ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 763 วิธีเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
บทที่ 763 วิธีเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
สวี่ชีอันซึ่งมีด้ามดาบเสียบอยู่กลางกระหม่อมนั่งเป็นประธานอยู่ที่โถงห้องประชุม
ตำแหน่งที่เขานั่งนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเคารพชื่อเสียงบารมีของเขาและหวาดกลัวตบะของเขา
ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ตำแหน่งขุนนางของสวี่ชีอันในตอนนี้คือหัวหน้าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีอำนาจเทียบเท่าขุนนางราชสำนัก แม้ไม่มีอำนาจแท้จริง ทว่าหัวโขนที่สวมอยู่นั้นใหญ่กว่าตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลของหยางกงเสียอีก
“ทุกท่านแค่เอ่ยมาเถอะ ข้าฟังอยู่”
สวี่ชีอันมองไปรอบๆ ขุนนางสองฝั่งแล้วเงยหน้าขึ้น
เรื่องต่างๆ อาทิ การเดินทัพออกศึก การจัดเสบียงโยกย้ายกำลังพล และการรักษาเสถียรภาพของแนวหลังนั้น เขาเป็นคนธรรมดาซึ่งไร้ประสบการณ์โดยสิ้นเชิง
ในขอบเขตเหล่านี้ การออกความคิดและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องนั้นทำได้ ทว่าการปล่อยให้เขาวางแผนและจัดการประสานงานรังแต่จะทำให้เกิดการขัดขวาง
หยางกงพยักหน้ารับอำนาจในการพูดแทนสวี่ชีอัน แล้วเอ่ยว่า
“การประชุมครั้งนี้ มีสามเรื่องที่ต้องการหารือกับทุกท่าน คือเรื่องเงินและเสบียง แหล่งที่มาของกองกำลัง และแนวป้องกัน
“ในสามเรื่องนี้ เงินและเสบียงเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแหล่งที่มาของกองกำลัง หลังเสียชิงโจว แม้พวกเราจะนำสัมภาระและยุทธปัจจัยส่วนใหญ่ไป ทว่าปัญหาการขาดแคลนเงินและเสบียงก็สร้างความลำบากให้พวกเราโดยตลอด
“ก่อนหน้านี้ไม่นานหญ้าและเสบียงที่ขนส่งมาจากจางโจวได้จมลงแม่น้ำ กองทัพใหญ่ที่คุ้มกันเสบียงมาส่งก็ถูกกวาดล้างสิ้น”
จางโจวคือหนึ่งในอู่ข้าวอู่น้ำของต้าฟ่ง มีการสำรองเสบียงอาหารไว้อย่างเพียงพอที่สุด สิบวันก่อน ระหว่างการเจรจาสงบศึก คาราวานเรือขนส่งจากจางโจวมาต้าฟ่งได้ถูกโจมตี ไม่ต้องเอ่ยถึงเสบียงและหญ้าที่จมแม่น้ำ กองทัพคุ้มกันที่ตามมาด้วยก็ถูกกวาดล้างจนสิ้น
นี่คือจุดประสงค์ของทัพกบฏอวิ๋นโจวเพื่อสกัดกั้นเสบียงอาหารและหญ้าที่ขนส่งจากมณฑลต่างๆ ไปยังยงโจว
ต้าฟ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะทางน้ำหรือทางบกล้วนมีระยะทางยาวไกลยิ่งนัก การเผชิญหน้ากับศัตรูที่ซุ่มโจมตีระหว่างการคุ้มกันขนส่งนับเป็นเหตุสุดวิสัย
