ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 772 อุปนิสัยชี้ดวงชะตา
บทที่ 772 อุปนิสัยชี้ดวงชะตา
Ink Stone_Fantasy
‘ปัง!’
เขากวาดแขน แล้วกระหน่ำหมัดเข้าที่ใบหน้าด้านข้างของไป๋ตี้ ท่ามกลางคลื่นระเบิด ไป๋ตี้ก็พลิกตัวเหาะหนีออกมา
มันมิได้สูญเสียการควบคุมร่างกายจากการถูกหมัดอันหนักหน่วงโจมตีแต่อย่างใด ระหว่างที่พลิกตัวกลางเวหานั้น มันก็ได้ปรับสภาพร่างกายทั้งหมดแล้ว ครั้นลงสู่ผืนดิน เท้าทั้งสี่ก็ไถลลื่นจนทิ้งระยะห่างไปเล็กน้อย ก่อนจะทรงตัวให้มั่นคงได้
“แค่ก…”
ไป๋ตี้พลันแยกเขี้ยวกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ในเวลานั้นเองที่นัยน์ตาของมันเพิ่งจะหายดี มันจึงก้มหน้าเหลือบมองฟันที่หักไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลางมองไปทางมนุษย์ที่ร่างสูงกำยำขนาดสามเมตร
หมัดเมื่อครู่ทำให้มันเจ็บปวดแสบร้อน และได้รับความเสียหายบริเวณผิวหนังเล็กน้อย แต่สำหรับลูกหลานเทพมารที่มีร่างกายอันแข็งแกร่งนั้น อาการบาดเจ็บกระจ้อยร่อยเหล่านี้หาได้สนใจไม่
ทว่าภายในแววตาที่ตกตะลึงของไป๋ตี้กลับดูเสมือนคลื่นทะเลโหมซัดสาด
“นี่มันเป็นไปไม่ได้ เจ้ามีพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”
หากกล่าวกันตามปกติ หากระเบิดพลังที่ซ่อนเร้นไว้มันก็มีผลเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น และการจะรักษาคงสภาพแม้เป็นเวลาสั้นๆ ก็ยังไม่ง่ายเลย
แต่ตอนนั้นเองไป๋ตี้ก็รู้สึกได้ว่า พลังของสวี่ชีอันได้เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว ทั้งยังดูเสถียรมั่นคงอีกด้วย
‘นี่มันหมายความว่าอย่างไร?’
‘ชักจะเกินไปแล้วนะ!’
‘ระดับพลังของผู้บำเพ็ญพรตต้องค่อยๆ สะสมทีละย่างก้าวสิ หากอยู่ขั้นสองตอนต้นก็ควรจะเป็นเช่นนั้น มิใช่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีเหตุผล แล้วพลังอันไร้มูลเหตุแบบนั้นมาจากที่ใด?’
‘นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’
กระทั่งไป๋ตี้ที่มีชีวิตมาอย่างยาวนานนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มันก็ไม่เคยประสบเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน
หากสามารถทำเยี่ยงนี้ได้ แล้วการฝึกบำเพ็ญจะยังมีความหมายอยู่หรือ?
เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้แตะพลังต่อสู้ขั้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ ก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมากโข
ไป๋ตี้เริ่มกังวลแล้วว่าพลังที่เพิ่มพูนแบบนี้จะจบลงเมื่อใดกัน?
