลี่น่าส่งข้อความมาอีกว่า ‘แต่ท่านนักบวชเต๋า หลังจากท่านผสานกับเฮยเหลียนแล้ว ท่านจะตกสู่วิถีมารอีกหรือไม่?’
คำพูดของลี่น่าเป็นเหมือนเสียงระฆังที่ด้องก้องอยู่ในใจของทุกคน
หมายเลขสี่ ‘ทะ ที่ลี่น่าพูดมีเหตุผลมาก เมื่อวานข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย…’
หมายเลขเจ็ด ‘อา ใช่แล้ว หากนักบวชเต๋าผสานกับเฮยเหลียนแล้วตกสู่วิถีมารอีกจะทำอย่างไร’
หมายเลขหก ‘ไม่ขนาดนั้น ไม่ขนาดนั้น’
หมายเลขแปด ‘แม้มีความเป็นไปได้ที่จะตกสู่วิถีมาร แต่ผู้ที่สื่อสารกับพวกเราในตอนนี้ไม่ใช่เฮยเหลียน แต่เป็นจินเหลียน’
หมายเลขสอง ‘ได้ยินหมายเลขแปดกล่าวเช่นนี้ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนสะกดจิตให้เจินเต๋อบำเพ็ญธรรมยังแสร้งทำเป็นคนใจดีเลย’
‘ทำไมข้าถึงรับลี่น่าเข้าพรรคฟ้าดินตั้งแต่แรก’…นักบวชเต๋าจินเหลียนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลาสามวินาทีก่อนจะได้รับข้อสรุปว่าบางครั้งก็ไม่สามารถเชื่อโชคชะตาได้ทั้งหมด
ลี่น่าอาจจะมีโชคมากมาย แต่โชคไม่เกี่ยวข้องกับความฉลาดทางสติปัญญา การไม่มีโชคยังดีกว่าเชื่อในโชค
หมายเลขเก้า ‘วางใจเถอะ ความตั้งใจของเฮยเหลียนถูกลบล้างไปแล้ว แม้ว่าในอนาคตอาตมาจะตกสู่วิถีมารจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอีกนานแสนนาน ภายในร้อยปีนี้จะไม่มีภัยพิบัติแอบแฝงเช่นนี้แน่นอน’
ภายใต้ผ้านวม แขนข้างขวาของสวี่ชีอันกำลังโอบเอวบางของลั่วอวี้เหิงอย่างนุ่มนวล เมื่อใช้ฝ่ามือสัมผัสเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงผิวอันบอบบางและเรียบเนียนของหน้าท้องส่วนล่าง เขาเอ่ยปากถามว่า “ราชครูคิดอย่างไร?”
ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจความเจ้าชู้เหลาะแหละของสวี่ชีอัน กล่าวเบาๆ ว่า “ความคิดชั่วร้ายมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ การบำเพ็ญบุญกุศลของนิกายปฐพียังกระตุ้นการปรากฏตัวของเฮยเหลียนภายใต้ฟันเฟืองของกรรม นี่คือเหตุต้นผลกรรมของการสั่งสมสร้างบุญกุศลความดีมาหลายร้อยปีของจินเหลียน”
นางก็เป็นปรมาจารย์ลัทธิเต๋าเช่นกัน ในมุมมองของสวี่ชีอัน คำพูดของลั่วอวี้เหิงเป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งเพลิดเพลินกับการโอบเอวบางของราชครู
เอวบางของสตรีเป็นสมบัติที่มักถูกมองข้ามมากที่สุด ผู้คนมักจะแค่ชื่นชมมันแต่กลับไม่ค่อยเล่นหรือลิ้มลองมันสักเท่าใด
แน่นอนว่าสิ่งนี้จำกัดเฉพาะสตรีที่มีรูปร่างดีเท่านั้น ไม่รวมถึงหน้าท้องที่มีไขมันส่วนเกิน
