ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 765 หนีเคราะห์กรรมจวนจะเกิดอยู่รอมร่อ
บทที่ 765 หนีเคราะห์กรรมจวนจะเกิดอยู่รอมร่อ
Ink Stone_Fantasy
ความแตกต่างอยู่ที่ร่างกายของท่านเป็นเล็กเป็นน้อยก็สลายตัว จากนั้นก็ต่อสู้กับตนเอง
สวี่ชีอันแขวะไปประโยคหนึ่งก่อน และเงียบลงต่อจากนั้นพร้อมกับวิเคราะห์เงียบๆ ในใจ
กำจัดสายเลือดเทพมารเป็นลำดับแรก เผ่าอสูรคงจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดจากการผสมระหว่างเทพมารและมนุษย์ มีสายเลือดเทพมาร แต่สายเลือดยังไม่มากพอที่จะรวมตัวเป็นจิตวิญญาณ อย่างมากที่สุดคือการทำให้เผ่าอสูรแข็งแกร่งโดยกำเนิด
แต่ไม่ถึงระดับที่ได้รับพรสวรรค์พิเศษอย่างจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
กำจัดร่างแยก ‘พระพุทธเจ้า’ เป็นลำดับสอง เพราะว่าสิ่งนี้ไม่อาจลอกเลียนได้ เป็นไปไม่ได้ที่เสินซูจะตอบเขาด้วยเรื่องนี้
ในที่สุดก็กลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง…ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน
“ความเป็นอมตะ”
ถูกต้อง ความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างเสินซูกับจอมยุทธระดับบรรลุธรรมทั่วไปก็คือความเป็นอมตะของเขา
ขณะนี้สวี่ชีอันก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสองแล้ว และจอมยุทธ์ที่ตระหนักรู้ ‘ผสานเต๋า’ ยังคงเสียชีวิตได้
แต่สถานการณ์ของเสินซูนั้นยากที่จะเข้าใจในระดับหนึ่งอย่างแท้จริง
เขาถูกแบ่งร่างผนึกไว้ห้าร้อยปีจนเสบียงหมดลง จำต้องมีชีวิตอยู่อย่างเด็ดเดี่ยวด้วยการพึ่งพาพลังชีวิตของตนเองโดยไม่มีพลังวิญญาณจากภายนอกมาเสริม
กระทั่งพระพุทธเจ้าระดับบรรลุธรรมก็ฆ่าเขาไม่ตาย
“ไม่ผิดแน่ หากเทียบกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ความพิเศษที่มากที่สุดของข้าคือความเป็นอมตะ ระดับบรรลุธรรมก็ฆ่าข้าไม่ตาย”
สะดือของเสินซูแยกออกและกลายเป็นปาก ก่อนเอ่ยว่า
“สิ่งที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งบำเพ็ญก็คือวิชาคงกระพัน”
สวี่ชีอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า
“เรื่องนี้ฟังแล้วดูเหมือนธรรมดาไปหน่อย”
ร่างอมตะเป็นความสามารถของจอมยุทธ์ขั้นสาม เมื่อถึงขั้นสอง ความสามารถประเภทนี้จะมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ด้วยพลังชีวิตในปัจจุบันของสวี่ชีอัน ต่อให้ถูกแบ่งร่างก็คงไม่ตาย
หากมองเช่นนี้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแค่เพิ่มพลังชีวิตเท่านั้นเอง จึงดูเหมือนไม่คู่ควรแก่กันเลย
ต้องรู้ไว้ว่าจอมยุทธ์เป็นระบบที่วิชาโจมตีแข็งแกร่งที่สุด
ทั้งนี้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งโดยทั่วไปแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังชีวิตแข็งกล้าอย่างเสินซู เนื่องจากเสินซูอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์
ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ถูกพระพุทธเจ้าระดับบรรลุธรรมผนึกไว้ เช่นนั้นต่อให้เป็นเสินซูก็เหมือนจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ซึ่งไม่คู่ควรกับคำว่า ‘สู้ตัวต่อตัวอย่างแข็งแกร่งที่สุด’ เลยจริงๆ
“ผิดหวังเล็กน้อยหรือ”
เสินซูทำเสียง ‘ฮึม’ ก่อนเอ่ยกับตนเองว่า