ตอนนั้นเองสวี่ชีอันกางนิ้วทั้งห้า ซึ่งนิ้วที่หักไปก็ฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็ว ส่วนกำปั้นที่โชกเลือดก็ถูกรักษาจนหายดีในพริบตาเดียว
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ลั่วอวี้เหิงก็ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ร่างพลันอ่อนยวบ เนื่องจากตึงเครียดมากเกินไป จึงรู้สึกแขนขาอ่อนแรง
‘ข้าเคยพูดไว้เมื่อครั้งทำสงครามที่สวินโจวแล้ว สภาพของเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะยิ่งโจมตีก็ยิ่งแข็งแกร่ง…’ อาซูหลัวแอบโล่งใจ
ด้านนักบวชเต๋าจินเหลียนและจ้าวโส่วก็พลันทำจิตใจให้ผ่อนคลายสลัดความตึงเครียดทันใด และเช่นนี้ถึงจะยังสู้ต่อได้
โดยเฉพาะนักบวชเต๋าจินเหลียน จิตใจของเขาสับสนว้าวุ่นยิ่ง ช่วงยามศึกสงครามที่สวินโจวนั้น เขากำลังร้อนใจเร่งปลอมบงกชดำอยู่ จึงไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้ และไม่เคยล่วงรู้ถึงพลังต่อสู้ของสวี่ชีอัน
แต่วันนี้ได้ทราบแล้ว พลังต่อสู้ของเจ้าเด็กคนนี้มาถึงระดับนี้ก็ดูเกินความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ
ยามนี้ใบหน้าพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ฉายความไม่พอใจอย่างยิ่ง ครั้นพลังสวี่ชีอันอยู่ขั้นสอง สุดท้ายเขารู้แจ้งอันใด จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นปริศนา
และเขายังเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ที่สุดอีกด้วย
สิ่งเดียวที่สามารถปลอบใจได้ก็คือ หากเป็นไปตามที่ไป๋ตี้คิดไว้ พลังของผู้บำเพ็ญพรตจะต้องค่อยๆ สะสมทีละย่างก้าว และสิ่งที่เรียกว่ายิ่งโจมตียิ่งแข็งแกร่งนั่นก็น่าจะมีขีดจำกัดอยู่
และเป็นไปไม่ได้เกินครึ่งส่วนที่พลังของเขาจะสามารถก้าวข้ามขึ้นขั้นหนึ่ง
ตราบใดที่พลังยังต่ำกว่าขั้นหนึ่ง เช่นนั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ตอนนั้นเองสวี่ชีอันกวาดตามองไปยังทิศใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองยงโจว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มเอ่ยว่า
“ข้าอุ่นเครื่องเสร็จแล้ว เจ้าทั้งสามยังไหวอยู่หรือไม่?”
อาซูหลัวที่ได้ฟังก็ส่งเสียง ‘ถุย’ พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง แล้วยิ้มหยันกล่าว
“ไม่ต้องถึงสิบสามวันหรอก ต่อสู้เป็นเวลาหนึ่งเดือนข้าก็ไม่มีปัญหา”
จ้าวโส่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หากไม่ใช่ว่าท่านโหราจารย์เสียพลังส่วนใหญ่ไปกับมงกุฎขงจื๊อและดาบสลัก ตอนนี้เหล่าฟูก็คงให้เจียหลัวซู่กลับแดนประจิมแล้ว”
นักบวชเต๋าจินเหลียนเหล่ตามอง พลางคิดในใจว่าพวกคงแก่เรียนน่าจะกินกระเทียมทุกวัน กลิ่นปากถึงได้ร้ายแรงนัก
“ร่างธรรมของลัทธิเต๋าเชื่อมโยงกับพลังวิญญาณฟ้าดิน มีวรยุทธ์ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ย่อมมิเกรงกลัวสงครามอันยาวนาน”
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งจิ่วโจว แต่ไหนแต่ไรมาพละกำลังทางกายและพลังเวทมนตร์ล้วนไม่เคยเป็นปัญหาที่ต้องกังวล
ปัญหาเดียวคือสวี่ชีอันจะสามารถอดทนยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี้จะทานทนกว่าที่ทุกคนเคยจินตนาการเอาไว้
ทั้งสามคนจึงมั่นใจกว่าเดิม
สวี่ชีอันมองไปยังทิศใต้อีกครา บัดนี้เขามองทิศใต้สองครั้งแล้ว
ตอนนั้นเองเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วก็เอ่ยเสียงเบาว่า
“เจ้าเป็นกระดูกสันหลังของต้าฟ่ง คือศรัทธาของเหล่าทหาร ตราบใดที่เจ้าไม่ล้ม ศรัทธาของต้าฟ่งก็จะไม่ล้มลงเช่นกัน!”
