ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 767 ร่วมเป็นร่วมตาย
บทที่ 767 ร่วมเป็นร่วมตาย
Ink Stone_Fantasy
ห้องทรงพระอักษร
พวกขันทีย้ายโต๊ะทรายและธงเล็กมา จัดวางตามคำสั่งของราชินี ธงเล็กสีแดงเป็นตัวแทนทัพต้าฟ่ง ธงเล็กสีฟ้าเป็นตัวแทนทัพอวิ๋นโจว
นอกจากนี้ ยังมีชายแดนตอนใต้ ดินแดนประจิมทิศ สำนักพ่อมด ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวขนาดย่อส่วน
ในนั้นมีธงเล็กพื้นดำขอบทองสิบกว่าผืน บนธงเขียนอักษร ‘ลั่ว จ้าว สวี่ โค่ว จิน อา ซุน’ เป็นต้น
ฮว๋ายชิ่งสะบัดแขนเสื้อ ขันทีในห้องถอยออกไปตามลำดับ
ในห้องทรงพระอักษรที่เงียบสงบ ฮว๋ายชิ่งผลักธง ‘ลั่ว’ ไปตอนเหนือ จากนั้นผลักพันธมิตรและศัตรูของแต่ละฝ่ายตามไปด้วย
กำจัดระดับเหนือมนุษย์ส่วนเล็กส่วนน้อยทั้งหมด สู้ตายกับไป๋ตี้และเจียหลัวซู่เท่านั้น นี่คือสถานการณ์ที่ฝ่ายต้าฟ่งคิดว่าดีที่สุด
แต่บางที ศัตรูจะเห็นต่างออกไป
ดังนั้น ฮว๋ายชิ่งผลักธงเล็ก ‘ไป๋ตี้’ กับ ‘เจียหลัวซู่’ ไปยงโจว
ถ้าทัพอวิ๋นโจวฉวยโอกาสที่ลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรม รวบรวมพลังยึดยงโจวในครั้งเดียว ถ้าเช่นนั้นตามความเห็นของฮว๋ายชิ่ง นี่คือความสูญเสียที่ยอมรับได้
อย่าว่าแต่โจมตียึดยงโจว ต่อให้ยอมยกเมืองหลวงให้โดยดี ฮว๋ายชิ่งก็ไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สวี่ผิงเฟิงจะหลอมโชคชะตายงโจวกับเมืองหลวง โจมตียึดยงโจวในสิบสามวัน…ซ้ำยังเป็นเพียงการยึดครองในเวลาสั้นๆ แต่แลกมาซึ่งลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมสำเร็จ เลื่อนขั้นเป็นเซียนครองพิภพขั้นหนึ่ง
ถึงเวลานั้น ต้าฟ่งจะโต้ตอบได้อย่างเต็มที่
นี่ก็คือการมองภาพรวมใหญ่ของนาง
จากนั้น ฮว๋ายชิ่งก็ผลักธง ‘ลั่ว’ ไปชายแดนตอนใต้ ถ้าจัดให้สถานที่ทำสงครามเป็นชายแดนตอนใต้ล่ะ?
