ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 769 การต่อสู้ของเทพเซียน
บทที่ 769 การต่อสู้ของเทพเซียน
Ink Stone_Fantasy
รูม่านตาแนวตั้งสีฟ้าครามของไป๋ตี้จ้องมองสวี่ชีอันอยู่นานก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ “ปรมาจารย์เต๋าสิ้นชีพไปนานแล้ว ต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ไม่สามารถเป็นเขาได้”
แน่นอนว่าต้องเป็นหัวข้อเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋าเท่านั้นที่สามารถดึงความสนใจของทายาทเทพและปีศาจได้ ทั้งยังถ่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย…สวี่ชีอันไม่อายที่ถูกเปิดโปง เขายังกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มั่นใจเกินไปแล้ว ไป๋ตี้! แผนการของเหนือมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้ ตอนที่ข้าพาพวกเจ้าออกจากแผ่นดินจิ่วโจว หน่วยที่เกี่ยวข้องก็ถูกฝังไปแล้ว”
ไป๋ตี้เงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังรู้ หากไม่มั่นใจว่าเจ้าไม่ใช่เขา ข้าก็คงถูกเจ้าหลอกได้จริงๆ”
จู่ๆ ท่ามกลางกลุ่มเมฆสีดำครึ้มที่โหมซัดสาดก็มีสายฟ้าฟาดลงมาและเอียงเอนไปทางลั่วอวี้เหิง
ชะตาโอสถสุวรรณเริ่มขึ้นแล้ว
แก่นปราณอันเจิดจ้าพุ่งออกมาจากศีรษะของลั่วอวี้เหิงและส่องแสงไปทั่วทุกทิศทาง แก่นปราณอมตะนี้เริ่มเผชิญกับสายฟ้า แบกรับการทดสอบและล้างบาป
แสงพุทธะเจิดจรัสขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก ร่างของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เกาะตัวกันอยู่บนท้องฟ้าและมองดูไป๋ตี้จากระยะไกล
“ลงมือเลย อย่าให้เขาถ่วงเวลา”
สายฟ้ากะพริบวูบวาบอยู่ระหว่างเขาของไป๋ตี้
สวี่ชีอันตะโกนว่า “สิ่งที่ข้ารู้มันมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการออก ข้ายังรู้ว่าเหนือมนุษย์วางแผนมุ่งร้ายผู้พิทักษ์ประตู แต่เจ้าต้องไม่รู้แน่นอนว่าปรมาจารย์เต๋าลงมือไปถึงขั้นใดแล้ว”
สายไฟที่เกาะตัวอยู่ที่เขาไป๋ตี้คลายลงอย่างรวดเร็ว
มันรู้ว่าสวี่ชีอันกำลังถ่วงเวลาเพื่อเปิดโอกาสให้ลั่วอวี้เหิงผ่านพ้นชะตาโอสถสุวรรณ
ชะตากรรมลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน หนึ่งคือชะตาโอสถสุวรรณ อีกหนึ่งคือชะตาสี่สภาพ
ทั้งสองขั้นตอนไม่ใช่สิ่งที่ต่อเนื่องกัน หลังจากผ่านพ้นชะตาโอสถสุวรรณแล้วก็จะมีช่วงเวลาพักสั้นๆ ให้กับผู้บำเพ็ญธรรมในการทำให้ร่างฝืนชะตากรรมมีเสถียรภาพ
แต่ข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋านั้นค่อนข้างน่าดึงดูดใจสำหรับไป๋ตี้ มีเรื่องราวที่คลุมเครือมากมายซึ่งไม่มีคำอธิบายมาจนถึงตอนนี้
‘คงเสียเวลาไม่นานกระมัง ลองฟังดูก่อนก็ดี ตราบใดที่ไอ้เด็กนี่ปั้นเรื่องราวแม้แต่คำเดียว ข้าก็จะลงมือกับเขาทันที’…มันคิดในใจเช่นนี้ก่อนจะค่อยๆชะลอความเร็วในการก่อตัวของลูกระเบิดสายฟ้าลง
มันรู้ความลับในยุคบรรพกาลมากมาย จึงสามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดายว่าสวี่ชีอันกำลังปั้นเรื่องหรือเขารู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับปรมาจารย์จริงๆ
สวี่ชีอันถามหยั่งเชิงมันอีกครั้ง “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับวิถีแห่งควันธูปหรือไม่?”
