ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 771 ยิ่งรบยิ่งห้าวหาญ
บทที่ 771 ยิ่งรบยิ่งห้าวหาญ
Ink Stone_Fantasy
ไป๋ตี้มีเกราะเกล็ดปกคลุมอยู่ทั่วตัว แข็งแกร่งยากที่จะเจาะทะลวงได้ สายเลือดเทพมารที่ได้รับพรสวรรค์เป็นพิเศษนี้ไม่อาจดูเบาได้ สวี่ชีอันไม่มีความมั่นใจในการถอนเกล็ด แต่เขาที่เสียดแทงจนเกิดเสียงดังติ๊งๆ ยังคงมีความเชื่อมั่นอยู่มาก
ประการแรกคือส่วนท้องไม่มีเกล็ด ค่อนข้างจะเปราะบาง และอวัยวะสืบพันธุ์เป็นส่วนที่เปราะบางสุดของสิ่งมีชีวิต คิดว่าเทพมารก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน
สวี่ชีอันใช้ ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ กำบังกลิ่นอายของตนเอง ไป๋ตี้ไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์ ไม่มีลางสังหรณ์วิกฤต เมื่อไป๋ตี้รับรู้ว่าสวี่ชีอันอยู่ใต้ตะโพกของตนเองนั้น กระบี่คุ้มเมืองก็ระเบิดแสงกระบี่สีเหลืองอร่ามออกมา และแทงไปที่อวัยวะสืบพันธุ์ของไป๋ตี้ด้วยอานุภาพที่กะจะทำลายให้พินาศย่อยยับ
ไป๋ตี้ตั้งตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน
ขณะนี้ สวี่ชีอันที่กำลังแทงกระบี่คุ้มเมืองอยู่มองเห็นท้องของไป๋ตี้พองออกมาฉับพลัน อวัยวะสืบพันธุ์บวมขึ้นมาทันที
ลางสังหรณ์วิกฤตของจอมยุทธ์โหมซัดสาดเข้ามา ในสมองของสวี่ชีอันผุดภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง ฉี่ของไป๋ตี้ฉีดทะลุศีรษะของเขา
เป็นถึงทายาทเทพมารที่เกิดมาพร้อมกับสามารถในการควบคุมวารีและอัสนี ไป๋ตี้อยากฉี่ก็สามารถฉี่ได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่คุ้ม…หลังจากสวี่ชีอันชั่งน้ำหนักดูผลลัพธ์ที่กระบี่แทงออกไปแล้ว ก็ตัดสินใจละทิ้งอย่างไม่ลังเล เขาพลิกตัวกลิ้งออกจากใต้ตะโพกของไป๋ตี้
ครู่ต่อมา เสาวารีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งพุ่งออกจากใต้ตะโพกของไป๋ตี้ เสาวารีเจาะลึกลงพื้นราวกับตัดเต้าหู้ ระดับความลึกนั้นไม่อาจคาดเดาได้
ไม่ต้องบอกก็สามารถจินตนาการได้ หากฟองฉี่นี้ฉีดใส่หน้า สมองของสวี่ชีอันคงระเบิดในทันที
ร่างของไป๋ตี้แข็งทื่อในบัดดล พอลมพัดมาระลอกหนึ่ง ร่างก็ค่อยๆ สลายไป แท้จริงแล้วสิ่งนี้คือภาพลวงตา
ร่างจริงของมันลอบโจมตีมาด้านหน้าสวี่ชีอันด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเหมือนคน กีบทั้งคู่ฟาดออกไปอย่างโหดเหี้ยม
เร็วมาก…สวี่ชีอันลุกขึ้นยืน ลมแรงปะทะราวกับถูกใบมีดกรีด เขาตั้งกระบี่ขวางไว้ตรงหน้าอก มือซ้ายค้ำยันตัวกระบี่ไว้ และทำการรับมือ!
‘เต๊ง!’