ที่นี่เป็นพันธมิตรของต้าฟ่งทั้งหมด
“ตัวเลือกนี้ ข้อดีและข้อเสียชัดเจนอย่างยิ่ง สำนักพุทธยังมีขั้นหนึ่งสองท่าน ขั้นสองหนึ่งท่าน ส่วนเผ่าพันธุ์กู่แม้มียอดฝีมือเหนือมนุษย์จำนวนมาก แต่ขั้นสามไม่พอที่จะแทรกแซงสงครามระดับขั้นนี้ แม่ย่าเทียนกู่ขั้นสองเพียงหนึ่งเดียวก็เป็นผู้ไม่เชี่ยวชาญสงคราม
“ที่สำคัญคือสวี่ชีอันไม่อาจโยกย้ายพลังแห่งเวไนยสัตว์ที่ชายแดนตอนใต้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ จำนวนยอดฝีมือเหนือมนุษย์ฝ่ายตนเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่พลังต่อสู้ระดับสูงกลับลดลง”
ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า
อีกทั้งไม่แน่ว่าระดับเหนือมนุษย์เผ่าพันธุ์กู่จะยอมช่วยเหลือ เพราะสำหรับพวกเขา นี่อาจพินาศได้เสมอ
นอกจากนี้ นางยังมีอีกเรื่องให้กังวล ไม่มีคนไม่รู้ว่าท่านนั้นในอรัญตายังมีแรงเหลือแสดงร่างธรรมพระมหาไวโรจนะหรือไม่
ถ้าเสินซูเข้าร่วมสงคราม ท่านนั้นก็ยังมีแรงเหลือ ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะปรากฏตัว ดี พ่ายแพ้ทั้งกระดาน
คิดไปคิดมา ให้ลั่วอวี้เหิงเลือกสถานที่หนีเคราะห์กรรมเป็นตอนเหนือ คือวิธีที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้นฮว๋ายชิ่งย้ายตัวหมากกลับสู่ตอนเหนือ ย้ายเจียหลัวซู่ ไป๋ตี้ รวมทั้ง ‘สวี่ อา จิน จ้าว’ ระดับเหนือมนุษย์ทั้งสี่ท่านเรียงอยู่ข้างบนตัวหมาก ‘ลั่ว’ ด้วย
“สวี่ชีอัน…”
ฮว๋ายชิ่งหลับตา พึมพำว่า
“เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือทุ่มสุดตัวเดิมพันกันแน่?”
…
จวนสกุลสวี่
กองทหารต้องห้ามสาวเท้าบุกเข้าในจวน
ยามนี้ห้องโถงชั้นใน อาสะใภ้ยังขอเคล็ดลับปลูกดอกไม้จากมู่หนานจืออย่างกระตือรือร้น ลานด้านนอกและลานด้านในจวนสกุลสวี่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ในปลายฤดูหนาวเย็นเยียบ แลดูราวกับแดนสวรรค์
“พี่หญิง เจ้ารีบสอนข้า จะเรียนวรยุทธ์มหัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร”
ยามนี้อาสะใภ้เลื่อมใสเทพดอกไม้มาก อ้าปากหุบปากมีแต่ ‘พี่หญิง’
หลานชายดวงซวยพาคนเข้าจวนไม่เว้นแต่ละวัน คนแรกคือหลี่เมี่ยวเจินที่ต่อหน้าสุภาพมีมารยาท ลับหลังพูดว่าร้ายนางในกระจกน้อยบานนั้นผู้นั้น
จากนั้นคือลี่น่าถังข้าวที่ทั้งวันรู้จักแต่กิน กินเนื้อหมูเนื้อปลาบ้านสกุลสวี่ทุกวันก็ช่างเถอะ ยังร่วมกับสวี่หลิงอินลูกสาวเนรคุณขโมยยาเสริมความงามของนาง
นางไม่ชอบสองคนก่อนหน้า แต่คนที่ชื่อมู่หนานจือผู้นี้ นางชอบมาก
อายุไล่เลี่ยกัน มีหัวข้อสนทนาร่วมกัน
“น้ามู่เป็นอะไรกับพี่ใหญ่ข้า”
สวี่หลิงเยวี่ยข้างๆ มีสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ท่าทางอ่อนโยนไม่มีพิษภัย
ที่จริงสวี่หลิงเยวี่ยไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะถูกใจหญิงที่แต่งงานแล้วท่าทางธรรมดาๆ เช่นนี้ อายุยังเท่ามารดาอีกต่างหาก
แต่เห็นสตรีนางนี้แวบแรกก็รู้ว่ามีสามีแล้ว เหตุใดต้องมาอยู่ที่จวนสกุลสวี่
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน เขามาก่อกวนข้าทุกวันก็เท่านั้น” มู่หนานจือพูด
อาสะใภ้ได้ยินก็โมโห จูงมือมู่หนานจืออย่างละอายใจ
