ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 773 ไหตักน้ำแตกเพราะปากบ่อน้ำ
บทที่ 773 ไหตักน้ำแตกเพราะปากบ่อน้ำ
Ink Stone_Fantasy
‘ตึงๆๆ!’
ณ กำแพงเมืองสวินโจว เสียงกลองอึกทึกดังก้องไปทั่วฟ้า ทหารอารักขาสวมเกราะถืออาวุธเรียงแถววิ่งมาที่กำแพงเมือง
ทหารอาสาเองก็ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาขนย้ายอุปกรณ์ป้องกันเมืองมาตั้งอย่างเป็นระเบียบ
ท่ามกลางเสียงกลองประจัญข้าศึก ตั้งแต่ทหารอาสาไปจนถึงเหล่าทหาร จากเหล่าทหารไปยังแม่ทัพ ทุกคนล้วนแสดงท่าทีเตรียมพร้อม มากด้วยประสบการณ์ สำหรับชาวเมือง การมีกองทัพที่แข็งแกร่งคอยปกป้องเมือง ถือเป็นพรอันประเสริฐ
สำหรับทหารอารักขาแล้ว ความขมขื่นจากสิ่งที่ประสบ มิใช่สิ่งที่คนนอกจะเข้าใจได้
ต้องผ่านการล้างบาปด้วยเหล็กและโลหิตกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนจะสงบจิตใจเข้ารับการฝึกฝนได้อย่างเช่นทุกวันนี้
ขณะที่เสียงกลองดังขึ้นเหนือกำแพงเมือง ณ จวนข้าหลวง หยางกงสวมหมวกขุนนาง แต่งกายในชุดทางการ มองไปทางจางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ที่อยู่ในห้องโถง
“กองทหารชั้นยอดที่พามาจากชิงโจวถูกกำจัดจนเกือบสิ้นแล้ว กองทัพของยงโจวก็ถูกทำลายไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน ตอนนี้ถึงตาพวกเราต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเองแล้ว”
หยางกงกล่าวยิ้มๆ ว่า “จิ่นเหยียน มู่ไป๋ พวกเรารู้จักกันมาครึ่งค่อนชีวิต แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันเลยสักครั้ง”
จางเซิ่นถอนหายใจ “สำนักอวิ๋นลู่เก็บตัวเงียบมานานกว่าสองร้อยปี จนชาวโลกหลงลืมไปนานแล้วว่าลัทธิขงจื๊อของข้านั้นแข็งแกร่งเพียงใด”
ปัญญาชนสำนักอวิ๋นลู่ในยุคสมัยที่ผ่านมาต่างมีความปรารถนาสองประการ
หนึ่ง ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อได้หวนคืนสู่ราชสำนัก
สอง นักพรตสำนักใหญ่ในจิ่วโจวจะต้องระลึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกลัทธิขงจื๊อครอบงำ
ก่อนที่ระบบโหรจะปรากฏขึ้นในที่ราบลุ่มภาคกลาง ผู้ค้ำจุนแผ่นดินอดีตราชวงศ์ทุกราชวงศ์ ผู้โอบอุ้มกระดูกสันหลังของราชวงศ์แห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง หาใช่จอมยุทธ์กักขฬะ แต่เป็นลัทธิขงจื๊อ!
เป็นลัทธิขงจื๊อต่างหากที่ปราบพ่อมด ขับไล่สำนักพุทธ
ดินแดนประจิมทิศมีพุทธศาสนา ดินแดนอีสานทิศมีพ่อมด ซินเจียงตอนใต้มีเผ่ากู่ ดินแดนทิศอุดรมีคนเถื่อน…มีแต่พวกเศษสวะ!