แต่สวี่ชีอันไม่สามารถป้องกันได้ พลังปราณระเบิดตู้ม เขาไถลออกไปด้านหลังอย่างรุนแรงราวกับขบวนรถไฟที่ติดตั้งใบพัด
รองเท้าหนังวัวที่สวี่หลิงเยวี่ยเย็บให้แตกกระจายตามเสียงระเบิด
ระหว่างที่ลื่นถอยออกไปอย่างควบคุมไม่ได้นั้น สมองของสวี่ชีอันก็ผุดภาพหนึ่งขึ้นมาก ไป๋ตี้ปรากฏตัวบนเส้นทางที่ลื่นถอย มันอ้าปากกว้างและกัดศีรษะของเขาจากด้านหลังจนขาด
สวี่ชีอันไม่ได้ตื่นตระหนก เขาปล่อยกระบี่คุ้มเมือง แขนทั้งสองอ้าออกแล้ววาดวงกลมขนาดใหญ่ พลังแห่งเวไนยสัตว์รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งและเพิ่มพลังให้กับร่าง ขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็พองตัวเป็นมนุษย์กล้ามเนื้อที่มีขนาดสองจั้งจนเสื้อผ้าฉีกขาด
เจดีย์พุทธะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ พลังคุมขังกระเพื่อมไปปราบปรามศัตรูทั้งหมดที่อยู่บริเวณรอบๆ
‘เต๊ง!’
เขาหมุนตัวผลักกำปั้นทั้งสองไปปะทะกับไป๋ตี้ที่กระโจนงับมาจากด้านหลังพอดี
หนึ่งมนุษย์หนึ่งอสูรปะทะกันจนเกิดอานุภาพราวกับทลายภูเขาได้ พื้นดินในรอบรัศมีหลายร้อยจั้งยุบลงไปทันที ฝุ่นนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา แต่ครู่ต่อมาก็ถูกพลังปราณโหมกระหน่ำพัดสลายไป
แขนทั้งสองของสวี่ชีอันแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะหมดความรู้สึกแต่แรกแล้ว
เขาถูกเขวี้ยงออกไปราวกับเรือลำเล็กท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาด พลังสลายแรงไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลนี้ได้ การถูก ‘สะเทือนกระเด็น’ โดยไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้ มันอันตรายถึงชีวิต
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้โอกาสนี้ประชิดตัวโจมตีเขาจนพิการได้
ไป๋ตี้ย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไป พลังคุมขังของเจดีย์พุทธะแค่ทำให้มันชะงักงันเล็กน้อย ไม่อาจกำราบได้ ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาเองก็ไม่อาจกำราบมันได้เช่นกัน
เขากลายร่างเป็นวายุพุ่งใส่สวี่ชีอันที่กระเด็นออกไป
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากสวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองธรรมดา คงตายอย่างน่าอนาถ ดูเหมือนไม่มีโอกาสพลิกเกมเสียด้วยซ้ำ
ในระบบที่ขอบเขตใกล้เคียงกัน ขั้นหนึ่งกับขั้นสองไม่อาจล้ำขอบเขตกันได้
แต่สวี่ชีอันไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นสองธรรมดา เขาควบคุมระบบอีกระบบอยู่ ซึ่งก็คือไสยศาสตร์กู่!
ร่างของสวี่ชีอัน ‘จำแลงเงามืด’ อย่างรวดเร็ว อาศัยวิชากระโดดสู่เงาหลบหลีกการไล่สังหารของไป๋ตี้
เขารักษาลักษณะท่าทีที่ถูกเขวี้ยงกระเด็นไว้ เงาร่างปรากฏตัวในรอยแยกบนพื้น ปรากฏตัวในเงามืดของหินยักษ์ ปรากฏตัวในเงาต้นไม้ ปรากฏตัวในเงาของสรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ จากนั้นก็หายไป
เขาแสดงวิชากระโดดสู่เงาอย่างไม่ขาดสาย อาศัยวิธีการนี้หาทางหลีกเลี่ยงการไล่สังหารของไป๋ตี้
‘เคราะห์อัสนียี่สิบเจ็ดสาย…’ ไป๋ตี้กวาดสายตาดูลั่วอวี้เหิงทีหนึ่งก่อนละสายตากลับมา ภายในลูกตาสีครามเข้มสะท้อนเงาร่างขาดๆ หายๆ ของสวี่ชีอัน มันรู้ถึงความแปลกประหลาดของไสยศาสตร์กู่ดี จึงเลิกไล่สังหารทันที เพราะไม่อยากทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์
‘เปรี๊ยะๆ!’