สวี่ชีอันดึงสายตากลับมา พ่นลมหายใจอย่างภาคภูมิใจ
“ชายชาตรีถึงตายก็ต้องตายดั่งเหล็กกล้า ดูนี่สิ…”
เขาเคลื่อนตัวไปทางไป๋ตี้ ท่าทีราวกับนักรบผู้ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด
ดูนี่สิ เพียงมือนี้ของข้าสามารถกอบกู้มาตุภูมิได้
…
ณ ภูเขาเซียนซานที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆในนิกายสวรรค์
เทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงมายังตำหนักเทพสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนยอดหน้าผาอันวิจิตร โดยคนหนึ่งขี่นกกระเรียนเซียน อีกคนขี่กระบี่บิน
เทพสวรรค์ผมขาวแกมเทากำลังนั่งขัดสมาธิบนแท่นดอกปทุม โดยโค้งร่างกาย ก่อนจะก้มศีรษะคำนับ
“คารวะท่านเทพสวรรค์!”
เทพเจ้าหยางแห่งลัทธิเต๋าทั้งสองคารวะด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ข้าเห็นชะตาแห่งความตายของเทพธิดา พวกเจ้าจงไปยงโจว แล้วนำสองคนนั้นกลับมาเสีย”
น้ำเสียงเทพสวรรค์ดังกึกก้องภายในตำหนัก
เทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงสบตากัน ก่อนจะกล่าวรับคำด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์เจือปน
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านเทพสวรรค์!”
น้ำเสียงของเทพสวรรค์ที่ไร้ความปรานีดังสะท้อนก้องมาอีกครั้ง
“หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมา หลังจากศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ นิกายสวรรค์ก็ปิดเขาและตัดการติดต่อจากโลกภายนอกมาโดยตลอด แต่ก่อนอื่นใด พวกเจ้าห้ามมีส่วนร่วมกับเรื่องในแดนโลกีย์ และห้ามก่อเรื่องจนเกิดเหตุต้นผลกรรม
“มิเช่นนั้น จะถูกขับไล่ออกจากนิกายสวรรค์”
เทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงทราบข้อห้ามดังกล่าวดี สาเหตุที่เทพสวรรค์กำชับพวกเขา ก็เพราะไม่อยากให้ใครคนไหนหรือเรื่องอันใด เข้าไปแทรกแซงสงครามของที่ราบลุ่มภาคกลาง
คราวก่อนตอนไปตามหาหลี่หลิงซู่ที่ยงโจว ทั้งสองคนก็เข้าไปติดกับหลุมพรางของสวี่ชีอัน และโดนบังคับให้ป้องกันศัตรูแทนเจ้าตัว และขัดขวางเหล่าเทพอารักษ์ของลัทธิเต๋า
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
จากนั้นเทพหยางทั้งสองก็ออกจากตำหนักเทพสวรรค์ไป
…
สำนักงานใหญ่ของข้าหลวงแห่งสวินโจว
ทหารผู้หนึ่งมือถือรายงานเร่งฝีเท้ามายังห้องโถง แล้วก้มตัวกล่าวว่า
“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล มีเรื่องด่วนจากกองกำลังขอรับ”
เมื่อหยางกงที่กำลังคุยธุระกับเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเอ่ย
“เอามา!”
หลังจากทหารส่งรายงาน ก็ยืนตัวตรงถอยจากไป เขามีหน้าที่แค่ส่งข่าวเท่านั้น ไม่มีอำนาจพอที่จะได้ร่วมฟังด้วย
หยางกงแกะครั่งประทับบนรายงานออก แล้วอ่านเนื้อหาอย่างถี่ถ้วน เขาวางรายงานลงโดยไม่แสดงสีหน้าอันใด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอ้อร์หลางส่งข่าวมาบอกว่า กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวกำลังรวบรวมกองกำลัง เตรียมจะจู่โจมสวินโจว!”