มีเพียงลัทธิขงจื๊อแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางเท่านั้นที่ทรงเกียรติที่สุดในจิ่วโจว
เมื่อสองร้อยปีก่อน รองปราชญ์เอกเฉิงประจบสอพลอจวิ้นอ๋อง ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง ทำให้สำนักอวิ๋นลู่รวมถึงลัทธิขงจื๊อทั้งหมดต้องถูกขับออกจากราชสำนัก
ซ้ำร้ายยังมีโหราจารย์คอยเติมเชื้อไฟ
ส่งผลให้ลัทธิขงจื๊อต้องเก็บตัวเงียบตลอดสองร้อยปี ยอดฝีมือขั้นสามหายาก ขั้นสองและขั้นหนึ่งสาบสูญนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ผู้บำเพ็ญตนในจิ่วโจวทุกวันนี้ลืมเลือนความรุ่งโรจน์ของลัทธิขงจื๊อในยุครุ่งเรืองไปนานแล้ว
หลี่มู่ไป๋ขึงขังกว่าเดิม “กองทหารชั้นยอดของอวิ๋นโจวล้วนเดินทางมาที่นี่ทั้งหมด หากสังหารไปเรื่อยๆ กองทหารหัวกะทิของอวิ๋นโจวต้องสิ้นซากที่สวินโจวอย่างแน่นอน
“เจ้าสำนักอนุญาตให้จักรพรรดินีเข้าสู่ราชสำนักแล้ว หลังสิ้นศึกคราวนี้ คุณูปการของข้าและจิ่นเหยียนจะทำให้พวกข้าได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง ขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี ภายภาคหน้าเมื่อพวกเราได้เลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์แล้ว ค่อยไปแก้แค้นเจ้าสำนักเฒ่านั่นย่อมได้
“มันแย่งบทกวีไปจากพวกเราเสียหลายบท”
‘ไม่สิ แย่งไปจากข้าต่างหาก…’ หยางกงและจางเซิ่นต่างโต้เถียงกันอยู่ในใจ
สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มองหน้ากันและกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่ที่ข้าอยู่ หาใช่ที่โถงจวน แต่เป็นกำแพงเมืองสวินโจว”
ลั่นประกาศิต!
ดวงไฟสุกใสสามดวงลุกโชนโอบคลุมร่างของทั้งสามคนไว้ พาพวกเขาหายวับไปจากโถงใหญ่
…
‘ตู้มๆๆ!’
บนกำแพงเมืองมีเสียงปืนใหญ่ดังลั่น กระสุนปืนใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าลอยไปตกกลางทัพที่ปิดล้อมเมืองไว้อย่างแน่นหนา
กระสุนปืนใหญ่แต่ละลูกล้วนแผ่ขยายเป็นดวงไฟ เศษดินปืน เศษหิน และแขนขาระเบิดกระจัดกระจาย
หลังจากที่ทัพกบฏอวิ๋นโจวต้องจ่ายความสูญเสียเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนถึงระดับหนึ่ง ก็ประสบความสำเร็จในการเคลื่อนปืนใหญ่ และรถยิงหน้าไม้เข้าใกล้ระยะโจมตีกำแพงเมือง
จากนั้นทั้งสองทัพก็เปิดฉากยิงใส่กัน แข่งขันพลานุภาพคลังแสง
กองทัพข้าศึกที่หนาแน่นใช้ปืนใหญ่ของตนเป็นแนวขวาง เร่งรุดไปใต้กำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปิดฉากบุกโจมตีเมืองราวกับฝูงมด
ทัพที่บุกไปชุดแรกคือทัพเบิกทางและทัพฝ่ากำแพงเมือง ทั้งสองทัพใหญ่แบ่งออกเป็นเก้าทัพเล็ก มีจำนวนคนทั้งสิ้นสามพันหกร้อยนาย ประกอบด้วยชาวยุทธ์และทหารใหม่ มีจอมยุทธ์ขั้นสลายแรงหรือนักรบกระดูกเหล็กผิวทองแดงเป็นผู้นำ
บทบาทของทั้งสองทัพมีความชัดเจน คือเพื่อเปิดทางให้ร้อยกองทัพยอดทหารราบที่ติดตามมา
ดังนั้นการบาดเจ็บล้มตายของทัพเบิกทางและทัพฝ่ากำแพงเมืองจึงสูงที่สุด ทว่าชีก่วงป๋อหาได้ใส่ใจ การจะเป็นแม่ทัพได้ต้องเข้าใจหลักการที่ว่าความเมตตาสั่งการทหารไม่ได้ และต้องจำให้ขึ้นใจว่าควรใช้ทหารดั่งโคลนตม
นับแต่โบราณกาล การฝ่ากำแพงเมืองจำเป็นต้องแลกมาด้วยชีวิตของทหาร