เมื่ออธิบายจบแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนก็กลับเข้าหัวข้อเดิม
จริงสิ ที่จริงหนังสือปฐพีมีความลับหนึ่ง เรื่องนี้เริ่มจากการกำเนิดของหนังสือปฐพี พวกเจ้ารู้จักหนังสือปฐพีมากเพียงใด’
การกำเนิดของหนังสือปฐพีรึ? ข้าเหมือนจะเคยได้ยินหลี่เมี่ยวเจินพูดมาก่อน แต่ลืมไปแล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร…สวี่ชีอันฝังใบหน้าครึ่งหนึ่งลงที่ลำคอระหงส์ของลั่วอวี้เหิง ในขณะที่จุมพิตลูบไล้ก็ยังเจียดเวลามาดูชิ้นส่วนหนังสือปฐพีด้วย
หลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่รู้เกี่ยวกับหนังสือปฐพีอยู่น้อยนิด แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดแทรกขึ้นมา เพราะไม่อยากทำให้โอกาสที่นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดล่าช้าออกไป
สมาชิกคนอื่นๆ ก็ไม่รู้เกี่ยวกับที่มาของหนังสือปฐพี ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อยากพูดแทรกนักบวชเต๋าจินเหลียนเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพูดเรื่องนี้ด้วยตนเอง เขาจึงส่งข้อความไปว่า ว่ากันว่าในยุคจักรพรรดิโบราณ มีระบบการบำเพ็ญประเภทหนึ่ง เรียกว่า ‘วิถีแห่งควันธูป’ แก่นหลักของการบำเพ็ญระบบนี้คือการใช้กำลังยึดครองพื้นที่แม่น้ำและภูเขา จากนั้นก็สร้างวัดของตัวเองลงบนพื้นที่ที่ยึดครองมาได้ หลังจากมีหลักพื้นฐานนี้แล้วก็จะเปิดรับผู้ศรัทธาจำนวนมากมาจุดธูปไหว้พระ ถวายสัตว์และชายหญิงพรหมจารี ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของวัดเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ โดยเผ่าปีศาจส่วนใหญ่จะอาศัยการข่มขู่ประชาชน รอจนมีจำนวนผู้ศรัทธามากถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็จะค่อยๆ กลั่นของวิเศษชนิดหนึ่ง เรียกว่า ‘ผนึกเทพ’ ผนึกเทพยังแบ่งออกเป็นอีกสองชนิด คือ ‘ผนึกเทพแห่งขุนเขา’ และ ‘ผนึกเทพแห่งสายน้ำ’ เทพแห่งขุนเขาหรือเทพแห่งสายน้ำที่ถือผนึกเทพจะไม่มีผู้ใดต่อต้านได้ในเขตแดนของพวกเขา เป็นอย่างไร ฟังแล้วคุ้นมากใช่หรือไม่’
นี่มันคล้ายกับระบบโหรมาก เรียกว่าเป็นโหรรุ่นรองๆ ได้เลยไม่ใช่รึ…สวี่ชีอันตอบโต้ในใจเช่นนี้ แต่ ‘โทรศัพท์’ ถูกลั่วอวี้เหิงครอบครองไว้ เขาจึงไม่สามารถส่งข้อความได้
นอกจากนี้ ตอนแรกที่พูดถึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขายังจำได้ว่าหลี่เมี่ยวเจินเคยบอกแล้ว ดูเหมือนปรมาจารย์เต๋าจะได้หนังสือปฐพีของนิกายปฐพีมาจากเทพแห่งขุนเขาและเทพแห่งสายน้ำในตำนาน อืม น่าจะเป็นแบบที่หลี่เมี่ยวเจินพูดเป็นแน่
หมายเลขหนึ่ง ‘ระบบโหรรึ?!’