เขาที่อยู่บนหัวไป๋ตี้มีประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
‘เปร๊ยะๆ เปรี๊ยะๆ…’ ประกายสายฟ้ากระโดดไปมากลางอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ มันครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ ทำให้ฟ้าดินทางด้านนี้กลายเป็นขอบเขตของอสนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงๆ
เคราะห์สวรรค์ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังอสนีบาตที่มีมากกว่าปกติ สำหรับไป๋ตี้แล้วสามารถพูดได้ว่าเป็นเสือติดปีกเลยทีเดียว
แน่นอน ข้อเสียก็คือเจียหลัวซู่ไม่กล้าพุ่งเป้าไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนอีก
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ นักพรตเฒ่าจากนิกายปฐพีผู้นี้สะสมพลังบุญกุศลมหาศาล หากสังหารคนเช่นนี้จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ และสถานที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งเคราะห์ พลังของทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เสียเปรียบไปแล้วครั้งหนึ่ง
กระแสสายฟ้าปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า กลายเป็นตาข่ายอัสนี ทำให้สวี่ชีอันที่กระโดดอยู่ในเงามืดหยุดชะงักและตัวแข็งทื่อ
ไป๋ตี้คว้าโอกาสนี้อ้าปากพ่นเสาวารีสีดำฉีดทะลุหน้าอกสวี่ชีอัน
‘ตุบ ตุบ ตุบ!’ ประเดี๋ยวเดียวมันก็วิ่งอย่างบ้าคลั่ง และงับคอสวี่ชีอันทันที ‘ฉับ!’ คอของเขาถูกกัดขาด ปากขนาดใหญ่เริ่มทำการกัดแทะ พริบตาเดียวร่างส่วนบนของชายหนุ่มผู้นี้ก็ถูกเคี้ยวจนละเอียดและกลืนลงไป
“สวี่ชีอัน!”
ลั่วอวี้เหิงที่อยู่ภายใต้เคราะห์อัสนีส่งเสียงร้องแหลมเศร้ากำสรดออกมาทันที
‘ตู้ม!’
จากนั้นแท่งอัสนีขนาดใหญ่เท่าอ่างน้ำก็กลืนนางจนมิด ทำให้นางจำเป็นต้องต่อต้านด้วยพลังทั้งหมด
เจียหลัวซู่ที่อยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงร้องแหลมของลั่วอวี้เหิงก็หยุดโจมตีแล้วมองไปทางไป๋ตี้
แต่พอมองไปก็ต้องหดรูม่านตาเล็กน้อยก่อนตะโกนออกมา
“ระวัง!”
สิ่งที่อยู่ด้านหลังของไป๋ตี้คือสวี่ชีอันที่มีสภาพสมบูรณ์ เขาจับกระบี่คุ้มเมืองไว้แน่น ทลายพลังปราณทั้งหมด ระงับอารมณ์ทั้งหมด พลังแห่งเวไนยสัตว์สถิตอยู่บนกระบี่ทองเหลือง
เขากล่าวเสียงทุ้ม
“ความปรารถนาที่สอง กระบี่นี้มีอานุภาพราวกับหักไม้ไผ่!”
แสงสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นในจุดตันเถียน มันเกาะตัวเป็นกระบี่คุ้มเมืองและเพิ่มพลังชุดหนึ่งให้กับหยกสลาย
ทานพละระดับเต๋าที่อาซูหลัวคว้ามาอยู่บนตัวเขา และอาศัยโอกาสนี้แลกเปลี่ยนกับดาบไท่ผิง
ก่อนเปิดศึก ระดับเหนือมนุษย์ทางฝั่งต้าฟ่งเคยชุมนุมกันครั้งหนึ่ง และทำการวิเคราะห์กำลังรบของทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด กำหนดยุทธวิธีการรบไว้หลายชุด
ละเอียดถึงขั้นที่ว่าใช้ของวิเศษอะไรตอนไหน แสดงวิชาอะไรเมื่อไร จะสร้างความเสียหายให้กับเจียหลัวซู่และไป๋ตี้ได้อย่างไร จะถูกพวกเขาป้องกันอย่างไร…นั่นเป็นการอนุมานที่พอจะเรียกได้ว่าทำให้สมองระเบิดได้
‘ศึกพิทักษ์’ ในรอบนี้ ผู้ที่เสี่ยงอันตรายสุดคือสวี่ชีอัน เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งผู้หนึ่ง
ที่เขาขาดแคลนไม่ใช่วิธีการปล่อยพลัง แต่เป็นวิชาควบคุมศัตรู (วิธีการที่แพรวพราว) ดังนั้นดาบไท่ผิงกลับคืนสู่อาซูหลัว อัฐิธาตุกลับคืนสู่สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันในเมื่อครู่เป็นร่างปลอม เป็นร่างอวตารที่ทานพละระดับเต๋าสร้างขึ้นมา เป็นร่างอวตารที่ดูเหมือนจริง
ทานพละระดับเต๋าสามารถคัดลอกบุคคลได้อย่างสมบูรณ์แบบ สวี่ชีอันแค่ท่องในใจเงียบๆ หนึ่งประโยค
‘ความปรารถนาแรก ต้องการผู้ช่วยที่เหมือนกับข้า’
นอกจากพลังรบจริงจะด้อยกว่าร่างจริงแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่มีอะไรแตกต่างเลย
วิชากระโดดสู่เงาในเมื่อครู่ สวี่ชีอันเรียกร่างปลอมร่างนี้ออกมา แล้วใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนกำบังกลิ่นอายของตนเองไว้ อาศัยวิชากระโดดสู่เงามาปรากฏตัวด้านหลังไป๋ตี้
ตอนที่ไป๋ตี้เคี้ยวร่างปลอมอยู่นั้น สวี่ชีอันก็สะสมพลังสำเร็จ!
หยกสลาย!
แสงกระบี่สีเหลืองอร่ามเปล่งประกายผ่านไป
ภายในลูกตาสีครามเข้มของไป๋ตี้เกิดภาพสะท้อนของแสงกระบี่สีเหลืองอร่าม มันรู้ข่าวกรองเกี่ยวกับสวี่ชีอันจากปากของเจียหลัวซู่กับสวี่ผิงเฟิงมาอย่างละเอียดแล้ว
รู้ว่าการโจมตีของเขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ไม่อาจใช้อาวุธเวทมนตร์ต้านทานได้ ทำได้แค่ใช้พลังของตนเองฝืนต้านทานเท่านั้น
เขาของไป๋ตี้เริ่มรวบรวมจิตวารีและสายฟ้า เขาด้านซ้ายถูกย้อมเป็นสีดำสนิท เขาด้านขวากลายเป็นสีขาวโพลน
เท้าคู่หน้าของมันบิดเบี้ยวเล็กน้อย ร่างหมอบลงต่ำ หลังจากสะสมพลังในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างโหดเหี้ยม ราวกับละมั่งพุ่งชนกัน
ไป๋ตี้กลายเป็นแสงสีขาวบุกโจมตีสวี่ชีอัน มันต้องการทำลายกระบวนท่าสังหารของฝ่ายตรงข้าม ทำลายความมั่นใจของฝ่ายตรงข้ามให้ถึงที่สุด
ทำให้มนุษย์ผู้นี้รู้ว่า ขั้นหนึ่งกับขั้นสองแตกต่างกันแค่ไหน
‘เต๊ง!’
ประกายไฟเจิดจ้าระเบิดตัวท่ามกลางเขาทั้งสองข้าง แสงกระบี่สีทองอร่ามปะทุขึ้นมา
แสงกระบี่ไม่ได้เปล่งประกายผ่านไป แต่ปะทะใส่เขาทั้งคู่อย่างโหดเหี้ยม ภายใต้การทิ่มแทงของแสงกระบี่ ได้ทิ้งเลือดสดๆ สีแดงไว้ในดวงตาสีครามเข้มทั้งคู่ของไป๋ตี้ เกล็ดบนหลังเปิดและปิด หัวมังกรสั่นสะท้านเล็กน้อย มันทำการต่อสู้อย่างสุดกำลัง
‘ฉับ!’