“เจ้าควรจะรู้ว่าระบบจอมยุทธ์แตกต่างกับระบบทั้งหมด เมื่อระบบหลักแต่ละอย่างถึงระดับสูงสุดแล้ว บางระบบสามารถแก้ไขกฎเกณฑ์ตามใจชอบ บางระบบสามารถเสกหินให้เป็นทองคำและควบคุมดินน้ำลมไฟ บางระบบสามารถควบรวมโชคชะตาและใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์ บางระบบสามารถยืมพลังฟ้าดินมาใช้ได้โดยตรง”
“มีเพียงจอมยุทธ์ที่ไม่หลอมรวมกับฟ้าดิน มีเพียงการบำเพ็ญตน อภินิหารทั้งหมดล้วนมาจากตนเอง”
มิเช่นนั้นจะกล่าวว่าจอมยุทธ์หยาบช้าได้เช่นไรกันล่ะ…สวี่ชีอันรู้สึกเศร้ากับระบบของตนเอง
เสินซูเอ่ยว่า
“ที่จริงแล้วนี่ก็คือเส้นทางที่เป็นหัวใจสำคัญและเป็นเนื้อแท้ที่สุดของจอมยุทธ์ มันได้บอกเจ้าแล้วว่าควรจะเลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งเช่นไร”
เสินซูเอ่ยคำตอบโดยไม่รอให้สวี่ชีอันไต่ถามว่า
“หลอมรวมแก่นแท้ ลมปราณและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว จิตเดิมก็คือร่างกาย ร่างกายก็คือพลังปราณ พลังกายก็คือจิตเดิม พลังรอบตัวหลอมรวมเป็นหนึ่ง พลังยุทธ์ของเจ้าจะรุดหน้าไปอย่างพรวดพราด และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่เป็นสองรองใครแห่งกาลปัจจุบัน”
แบบนี้มันกล่าวเลยเถิดเกินไป สวี่ชีอันพยักหน้าเพื่อแสดงว่าสามารถยอมรับได้
แต่เสินซูกลับเอ่ยว่า
“แต่นี่ยังคงไม่อาจเข้ากับบุคลิกของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ระบบจอมยุทธ์ตั้งแต่ขั้นเก้าไปจนถึงขั้นสอง ทุกการเลื่อนหนึ่งระดับ ล้วนได้รับความสามารถใหม่อย่างหนึ่ง ระบบอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้”
“แต่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เพิ่มเพียงความสามารถของร่างอมตะขั้นสาม และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ไม่ได้รับความสามารถใหม่”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน หากเรื่องที่เสินซูกล่าวถูกต้อง เช่นนั้นมันก็ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
ขั้นหนึ่งเป็นระดับสุดท้ายของระบบจอมยุทธ์ กลับเสริมแกร่งเพียงความสามารถในช่วงขั้นสามและขั้นห้า ไม่ได้กล่าวเกินเลยไปจริงๆ
แม้สิ่งนี้จะทำให้จอมยุทธ์ถูกฆ่าตายยากขึ้น และพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างมากก็ตาม
สะดือของเสินซูถอนหายใจและเอ่ยว่า
“อันที่จริงปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ได้ให้คำตอบไว้แล้ว”
เครื่องหมายคำถามผุดแวบขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน รูม่านตาขยายขึ้นเล็กน้อยในชั่วประเดี๋ยวนั้น รัศมีตรงศีรษะส่องวาบขึ้น เขาเอ่ยโพล่งออกจากปากไปว่า
“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่นับว่าเป็นระดับปรกติ แต่เป็นเพียงส่วนเกินอย่างหนึ่ง”
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แบ่งระบบหลักต่างๆ เป็นเก้าขั้น แต่ละระดับล้วนมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง มีเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่เว้นว่างไว้
หลายร้อยปีมานี้ไม่มีใครทราบมูลเหตุของมัน
แต่ในขณะนี้ การคาดคะเนอย่างหาญกล้าผุดขึ้นในความคิดของสวี่ชีอัน
เสินซูกล่าวการคาดคะเนนั้นออกมาแทนเขาว่า