ฮว๋ายชิ่งเป็นคนฉลาดที่สุดเสมอมา การตอบสนองของนางจึงรวดเร็วเป็นพิเศษ
หมายเลขสี่ ‘วิธีการคล้ายกับโหรมาก แต่ไม่ยิ่งใหญ่เท่าโหรเพราะท่านโหราจารย์สามารถระดมโชคชะตาทั้งหมดของที่ราบกลางได้’
ฉู่หยวนเจิ่นวิเคราะห์ครู่หนึ่งก่อนจะส่งข้อความไป
‘ในหนังสือโบราณของนิกายเซนไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเช่นนี้’…หลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่นึกถึงบันทึกเกี่ยวกับหนังสือปฐพีของนิกายปฐพีก็รู้เพียงว่ามาจากเทพแห่งขุนเขาและเทพแห่งสายน้ำ แต่ในหนังสือโบราณก็ไม่ได้บันทึกรายละเอียดนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังอาจกล่าวได้ว่าหลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่เป็นคนฉลาดรอบรู้ พวกเขาเคยอ่านหนังสือโบราณของนิกายสวรรค์มาหมดแล้ว และยังจดจำได้อย่างแม่นยำ
นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมาก แต่สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้สำคัญในฐานะเทพบุตรและเทพธิดานิกายสวรรค์
แม้กระทั่งหนังสือเป็นร้อยเล่มก็ยังจำได้หมด เช่นนั้นเป็นเทพบุตรเทพธิดาอะไรกัน? เจ้าบอกว่าไม่อยากเป็นงั้นรึ? ได้ เช่นนั้นวันนี้ก็สะสางประตูเลยแล้วกัน
วิธีการสั่งสอนอบรมของนิกายสวรรค์น่าจะเป็นเช่นนี้กระมัง
หมายเลขเก้า ‘ใช่แล้ว มันคล้ายกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้าขั้นหนึ่งของระบบโหรมาก’
หมายเลขห้า ‘เช่นนั้นทำไมระบบนี้ถึงหายไปเล่า?’
หมายเลขเก้า ‘การหายไปของวิถีแห่งควันธูป ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาของยุคสมัย จักรพรรดิแต่ละองค์ล้วนมองว่ามนุษย์และสัตว์วิถีควันธูปเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ต้องปราบปรามและกำจัดให้สิ้นซาก ซึ่งสิ่งนี้จำกัดการสืบทอดและการพัฒนาของวิถีควันธูปอย่างมาก นอกจากนี้ ก่อนที่ปรมาจารย์เต๋าจะก่อตั้งนิกายปฐพี ก็ได้ถอนรากถอนโคนมนุษย์วิถีควันธูปเหล่านี้ไปหมดแล้ว’
‘ปรมาจารย์เต๋าทำลายวิถีแห่งควันธูปไปแล้ว’…แม้ว่าสมาชิกพรรคฟ้าดินจะเคยคาดเดาเรื่องต่างๆ อยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนชี้ทางสว่างก็ยากที่จะซ่อนความประหลาดใจได้
ปรมาจารย์เต๋าท่านนี้เป็นเหนือมนุษย์ที่มีความลึกลับที่สุด แต่เรื่องใหญ่ที่ได้กระทำเบื้องหลังช่างน่าตกใจกว่าแต่ละเรื่องที่ผ่านมา
หมายเลขแปด ‘ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเกี่ยวข้องอะไรกับผนึกเทพเหล่านั้น?’
อาซูหลัวแสดงความสงสัย
หมายเลขเก้า ‘จริงสิ ปรมาจารย์เต๋าทำลายวิถีแห่งควันธูปตอนนั้นก็เพื่อแย่งชิงผนึกเทพจากมือของเทพแห่งขุนเขาและสายน้ำ ต่อมา เขาได้นำผนึกเทพที่รวบรวมมาทั้งหมดมากลั่นเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง เรียกว่า ‘หนังสือปฐพี’’
‘นี่คือที่มาของหนังสือปฐพีหรอกรึ มิน่าหนังสือปฐพีถึงสามารถรวบรวมชีพจรมังกร มิน่าหนังสือปฐพีถึงสามารถควบคุมภูมิลักษณ์ได้’…สมาชิกพรรคฟ้าดินตระหนักได้ในทันใด
หมายเลขหนึ่ง ‘แล้วเกี่ยวข้องกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างไร?’