แน่นอนว่ากองทัพต้าฟ่งเองก็ส่งยอดฝีมือเกรียงไกรแฝงเข้าไปในอวิ๋นโจวและชิงโจว เพื่อดำเนินการปล้นระหว่างทาง
เมื่อเทียบอวิ๋นโจวกับต้าฟ่ง ข้อได้เปรียบใหญ่ที่สุดคือการขาดกลยุทธ์เชิงลึก ไม่ผิดที่เขตอิทธิพลเล็กๆ ก็มีข้อดีอยู่บ้าง ซึ่งหมายถึงระยะทางในการคุ้มกันขนส่งสั้น ภูมิประเทศไม่ซับซ้อน โอกาสผิดพลาดก็จะลดลงตามลำดับ
หลี่มู่ไป๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า
“ยงโจวอุดมสมบูรณ์มีประชากรอยู่มาก แต่ในขณะที่ต้องรักษาเสถียรภาพของผู้ประสบภัยก็ต้องเลี้ยงดูกองทัพด้วย ประคองได้หนึ่งเดือนเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพวกเราจำต้อง ‘ขูดเลือดขูดเนื้อ’ ประชาชนแล้ว”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยแทรกว่า
“หากมีการเกณฑ์ทหารก็จะสามารถลดต้นทุนเงินและเสบียงได้อย่างมาก”
ดึงเหล่าผู้ลี้ภัยที่กินอย่างเสียเปล่าเข้ากองทัพ เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หลี่มู่ไป๋เอ่ยเสียงเข้มว่า
“หากทำเช่นนี้ ก็จะประคองได้สามเดือน…”
เขาเหลือบมองโม่ซาง นักรบฝ่ายลี่กู่ซึ่งอยู่ข้างกายเหมียวโหย่วฟางแล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า
“สองเดือนไม่มีปัญหา”
บรรดาขุนนางและแม่ทัพเงียบขรึมพลางขมวดคิ้วมุ่น
ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงเป็นปัญหาหลักที่ต้าฟ่งต้องเผชิญมาโดยตลอด ไม่มีเงิน ไม่มีเสบียง แล้วจะทำศึกอย่างไร
ข้าให้เทพดอกไม้ทำให้ธัญญาหารสุกได้ แต่ก็เป็นเพียงการใช้น้ำหนึ่งถ้วยไปดับเกวียนฟืนลุกโชนเท่านั้น…สวี่ชีอันนึกถึงจิตวิญญาณของเทพดอกไม้ขึ้นมา
แต่ก็รู้ทันทีว่าข้อเสนอนี้พึ่งพาไม่ได้ มู่หนานจือทำให้ธัญญาหารสุกได้จำกัด ทว่าราชสำนักต้องการอาหารเท่าไรกันเล่า มีกี่ปากที่ต้องกินข้าว หาใช่การลำดับความสำคัญ ทว่า วิธีนี้ใช้ได้ในยามฉุกเฉิน
ถึงตอนนั้น เทพดอกไม้ซึ่งเร่งการสุกงอมจนสำเร็จคงจะร้องไห้และพูดว่า ไม่มีแล้ว ไม่มีแม้แต่หยดเดียว!
สวี่ชีอันคิดถึงตรงนี้จึงยกมุมปาก
‘ก๊อก ก๊อก!’
“ฝ่าบาทจะทรงตั้งชุมชนเล็กๆ ในอาณาเขตฉู่โจวและอวี่โจวพร้อมกับเปิดด่านการค้า ไม่นาน ต้าฟ่งก็จะมีเงินและเสบียง”
เขาแจ้งนโยบายที่ฮว๋ายชิ่งประชุมในราชสำนักให้ทุกคนทราบทันที
การถ่ายทอดคำสั่งทางการของราชสำนักไปแต่ละมณฑลต้องใช้เวลา นี่ย่อมว่องไวไม่เท่า ‘สายสืบตำหนักความลับสวรรค์’ ซึ่งเป็นองค์กรที่อาศัยวิชาส่งตัวในการส่งข้อมูล
แน่นอนว่าเมื่อรอจนค่ายกลส่งตัวที่ซุนเสวียนจีสร้างขึ้นแล้วเสร็จ ความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข่าวสารในยงโจวนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ประเสริฐ!”