“เพราะว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของเทพยุทธ์ มันไม่ใช่ระดับที่แยกออกมาเดี่ยวๆ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันเองก็ถอนหายใจและเอ่ยเหมือนเสินซูว่า
“ข้าก็รู้ว่าระดับของระบบจอมยุทธ์นั้นล้ำลึก ทว่า ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน เหมือนจะไม่เคยปรากฏเทพยุทธ์เลยไม่ใช่หรือ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทราบได้เช่นไร”
เสินซูส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า
“ข้าไม่รู้ ข้ายังมีความทรงจำที่สำคัญอีกมากมายหลงเหลืออยู่ในศีรษะ ไม่มีใครรู้ว่ามูลฐานของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คืออะไร แต่หากอิงจากการแบ่งระดับของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่คาดเดาว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเป็นระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ไม่ได้มีอยู่น้อยนัก”
“ไม่เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าคนของเผ่าพันธุ์กู่ที่ซินเจียงตอนใต้จึงเรียกข้าว่าครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์หรือ หากไม่ใช่ว่าต้องการกำหนดตำแหน่งที่ถูกต้องให้ข้า ข้าเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นหนึ่ง”
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทพยุทธ์ ดังนั้นเสินซูซึ่งเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นหนึ่งจึงถูกเรียกว่า ‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์’
ดูเหมือนสิ่งที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่รู้ไม่น้อยเลย…สวี่ชีอันเคยฟังที่ลี่น่าบอกว่า ระหว่างการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีในปีนั้น มีครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์แสดงออกโรง
และลี่น่าก็ทราบมาจากหลงถูผู้เป็นบิดา จากการติดต่อระหว่างสวี่ชีอันกับฝ่ายลี่กู่ จึงรู้ซึ้งว่าเผ่าชนนี้มีคุณธรรมเพียงใด เช่นนั้นจึงมีเหตุผลให้สงสัย หลงถูเองก็ทราบมาจากแม่ย่าแห่งเทียนกู่
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็ยังคงแข็งแกร่งเพียงพอ ไม่มีทักษะใหม่ก็ไม่เป็นปัญหา เพียงสามารถต่อยตีไป๋ตี้และเตะถีบเจียหลัวซู่ก็เพียงพอแล้ว…สวี่ชีอันขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตนว่า
“ควรทำเช่นไรจึงจะควบรวมแก่นแท้ ลมปราณและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว”
“มีสูตรหนึ่งที่ว่า ใช้กายเป็นเตา ใช้จิตเป็นฟืน ใช้ลมปราณเป็นเพลิง”
เมื่อเสินซูท่องสูตรจบ เขาเอ่ยว่า
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจักรพรรดิที่มีดวงชะตาติดตัวจึงย่างเข้าขั้นหนึ่งง่ายกว่า เพราะว่าระดับนี้ล่อแหลมอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ หากไม่ระมัดระวังแม้เพียงเล็กน้อยอาจจะขวัญหนีดีฝ่อ ผู้ที่มีดวงชะตาติดตัวนั้นธาตุไฟเข้าแทรกได้ยาก”
สวี่ชีอันท่องสูตรเงียบๆ ในใจหลายรอบ ก่อนถามอีกว่า
“ไต้ซือ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อเทพยุทธ์หรือ”
สะดือไม่ได้อ้าปาก กลับเป็นแขนขวาที่ส่งเสียงอันนุ่มนวลออกมาว่า
“ข้าพักอาศัยอยู่ในร่างกายเจ้ามานานมากแล้ว ไม่ได้มองให้กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดท่านโหราจารย์ต้องการอบรมเจ้ามาโดยตลอด แต่ข้ามองออกว่า เขากำลังสมทบโชคชะตาแทนที่เจ้าอย่างมีจิตสำนึก”