“เจ้าว่าเด็กดวงซวยผู้นี้ ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ข้าไม่ได้สอนเขาให้ดี เป็นความผิดของข้า พี่หญิงเจ้าบอกข้า เขาก่อกวนเจ้าอย่างไร เดี๋ยวข้าให้เขาไปคุกเข่าในศาลบรรพชนสามวันสามคืน”
ขณะพูด พ่อบ้านพากองทหารต้องห้ามเข้ามา
สตรีสามนางในห้องโถงลุกขึ้นพร้อมกัน มองข้างนอกอย่างงงงวย
กองทหารต้องห้ามหยุดอยู่นอกห้องโถง แบ่งแถวเป็นสองฝั่ง เมื่อเสียงกระทบกันของชุดเกราะหยุดลง ผู้นำกองทหารก้าวเข้าห้องโถง แสดงคารวะก้มตัว
“ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ รับสมาชิกหญิงบ้านสกุลสวี่เข้าวัง”
…
วันนี้ในเมืองหลวง ตั้งแต่ผู้บัญชาการค่ายกองทหารต้องห้ามตลอดจนเหล่าขุนนางในราชสำนัก ครอบครัวของบุคคลที่มีอำนาจทั้งหมดถูกรับเข้าไปในวัง
คลังหลวงและยุ้งฉางแกะสลักค่ายกลส่งตัวเต็มไปหมด
ราชสำนักเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้ว เมื่อลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมล้มเหลว ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งพินาศ บุคคลที่มีอำนาจในเมืองหลวงก็จะถูกส่งตัวทันที
สงครามครั้งนี้ สำหรับราชินี เหล่าขุนนาง และราชสำนัก คือสงครามที่เดิมพันด้วยชะตาบ้านเมือง
แต่สำหรับชนชั้นล่าง วันนี้ไม่ต่างจากเมื่อวาน ชีวิตไม่นับว่าร่ำรวย แต่ร่มเย็นเป็นสุข
อย่างมากที่สุดก็พูดคุยเรื่องสงครามตอนใต้ในยามว่างหลังอาหาร บ่นว่าเหตุใดราชสำนักยังไม่แพร่ข่าวเรื่องฆ้องเงินสวี่พกดาบเล่มเดียว สังหารกองทัพใหญ่อวิ๋นโจวตั้งหนึ่งแสนนาย
…
อารามรัตนะ
ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่ริมสระน้ำ มองหนุ่มน้อยฝั่งตรงข้าม เอื้อมมือออกไป
“กลับมา!”
กระบี่เทพบนศีรษะของสวี่ชีอัน ‘ออกจากฝัก’ กลับสู่ในมือเจ้านาย พร้อมด้วยก้อนแดงบ้างขาวบ้าง
“มันสมองของข้า…”
สวี่ชีอันรีบรับไว้ ซึมซับพลังชีวิตในเลือดสดและมันสมอง จากนั้นนั่งยอง ล้างมือให้สะอาด
ระหว่างนั้น บาดแผลกระบี่บนศีรษะเขาหายสนิท ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
ลั่วอวี้เหิงสะบัดมือให้เลือดบนกระบี่ออกไปจนหมด ส่งเสียงฮึดฮัด
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ใจแคบเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันแขวะในใจเสร็จ เหลียวซ้ายแลขวาโดยไม่รู้ตัว ไม่เจอผู้พิทักษ์หยวน โล่งอกขึ้นมาทันที
คิดแล้วก็เจ็บปวดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นลูกพี่ขั้นสองแล้ว ยังถูกลิงตัวหนึ่งสร้างเงามืดในจิตใจ
ลั่วอวี้เหิงหรี่ตา พูดเสียงเย็นชา
“เจ้าคิดเพ้อเจ้ออะไรอีก”
“ข้ากำลังชมว่าราชครูงดงามดุจเทพธิดา ได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญกับราชครู คือโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชาตินี้ของข้า” สวี่ชีอันหน้าหนายิ้มแย้ม
ลั่วอวี้เหิงพูดเสียงเรียบ
“เช่นนั้นก็ยกเลิกงานแต่งงานกับหลินอัน”
สวี่ชีอันหัวเราะ “ฮ่าๆ” จากนั้นสำรวมรอยยิ้มบนใบหน้า เกาหัว ถอนใจพูดว่า
“สิ่งที่ข้าให้นางได้มีเพียงฐานะและชื่อเสียง”
ลั่วอวี้เหิงมองเขาอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
สวี่ชีอันลุกขึ้น ก้าวเดียวข้ามสระน้ำ จ้องใบหน้างดงามโดดเด่นไร้ซึ่งตำหนิเขม็ง พูดเสียงเบา
“สิ่งที่ข้าให้เจ้าได้ คือร่วมเป็นร่วมตาย
“ศึกนี้ ข้าอยู่ เจ้าอยู่ เจ้าตาย ข้าตาย!”