ชีก่วงป๋อหยิบกล้องส่องทางไกลออกมา ดูการสู้รบฝ่ากำแพงอย่างดุเดือดบนกำแพงเมืองอยู่ไกลๆ
ภายใต้เกราะกำบังจากปืนใหญ่ ทัพเบิกทางและทัพฝ่ากำแพงเมืองต้องเผชิญหน้ากับท่อนซุงและลูกธนู หลังจากที่จ่ายด้วยราคาอันน่าสยดสยอง พวกเขาก็ปีนขึ้นไปบนกำแพง และเปิดฉากเข่นฆ่าทหารอารักขาได้ในที่สุด
ช่องโหว่ถูกเปิดออกแล้ว
ชีก่วงป๋อหยิบธงเล็กสองสี ได้แก่สีแดงและสีดำออกมาจากถุงสัมภาระหลังม้า ด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ
ธงสีดำสื่อถึงร้อยยอดกองทัพ ประกอบด้วยทหารราบทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นนาย โดยมีหยางชวนหนาน อดีตสมุหเทศาภิบาลอวิ๋นโจว รวมถึงยอดฝีมือขั้นสี่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้นำ เป็นทหารชั้นยอดผู้สืบทอดสายเลือดมาอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นต้าฟ่งหรืออวิ๋นโจว กองกำลังหลักคือทหารราบ
จะมีทหารม้าสักกี่มากน้อย ที่ราบลุ่มภาคกลางก็เทียบกับแดนเหนือไม่ได้ ที่นั่นมีทั้งทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีแกะ วัวและม้าพันธุ์ดีอยู่รวมกันเป็นฝูง
‘ตึงๆๆ!’
เสียงกลองรบดังขึ้น ร้อยกองทัพที่กระตือรือร้นอยากจะเข้าสู่สนามรบเต็มแก่ก็รีบกรูออกไป กองทัพเรือนหมื่นแผ่ขยายตัวออกไป ตามผู้นำของแต่ละกองไปยังกำแพงเมือง
“ปืนใหญ่บนกำแพงเมืองรุนแรงใช่ย่อย”
ชีก่วงป๋อโยนธงสีแดงให้กับรองแม่ทัพ
รองแม่ทัพทำตามคำสั่งของเขาทันที ไม่นาน ธงที่ปักลายนกยักษ์สีแดงผืนใหญ่ก็โบกสะบัดอย่างแรง
“แกว๊ก!”
เสียงร้องดังก้องไปทั่วฟ้า ทัพวิหคแดงก็พุ่งทะยานจากด้านหลังทัพใหญ่ กระพือปีกทะยานออกไป
คนขี่นั่งตัวสั่นบนหลังวิหคยักษ์ขนสีแดงก่ำ กรงเล็บของมันเกี่ยวถังน้ำมัน โผบินไปสู่กำแพงเมือง
น้ำมันสาดกระจายเหนือกำแพงเมือง ราดลงบนกำแพง ทางม้า และบนตัวทหาร
บนกำแพงเมืองเกิดรอยไหม้และเปลวไฟขึ้นทั่วบริเวณ น้ำมันที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเป็นน้ำมันเดือดปุดๆ ที่ใช้ย่างสดทหารอารักขาต้าฟ่ง
พลอากาศถือเป็นปรมาจารย์ของทหารชั้นยอด ถือเป็นอันดับหนึ่งเหนือทหารจำพวกใด เหนือกว่าทั้งทหารม้าเกราะหนักและพลปืนใหญ่
ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีแนวคิดเรื่อง ‘การครองอากาศ[2]’ รู้แค่ว่าเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควบคุมการโจมตีทางอากาศได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ถือเป็นหายนะร้ายแรงสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งเลยก็ว่าได้
การรุกรานจากทัพวิหคแดงประกอบกับการปิดล้อมเมืองของร้อยกองทัพ ทำให้สถานการณ์ฝั่งกำแพงเมืองสวินโจวสูญเสียการควบคุม
หยางกงและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างระดมกำลังลั่นประกาศิต และพยายามดับไฟให้ได้
ทว่ายอดฝีมือในร้อยกองทัพมีมากมายราวกับปุยเมฆ บีบให้พวกเขาต้องรับมือกับการประหัตประหาร ไม่อาจละมือไปจัดการกับพลอากาศที่โฉบไปมาราวกับสายลม
ในเมืองมีกองทัพอสูรเหินเวหาอยู่
นายทหารฝ่ายเสนาธิการคนหนึ่งหันไปมองเหล่าปรมาจารย์ซินกู่ที่เตรียมตัวพร้อมออกรบ จ้องมองอสูรเหินเวหาเกล็ดสีดำดุร้าย แล้วโค้งคำนับกล่าว