จางเซิ่นลูบเคราพร้อมรอยยิ้มบาง
“คำสั่งทางการทั้งสองข้อนี้จะแก้ไขเรื่องเร่งด่วนและความห่วงหน้าพะวงหลังของต้าฟ่งได้”
การตั้งชุมชนขนาดเล็กและเปิดด่านการค้าสามารถเติมเต็มคลังหลวง บรรเทาเรื่องเร่งด่วนของราชสำนักเกี่ยวกับคลังหลวงอันว่างเปล่าได้ การนำพื้นที่เกษตรที่ถูกทิ้งร้างกลับคืนมาจะสามารถช่วยผู้ลี้ภัยให้มีที่ดินทำกินหลังวสันตฤดูเริ่มขึ้น
ที่จริงแล้วการเอาใจประชาชนในยุคสมัยนี้ง่ายดายนัก และการมอบที่ดินสองสามหมู่ให้เขา หากทัพกบฏอวิ๋นโจวคิดจะหาผู้ลี้ภัยไปเป็นหนังหน้าไฟก็ยากแล้ว
หลี่มู่ไป๋เอ่ยชมว่า
“ตอนที่ฝ่าบาททรงศึกษาอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่ได้แสดงให้เห็นความสามารถภาคปฏิบัติได้อย่างโดดเด่น นับเป็นสิริมงคลของราษฎรที่ได้ชื่นชมบัลลังก์จักรพรรดินีนี้”
ทุกคนต่างออกปากสรรเสริญ เมื่อเทียบกับหย่งซิ่งแล้ว การขึ้นสู่บัลลังก์ของจักรพรรดินีทำให้พวกเขามองเห็นความหวัง
และคงมีเพียงฆ้องเงินสวี่ที่มีความกล้าอย่างเด็ดเดี่ยวในการสนับสนุนสตรีผู้หนึ่งให้ขึ้นครองบัลลังก์เช่นนี้
บรรดาขุนนางและแม่ทัพมองไปยังสวี่ชีอันด้วยแววตาเลื่อมใส แต่เมื่อเห็นดาบที่กลางกระหม่อมของเขา จึงพากันก้มหน้าลงอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา
ดวงตาสีฟ้าครามของผู้พิทักษ์หยวนกวาดมองฝูงชน ขณะที่เขาขยับริมฝีปากกำลังจะพูด ซุนเสวียนจีก็ยื่นถ้วยชามาตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วเอ่ยว่า
“ดื่ม!”
…เหล่าขุนนางและผู้นำทางการทหารต่างเหงื่อตกในใจ ก่อนส่งสายตาขอบคุณไปให้ซุนเสวียนจี
หากผู้พิทักษ์หยวนอ่านคำพูดในใจเมื่อครู่ของพวกเขาออกมา ตอนนี้ทุกคนจะแค่ยืนหารือหรืออาจจะคุกเข่าหารือกันแล้ว สรุปคือฆ้องเงินสวี่ไม่ปล่อยพวกเขาแน่
หยางกงกระแอมเบาๆ เพื่อดึงบทสนทนากลับมา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่งว่า
“ปัญหาที่สาม แนวป้องกัน!
“แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราต้องประเมินว่าการโจมตีครั้งต่อไปของกองทัพอวิ๋นโจวจะเกิดขึ้นเมื่อใด”
โจวมี่ อดีตผู้บัญชาการชิงโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“กองทัพอวิ๋นโจวพบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ สงครามในเมืองสวินโจวนับเป็นความบาดเจ็บร้ายแรง จึงจะไม่กลับมาเร็วๆ นี้ น่าจะรอให้ไป๋ตี้ที่เล่าลือกันผู้นั้นกลับแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเสียก่อน”
การมีอยู่ของไป๋ตี้นั้น สำหรับคนระดับสูงแล้วไม่ใช่ความลับอะไร
ไป๋ตี้ไม่ได้ปรากฏตัวระหว่างการตัดหัวเฮยเหลียน เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่ได้อยู่ที่จิ่วโจว
“ไม่ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาจะบุกโจมตียงโจวในเร็ววันนี้ละ”
หลี่มู่ไป๋ให้ความเห็นที่แตกต่าง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ผู้นี้วิเคราะห์ว่า