สีหน้าของเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการเปลี่ยนไปทันใด พลางคิดในใจว่าในที่สุดวันเช่นนี้ก็ได้มาถึงแล้ว
ช่วงระยะนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย
สองกองทัพที่เป็นแกนหลักของสวินโจวซึ่งตั้งอยู่แนวป้องกันนั้น เกิดการต่อสู้รุนแรงเป็นพิเศษอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะทำศึกในสนามรบหรือปกป้องรักษาเมือง จำนวนครั้งที่ทำสงครามไม่ว่าจะศึกเล็กหรือใหญ่รวมแล้วก็เกินร้อยกว่าครั้ง
เวลานี้ทั้งเมืองยงโจวแทบเสมือนเครื่องบดเนื้อไปแล้ว ชีวิตนับหมื่นต้องกลายเป็นขี้เถ้าสลายหายไป
ทว่าในสงครามที่น่าหดหู่ใจนี้ ก็มีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างสวี่เอ้อร์หลางลุกผงาดขึ้นมา นำกองทหารม้าของตนเข้าสู่สนามรบ พิชิตชัยครั้งแล้วครั้งเล่า และล่าสังหารกองทหารม้าฝ่ายอวิ๋นโจวที่โยนชุดเกราะทิ้งหมวกหนีไป สุดท้ายก็ได้ชนะสงครามอย่างสง่างาม
ส่วน ‘กองกำลังพันธมิตร’ ที่ร่วมมือกับเขาก็มีบทบาทมากเช่นเดียวกัน
สามารถพูดได้ว่า ที่เมืองสวินโจวสามารถอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ก็เป็นความดีความชอบที่พวกเขาได้กระทำไว้ด้วย
แต่เมื่อวันก่อน หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ได้แอบเข้าไปในค่ายอวิ๋นโจว เพราะหมายจะเผาคลังเสบียง ทว่าสุดท้ายก็ตกหลุมพรางที่ชีก่วงป๋อได้เตรียมเอาไว้
โชคดีที่หัวหน้า ‘กองกำลังพันธมิตร’ นี้แข็งแกร่งยิ่ง จึงสามารถฝ่าออกจากการถูกล้อมวงได้ แม้จะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไร้คนพลีชีพ
แม้หยางกงจะไม่ทราบถึงรายละเอียด แต่เขาก็รู้ว่า การรับมือกับวิชาส่งตัวของหยางเชียนฮ่วนก็มิได้ยากเย็นนัก ภายในกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวเองก็มีแนวทางการบำเพ็ญด้านโหรเช่นกัน ขนาดที่ว่าสวี่ผิงเฟิงถึงกับต้องทิ้งอาวุธเวทมนตร์เพื่อหยุดยั้งวิชาส่งตัวเลยทีเดียว
“หยางกง กองกำลังอวิ๋นโจวรุกรานครานี้ดูอันตรายยิ่ง เกรงว่าศึกนี้จะไม่ง่ายดายแล้ว”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการคนหนึ่งกล่าวอย่างถอนใจ
สถานการณ์ในตอนนี้คือ หลังจากผ่านการสู้รบอย่างดุเดือดมาหลายวัน แนวป้องกันก็ถูกทำลายย่อยยับ ปัจจุบันเหลือเพียงเมืองสวินโจวที่รอด กองกำลังอวิ๋นโจวจึงคิดจะขึ้นเหนือไปกลืนกินเมืองยงโจว เลยจำเป็นต้องถอดถอนสวินโจวออก
หยางกงโน้มเอียงลำตัว แล้วมองไปทางทิศเหนือ
“คนที่จะต้องเคราะห์ร้ายหาใช่พวกเราไม่ แต่เป็นฆ้องเงินสวี่และราชครูต่างหาก ตราบใดที่พวกเขาไม่พ่ายแพ้ พวกเราก็จะปกป้องยงโจวจนตัวตาย”
หยางกงกล่าวเสียงเข้ม “ประกาศคำสั่งไป ให้เตรียมการรบ!”