“ศึกครั้งนี้ จำต้องทำให้พลอากาศของข้าศึกสิ้นฤทธิ์ ต้องรบกวนทุกท่านแล้ว”
ถ่าโม่ยิ้มยิงฟัน
“อย่างไรก็ต้องสู้ให้ตายไปข้าง นักรบเผ่าซินกู่พูดแล้วไม่คืนคำ ในเมื่อรับปากกับฆ้องเงินสวี่แล้วว่าจะมอบชีวิตให้กับราชสำนักที่ราบลุ่มภาคกลางของพวกเจ้า ย่อมไม่เสียดายชีวิต”
ในเมืองสวินโจว กองทัพอสูรเหินเวหาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บินเข้าสู่สนามรบอย่างกล้าหาญ เข้าประจัญบานกับกองทัพวิหคแดง
หลังจากทัพฝ่ากำแพงเมือง และทัพเบิกทางเปิดช่องโหว่บนกำแพงเมืองด้วยชีวิตแล้ว การต่อสู้อันดุเดือดครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นในระดับความสูงที่แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสี่ก็ไม่อาจเอื้อมถึง
วิหคยักษ์สีแดงเพลิงที่บินนำหน้าไม่มีคนขับขี่ มันเป็นมหาปีศาจขั้นสี่ที่ถูกครอบครองโดยสวี่ผิงเฟิงเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นผู้นำของทัพวิหคแดง
ในสงครามครั้งแรกของอำเภอซงซาน มันนำกองทัพวิหคแดงสังหารกองทัพอสูรบินของเผ่าซินกู่ไปกว่าครึ่ง จนจำนวนอสูรบินลดลงจากสี่ร้อยตัว เหลือเพียงสองร้อยยี่สิบตัว
ขณะที่กองทัพอสูรเหินเวหาจำนวนลดลง กองทัพวิหคแดงเองก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน กองทัพวิหคแดงที่เหลืออยู่สี่ร้อยตัว เป็นพลอากาศที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของอวิ๋นโจว
ความจองหองไม่กลัวตายของนักรบเผ่าซินกู่สร้างความประทับใจอย่างสุดซึ้งให้กับมหาปีศาจขั้นสี่ตัวนี้
วินาทีที่พลอากาศทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศ มหาปีศาจวิหคแดงสยายปีกสองข้างไปด้านหลัง ยืดตัวตรง กางเล็บที่แหลมคมยิ่งกว่าเหล็กกล้าตะปบตัวถ่าโม่
ถ่าโม่เป็นคนแรกที่เข้าสู่ขั้นสี่ ตบะของเขาเทียบกับมหาปีศาจวิหคแดงไม่ได้ การต่อสู้ในระยะประชิดอ่อนด้อยยิ่งกว่า ทว่าสิ่งที่เผ่าซินกู่เชี่ยวชาญคือเรื่องการควบคุม เพียงผิวปากเบาๆ ทีเดียว ก็สามารถใช้เสียงเป็นตัวกลางควบคุมจิตเดิมของมหาปีศาจวิหคแดงได้
กรงเล็บคมกริบที่กำลังจะตะครุบร่างของถ่าโม่นิ่งไปเล็กน้อย ในจังหวะนั้นเอง อสูรยักษ์เกล็ดดำที่ถ่าโม่ควบคุมก็บินผ่านร่างของมหาปีศาจวิหคแดงไป ดาบยาวในมือของเขาผ่าท้องของวิหคแดงเกิดประกายแสงแสบตา
มีเพียงขนสีแดงไม่กี่เส้นที่หลุดร่วงลงมา
พลอากาศไม่เหมือนม้า เมื่อได้บินแล้วไม่สามารถหยุดบินได้ ผู้นำทัพทั้งสองฝ่ายบินเข้าหาและชนกันเองอย่างจัง
มหาปีศาจวิหคแดงวกกลับ สองปีกดั่งใบมีด เฉือนนักรบเผ่าซินกู่สองคน รวมถึงอสูรของอีกฝ่ายเป็นท่อนๆ ในทันที เลือดสดๆ เปรอะเปื้อนขนสีแดง ยิ่งดูน่าเกรงขาม
อีกด้านหนึ่ง ถ่าโม่ขี่อสูรยักษ์เกล็ดดำ พลางใช้วิชากู่สยบวิหคแดงไปด้วย กวัดแกว่งดาบฟาดฟันผู้ขับขี่กองทัพวิหคแดงไปตามทาง
ศพของอสูรยักษ์เกล็ดดำและนกยักษ์ขนแดงร่วงหล่นจากฟ้าทีละตัวๆ
ช่วงท้ายของต่อสู้ระลอกแรก ตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายเกิดความพลิกผัน ต่างฝ่ายต่างสูญเสียผู้ควบคุมไปกว่าสามสิบราย
พลอากาศสองฝ่ายบินไปเรียงแถว ถ่าโม่ยกดาบขึ้นสูง พลางตะโกนก้องด้วยภาษาถิ่นซินเจียงตอนใต้
“นักรบเผ่าซินกู่ ตามข้ามา!”