ลั่วอวี้เหิงเม้มปาก ก้มหน้าทันที คล้ายไม่กล้าสบตาเขา มองผิวน้ำที่ถูกลมพัดกระเพื่อม พูดว่า “อืม” เสียงเบา
สองคนกลายเป็นสายรุ้งทอดยาว ค่อยๆ หายไปบนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง
…
การหนีเคราะห์กรรมยังไม่เริ่มต้น ยงโจวเข้าสู่ไฟสงครามแล้ว
กองทัพใหญ่อวิ๋นโจวอ้อมผ่านสวินโจว รวมพลนอกเมืองหนานกวนที่ห่างจากสวินโจวไปทางตะวันออกเฉียงใต้แปดสิบลี้
ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ตีเมืองอย่างยิ่งใหญ่ ในครึ่งวันก็ยึดเมืองหนานกวนที่พลังป้องกันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
หลังจากโจมตียึดเมืองหนานกวน ทัพอวิ๋นโจวไม่ยึดครอง แต่ฆ่าทหารและชาวเมือง
จากนั้นปล้นจี้ชาวเมืองที่เหลือและวัตถุสิ่งของ ถอยทัพอย่างยิ่งใหญ่ ทิ้งคูเมืองที่กลายเป็นซากปรักหักพังไว้
นี่คือการโจมตีรูปแบบปล้นที่ดั้งเดิมที่สุด รวบรวมพลัง โจมตีครั้งเดียวแล้วไป ขณะที่ปล้นวัตถุสิ่งของเลี้ยงสงครามด้วยสงคราม ยังทำให้ทหารอารักขาเหนื่อยกับการรับมือ สิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรไปกับการซ่อมแซมกำแพงเมือง
คนต่างเผ่ามักใช้กลยุทธ์แบบนี้ แนวคิดหลักคือ ‘เท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า’
หลังจากฆ่าทหารและชาวเมือง หน่วยสอดแนมของทัพต้าฟ่งลอบเข้าเมืองหนานกวนตรวจสอบสถานการณ์ พบว่าคูเมืองที่เดิมทีมีชาวเมืองนับหมื่นคนอาศัยอยู่แห่งนี้ เหลือเพียงซากปรักหักพัง
ในเมืองไม่เหลือสิ่งมีชีวิต บ้านเรือนพังทลายและถูกเผาทำลาย ศพทหารอารักขาและชาวบ้านกองเป็นภูเขาเลากา ทั้งหมดสิบสองภูเขาสุสาน
หน้าภูเขาสุสานแต่ละแห่งตั้งป้ายไม้ ใช้เลือดเขียนอักษร
‘ผู้ฆ่าทหารและชาวเมือง…จัวเฮ่าหราน!’