พวกเขาอาจตายได้ ทุกคนอาจสิ้นชีวา ตราบใดที่ศึกสงครามทางเหนือไม่พ่ายแพ้ ต้าฟ่งก็ยังมีความหวังอยู่
ที่ใดมีกระดูกสันหลังของต้าฟ่ง ที่นั่นก็มีศรัทธาของเหล่าทหารไปด้วย
…
ค่ายอวิ๋นโจว
ภายในกระโจมกองกำลัง ชีก่วงป๋อกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะจำจองการรบ โดยบนนั้นมีธงสีแดงและน้ำเงินปักอยู่แต่ละตำแหน่งไม่ซ้ำกัน
ธงน้ำเงินที่เป็นสัญลักษณ์ของฝั่งต้าฟ่ง ล้วนมีธงสีแดงปักประกบอยู่ด้วย หากมองดูดีๆ ก็จะพบว่าสวินโจวอยู่อย่างโดดๆ ไร้สิ่งอื่นพัวพัน
อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่มีกองกำลังเสริมปรากฏขึ้น
ก่อนที่จะเริ่มทำศึก ธงสีน้ำเงินที่เป็นสัญลักษณ์ของต้าฟ่ง ถูกวางเรียงแทรกอยู่ในแนวป้องกัน ซึ่งประกบกับกองกำลังฝ่ายพันธมิตรของสวินโจว และช่วยกันปกป้องรักษาเมือง
แต่ตอนนี้ธงเหล่านั้นถูกถอนออกทีละอัน จากกองกำลังทั้งหมดแทบไม่เหลือ จนกลายเป็นว่ากองกำลังแตกกระเจิง หันไปเข้าสนามรบและทำศึกแทน
แน่นอนว่าฝ่ายกองกำลังอวิ๋นโจวก็สูญเสียหนักมากเช่นกัน พวกเขาเสียกำลังพลจากหนึ่งในสามส่วนไป และยังเสียยอดฝีมือที่สืบเชื้อสายตรงไปถึงแปดพันคน
กองกำลังยอดฝีมือนั้นแตกต่างจากกองกำลังทั่วไปที่โจมตีได้เพียงเล็กน้อย ฉะนั้นกองกำลังยอดฝีมือจึงเป็นที่หวงแหนของอวิ๋นโจว
“สถานการณ์ดูดีทีเดียว จากนี้ไป ควรพบกับฆราวาสจื่อหยางผู้โด่งดังแล้ว”
ชีก่วงป๋อมองโต๊ะจำลองการรบจากเบื้องสูง ด้วยสายตาสงบนิ่ง
คุณชายผู้ล้างผลาญทำกิจการอันใดไม่ขึ้น อ่อนบุ๋นคร้านบู๊ กลับเป็นคนคลั่งชอบเรื่องวางแผนทำศึกสงครามเสียอย่างนั้น ในตอนนั้นถึงขั้นถูกสวี่ผิงเฟิงต้องใจ และยังมีมุมมองที่กว้างไกลจนน่าหวั่นเกรงเช่นกับเดียวกับเขาอีก
ครั้นนำทัพออกรบ ผู้วางกลอุบายก็จะถูกวางไว้อยู่เบื้องหลังเสมอ อีกทั้งความสามารถในการสั่งการและมุมมองที่กว้างไกลเป็นทักษะที่ผู้บัญชาการต้องมี
เหตุใดเว่ยเยวียนจึงถูกเรียกว่าเทพสงครามน่ะหรือ?
ไม่ใช่เพราะตบะของเขา และก็ไม่ใช่ที่เล่ห์เหลี่ยมของเขาด้วย แต่เป็นเพราะเขาสามารถควบคุมกองกำลังนับแสน หรือกระทั่งนับล้านคนได้ต่างหาก เขามีมุมมองที่กว้างไกลในด้านการรบ
เมื่อกองกำลังทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้า โดยที่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์มีจำนวนพอๆ กัน ซึ่งผู้บัญชาการที่น่าเกรงขามเช่นนี้ สามารถเป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะในศึกครั้งนั้นได้อย่างง่ายๆ เลย
ชีก่วงป๋อที่เคยได้เจอสวี่ผิงเฟิง ก็คิดว่าเขาเป็นบุคคลที่หล่อเหลารองมาจากเว่ยเยวียน แต่อยู่เหนือราชาแห่งจิ้งกั๋วอย่างเซี่ยโฮ่วยวี่ซู
“แม่ทัพใหญ่ ดูเหมือนว่าสวี่ซินเหนียนจะมีอาวุธเวทมนตร์ประเภทสอดแนมขอรับ หากเขาตรวจเจอแผนการของท่าน มันจะดีหรือขอรับ?”