“อันดับแรก เทศกาลไหว้วสันต์ใกล้เข้ามา อวิ๋นโจวสามารถทนศึกครั้งนี้ได้ครึ่งถึงหนึ่งปี หลังจากต่อสู้มาหลายปี พวกเขาจะถูกสงครามลากยาวทำให้หมดแรง และกลยุทธ์ทั้งสองข้อของฝ่าบาทก็คือรากฐานสำหรับการต่อสู้ในสงครามอันยืดเยื้อ
“หากทัพกบฏอวิ๋นโจวรู้เข้า พวกเขาจะไม่ถ่วงเวลาและเข้าวังไปทันทีอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นเหมียวโหย่วฟางจึงเอ่ยว่า
“และมีความเป็นไปได้ที่จะบุกโจมตีอวี่โจวเพื่อยับยั้งแผนการของราชสำนักด้วย”
อวี่โจวอยู่ติดกับซินเจียงตอนใต้
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกคัดค้านจากสวี่เอ้อร์หลางซึ่งอยู่ข้างกาย
“กำลังทหารของอวิ๋นโจวไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้พวกเขาทำศึกสองแนวรบ”
นี่เป็นเหตุผลในตอนแรกที่อวิ๋นโจวต้องการเจรจาสงบศึกและยึดครองอวี่โจวโดยไม่นองเลือด
ทุกคนจึงตระหนักอีกครั้งว่าหากตอนนั้นการเจรจาสงบศึกสำเร็จ และกองทัพอวิ๋นโจวเข้ายึดครองอวี่โจวหรือจางโจว เช่นนั้นจึงจะเป็นสถานการณ์ที่มิอาจหวนกลับได้อย่างแท้จริง การสูญสิ้นของราชสำนักเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ต้าฟ่งได้วนเวียนคาบเกี่ยวในความพินาศไปแล้วครั้งหนึ่ง…เหล่าขุนนางบุ๋นและผู้นำทางการทหารต่างรู้สึกสะเทือนใจ
การรัฐประหารของฆ้องเงินสวี่ในครั้งนี้ได้พลิกชะตาของราชวงศ์ต้าฟ่ง
หยางกงสรุปส่งท้าย
“ตั้งแต่หยุดพักปรับปรุงจนถึงเคลื่อนทัพ ใช้เวลามากที่สุดไม่เกินครึ่งเดือน ก่อนเทศกาลไหว้วสันต์ อวิ๋นโจวและพวกเราจะสู้รบกันอย่างดุเดือด ต่อจากนั้น พวกเราต้องสร้างแนวป้องกันด่านแรก และคัดเลือกแม่ทัพ…”
…
ณ ที่ว่าการมณฑลชิงโจว
ในเช้าวันเดียวกัน ทางฝั่งขุนนางระดับสูงของกองทัพอวิ๋นโจวก็กำลังประชุมเช่นกัน
เมื่อทุกคนมาพร้อม เก่อเหวินเซวียนก็มองไปรอบๆ แล้วเริ่มเปิดประเด็น
“ตำหนักความลับสวรรค์เพิ่งได้รับข่าวว่า ด้านเมืองหลวงกำลังวางแผนเปิดด่านการค้าในเจี้ยนโจวหรือยงโจว เพื่อแลกเปลี่ยนการค้ากับคนเถื่อนทางเหนือ เผ่าพันธุ์กู่จากซินเจียงตอนใต้และอาณาจักรหมื่นปีศาจเพื่อเติมเต็มคลังหลวง นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้ซื้อคืนที่ดินในมือขุนนางผู้รากมากดีในราคาทุน หลังเทศกาลไหว้วสันต์จะใช้เพื่อบำรุงขวัญผู้ลี้ภัย
“นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย แต่ละอย่างล้วนโจมตีจุดอ่อนอวิ๋นโจวของเรา”
แม่ทัพระดับสูงที่นั่งอยู่ได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วมุ่น และตระหนักได้ถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อสถานการณ์หลังจากคำสั่งทางการสองข้อนี้มีผลบังคับใช้
จัวเฮ่าหรานแสยะยิ้ม
“เปิดด่านการค้ารึ ฝันหวานดีนี่ ข้าจะนำผู้กล้าตายไปลากพวกเขาลงนรกให้หมด”
เก่อเหวินเซวียนเอ่ยเรียบๆ ว่า
“ได้ พวกเราจะเตรียมงานศพให้แม่ทัพจัวล่วงหน้า”