หยางกงผู้บัญชาการสูงสุดของสนามรบยงโจว เรียกประชุมนายทหารฝ่ายเสนาธิการเพื่อหารือกันในคืนนั้น ขณะที่รักษาแผนเสริมกำแพงค่ายคู ย้ายผู้คนข้าวของ ก็แบ่งกำลังทหารสามส่วนรับหน้าที่สนับสนุน ก่อกวน และตัดเส้นทางเสบียงของทัพศัตรูเป็นต้น
สงครามเริ่มจากปกป้องไม่ออกนอกเมือง กลายเป็นกึ่งต่อสู้ในสนามรบกึ่งปกป้องเมือง
สวี่ซินเหนียนนำกองทหารม้าสี่พันนาย มือปืนใหญ่ห้าร้อยนาย ต่อสู้บนสนามรบรกร้าง
ในสงครามปกป้องเมืองชิงโจว สวี่เอ้อร์หลางเผยให้เห็นความสามารถในการบัญชาการที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดังนั้นเขากับสมาชิกพรรคฟ้าดินหลายคนนั้น แต่ละคนบัญชาการหนึ่งกองทหารม้า รับหน้าที่ทำสงครามกองโจร
นอกจากความสามารถของตน สาเหตุที่สวี่เอ้อร์หลางได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญมีอีกสองข้อ
ไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ในกองทัพของเขา อีกทั้งเหิงหย่วนติดต่อกับคนอื่นๆ ในพรรคฟ้าดิน ส่งข่าวได้อย่างรวดเร็ว ให้ความร่วมมือได้ง่าย
ในสนามรบนี้ นับเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่สมเหตุสมผล
ที่ยิ่งไม่สมเหตุสมผลคือในมือสวี่ซินเหนียนมีกระจกหนึ่งบาน ของวิเศษที่สอดส่องในรัศมีพันลี้ได้
กระจกเทพฮุ่นเทียน!
นี่คือของเสริมที่สวี่ชีอันมอบให้ญาติผู้น้องก่อนจากไป
กระจกเทพฮุ่นเทียน สอดส่องพันลี้ บุกก็จู่โจมทัพศัตรู ฆ่าจนอีกฝ่ายรับมือไม่ทันได้ ถอยก็หลีกเลี่ยงปลายดาบ เอาชีวิตรอดได้
นี่ก็คือสาเหตุที่ยามนั้นสวี่ชีอันจะรั้งกระจกเทพฮุ่นเทียนไว้ให้ได้ ในสนามรบ มันสำคัญมากจริงๆ
“อมิตาพุทธ!”
ไต้ซือเหิงหย่วนเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พนมมือด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตา ท่องชื่อพระพุทธเจ้า
สวี่เอ้อร์หลางหันหน้าถามว่า
“ไต้ซือ?”
ไต้ซือเหิงหย่วนถอนใจพูดว่า
“เมื่อครู่สหายเต๋าหลี่เมี่ยวเจินไปเมืองหนานกวน บรรยายสภาพน่าเวทนาในเมืองผ่านหนังสือปฐพี อาตมาไม่กล้าอ่านอีก”
สวี่เอ้อร์หลางใจกระตุกวูบ พูดหยั่งเชิง
“ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
ไต้ซือเหิงหย่วนพยักหน้า ล้วงเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมายื่นไปให้
สวี่เอ้อร์หลางยื่นมือรับไว้ จ้องกระจกหยกเขม็ง อักษรน้อยแต่ละบรรทัดปรากฏชัดเจนบนกระจก
หมายเลขสอง ‘ในที่สุดทัพอวิ๋นโจวก็เผยเผยธาตุแท้ พวกเขาไม่ปล่อยแม้แต่สตรีและเด็ก ฆ่ากวาดล้างเมืองหนานกวนจนเกลี้ยง โจรกบฏเช่นนี้ อีกทั้งจัวเฮ่าหรานผู้นั้น ข้าจะฆ่าเขากับมือ’
หลี่เมี่ยวเจินโกรธจนตัวสั่น
หมายเลขสี่ ‘ทัพอวิ๋นโจวมาอย่างดุเดือด ฆ่าทหารและชาวเมืองสร้างขวัญกำลังใจ ข้าสังหรณ์ใจว่าสงครามยงโจวครั้งนี้ จะรุนแรงกว่าชิงโจวยามนั้น’
หมายเลขเจ็ด ‘หรือไม่พวกเราไปลอบฆ่าจัวเฮ่าหราน?’