“ปราณมังกรยังอยู่ในตัวเจ้าใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันพยักหน้าเอ่ยว่า
“ยังอยู่ในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี”
แขนขวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า
“เก็บมันไว้ อย่าส่งคืนชีพจรมังกร อาจมีประโยชน์ในภายภาคหน้า เจ้าไม่รู้สึกแปลกหรือ หลังจากชีพจรมังกรแตกกระจาย เหตุใดท่านโหราจารย์จึงไม่รวบรวมปราณมังกรด้วยตนเอง เอาแต่ให้เจ้าเดินทางไปทั่วยุทธจักร”
สวี่ชีอันจมดิ่งสู่ความครุ่นคิด
…
โพ้นทะเลที่ห่างไกล
ร่องน้ำลึกใหญ่ที่เงียบสงัดใต้ทะเลลึกอันมืดมิดไร้แสง
ส่วนลึกของร่องน้ำลึกระยับด้วยแสงสีขาวอันจืดจางอย่างพร่ามัว ยิ่งลงไป แสงสีขาวก็ยิ่งชัดเข้ม
ไข่มุกราตรีที่แวววาวเป็นดวงๆ ประดับไว้ที่หน้าผาของร่องน้ำลึก พร้อมเปล่งแสงโชติช่วงอันนุ่มนวลและบริสุทธิ์
ส่วนล่างของร่องน้ำลึกมีสัตว์ประหลาดลำตัวยาวหนึ่งร้อยจั้ง เอนกายอยู่ มันมีสีดำขลับทั้งตัว ร่างกลายเหมือนแกะ บนศีรษะมีเขายาวคดโค้งหกเขา ใบหน้าคล้ายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง
ไปตี้นั่งอยู่ตรงหน้าอสูรยักษ์ที่กำลังหลับสนิทตัวนี้อย่างเงียบสงบ และมองไปยังเขาเขาหนึ่งซึ่งหมุนวงเป็นเกลียวด้วยปราณใสท่ามกลางเขาเหล่านั้น
“เขาของข้าสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ต่อให้เจ้าเป็นผู้เฝ้าประตูก็อย่าได้เพ้อฝันว่าหลุดพ้นจากการกลืนกินของมัน อย่ามุ่งหวังที่จะรอดพ้นเลย”
ไป๋ตี้ไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่เป็นการเจรจากับผู้เฝ้าประตูด้วยวิชากระแสจิต
“มิน่าล่ะท่านถึงอยากยึดจิตวิญญาณของข้านัก ที่แท้เป็นเพราะร่างนี้มีปัญหานี่เอง”
เสียงของท่านโหราจารย์ดังออกมาจากเขา และตอบกลับด้วยวิธีการถ่ายทอดเสียงแบบเดียวกันว่า
“ช่วงสูงสุดของเจ้า คงจะเป็นระดับบรรลุธรรมสินะ ระดับเดียวกับเทพเจ้ากู่”
ไป๋ตี้เอ่ยว่า
“พูดถูก เป็นเพราะจิตวิญญาณเกิดปัญหา สงครามกลางเมืองระหว่างเทพมารในปีนั้น ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสอันเกินจะจินตนาการ จิตวิญญาณครึ่งหนึ่งหลอมเข้ากับมหามรรควิถี หวนคืนสู่ฟ้าดินนี้ และในท้ายที่สุดข้าก็พ้นเคราะห์ด้วยวิชาแสร้งตาย”
“แต่ข้าที่สูญเสียจิตวิญญาณไปครึ่งหนึ่งสู้ระดับบรรลุธรรมไม่ได้เลย หลายปีมานี้ข้าออกล่าทายาทเทพมารที่โพ้นทะเล พยายามซ่อมเสริมจิตวิญญาณของข้า แต่พลังของพวกมันล้วนอ่อนแอเกินไป ดีที่ข้าได้ท่านมาแล้ว ข้าเพียงขัดเกลาท่าน ระดับบรรลุธรรมคนอื่นๆ ก็สู้ข้าไม่ได้เลย”
ท่านโหราจารย์เอ่ยยิ้มๆ ว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้เฝ้าประตูจึงไม่ปรากฏในยุคโบราณ และไม่ปรากฏในยุคปรมาจารย์เต๋า แต่ปรากฏตัวหลังจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบันกำเนิดขึ้น”
ไป๋ตี้เอ่ยถามอย่างไร้กังวลว่า “เพราะเหตุใดหรือ”
ท่านโหราจารย์ตอบอย่างไม่ตรงคำถามว่า
“เพราะว่ายุคโบราณไม่มีเงื่อนไขในการกำเนิดเทพยุทธ์”
ลูกตาดำซึ่งเป็นแนวตั้งสีครามเข้มของไป๋ตี้จ้องไปที่เขายาว พร้อมเอ่ยช้าๆ ว่า
“ข้าเคยได้ยินโหรขั้นสองกล่าวว่า ในบรรดาระบบหลักต่างๆ มีเพียงโหรและจอมยุทธ์ที่ไม่มีระดับบรรลุธรรม ท่านเหมือนจะรู้วิธีเลื่อนขึ้นเทพยุทธ์ใช่หรือไม่”