หมายเลขเก้า ‘ปรมาจารย์เต๋าถือตนเองเป็นหนึ่งในวัสดุในการกลั่นหนังสือปฐพี’
!!! ราวกับสายฟ้าฟาดลงมาและระเบิดตูมที่ข้างหูของเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดิน ทุกคนถึงกับขนอ่อนลุกเกรียวไปทั่วทั้งร่าง
ยิ่งเนื้อหาสั้นเพียงใด เรื่องราวก็ยิ่งมีสาระเพียงนั้น สวี่ชีอันกลืนน้ำลายและกล่าวพึมพำว่า “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หรือว่าเป็น…”
เขารู้สึกว่าร่างบางของลั่วอวี้เหิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเกร็งขึ้นเล็กน้อยราวกับนางก็รู้สึกตกใจกับข้อมูลนี้เช่นกัน
หมายเลขเก้า ‘ใช่แล้ว อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือปฐพีคือจิตเดิมของปรมาจารย์เต๋า มีบางสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นในวันที่หนังสือปฐพีถูกกลั่น ในหนังสือโบราณของนิกายปฐพีบันทึกว่า หนังสือปฐพีกลายเป็นปีศาจ กลืนกินสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวลและทุกสรรพสิ่ง ลูกศิษย์ของนิกายบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเพื่อทุบมันออกเป็นเก้าชิ้น และปิดผนึกวิญญาณปีศาจ!’
ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน
ลั่วอวี้เหิงและสวี่ชีอันจมอยู่กับข่าวที่น่าตกใจนี้และไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลานาน
ลั่วอวี้เหิงเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “ยื่นมือมา”
สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจสิ่งที่นางต้องการและยื่นมือที่วางอยู่บนท้องน้อยออกมาจากใต้ผ้าห่ม
ลั่วอวี้เหิงจับนิ้วมือของสวี่ชีอันมาเขียนอย่างรวดเร็ว
หมายเลขสาม ‘ปรมาจารย์เต๋ากลั่นหนังสือปฐพีด้วยจุดประสงค์อะไร? ตอนที่ไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่กลายเป็นนิกายสวรรค์ นิกายปฐพีและนิกายมนุษย์ก็น่าจะบำเพ็ญสำเร็จและเลื่อนสู่ขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ยังมีสิ่งใดคุ้มค่าพอที่เขาจะลองสร้างปัญหาเช่นนี้อีกรึ?’
สวี่หนิงเยี่ยนยังคงเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดเหมือนเคย…ยังคงมีคำถามว่าทำไมเป็นหมื่นคำอยู่ในสมองของสมาชิกพรรคฟ้าดินแต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ใด
เมื่อเห็นสวี่หนิงเยี่ยนชี้ให้เห็นถึงสาเหตุหลักของเรื่องราวโดยตรง ทุกคนก็รู้สึกโล่งอก ทั้งยกย่องสวี่หนิงเยี่ยนอยู่ในใจและรอคำตอบของจินเหลียนอย่างเงียบๆ
ราชครู เจ้ายังฉลาดไม่พอ ที่จริงข้าเดาจุดประสงค์ของปรมาจารย์เต๋าออกนานแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจเบาๆ
หมายเลขเก้า ‘ไม่มีใครในนิกายปฐพีที่รู้จุดประสงค์ของปรมาจารย์เต๋า ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้ จนกระทั่งได้รู้ความลับของคนเฝ้าประตูจากหนิงเยี่ยน ข้าถึงเพิ่งเข้าใจ มีเพียงคนเฝ้าประตูเท่านั้นที่สามารถทำให้เหนือมนุษย์ทำเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมได้ แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าคนเฝ้าประตูหมายถึงอะไร’
หมายเลขสี่ ‘ยังมีอีกหนึ่งคำถาม หลังจากปรมาจารย์เต๋ากลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดถึงกลายเป็นปีศาจได้เล่า?’