การจู่โจมอันดุเดือดระลอกที่สองสิ้นสุดลง ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียผู้ควบคุมไปกว่ายี่สิบราย ซากศพตกลงมาราวกับห่าฝน
หลังจากการต่อสู้ระลอกที่สาม กองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่เหลืออสูรบินอยู่เพียงหนึ่งร้อยตัว กองทัพวิหคแดงเหลือวิหคแดงอยู่สองร้อยหกสิบตัว หากตัดมหาปีศาจวิหคแดงที่เป็นผู้นำทัพออกไปแล้ว พลังต่อสู้ของกองทัพวิหคแดงแต่ละตัว อ่อนด้อยกว่ากองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ลิบลับ
ซินกู่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมกู่สัตว์ร้ายเป็นทุนเดิม และยังส่งผลกระทบต่อพลอากาศของฝ่ายศัตรูได้อีกด้วย
หลังจากการโจมตีระลอกที่สี่ เผ่าซินกู่เหลือผู้ควบคุมอยู่เพียงห้าสิบราย ส่วนกองทัพวิหคแดงเหลือผู้ควบคุมอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบราย
มหาปีศาจวิหคแดงไม่ยอมแลกชีวิตกับชีวิตอีกต่อไป กองทัพวิหคแดงสี่ร้อยตัวเหลือเพียงหนึ่งร้อยแปดสิบตัว นางเจ็บปวดจนเลือดแทบหลั่งเป็นสาย กองทัพทั้งหมดนี้มีลูกหลานสายตรงของนางทั้งสิ้น
“เรื่องของราชสำนักต้าฟ่ง จำเป็นต้องให้พวกเจ้าคนซินเจียงตอนใต้ต้องหลั่งเลือดแทนด้วยหรือ”
วิหคแดงมหาปีศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดแทง
“กองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่สักกี่มากน้อยต้องมาถูกสังเวยเพื่อต้าฟ่ง มันคุ้มค่ากันหรือ ดูจากความโลเล ไร้ยางอายของราชสำนักต้าฟ่งแล้ว วันนี้พวกเจ้าต่อสู้จนตัวตายเพื่อต้าฟ่ง วันรุ่งขึ้นพวกมันอาจจะส่งกองทัพไปกวาดล้างเผ่าพันธุ์กู่ของพวกเจ้าก็ได้
“เรื่องตอบแทนบุญคุณด้วยความเกลียดชัง ราชสำนักต้าฟ่งน้อยหน้าเสียที่ไหน”
ถ่าโม่ส่งเสียง ‘หึ’
“นังตัวอัปรีย์ เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว นักรบเผ่าพันธุ์กู่ไม่กลัวตายโว้ย!
“พี่น้องเอ๋ย ตามข้ามา!”