หลี่หลิงซู่เพิ่งได้ฟังคำพูดบรรยายของศิษย์น้องหญิง ในใจรู้สึกคับแค้นอยู่บ้าง สุดท้ายเขายังไม่ได้ตัดอารมณ์ความรู้สึก ยังถูกอารมณ์ควบคุม
หมายเลขสี่ ‘ก่อนอื่นเจ้าต้องยืนยันตำแหน่งของเขา อวิ๋นโจวมีทัพอสูรเหินเวหาสอดแนมลาดตระเวน เมื่อพวกเราหาเขาเจอ เขาก็เจอพวกเราได้เช่นกัน คิดจะจับกุมจัวเฮ่าหรานนั้นยากยิ่ง’
‘จัวเฮ่าหราน’…สวี่เอ้อร์หลางลูบหน้าอก นึกถึงวันนั้นที่อำเภอซงซานถูกทัพศัตรูยึดได้
คนแซ่จัวเคยเสียเปรียบอย่างมากที่อำเภอซงซาน วันนั้นหลังจากตีเมืองแตก จัวเฮ่าหรานสังหารทหารอารักขาและชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยม ไล่ฆ่าเขาหลายสิบลี้ แทบจะฆ่าเขาได้ในดาบเดียว
หลี่เมี่ยวเจินโวยวายร้องด่าสักพัก นัดหมายกับสมาชิกพรรคฟ้าดิน เมื่อรู้ที่อยู่ของจัวเฮ่าหราน จะยกทัพเข้าโจมตีทันที บั่นคอจอมยุทธ์คลั่งที่ฆ่าทหารและชาวเมืองผู้นี้
จากนั้นกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบลง ไม่มีคนส่งข้อความอีก
สวี่เอ้อร์หลางคืนหนังสือปฐพีให้ไต้ซือเหิงหย่วน ถามว่า
“เหตุใดไต้ซือไม่สร้างกองทัพเหมือนพวกเขา”
เหิงหย่วนส่ายหน้า
“อาตมาเป็นเพียงจอมยุทธ์ภิกษุ ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า รู้สึกได้ทันทีว่าในอ้อมแขนร้อนวาบ รีบล้วงกระจกสำริดที่หายไปครึ่งหนึ่ง
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าไม่มีแม้แต่ปราณมังกร ยังคู่ควรครอบครองข้า?”
ผิวกระจกเทพฮุ่นเทียนมีปากโผล่มา “ถุย” โวยวายว่า
“ข้าคือของวิเศษที่เจ้าไม่อาจครอบครอง เจ้าอยากใช้ข้า ต้องเพิ่มเงิน ต้องใช้พลังปราณหล่อเลี้ยงข้า”
แน่นอนว่าพลังปราณไม่อาจเทียบกับปราณมังกร แต่ก็เป็นพลังหยางบริสุทธิ์
เหิงหย่วนได้ยิน พูดว่า
“มอบให้อาตมาเถอะ”
สวี่เอ้อร์หลางเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่มีพลังปราณ
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว พูดว่า
“พี่ใหญ่เคยบอกข้า เจ้าทำข้อตกลงกับเขา อยู่ข้างกายข้าชั่วคราว ยามนี้พูดเรื่องนี้กับข้า คิดจะต่อต้านข้า?”
“ใช่แล้วอย่างไร!” กระจกเทพฮุ่นเทียนทำท่าทางเท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า
สวี่เอ้อร์หลางมองมันแวบหนึ่ง “ข้าว่าเจ้าอยากหาเรื่องโดนด่า”
…
“ไม่ต้องด่าแล้ว ไม่ต้องด่าแล้ว เผ่ามนุษย์เช่นเจ้านี้ฝีปากคมกริบ”
ครู่ต่อมา กระจกเทพฮุ่นเทียนรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นปลาเน่าในหมู่ของวิเศษ ตวาดว่า
“ข้าคร้านจะโต้เถียงกับเจ้า ไม่มีธุระอย่าเรียกข้า”
“ช้าก่อน!”