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยความงุนงง
หมายเลขสอง ‘สำหรับประเด็นนี้ ข้ารู้ซึ้งเป็นอย่างดี กายจำแลงของปรมาจารย์เต๋าบำเพ็ญด้วยพลังของบุญกุศล หลังจากเขากลั่นกลายเป็นหนังสือปฐพี ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาอาจถูกสวรรค์ลงโทษ เดินทางผิดสู่ความชั่วร้ายเหมือนกับนักบวชเต๋าเฮยเหลียน’
ตรรกะชัดเจน!
‘ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเฮยเหลียนครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงอย่างไรก็ไว้หน้าข้าบ้าง ผู้น้อยอย่างพวกเจ้าช่างไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสจริงๆ…’
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความว่า นี่ก็เป็นการคาดเดาของผู้นำแต่ละคนของนิกายปฐพีเช่นกัน ตอนนี้มีข้อสงสัยเพียงอย่างเดียวคือ การกลั่นหนังสือปฐพีเกี่ยวข้องกับคนเฝ้าประตูอย่างไร? คำถามนี้พัวพันไปถึงคนเฝ้าประตูและยังคงไม่มีคำตอบ’
ปรมาจารย์เต๋าทำลายวิถีแห่งควันธูป กลั่นหนังสือปฐพี วิธีการหลอมดวงชะตาของวิถีแห่งควันธูปคล้ายกับโหรมาก…สมองของสวี่ชีอันราวกับถูกใครบางคนกระแทกอย่างแรง
ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก!
เขาอยากเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในชั่วพริบตา วินาทีนี้ เงื่อนงำที่ไม่อาจเข้าใจได้ในอดีตก็โยงใยกันเป็นเรื่องราว
หมายเลขสอง ‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามีวี่แววอะไรหรือไม่?’
หลี่เมี่ยวเจินมีความเชื่อมั่นสวี่ชีอันมาก เมื่อต้องเผชิญกับการให้เหตุผลที่เผาผลาญพลังสมอง แวบแรกนางจะนึกถึงผู้เชี่ยวชาญในการให้เหตุผลในตำนานของต้าฟ่ง…ฆ้องเงินสวี่!
ลั่วอวี้เหิงเห็นตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นบนกระจกก็หันกลับไปมองสวี่ชีอันที่อยู่ด้านหลังทันที
สวี่ชีอันดึงสติสัมปชัญญะกลับมา จ้องมองดวงตาอันงดงามและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ราชครู ถ้าข้าคิดออก ข้าขออีกครั้งได้หรือไม่?”