จัวเฮ่าหรานเลิกคิ้ว
หยางชวนหนานเอ่ยเสียงเข้ม โดยไม่ให้โอกาสเขาได้ระเบิดโทสะ
“เรื่องของเจี้ยนโจวมีระยะทางไกลเกินไป พวกเรายื่นมือไปไม่ไหว
“อวี่โจวอยู่ติดกับชิงโจวจึงถือว่าใกล้แค่เอื้อม แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าการที่ราชสำนักเปิดด่านการค้า ผู้ที่ดีใจที่สุดก็คือเผ่าพันธุ์กู่ อาณาจักรหมื่นปีศาจ และขบวนพ่อค้าจากที่ราบลุ่มภาคกลาง
“ในที่ราบลุ่มภาคกลาง เผ่าพันธุ์กู่ต้องการใบชา เครื่องลายคราม ผ้าไหม เกลือ แร่เหล็ก และอื่นๆ อาณาจักรหมื่นปีศาจเพิ่งก่อตั้ง นอกจากยาสมุนไพรและอาหารแล้ว อย่างอื่นล้วนขาดแคลน เผ่าพันธุ์กู่และเผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องส่งกองกำลังไปตั้งมั่นที่ชุมชนนั้นแน่
“และซินเจียงตอนใต้ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโภคทรัพย์ เพียงพอที่พ่อค้านักเดินทางจะแสวงหาผลกำไรอย่างคลุ้มคลั่ง ในอดีต เผ่าพันธุ์กู่และต้าฟ่งไม่ลงรอยกัน ช่วงเวลาที่สำนักพุทธปกครองภูเขาสือว่าน ได้ปฏิเสธที่จะค้าขายกับที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเขาจึงจนปัญญา
“บัดนี้ความกังวลเหล่านี้หมดไป เห็นเป็นต้องมีขบวนพ่อค้าจำนวนมากแห่กันมาอวี่โจวแน่ สถานการณ์โลกไม่ค่อยสงบสุข พวกเขาจะจ้างกองกำลังติดอาวุธที่มีขอบข่ายแน่นอนมาคุ้มกัน ท่านนำทหารกล้าตายไปกวาดล้างพวกเขา ฮึ สุดท้ายแล้วใครจะกำจัดใครกันแน่”
ควรทราบว่า กลุ่มจอมยุทธ์ในที่ราบลุ่มภาคกลางมีความรุ่งโรจน์และมีอิทธิพลในยุทธภพมากราวขนวัว
เก่อเหวินเซวียนพยักหน้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของหยางชวนหนาน ก่อนเอ่ยเสริมว่า
“เรื่องส่งทหารไปอวี่โจวนั้น ด้วยกำลังทหารและปัจจัยดำรงชีวิตของพวกเรา การต่อสู้สองแนวรบนั้นมีความเสี่ยงอยู่บ้าง”
จัวเฮ่าหรานนิ่งเงียบ
ชีก่วงป๋อจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ตอนนี้พวกท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเหตุใดสวี่ชีอันจึงสนับสนุนสตรีผู้หนึ่งขึ้นครองบัลลังก์ การที่เขาช่วยให้องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่เพียงเพื่อเสถียรภาพของกองหลังเท่านั้น ยังเป็นเพราะความสามารถไร้ที่เปรียบของสตรีผู้นี้ด้วย เท่ากับว่าสวี่ชีอันติดปีกให้พยัคฆ์ทีเดียว
“ในอนาคต ศัตรูที่พวกเราต้องเผชิญไม่ได้มีแค่สวี่ชีอันอีกแล้ว ยังมีจักรพรรดินีแห่งต้าฟ่งผู้นี้ด้วย”
แม่ทัพนายหนึ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยหยั่งเชิงว่า
“ในเมืองหลวงไม่มีท่านโหราจารย์นั่งรักษาการณ์อยู่ เหตุใดท่านราชครูไม่บุกเข้าเมืองหลวงแล้วสังหารจักรพรรดินีนั่นเสียเลยเล่า”
ทุกคนสายตาเป็นประกายด้วยคิดว่านี่คือแผนการซึ่งมีความเป็นไปได้
ชีก่วงป๋อนิ่งเงียบ จากนั้นจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า
“เช่นนั้นทั้งหยกงามและก้อนหินก็ได้ถูกเผาพินาศลงพร้อมกันแล้ว”