แสงกระบี่ตัดเขาจนขาด พลังในตัวก็เหือดแห้งตามไปด้วย
ไป๋ตี้คำรามด้วยความเจ็บปวด แต่ขณะเดียวกันมันก็บุกโจมตีมาตรงหน้าสวี่ชีอันแล้ว และเขาที่หักแต่แหลมคมก็แทงหน้าอกสวี่ชีอันอย่างโหดเหี้ยม
‘เปรี๊ยะ!’
กระดูกของสวี่ชีอันแตกร้าว หยกสลายส่งคืนความเสียหาย
แสงสายฟ้ากลุ่มนี้เจิดจ้าและมโหฬารเช่นนี้ ดูเหมือนจะกำจัดพลังปราณของจอมยุทธ์ขั้นสองผู้หนึ่งให้สูญสิ้นได้ในทีเดียว
ท่ามกลางสายฟ้า สวี่ชีอันคำรามเสียงแหลม
ในเวลานั้น เกล็ดบนผิวของไป๋ตี้ที่โจมตีอย่างบ้าคลั่งก็ระเบิดอย่างรุนแรง กระแสสายฟ้าแต่ละสายพุ่งออกจากร่าง และระเบิดเป็นรอยไหม้บนร่างสีขาวโพลนของมัน
หยกสลาย!
ความเสียหายที่สะท้อนกลับขัดจังหวะการโจมตีของไป๋ตี้ ทำให้สวี่ชีอันมีโอกาสหายใจเอาชนะได้ เขาคว้าโอกาสนี้ปล่อยพลังคุมขังของเจดีย์พุทธะ จากนั้นก็ใช้หยกสลายช่วยควบคุม
ยังไม่จบเท่านี้ ร่างธรรมกายาทองที่มีรูปร่างอวบอ้วนและใบหน้าอิ่มเอิบตนหนึ่งปรากฏตัวเหนือเจดีย์พุทธะ แสงทรงกลดแวววาวหมุนวนอยู่หลังศีรษะ
สติปัญญาของไป๋ตี้ลดลงก็เพราะเหตุนี้ ราวกับสัตว์ป่าที่โง่เง่าเขลาเบาปัญญา
กระบวนการนี้กินเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่เมื่อมีหยกสลายและพลังคุมขังมาช่วย ก็สามารถช่วงชิงเวลาในการสลัดตัวของสวี่ชีอันได้สำเร็จ
ร่างของเขากลายเป็นเงามืดก่อนสลายไป และมาปรากฏตัวอยู่ห่างออกไป
ร่างของสวี่ชีอันในตอนนี้กลายเป็นถ่านไปแล้วเก้าส่วน เป็นมนุษย์ดำเกรียมอย่างสมบูรณ์ เขาถือกระบี่และหอบหายใจเป็นการใหญ่ เสียงหายใจราวกับกล่องสูบลมที่เก่ามาก
แลกมือกับทายาทเทพมารขั้นหนึ่ง แต่ละกระบวนท่าล้วนบาดเจ็บถึงชีวิต ทุกการผิดพลาดจะวนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย
นี่คือศึกที่อันตรายและมีอัตราผิดพลาดน้อยสุดในชีวิตนี้ของสวี่ชีอัน
กระบี่คุ้มเมือง เจดีย์พุทธะ อัฐิธาตุทานพละ ไสยศาสตร์กู่ พลังแห่งเวไนยสัตว์…ด้วยรากฐานตบะขั้นสองและการดำเนินการที่ละเอียดรอบคอบของเขา ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋ตี้
ร่างธรรมแห่งปัญญาที่อยู่เหนือเจดีย์พุทธะสลายไป ร่างธรรมหมอยาปรากฏออกมา และวาดแสงสีทองรักษาอาการบาดเจ็บ
“สิ้นหวังแล้วหรือ”
ท้องของไป๋ตี้ปั่นป่วนเล็กน้อย ลมหายใจยุ่งเหยิงอยู่บ้าง