สวี่เอ้อร์หลางถอดถุงน้ำออก ดื่มหนึ่งอึก
“เจ้าข้าแสดงฝีมือของเจ้าให้ข้าดูหน่อย”
กระจกเทพฮุ่นเทียนคิดชั่วครู่ คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงพูดว่า
“ดูให้ดีล่ะ!”
ผิวกระจกสำริดหลอมเหลวทันที กระเพื่อมเป็นระลอกราวกับคลื่นน้ำ ระลอกคลื่นค่อยๆ ราบเรียบ แสดงให้เห็นภาพหนึ่ง
นั่นคือกระโจมทหารแห่งหนึ่ง จัดวางโต๊ะทราย แผนที่ และชุดเกราะอาวุุธ บนเตียงมีชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสัน กำลังข่มเหงผู้อ่อนวัยรูปร่างผอมบางอย่างโหดเหี้ยม
ผู้อ่อนวัยผู้นั้นหน้าซีดเผือด หน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลซึม คล้ายเจ็บปวดอย่างมาก
“เจ้าให้ข้าดูสิ่งนี้ทำอะไร”
สวี่เอ้อร์หลางรู้สึกว่าถูกล่วงเกิน พูดตะคอก
ในหมู่ขุนนางผู้ลากมากดี รวมทั้งในกองทัพ มีคนรักร่วมเพศไม่น้อย ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ แต่สวี่เอ้อร์หลางคิดว่ากระจกน่ารังเกียจบานนี้กำลังทดสอบเขา
กระจกเทพฮุ่นเทียนเกิดคำถามในใจ ไม่เข้าใจและอึดอัดใจอยู่บ้าง
“เจ้าไม่ชอบหรือ พี่ใหญ่เจ้าชอบดูบุรุษอาบน้ำมาก”
สวี่เอ้อร์หลางเกิดคำถามมากมายแวบผ่านในหัว จากนั้นมุมปากกระตุก
“พี่ใหญ่คือพี่ใหญ่ ข้าคือข้า ข้าไม่เหมือนกับเขา”
สวี่เอ้อร์หลางไม่ค่อยเชื่อคำพูดของกระจก แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรค วันหน้าเขากลับเมืองหลวง จะบอกงานอดิเรกของพี่ใหญ่ให้ท่านพ่อท่านแม่รู้ ให้พวกเขาตัดสินพี่ใหญ่ ให้พี่ใหญ่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาต่อหน้าครอบครัวเช่นเดียวกับเขาในยามนั้น
ยามนี้ สวี่เอ้อร์หลางเห็นในกระจก ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด เงยหน้าขึ้น สีหน้าเสพสุข
ชายฉกรรจ์หน้าตาหยาบกระด้าง ตาซ้ายขาวโพลน ไม่อาจมองเห็น แก้มมีรอยแผลเป็นลากยาว
จัวเฮ่าหราน!
…
ชายแดนยงโจว
เมื่อโค่วหยางโจวเหยียบเท้าเข้าเขตชิงโจว ก็ปลดปล่อยพลังปราณตามอำเภอใจ
วินาทีต่อมา กลางอากาศปรากฏคนชุดขาว รวมทั้งหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่พกดาบคาดเอว
สวี่ผิงเฟิงกับจีเสวียน
ตาเฒ่าผมสีเงินดุจน้ำค้างทั้งศีรษะ หัวเราะเยาะ
“ข้ามาแล้ว ตีข้าสิ”
จากนั้นเขาถอยหลังก้าวเดียว
“ข้ากลับมาอีกแล้ว รีบมาตีข้า”
…………………………………………………………………..