พูดจบแล้วเขาก็นำท้องน้อยเข้ามาประชิด
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วพลางก้าวถอยไปข้างเตียง ท่าทีไม่สนใจเขาราวกับโกรธ
สวี่ชีอันเพิ่งรับรู้ถึงสัมผัสอันนุ่มนวลและอบอุ่น แต่มันก็หายไปทันทีด้วยความผิดหวัง
หมายเลขเจ็ด ‘ศิษย์น้องหญิงผู้โง่เขลา เจ้าคิดอะไรกัน สวี่ชีอันก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า เขาคือนักไขคดี นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคือปรมาจารย์เต๋า แล้วเขาจะเอาเบาะแสมาจากไหนกัน’
หลี่หลิงซู่กระโดดออกมาฉีกหน้านาง
ตอนนี้เขาเกลียดสวี่ชีอันจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเขาที่เสียหน้าในเจี้ยนโจว เมื่อคืนนี้ลูกศิษย์ของเขายังทำให้เขาเสียหน้าอีกครั้งต่อหน้าใต้เท้าทุกคน
หมายเลขสี่ ‘ช่างทำให้หนิงเยี่ยนลำบากใจจริงๆ’
หมายเลขแปด ‘เรื่องนี้เป็นความลับเหมือนกับพระพุทธเจ้า ไม่มีทางพบความคืบหน้าในระยะเวลาสั้นๆ ในอนาคตหลักฐานอาจปรากฏ เทพกู่บอกว่ายุคสมัยกำลังจะสิ้นสุดลงไม่ใช่รึ’
อาซูหลัวได้ยินจากมังกรหมอบของนิกายสวรรค์ บทสนทนาของเทพกู่และไป๋ตี้คือ ‘รักใคร่ปรองดองตระกูลราชันอสูร’ เป็นสิ่งที่เขารู้ไปพร้อมๆ กับหัวเราะเยาะ
ลั่วอวี้เหิงมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่พอใจ
“อันที่จริงข้าเดาอะไรบางอย่างได้ เพียงแต่มันค่อนข้างน่าสะพรึงกลัว” สวี่ชีอันทอดถอนใจกล่าว
ลั่วอวี้เหิงคว้ามือเขาขึ้นมา กดลงบนชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและกล่าวเบาๆ ว่า “พูดมา!”
สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วเขียนแทนพู่กันว่า ‘อันที่จริงข้าแค่มีข้อสันนิษฐานที่ยังไม่สุกงอม’
‘ยังมีความเห็นจริงรึ?’
สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างก็ตื่นตัว นักบวชเต๋าจินเหลียนก็คิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาส่งข้อความว่า พูดมาเถอะ’
หมายเลขสาม ‘ไม่ได้ ไม่ได้ เทพบุตรพูดถูก ข้าไม่ได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์มากนักและข้าก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ข้าเป็นเพียงแค่นักไขคดีคนหนึ่ง หากเดาผิดพลาดก็มีแต่จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิด’
หมายเลขสอง ‘คนปากเสียพูดจาดีไม่เป็นตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้าไม่ต้องไปสนใจคำพูดเขา’
หมายเลขหนึ่ง ‘ที่เทพบุตรกล่าวเมื่อครู่ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม มันสอดคล้องกับความเข้าใจของเขาแล้ว’ ฮว๋ายชิ่งกล่าวแดกดันด้วยความเย็นชา
“…” สีหน้าของหลี่หลิงซู่เต็มไปด้วยความหดหู่
สวี่ชีอันส่งข้อความว่า ข้าจะพูดแค่สามเรื่อง ที่เหลือพวกเจ้าก็ไปพิจารณากันเอาเอง หนึ่ง จุดประสงค์ในการกลั่นผนึกเทพของปรมาจารย์เต๋ามีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้าประตู ข้ามั่นใจว่าประเด็นนี้มีเหตุผลอยู่ในเรื่องที่สอง สอง ลักษณะพิเศษของวิถีแห่งควันธูปเหมือนกับโหรมาก และท่านโหราจารย์คนปัจจุบันกำลังถูกสงสัยว่าเป็นคนเฝ้าประตู สาม ความลับของที่ผุดขึ้นมาของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็สามารถดูได้จากเรื่องที่หนึ่งและสองไม่ใช่รึ!’
‘เรื่องที่เหนือมนุษย์วางแผนมุ่งร้ายมีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้าประตู ปรมาจารย์เต๋ากวาดล้างวิถีแห่งควันธูปจนสิ้น นี่แสดงว่าวิถีแห่งควันธูปมีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้าประตู ท่านโหราจารย์เป็นคนเฝ้าประตู และความสัมพันธ์ระหว่างระบบโหรและวิถีแห่งควันธูปก็คล้ายกับความเป็นมาในอดีตและปัจจุบัน เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมปรมาจารย์เต๋าถึงต้องทำลายวิถีแห่งควันธูป กลั่นหนังสือปฐพี…ถึงแม้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่ข้าเชื่อว่าความจริงส่วนใหญ่เป็นอย่างที่สวี่หนิงเยี่ยนคาดเดา ทั้งยังได้รับรู้ถึงความลับอันยิ่งใหญ่นั้นอีก’…หลี่หลิงซู่แสดงความชื่นชม เขารู้สึกยอดเยี่ยมมากที่ได้ติดตามสวี่ชีอันขโมยความลับ
‘ข้ายังอวดศิษย์พี่หยางได้ในภายหลัง วิธีการที่เขาแอบอิจฉาในใจแล้วปากแข็งนั้นน่าสนใจมาก อืม เช่นนี้ไม่เป็นการทำลายน้ำใจกันมากเกินไปรึ?’