เขาไม่ได้อธิบายอะไรมาก และมองปราดไปยังจีเสวียนซึ่งนิ่งเงียบ ก่อนเอ่ยว่า
“การยึดติดในอารมณ์มิใช่คุณสมบัติของจักรพรรดิ หากท่านไม่อยากถูกราชครูและฝ่าบาทดูแคลนก็ลบคำว่าจีหย่วนออกจากใจเสีย”
จีเสวียนพยักหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด
ชีก่วงป๋อกล่าวต่อว่า
“อวี่โจวต้องรบ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เตรียมบุกโจมตียงโจวก่อน ข้าให้เวลาพวกท่านแค่ครึ่งเดือน หลังจากนั้นจะส่งทหารไปอวี่โจว”
หยางชวนหนานตกตะลึง
“แม่ทัพใหญ่ ไม่รอไป๋ตี้แล้วรึ”
ชีก่วงป๋อส่ายหน้า
“ต้าฟ่งสิ้นเปลืองได้ แต่พวกเราทำไม่ไหว นอกจากนี้ การหลุดพ้นจากบ่วงกรรมของลั่วอวี้เหิงก็ใกล้เข้ามา และสวี่ชีอันก็เป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน ยิ่งให้เวลาพวกเขามากเท่าไร เรื่องที่ควบคุมไม่ได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“อีกอย่าง ท่านรู้หรือว่าไป๋ตี้จะกลับมาเมื่อใด ชะตากรรมของอวิ๋นโจว ชะตากรรมของพวกเรา มิอาจฝากฝังไว้บนความช่วยเหลือจากต่างแดนได้”
…
หมายเลขหนึ่ง ‘ค่ายกลส่งตัวของวังหลวงต้องอยู่ที่ห้องนอนของเรา ถ้าเจ้ากังวลเรื่องหลินอัน ก็ให้ซุนเสวียนจีสร้างอีกแห่งหนึ่งในตำหนักเส้าอินของนาง หากสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่โจมตีเมืองหลวงจริงๆ ค่ายกลส่งตัวต้องอยู่ที่ห้องนอนเท่านั้น เราจึงจะมีโอกาสรอดชีวิต’
หมายเลขสาม ‘ไม่มีปัญหา ขอเพียงฝ่าบาทไม่ทรงถือสา กระหม่อมย่อมไม่ถือสาเช่นกัน’
หมายเลขหนึ่ง ‘หมายความว่าอย่างไร’
หมายเลขสาม ‘การกำหนดทิศทางค่ายกลส่งตัวไปสู่วังหลวง ทางข้าก็ต้องมีสองสามชิ้น’
ฮว๋ายชิ่งเงียบไปพักใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม
สวี่ชีอันส่งข้อความต่อว่า ‘หากถึงจุดนั้นจริง ก็เป็นเรื่องน่าสังเวชอยู่บ้างจริงๆ ล่ะ’
ทั้งสองคุยกันเป็นการส่วนตัว
หมายเลขหนึ่ง ‘ช่วงท้ายของประวัติศาสตร์ราชวงศ์โจว ในรัชสมัยยงอวี้ กองทัพใหญ่ของสำนักพ่อมดโจมตีถึงเมืองหลวง ภายใต้การคุ้มกันของกองทัพใหญ่ ยงอวี้ได้หนีออกจากเมืองหลวง ทิ้งเชื้อพระวงศ์และชาวบ้านไว้ที่เมืองหลวง ทัพใหญ่ของสำนักพ่อมดกว้านสังหารอยู่สามวันสามคืน ก่อนจับตัวมเหสีและนางสนมกลับตงเป่ย
จักรพรรดิยงอวี้รวบรวมกองทัพขนาดใหญ่ที่ชายแดน และใช้เวลาหกปีในการขับไล่กองทัพของสำนักพ่อมดออกจากที่ราบลุ่มภาคกลาง
แต่ไรมาเมืองหลวงก็ไม่เคยมีความสำคัญ ตราบใดที่เราไม่ตาย ต้าฟ่งก็จะไม่ถูกทำลาย’
ในข้อความของฮว๋ายชิ่ง มีความเชื่อมั่นในตนเองอันทรงพลังอย่างหาตัวจับได้ยาก
หมายเลขหนึ่ง ‘นอกจากนี้ หากสวี่ผิงเฟิงกล้ามาเมืองหลวง ก็อย่าได้คิดจะกลับชิงโจวและอวิ๋นโจวในระยะเวลาอันสั้น นี่ก็เป็นโอกาสสำหรับเราเช่นกันที่จะจัดการผู้นำของทัพกบฏอวิ๋นโจวในคราเดียว ด้วยนิสัยของสวี่ผิงเฟิงแล้ว เขาไม่เลือกตายตกไปตามกันหรอกเว้นแต่จะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง
ตอนนี้มีสองเรื่องที่เจ้าต้องพิจารณา หนึ่งคือการช่วยราชครูให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม สองคือ จะทำอย่างไรในการเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง’
ช่วยราชครูให้เลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง จุ๊ๆ ฆ้องเงินเช่นข้าคือคู่บำเพ็ญผู้สนองโองการ…สวี่ชีอันตอบกลับข้อความ
‘เข้าใจแล้ว’
หลังจบการสนทนา
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนยอดกำแพงเมืองสวินโจวพลางมองท้องฟ้าสีครามพร้อมกับครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน
ระบบขั้นสูงนั้น หลังจากเลื่อนขั้นก็จะไม่มีด่านแล้ว
ขอเพียงสะสมพลังปราณ หล่อหลอมร่างกายและพลังให้ ‘หยกสลาย’ เลื่อนขั้น ก็จะอาศัยเวลาค่อยๆ ผลักดันตบะสู่จุดสูงสุดของอันดับสองได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าจะระบบหรือระดับขั้นไหน การทะลวงด่านเป็นสิ่งที่ยากที่สุด
ตอนแรกสวี่ชีอันอาศัยยาโลหิตของเว่ยเยวียนเพื่อเลื่อนสู่ร่างอมตะขั้นสาม จากนั้นเมื่อไม่มีคอขวดจึงไม่หยุดบำเพ็ญคู่กับราชครูจนพลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ยากอย่างแท้จริงคือด่านกักเวลาเลื่อนขั้นสูงขึ้น
เฉกเช่นข้า จากขั้นสามถึงจุดสูงสุดของขั้นสาม ใช้เวลาไม่กี่สิบปีก็ถึงแล้ว
แต่ด่านกักในการเลื่อนสู่ขั้นสอง กลับปิดกั้นเขาไว้ห้าร้อยปีเต็มๆ
“ขั้นสามเลื่อนสู่ขั้นสอง เป็นการผสานเต๋าเพื่อเติมเต็ม ‘จิต’ แล้วการเลื่อนจากขั้นสองเป็นขั้นหนึ่งเล่า” สวี่ชีอันขมวดคิ้วมุ่น
“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งราวกับไม่มีชื่อเรียก วงการนี้หยั่งลึกนัก ข้ารู้สึกว่า บางทีระบบจอมยุทธ์อาจพิเศษที่สุดในบรรดาระบบทั้งหมด และยากแท้หยั่งถึงที่สุดด้วย”
ระบบจอมยุทธ์ดำรงอยู่มาตั้งแต่โบราณ แต่กลับไม่เคยปรากฏขั้นเหนือชั้นเลย
ขั้นหนึ่งของระบบจอมยุทธ์จึงไม่มีชื่อเรียก
เพียงสองจุดนี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าระบบนี้มีปัญหาแล้ว
เขาหลับตานั่งขัดสมาธิพลางใช้จิตเพ่งมอง และปลดผนึกไต้ซือเสินซู
ในฐานะขั้นสองของเขาในปัจจุบัน การปิดผนึกแขนขวาข้างเดียวของเสินซูจึงไม่ใช่เรื่องยาก แม้ไต้ซือเสินซูจะเป็นพระและไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่ช่วงที่บำเพ็ญคู่ สวี่ชีอันก็ยังปฏิเสธผู้เฝ้าชมอยู่ดี
ลั่วอวี้เหิงก็ปฏิเสธเมื่อตนถูกฆ้องเงินตัวเล็กๆ โต้แย้งว่ามีผู้เฝ้าชมอยู่ข้างๆ
หมอกหนาขมุกขมัวปรากฏขึ้นตรงหน้า ไอหมอกให้สัมผัสบางเบา ส่วนลึกของเมฆหมอกนั้นมีวัดที่ผุพังอยู่หลังหนึ่ง ด้านหน้าประตูวัดมีภิกษุหนุ่มรูปงามกำลังนั่งขัดสมาธิ
“ไต้ซือ ข้ามีปัญหาข้อหนึ่งอยากขอคำแนะนำขอรับ” สวี่ชีอันประนมมือ
“จะเลื่อนขั้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้อย่างไร”
……………………………………………