หยางชวนหนานขวมดคิ้ว
เก่อเหวินเซวียนยิ้มกล่าว
“กองกำลังของพวกเรายังมิได้รวมพลกัน ช่วงที่ยังไม่ได้เคลื่อนทัพไปสวินโจว เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ ต่อให้จะมีอาวุธเวทมนตร์ประเภทสอดแนม คงไม่ได้มีเวลามาสอดแนมตลอดเวลาเสียหน่อย จนถึงตอนนี้ ถ้าเขาจะรู้ก็คงรู้ไปแล้ว ก่อนเที่ยงวันพวกเราก็สามารถเข้าประชิดเมืองได้แล้ว
“กว่ากองกำลังต้าฟ่งจะรู้ตัว ก็สายเกินไปแล้วล่ะ”
จากนั้นผู้บัญชาการก็เอ่ยน้ำเสียงจริงจังว่า
“กองทหารม้าที่นำทัพโดยสวี่ซินเหนียน มีพลังต่อสู้แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเทพบุตรและเทพธิดาเคียงข้างด้วย หากพวกเขากลับไปสนับสนุนสวินโจว ก็คงสร้างความยากลำบากให้กับพวกเราไม่น้อยทีเดียว”
ชีก่วงป๋อยิ้มแย้มแล้วกล่าว
“ไม่ต้องสนเรื่องพวกเขาหรอก มีคนหมายจะจัดการพวกนั้นอยู่แล้ว”
…
ณ ภูเขาอันเปล่าเปลี่ยว ซึ่งบริเวณถัดมาจะเป็นที่ราบที่รกร้าง
ยามนี้สวี่ซินเหนียนผู้นำกองทหารม้าเจ็ดพันราย ได้มาตั้งค่ายข้างแม่น้ำอยู่ที่ใต้เชิงเขา
โดยเหล่าทหารม้ากำลังล้างจมูกม้าอย่างตั้งใจ และยังทำความสะอาดมือเท้าใบหน้าอีกด้วย ส่วนเหล่าทหารราบก็ก่อหินเพื่อสร้างเตาหิน ยกเตาเหล็กเพื่อเตรียมต้มน้ำร้อน สำหรับไว้เติมใส่ถุงเก็บน้ำที่เหี่ยวแห้ง
“มีเวลาพักผ่อนสองเค่อ[1] จากนั้นก็ต้องรีบกลับไปเมืองสวินโจวนะ”
สวี่ซินเหนียนหันศีรษะไปกำชับเหมียวโหย่วฟาง ทว่าพอเห็นหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ด้านหลัง ก็เอ่ยกระซิบว่า
“อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
ใบหน้าหลี่เมี่ยวเจินซีดเซียวเล็กน้อย นางส่ายหัวตอบว่า
“ไม่เป็นไร หยางเชียนฮ่วนทิ้งยาอายุวัฒนะไว้ให้ข้า ภายในสามวันนี้ก็น่าจะหายแล้ว อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่ส่งผลกระทบต่อพลังต่อสู้ของข้าหรอก ในลัทธิเต๋านั้นเชื่อว่าต้นตอพละกำลังมาจากจิตเดิม”
อาการบาดเจ็บของนางเป็นผลมาจากการโดนซุ่มโจมตีเมื่อวันก่อน
ในเวลานั้นยอดฝีมือจากกองกำลังอวิ๋นโจวได้ดักโจมตีหมายจะสังหารพวกเขา ทว่าในหมู่คนมีผู้ที่พลังไม่ถึงระดับสี่ อีกทั้งค่ายกลส่งตัวของหยางเชียนฮ่วนก็ยังเจอค่ายอาคมระดับสูงเช่นเดียวกันขัดขวาง จึงเป็นเรื่องยากจะต่อกรด้วย
ส่วนสาเหตุที่สามารถสังหารอีกฝ่ายแล้วหนีออกมาได้นั้น ก็เป็นเพราะพวกเขาอาศัยพลังเทพวชิระของไต้ซือเหิงหย่วน ซึ่งต้านทานภัยอันตรายส่วนใหญ่เอาไว้
ดังนั้นไต้ซือเหิงหย่วนจึงบาดเจ็บหนักที่สุด
สมาชิกในพรรคฟ้าดินอย่างฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินก็บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินก็นำหลี่หลิงซู่และเหิงหย่วน ถอยกลับเมืองยงโจวเพื่อรักษาบาดแผล
ด้านจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินก็นำกองกำลังส่วนตัวเข้าร่วมกับสวี่เอ้อร์หลาง และร่วมติดตามเดินทางกับเขา
ที่บางครั้งคนเราชอบกล่าวกันว่า ‘อุปนิสัยชี้ดวงชะตา’ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
……………………………………………………………
[1] สองเค่อ เท่ากับประมาณ 30 นาทีในปัจจุบัน