“เคยได้ยินเพียงเล็กน้อย นั่นคือระบบบำเพ็ญที่ปรากฏขึ้นหลังจากสิ้นสุดยุคเทพมาร แต่ในยุคแรกๆ ของการกำเนิดวิถีแห่งควันธูป ทายาทเทพมารถูกปรมาจารย์เต๋าไล่ออกจากจิ่วโจว”
ไป๋ตี้กล่าว
สวี่ชีอัน “วิถีแห่งควันธูปคือวิธีการบำเพ็ญ มันคือการกลั่นแก่นแท้แห่งฟ้าดินให้กลายเป็นผนึกเทพ จากนั้นก็ก่อสร้างวิหารเพื่อรวบรวมโชคชะตาด้วยควันธูป ด้วยวิธีนี้ ผู้บำเพ็ญธรรมที่ยึดถือผนึกเทพจะสามารถเป็นผู้ไร้พ่ายในเขตอิทธิพลของตนเอง”
“เป็นอย่างไร คุ้นมากใช่หรือไม่?”
แสงในดวงตาของไป๋ตี้สว่างวาบและพูดโพล่งออกมาว่า “ระบบโหร!”
เขาจำบทสนทนากับซ่าหลุนอากู่ในวันนั้นได้ทันที พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นรู้สึกสับสนและงุนงงอย่างมากกับเรื่องการเริ่มก่อตั้งระบบโหรของลูกศิษย์ตนเอง
ความจริงปรากฏออกมาแล้ว!
ระบบโหรและวิถีแห่งควันธูปในยุคบรรพกาลมีความเกี่ยวข้องกัน ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งได้รับการสืบทอดมาจากวิถีแห่งควันธูป ด้วยพื้นฐานนี้ เขาจึงสามารถก่อตั้งระบบโหรได้
แววตาประหลาดใจฉายผ่านในดวงตาของไป๋ตี้ เมื่อข้อสงสัยถูกทำให้กระจ่าง มันก็กระตือรือร้นมากขึ้นและถามว่า “แต่นี่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋าอย่างไร?”
ในขณะที่กล่าวก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่แก่นปราณอย่างรุนแรงอีกครั้ง
รอยยิ้มที่มุมปากของสวี่ชีอันกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาตอบคำถามของไป๋ตี้ว่า “หากข้าบอกเจ้าว่าปรมาจารย์เต๋าทำลายวิถีแห่งควันธูปล่ะ! หากข้าบอกเจ้าว่าปรมาจารย์เต๋ารวบรวมผนึกเทพทั้งหมด ใช้ร่างตนเองเป็นวัตถุในการกลั่นของวิเศษชิ้นหนึ่งเรียกว่า ‘หนังสือปฐพี’ ล่ะ”
ตอบกลับ
ไป๋ตี้แสดงท่าทีตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของมันแข็งค้างและไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานานราวกับกำลังพยายามย่อยข้อมูลที่สวี่ชีอันให้มา
หลังจากนั้น ไป๋ตี้ก็ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองกึ่งหนึ่งและถามคำถามกึ่งหนึ่ง
“วิถีแห่งควันธูปมีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้าประตู ปรมาจารย์เต๋ามองเห็นความลับนี้ ดังนั้นเขาจึงทำลายวิถีแห่งควันธูปและครอบครองผนึกเทพไว้กับตน ปรมาจารย์เต๋าเดาไม่ผิด เขาคิดถูกแล้ว เพราะตอนนี้หลังจากที่ผ่านไปหลายปี ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันผู้เป็นขั้นหนึ่งของระบบโหรก็เป็นผู้พิทักษ์ประตูจริงๆ แต่ทำไมปรมาจารย์เต๋าถึงพ่ายแพ้เล่า?”
หากตอนนั้นปรมาจารย์เต๋าประสบความสำเร็จก็จะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในภายหลัง ระบบโหรก็จะไม่ปรากฏขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังทำให้ไป๋ตี้ได้ไขข้อสงสัยของตนเองอีกครั้ง นั่นก็คือเหตุผลที่ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันเป็นผู้พิทักษ์ประตู
ระบบโหรไม่ได้ปรากฏขึ้นโดยไร้เหตุผล ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันกลายเป็นผู้พิทักษ์ประตู สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถสืบย้อนไปถึงต้นตอได้
“ข้าบอกเหตุผลเจ้าได้ แต่เจ้าต้องเอาของอะไรมาแลกเปลี่ยน?” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“การที่ข้าฟังเจ้าพูดก็นับว่าเป็นการตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว” ไป๋ตี้กล่าวเสียงเบา
คำพูดนี้ฟังดูเย่อหยิ่งและจองหองราวกับผู้แข็งแกร่งกำลังเวทนาสงสารผู้ที่อ่อนแอกว่าและให้ทานด้วยการให้เวลา
สวี่ชีอันข้ามหัวข้อนี้ไปทันทีและถามหยั่งเชิงอีกครั้ง
“ข้าพูดเกี่ยวกับร่างอวตารของนิกายปฐพีจบแล้ว ตอนนี้มาพูดถึงนิกายสวรรค์กัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมร่างอวตารนิกายสวรรค์จึงหายไปอย่างแปลกประหลาด?”