มันรักษาอาการบาดเจ็บที่หยกสลายนำมาให้ไปพลาง และพูดไปพลาง
“ก็แค่จอมยุทธ์ขั้นสอง สามารถทำร้ายข้าบาดเจ็บได้ถึงขนาดนี้ เพียงพอที่จะให้เจ้าอวดดีได้แล้ว แต่แล้วอย่างไรล่ะ ชะตาโอสถสุวรรณผ่านไปแค่ครึ่งเดียว เจ้าก็บาดเจ็บถึงขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีชะตาสี่สภาพเลย สิบสามวันเต็มๆ ไม่ ไม่จำเป็นต้องรอถึงชะตาสี่สภาพ ข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้าได้พักหายใจหรอก หลังจากชะตาโอรสสุวรรณแล้ว หากหญิงสาวนิกายมนุษย์ไม่ฝ่าด่านชะตาสี่สภาพ ก็ช่วยเจ้ารับมือศัตรู ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกไหน นางล้วนต้องตายสถานเดียว”
ชะตาโอสถสุวรรณสิ้นสุดลง เคราะห์สวรรค์จะหายไปชั่วคราว ให้เวลาผู้ฝ่าด่านเคราะห์ทำตบะให้มั่นคงสิบวัน ต่อมาถึงเป็นชะตาสี่สภาพในช่วงที่สอง
แต่พวกเขาจะให้โอกาสศัตรูหายใจได้อย่างไร
ลั่วอวี้เหิงไม่มีเวลาสิบวันในการทำตบะให้มั่นคงเลย นางถูกบีบเข้าร่วมการต่อสู้ หากยืนหยัดผ่านไปได้สิบวันแล้วยังไม่ตาย เช่นนั้นชะตาสี่สภาพก็จะมาถึงตามเวลานัดหมาย ตอนนั้นนางที่หมดพลังไปกับการสู้รบ จะฝ่าด่านชะตาสี่สภาพได้อย่างไร
แน่นอนว่าพวกเขาเลือกที่จะหนีได้ แต่ไป๋ตี้กับเจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงที่ไม่มีระดับเหนือมนุษย์ตรึงไว้ สามารถถือโอกาสเหยียบเมืองหลวงให้ราบเป็นหน้ากลองและยึดที่ราบกลางมาได้
‘ฟู่!’
ทันใดนั้น ไป๋ตี้อ้าปากพ่นลูกวารีสีดำมืดออกมากลุ่มหนึ่ง และระเบิดใส่ลั่วอวี้เหิง
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันจำเป็นต้องหยุดรักษาอาการบาดเจ็บ ใช้ร่างกายเป็นโล่กำบังอยู่ตรงหน้าลั่วอวี้เหิง
‘ฟิ้ว…’ หน้าอกของเขาถูกลูกวารีเจาะทะลุ อวัยวะสีแดงและสีดำกระเด็นออกมา
ปากของไป๋ตี้ดูราวกับปืนกล มันพ่นลูกวารีสีดำออกมาพร้อมกับเสียงแหวกอากาศที่แหลมคม
บางครั้งสวี่ชีอันก็ใช้กระบี่คุ้มเมืองฟาดฟัน บางครั้งก็ใช้ร่างเป็นโล่กำบัง ภายใต้การโจมตีอันดุเดือด ค่อยๆ เกิดรูเจาะทะลุนับร้อยนับพัน ค่อยๆ แตกกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
‘ฟิ้ว!’
กระบี่บินแฉลบผ่านเหนือศีรษะสวี่ชีอันและพุ่งใส่ไป๋ตี้ แต่ถูกเขากระแทกออกไปอย่างแรง
“ผู้หญิงบ้า เจ้าอยากตายหรือ!”