ผู้ควบคุมของเผ่าซินกู่ที่เหลืออยู่เพียงห้าสิบคน ส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด บังคับอสูรบินให้บินพุ่งโจมตีกองทัพวิหคแดง พวกเขาคิดถึงภารกิจของตนอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ต้าฟ่งพยายามจะทำนั่นคือการโค่นล้มสุดยอดทหารของกองทัพอวิ๋นโจว
นี่เป็นการโจมตีระลอกที่ห้าแล้ว
ตอนนี้มีกองทัพอสูรเหินเวหาเหลืออยู่ไม่ถึงห้าสิบราย พวกเขาร่วงหล่นสู่สนามรบเบื้องล่างเช่นเดียวกับสหายร่วมรบ หลับใหลในต้าฟ่งไปตลอดกาล
เหลือเพียงถ่าโม่ที่โชกเลือดเพียงคนเดียว เกราะที่สวมใส่แตกเป็นเสี่ยงๆ ดาบในมือม้วนงอ มีบาดแผลฉกรรจ์ปรากฏบนตัวขึ้นหลายแห่ง
มหาปีศาจวิหคแดงโกรธจัด เพราะกองทัพวิหคแดงที่มันทุ่มเทกายใจฟูมฟักมาเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยตัว ความอุตสาหะกว่าสิบปีถูกแผดเผาจนสิ้น
“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้ตายอย่างสงบแน่ ข้าจะฉีกแขนขาเจ้า แหวกท้องเจ้า ค่อยๆ กัดกินเครื่องในของเจ้าไปทีละน้อย” วิหคแดงตะคอก
ถ่าโม่ก้มหน้ามองศพของเหล่าพี่น้องและศพของอสูรที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบนกำแพงเมือง ทั้งในคูเมือง
“ตายหมดแล้ว”
มีประโยคหนึ่งของสวี่ซินเหนียน ญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่ที่กล่าวไว้ได้ดีมากว่า ‘ไหตักน้ำแตกเพราะปากบ่อน้ำฉันใด แม่ทัพย่อมตายเพราะสงครามฉันนั้น’
พูดได้สมเหตุสมผลยิ่งนัก เหตุใดเขาถึงพูดจาแบบนั้นบ้างไม่ได้
เขาอยากให้ลูกหลานของคนในเผ่าได้มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนช่นเด็กๆ ชาวที่ราบลุ่มภาคกลางบ้าง
โชคดีที่โอกาสเช่นนี้กำลังจะเป็นไปได้ในอนาคต
เมื่อใดที่ต้าฟ่งคว้าชัยในศึกครั้งนี้มาได้ เผ่าพันธุ์กู่ในฐานะพันธมิตรจะได้ทำการค้าขายกับที่ราบลุ่มภาคกลาง เผ่าพันธุ์กู่จะไม่ขาดแคลนใบชา เครื่องลายคราม และผ้าไหมจากที่ราบลุ่มภาคกลางอีกต่อไป
ด้วยสติปัญญาของหัวหน้าฉุนเยียน เขาต้องคิดถึงการยืมตัวอาจารย์จากต้าฟ่งอย่างแน่นอน
การเรียนเป็นสิ่งที่ดี เด็กยิ่งเรียนยิ่งฉลาด
ถ่าโม่ก้มศีรษะ มองกำแพงเมืองสวินโจว แล้วตะโกนลั่น
“ฝากบอกฆ้องเงินสวี่ด้วย สัญญาที่ให้กับเผ่าพันธุ์กู่ของข้าห้ามขาดแม้แต่อีแปะเดียว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะได้รับ
“ในป่าศิลานอกเมืองสวินโจวต้องมีป้ายสลักชื่อของพวกเรานักรบเผ่าพันธุ์กู่ ไอ้พวกลูกหมาคนที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเจ้าต้องจำพวกเราให้ขึ้นใจ”
หลังจากตะโกนออกไปแล้ว เขาก็ไม่รอคำตอบรับจากทหารอารักขากำแพงเมือง แต่ยกดาบที่บิดงอขึ้น แล้วตะโกนออกไป
“พี่น้องข้าเอ๋ย จงตามข้ามา!”
ทว่าด้านหลังของเขาไม่เหลือใครอีกแล้ว
ผู้ควบคุมเพียงหนึ่งเดียวสละชีพพุ่งโจมตี
…
กองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ถูกทำลายสิ้นซาก ตายในสงครามเมืองสวินโจวทั้งกองทัพ
…………………………………………….
[1] ไหตักน้ำแตกเพราะปากบ่อน้ำ (瓦罐不离井上破) มาจากสำนวนเต็มที่กล่าวว่า ‘瓦罐不离井上破,将军难免阵前亡。’ ไหตักน้ำแตกเพราะปากบ่อน้ำฉันใด แม่ทัพย่อมตายเพราะสงครามฉันนั้น หมาความว่าการทำสิ่งที่อันตรายบ่อยๆ จนประมาทเลินเล่อย่อมนำไปสู่หายนะ
[2] การครองอากาศ (制空权/Air Supremacy) หมายถึง ระดับการควบคุมทางอากาศ กองกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า และมีอิทธิพลต่อกำลังทางอากาศของฝ่ายข้าศึกแบบเบ็ดเสร็จ ก่อให้เกิดเสรีในการปฏิบัติการในทุกมิติและทุกรูปแบบที่ต้องการ