สิ่งที่เขากล่าวกับไป๋ตี้นั้น นอกจากจะซื้อเวลาให้ลั่วอวี้เหิงแล้ว เขายังคิดที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากไป๋ตี้อีกด้วย
ทายาทเทพมารท่านนี้ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงตอนนี้ มันย่อมรู้ความลับมากมายและคงไม่บอกคนอื่นฟรีๆ เป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นศัตรู แต่หากศัตรูคนนี้รู้ความลับในบรรพกาลมากมายเช่นเดียวกัน และการ ‘รับรู้’ ที่สะสมมาอยู่ในระดับเดียวกันล่ะ?
เช่นนั้นไป๋ตี้ก็จะต้องบอกความลับในรูปแบบของการสนทนา
สวี่ชีอันกล่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวิถีแห่งควันธูปและระบบโหร รวมทั้งพฤติกรรมการกลั่นหนังสือปฐพีของร่างอวตารปรมาจารย์เต๋าอย่างตรงไปตรงมาก็เพื่อสร้างบุคลิกเช่นนี้ให้กับตนเอง
ดวงตาของไป๋ตี้เต็มไปด้วยความเฉยเมย มันกล่าวด้วยอารมณ์นิ่งเฉยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ เรื่องนี้ข้ารู้นานแล้ว ร่างอวตารของนิกายสวรรค์ตนนั้นหลอมรวมกับวิถีแห่งฟ้านานแล้ว ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์แต่ละยุคสมัยล้วนหายไปอย่างลึกลับ นั่นเพราะสิ่งที่พวกเขาบำเพ็ญคือ ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ชื่อนี้ก็บ่งบอกความหมายของมันอยู่แล้ว เมื่อบำเพ็ญจนถึงระดับสูงสุด เขตแดนระหว่างมนุษย์และสวรรค์ก็จะไร้ซึ่งขีดจำกัด มนุษย์ก็คือสวรรค์ สวรรค์ก็คือมนุษย์”
แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ตลอดไป ไม่สามารถกลายเป็นสวรรค์ได้ ดังนั้นจุดจบเพียงอย่างเดียวคือเปลี่ยนไปเข้าร่วมวิถีแห่งฟ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎ
โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…ความลับนี้ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็คลายความสับสนของเขาที่มีมาอย่างยาวนาน
ที่แท้ ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์ก็ไม่ใช่แค่คำพูด แต่สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่งได้จริงๆ นี่คือความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับขององค์เทพในแต่ละยุคที่ผ่านมา
ร่างอวตารนิกายสวรรค์ของปรมาจารย์เต๋านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎนานแล้ว เท่ากับเขา ‘ถึงแก่ความตาย’ แล้ว
ดูเหมือนข้าจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งสองนิกายถึงได้มี ‘ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์’ หากองค์เทพไม่ได้อธิบายความจริงกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์แล้วก็หายไปอย่างลึกลับ ตามข้อสรุปนี้ การอธิบายความจริงก็คงไม่หายไป
ใจความสำคัญก็คือการทิ้งความปรารถนาไว้ในใจขององค์เทพ ความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ และนำสิ่งนี้มาต่อต้านไม่ให้ตนเองหลอมรวมกับกฎ
เพราะ ‘สวรรค์’ ไร้ซึ่งอารมณ์ทั้งเจ็ด แต่เพราะมีความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ มีความหมกมุ่น ถึงมีอารมณ์ความรู้สึก
น่าเศร้าจริงๆ ในขณะแสวงหาความเป็นเอกภาพของสวรรค์และมนุษย์ก็ต้องเข้าใกล้ ‘มนุษย์’ มากขึ้น มิเช่นนั้นก็จะถูกหลอมรวมกับวิถีแห่งฟ้า นิกายเต๋าทั้งสามนี้เป็นหลุมพรางอย่างที่คิดไว้…สวี่ชีอันทอดถอนใจเงียบๆ
นอกจากนี้ หากเป็นเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะอาจเป็นเพียงแง่มุมหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งคือทั้งสามนิกาย ‘นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี นิกายมนุษย์’ รวมเป็นหนึ่งและมีความเชื่อมโยงที่อธิบายไม่ได้ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์เท่านั้นที่สามารถช่วยรักษาสภาพจิตใจขององค์เทพได้?