สวี่ชีอันตะคอก “ตั้งใจฝ่าด่านเคราะห์ของท่านไป อันตรายตรงหน้า ข้าจะช่วยท่านต้านทานเอง”
สวี่ชีอันฟาดฟันลูกวารีที่พุ่งเข้ามาจนสลายไปในกระบี่เดียว หลังจากกลืนเลือดที่พุ่งขึ้นมาในลำคอแล้ว ก็หัวเราะก่อนกล่าว
“ท่านไม่ชอบข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดกันเล่า ตอนนี้เป็นห่วงแล้วหรือ ตอนนี้ท่านสามารถใจดำอำมหิตได้อย่างเต็มที่ ให้การบำเพ็ญคู่เป็นแค่ข้อแลกเปลี่ยน ให้ข้าเป็นเครื่องมือมนุษย์ ให้การฝ่าด่านเคราะห์เป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรก อย่าเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กๆ อย่าให้อารมณ์ครอบงำ ใช่สิ อสนีบาตกี่สายแล้ว”
ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“ห้าสิบหกแล้ว”
ตอนนี้ไป๋ตี้ปลอบประโลมบาดแผลที่เกิดจากหยกสลายเรียบร้อยแล้ว แต่เขาของมันไม่อาจรักษาเองได้ชั่วคราว เพราะคุณสมบัติจำเพาะของกระบี่คุ้มเมืองกำลังสลายพลังชีวิตของบาดแผลอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางการงอกใหม่ของเขาที่หักไป
ร่างของไป๋ตี้หยุดชะงักราวกับภาพนิ่ง
ขณะเดียวกัน ลางสังหรณ์วิกฤตของสวี่ชีอันก็เริ่มเตือนภัยล่วงหน้า เซลล์แต่ละเซลล์ เส้นประสาทแต่ละเส้นล้วนกระตุ้นให้เขารีบหนี
ร่างของไป๋ตี้สลายตัวท่ามกลางพายุ ทะลุความเร็วของเสียง รวดเร็วราวกับกะพริบตา และมาปรากฏตัวตรงหน้าสวี่ชีอัน
ปากขนาดใหญ่งับลงมาอย่างโหดเหี้ยม
ชั่วเวลาพริบตานี้ เจียหลัวซู่ อาซูหลัว จ้าวโส่ว และนักบวชเต๋าจินเหลียนที่แบ่งจิตส่วนหนึ่งมาสังเกตสถานการณ์ทางด้านนี้ต่างก็หยุดชะงักลง และมองมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
ทำให้ลั่วอวี้เหิงเผยร่องรอยของความเด็ดขาดที่จะให้ความดีและความชั่วพังพินาศลงพร้อมกัน
สวี่ชีอันที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายกลับสงบขึ้นมาทันที ความสิ้นหวังทั้งหมดตกผลึกเป็นพลังชีวิตใหม่อย่างน่าประหลาด
ส่วนของจิตวิญญาณเทพบุปผาที่หลับใหลอยู่ในร่างถูกปลุกขึ้นมา มันไหลทะลักเข้าสู่แขนขาและกระดูกราวกับคลื่นน้ำในฤดูใบไม้ผลิ
‘เปรี๊ยะๆ…’ ผิวที่กลายเป็นถ่านปริออกเผยให้เห็นผิวสีแดงอ่อนที่เกิดขึ้นมาใหม่
พลังแห่งไวไนยสัตว์กรูเกลียวเข้ามาเพิ่มพลังให้กับร่าง พลังกู่บ้าระห่ำ ขณะที่กล้ามเนื้อขยายตัว รูปร่างก็ขยายใหญ่กลายเป็นมนุษย์ยักษ์ที่สูงสามเมตร
วงแหวนเพลิงระเบิดตัวด้านหลังศีรษะ โลหิตเทพอารักษ์คำรามอยู่ในเส้นเลือด
จากนั้นพลังเหล่านี้ก็เงียบสงบลง และสลายลงภายในร่าง
สวี่ชีอันแหงนหน้าเอนหลัง และยกแขนขวาไปด้านหลัง หลังจากสะสมพลังในช่วงเวลาสั้นๆ แล้ว พริบตาที่ไป๋ตี้งับเข้ามา เขาก็ปล่อยกำปั้นออกไปอย่างโหดเหี้ยม
………………………………………