ท่านโหราจารย์ยิ้มเอ่ยว่า
“เจ้าเดาดูสิ”
ไป๋ตี้ไม่ได้ชอบลักษณะการพูดของตาเฒ่าคนนี้มากนัก เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“อีกไม่กี่วันนี้ก็สามารถยับยั้งจิตเดิมของเจ้าได้แล้ว จากนั้นก็ไปล้างบางราชวงศ์ที่ราบลุ่มภาคกลางในแผ่นดินจิ่วโจวให้ราบ”
ขณะนี้ หลังใบหูที่กระจายไปด้วยขนของไป๋ตี้ เกล็ดสีขาวแผ่นหนึ่งสว่างขึ้น เขาตะแคงหูฟังและได้ยินเสียงจากสวี่ผิงเฟิง
“ผู้นำลัทธิเต๋ากำลังเข้าสู่ช่วงหนีเคราะห์กรรม รีบกลับมา”
…
ณ เมืองจิ้งซาน
ซ่าหลุนอากู่ที่รัดแส้ต้อนแพะไว้รอบเอวก้าวขึ้นแท่นบูชาอย่างช้าๆ และหยุดลงตรงหน้ารูปปั้นชายชุดคลุมยาวที่สวมมงกุฎหนามไว้ที่ศีรษะ
เขาโค้งตัวคำนับ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบาๆ ว่า
“ศิษย์เพิ่งจะเสี่ยงทาย มงคลสูงสุด มงคล ณ วันไหว้วสันต์”
รูปปั้นเทพพ่อมดเงียบสนิทและไม่ขยับ เงาสวมชุดดำลวงตาลอยขึ้นเหนือศีรษะ แล้วก็จมลงไป เหมือนถูกพลังอะไรบางอย่างดึงกลับไป
…
ณ สวินโจว
ภายในเรือนตะวันออกของคฤหาสน์ สวี่ชีอันเปลี่ยนเสื้อผ้าภายใต้การปรนนิบัติรับใช้ของเย่จี ด้านหลังของทั้งสองคือเตียงที่ยุ่งเหยิง ด้านหลังฉากกั้นห้องคืออ่างอาบน้ำสีแดงเคลือบเงา คราบกลมๆ ริมอ่างอาบน้ำคือละอองน้ำที่กระเด็นออกมาเมื่อคืน
ตั้งแต่กลับจากซินเจียงตอนใต้ สวี่ชีอันก็พาเย่จีกลับที่ราบลุ่มภาคกลาง จุดประสงค์ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือการบำเพ็ญ (บำเพ็ญคู่)
ศาสตร์แห่งการร่วมรักในห้องหอโบราณกาลของลัทธิเต๋าร้ายกาจเสียจริง พลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างมาก เร็วกว่าฝึกลมหลายใจไปไกล
หากเจอบุคคลระดับสูงของลัทธิเต๋าอย่างลั่วอวี้เหิงสำหรับการบำเพ็ญคู่ แต่หลังผ่านการบำเพ็ญคู่ครั้งที่แล้ว ลั่วอวี้เหิงก็กลับเมืองหลวงไปปลีกวิเวก
เดิมทียังมีตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ตอนนี้เทพดอกไม้ไม่ได้อยู่ที่สำนักโหราจารย์ ได้แต่ขดตัวรอบำเพ็ญคู่กับนางทั้งคืนวัน
ในเมื่อไปซินเจียงตอนใต้แล้ว ก็ถือโอกาสพาเย่จีกลับมาอยู่ด้วยสักพักหนึ่งเสียเลย ประจวบเหมาะกับการบำเพ็ญคู่พอดี
ที่จริงแล้วสวี่ชีอัน ‘กลัว’ ที่จะบำเพ็ญคู่กับมู่หนานจือเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความกลัวที่มีต่อความอยากเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้น แต่เป็นเพราะเสน่ห์ของเทพดอกไม้รุนแรงเกินไป เขากลัวว่าตนเองจะไม่อยากลงจากเตียงต่อจากนี้
ห่างจากกลับมาซินเจียงตอนใต้เป็นเวลาห้าวันแล้ว
ใบหน้าที่เฉียบคมและมีเสน่ห์ของเย่จีเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเปล่งประกายเจิดจ้า เก็บซ่อนความรู้สึก นางเองก็ได้รับประโยชน์มหาศาลจากการบำเพ็ญคู่
“สาวรับใช้บ้านเจ้าพูดพล่ามไปหน่อย ยามเจ้าว่างจงสั่งสอนพวกนางเยอะๆ”
เย่จีกลอกตาขาว พร้อมเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า
“เจ้าพลิกข้าไปมาทั้งวันทั้งคืน ข้าจะเอากำลังวังชาจากที่ใดไปดูแลสาวรับใช้”
สวี่ชีอันขยำบั้นท้ายของนาง ก่อนเอ่ยยิ้มว่า
“ต่อไปอาจไม่ได้พลิกตัวเจ้าเป็นเวลานาน ข้าจะไปเมืองหลวงสักเที่ยว”
เมื่อคืนลั่วอวี้เหิงส่งข้อความผ่านแผ่นยันต์มา นางจะเข้าสู่ช่วงหนีเคราะห์กรรมในอีกสามวันให้หลัง
……….……….……….……….……….