‘เปรี้ยง!’
ท้องฟ้ากลายเป็นสีขาวโพลนทั้งผืน สายฟ้าหนาฟาดลงมาบนแก่นปราณที่ศีรษะของลั่วอวี้เหิง
นี่คือวายุพิโรธสายที่สี่แล้ว ลั่วอวี้เหิงยังคงสงบนิ่ง วายุพิโรธสายที่สี่นี้ทำอะไรนางไม่ได้
ในอีกด้านหนึ่ง พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ไม่ให้โอกาสสวี่ชีอันถ่วงเวลาอีกต่อไป ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ และ ‘ร่างธรรมเทพอารักษ์’ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะ
ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีหลับตาพนมมืออย่างสงบโดยไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ
ร่างธรรมเทพอารักษ์เป็นกำลังโจมตีหลัก แขนสิบสองคู่กางออก รวบรวมพลังปราณและพยายามหาช่องว่างในการโจมตีลั่วอวี้เหิง
เจียหลัวซู่ไม่ได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไปในเขตทัณฑ์สวรรค์ ถึงแม้เขาจะเป็นขั้นหนึ่งนานแล้วและไม่ได้หวั่นเกรงทัณฑ์สวรรค์ แต่ไม่หวั่นเกรงก็ไม่ได้หมายความว่าจะเพิกเฉยต่อทัณฑ์สวรรค์ได้
ทัณฑ์สวรรค์เป็นเหมือนศัตรูผู้แข็งแกร่ง ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องแส่หาเรื่อง
เวลานี้เอง ร่างสามร่างก็ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าเจียหลัวซู่ ผู้นำมีร่างสีดำสนิททั้งร่างราวกับถ่าน ที่ด้านหลังศีรษะมีวงแหวนเพลิงที่กำลังลุกโชน
ร่างของเขาสูงพอๆ กับเจียหลัวซู่ และยังเป็นรูปลักษณ์ของชายแกร่งที่บึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเช่นเดียวกัน
ทางด้านซ้ายคือนักพรตชราที่มีผมสีขาวและใบหน้าสีแดงฉาน ร่างผอมในชุดที่มีแขนเสื้อพลิ้ว
ทางด้านขวาคือปัญญาชนที่สวมเครื่องแบบขงจื๊อและมีผมสีขาวเช่นเดียวกัน บนศีรษะสวมมงกุฎขงจื๊อและถือดาบสลักที่ดูโบราณอยู่ในมือ
ร่างธรรมเทพอารักษ์เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและการสังหาร เป็นวิธีการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในสำนักพุทธ นอกจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ
ในเวลาปกติ ถึงแม้อาซูหลัวซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นสอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับร่างธรรมที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ก็ยังถูกทรมานไม่มากก็น้อยเช่นกัน
ดังนั้น เขาจึงบุกเบิกสายเลือดเผ่าอสูรไว้ล่วงหน้า เผ่าอสูรเป็นเผ่าที่ชอบทำสงคราม ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเพียงใด เจตนาในการทำสงครามก็จะยิ่งสูงขึ้นเพียงนั้น และจิตใต้สำนึกโดยธรรมชาติของพวกเขาก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
อาซูหลัวยกมือซ้ายไปที่ด้านหลังศีรษะและคว้าวงแหวนเพลิงมาไว้ในมือ
จากนั้นก็ยกมือขวาไปที่ด้านหลังศีรษะเช่นกัน และคว้าวงแสงหลากสีมาไว้ในมือ
เป็นผลให้มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ที่มือซ้าย และแสงสว่างเป็นประกายอยู่ที่มือขวา
เขาคำรามเสียงต่ำพลางเขย่าแขนทั้งสองข้าง เปลวเพลิงและแสงเจิดจรัสพุ่งขึ้นไปตามลำแขนก่อนจะไปรวมตัวกันที่หน้าอก
ใช้ร่างสงครามเผ่าอสูรเป็นเสาหลัก ถือเอาพลังเทพวชิระและพลังของระดับเต๋าแยกขันธ์
เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาซูหลัวซึ่งสามารถระเบิดออกได้ในตอนนี้
ราวกับเขาเป็นวีรบุรุษที่บุกเดี่ยวอย่างอาจหาญและกำลังเผชิญอยู่กับอาซูหลัวที่ทรงพลังที่สุดในสำนักพุทธ
ทั้งสองปะทะกันดัง ‘โครม’ ฝ่ามือทั้งสี่ปะทะกัน เอวโค้งงอลงราวกับมวยปล้ำ
ทะเลคลื่นที่เกิดจากการปะทะกันกลายเป็นพายุเฮอริเคนที่กวาดไปทั่วทุกทิศทาง
สีหน้าของเจียหลัวซู่เต็มไปด้วยความเค่งขรึมและเปิดปากพูดเสียงเบา
กล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างของเขาพองตัวขึ้นและค่อยๆ งอฝ่ามือของอาซูหลัวทีละน้อยๆ
แขนทั้งสิบสองข้างที่ด้านหลังของร่างธรรมเทพอารักษ์ค่อยๆ หุบเข้าหากัน ราวกับเขี้ยวของต้นกาบหอยแครงที่กำลังกลืนกินอาซูหลัว
เส้นเลือดสีน้ำเงินที่หน้าผากปูดโปนออกมา อาซูหลัวได้ยินเสียงกระดูกนิ้วของตนเองแตกร้าว เห็นแขนของร่างธรรมพับไปทุกทิศทางจากหางตา
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือพลังปราณ เจียหลัวซู่ ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขามาก
แต่ไม่เป็นไร เขายังมีตัวช่วยอีกสองท่าน
จ้าวโส่วงอนิ้วสะบัดมงกุฎขงจื๊อเบาๆ และกล่าวเสียงทุ้มว่า “หนึ่งคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่าน!”
ลำแสงอันเจิดจรัสพุ่งออกมาและรวมเข้ากับร่างของอาซูหลัว
ภายในพริบตาเดียว ความมั่นใจของเขาก็เพิ่งสูงขึ้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พุ่งทะยานและเชื่อมั่นว่าตนเองรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สามารถสกัดศัตรูได้โดยลำพัง
นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา พลังปราณ ร่างกาย ความแข็งแกร่งของเขาล้วนเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ฝ่ามือที่ถูกงอฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย แขนร่างธรรมสิบสองคู่ที่อยู่รอบตัวค่อยๆ รวมตัวกันราวกับกระสุนปืนขัดลำกล้องที่ยากจะรวมเข้าด้วยกัน
เจียหลัวซู่สบถด้วยความเย็นชา วงแหวนเพลิงที่อยู่ด้านหลังศีรษะระเบิดดัง ‘ตูม’ และพุ่งออกมาเป็นเปลวเพลิง
ร่างธรรมเทพอารักษ์มีแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่
‘พรวด!’
แขนของอาซูหลัวถูกฉีกออกอย่างกะทันหัน
แขนสิบสองคู่พับรวมเข้าด้วยกัน พลังสิบสองวิถีใกล้จะเอียนเองไปที่ร่างของอาซูหลัว
ไม่ไกลนัก นักบวชเต๋าจินเหลียนที่กำลังสวดพึมพำบางอย่างลืมตาขึ้น ร่างของเจียหลัวซู่และแสงหลากสีสะท้อนผ่านดวงตาทั้งสองข้าง
‘ตูม!’
ลูกระเบิดอัสนีวารีชนเข้ากับร่างธรรมเทพอารักษ์อย่างแรง ประกายไฟฟ้ากระแทกลงบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล แสงสีทองแตกกระเจิดกระเจิง
ร่างธรรมเทพอารักษ์ไถลไปด้านหลังอย่างแรง แม้แต่เจียหลัวซู่ก็ยังเซถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้
ไป๋ตี้เป็นผู้ปล่อยลูกระเบิดอัสนีวารี แต่เป้าหมายในการโจมตีคือสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเบี่ยงตัวหลบลูกระเบิดอัสนีวารี แต่ด้านหลังเขาบังเอิญเป็นเจียหลัวซู่พอดี ดังนั้นเจียหลัวซู่จึงได้รับความเสียหายโดยไม่มีสัญญาณมาก่อน
นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้น
นักบวชเต๋าจินเหลียนทำให้ดวงของเจียหลัวซู่อ่อนแอลง ทำให้เขาตกอยู่ในความโชคร้ายชั่วคราว
………………………………………………