‘จุดประสงค์ในการวางแผนมุ่งร้ายคนเฝ้าประตูของเหนือมนุษย์ผู้แข็งแกร่ง ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีแห่งควันธูปและโหร รวมทั้งระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและน่าทึ่งโดยไม่มีเหตุผลของโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ทั้งหมดล้วนชัดเจนแล้ว นี่คือเสน่ห์ของการไขคดี นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงลุ่มหลงการไขคดี’…หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกายของนาง ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านและสัมผัสได้ถึงความสุดยอดภายในกะโหลกศีรษะ
ในตอนแรกจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินมักจะถามสวี่ชีอันเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในการไขคดีอยู่บ่อยๆ
‘โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งได้รับการสืบทอดจากวิถีแห่งควันธูปใช่หรือไม่ จึงจัดตั้งระบบโหรขึ้นด้วยหลักการเดียวกัน นี่ดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายเดียว ในที่สุดข้อสงสัยของข้าก็คลี่คลายเสียที’…ฉู่หยวนเจิ่นจิ๊ปากด้วยความประหลาดใจ
เขาเคยสงสัยมาก่อนว่าโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแตกต่างจากผู้ก่อตั้งในระบบอื่นและเหนือมนุษย์ผู้แข็งแกร่งทั้งหมด การก่อตั้งระบบของพวกเขาไม่ใช่จากไม่มีจนมี แต่เป็นการบำเพ็ญจนถึงระดับหนึ่งก่อน จากนั้นเมื่ออยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบก็พลิกกลับระบบ
จากบรรดาแต่ละระบบหลัก ไม่มากก็น้อยล้วนมีอาณาเขตและกระแสจิตที่ไขว้กันจึงสามารถมองออกได้
มีเพียงโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะพูดว่าโหรเกิดมาจากพ่อมด แต่การสร้างระบบโหรในยุคแรกนั้นเริ่มจากระดับต่ำ
นี่เป็นเรื่องอุกอาจมาก เพราะเดิมทีผู้บำเพ็ญตนระดับต่ำไม่มีความสามารถในการสร้างระบบ ไม่ว่าพรสวรรค์จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ โลกทัศน์เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์
เช่นเดียวกับไก่สาวที่มีความฉลาดทางสติปัญญาสูง และมีความเป็นไปได้ที่จะถูกล่อลวง แต่ไอ้คนเจ้าชู้ที่มีความฉลาดทางสติปัญญาธรรมดากลับมีความสามารถในการประเมินที่ยอดเยี่ยม
แต่หากรุ่นที่หนึ่งได้รับการถ่ายทอดมาเล่า? เขาอาจได้รับการถ่ายทอดมาจากวิถีแห่งควันธูป อาศัยพรสวรรค์อันน่าทึ่งและพื้นฐานจากวิถีแห่งควันธูปไปพยายามค้นหาและจุดประกายเส้นทางใหม่
นี่คือความเป็นไปได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ ตอนนั้นยังประจวบเหมาะกับอยู่ในช่วงกลียุคของที่ราบลุ่ม เหล่าวีรบุรุษช่วงชิงอำนาจการปกครอง มันจึงเป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์สำหรับการเติบโตของวิถีแห่งควันธูป
……………………………………………………………..