ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 776 ชุดคราม
‘พรึ่บ พรั่บ’
ธงที่มีพื้นหลังสีดำและวาดด้วยลวดลายทองคำโบกสะบัด อากาศบนแท่นแปดทิศราวกับเยือกเย็นยิ่งขึ้น
ไม่ ไม่ใช่ราวกับ แต่ยามที่ฮว๋ายชิ่งโบกสะบักธงกวักวิญญาณ ท้องฟ้าเหนือหอดูดาวก็มีเมฆดำแออัดจนปกคลุมแสงอาทิตย์และเพิ่มพูนขึ้นเป็นชั้นๆ
‘หวิว หวิว…’
อากาศพัดผ่านเสาธงที่ทำจากโลหะและเต็มไปด้วยรูจนเกิดเสียงร้องโหยหวนราวกับร่ำไห้และคร่ำครวญ
ซ่งชิงขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ว่าจิตเดิมคล้ายจะหลุดลอยออกจากร่างไปพร้อมกับเสียงร่ำไห้นี้
‘ธงผืนนี้จะกวักเรียกวิญญาณของข้าไปด้วยเสียแล้ว…’ ซ่งชิงนำจุกไม้ออกมาจากอกเสื้อแล้วปิดหูเอาไว้ แบบนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
หินตีฆ้องเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘หินเชิญวิญญาณ’ และ ‘หินเรียกผี’ สถานที่ที่มีมันอยู่ จะต้องมีวิญญาณรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่น ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในวัสดุหลักสำหรับสร้างธงกวักวิญญาณ
‘หวิว หวิว หวิว…’
เสียงคร่ำครวญรุนแรงยิ่งขึ้น ดวงวิญญาณทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา พวกมันบ้างก็คืบคลานออกมาจากแม่น้ำเย็นชืด บ้างก็ผุดออกมาจากเรือนหลังเก่าที่ถูกปล่อยร้าง บ้างก็ลอยออกมาจากในหลุมฝังศพที่มีหญ้ารกครึ้ม…
ลมครวญคร่ำ เมฆดำเหนือศีรษะหนาแน่น ทั่วทั้งสำนักโหราจารย์ล้วนถูกปกคลุมอยู่ในบรรยากาศมืดมนน่าสะพรึงกลัว
เหล่าโหรชุดขาวของสำนักโหราจารย์ล้วนแต่ได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว จึงพากันเดินลงมาจากอาคาร ตั้งแต่ชั้นสามเป็นต้นไป ล้วนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
บนธงกวักวิญญาณที่พลิ้วไหว อักขระสีทองอร่ามสว่างขึ้นและลอยล่องไปไกลตามกระแสลมที่พัดผ่านผืนธง ราวกับเป็นเส้นทางชักนำที่บิดเบี้ยว
…
เมืองจิ้งซาน
บนแท่นบูชาสูงตระหง่าน รูปสลักชายหนุ่มที่สวมชุดยาวหรูหราและสวมมงกุฎหนามเริ่มสั่นไหวเบาๆ
บนท้องฟ้าไกล ลมหยินได้พัดพาลำแสงสีทองให้ขยายลงมาจากเหนือท้องฟ้าแล้วก่อเกิดเป็นเส้นทางสีทองระยับ
เหนือศีรษะของรูปสลักเทพพ่อมด เงาร่างในชุดสีครามค่อยๆ ลอยออกมาแล้วจมลงไปอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำๆ
ทุกครั้งที่เงาร่างสีครามลอยออกมา หว่างคิ้วของรูปสลักก็จะมีแสงสีใสสว่างขึ้นแล้วกดดวงวิญญาณลงไป
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
ที่ปลายสุดของเส้นทางสีทองระยับมีเสียงเรียกอันแจ่มชัดดังออกมา
เงาร่างในชุดครามที่ราวกับไม่ใช่ความจริงลอยออกมาอีกครั้ง ร่างกายเลือนรางสั่นไหวหลายหน คล้ายกับพยายามลอยขึ้นมาและต้องการหลุดพ้นจากภายในรูปสลักสุดกำลัง
ส่วนด้านในรูปสลัก ปราณสีดำหลายสายพุ่งเข้ามาผลักดันเงาร่างในชุดคราม ราวกับกำลังช่วยเขาอีกแรง
แต่พลังจากสามแหล่งนี้ล้วนถูกพลังผนึกที่หว่างคิ้วของรูปสลักเทพพ่อมดกดเอาไว้
หลังจากเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ปราณสีดำและเงาร่างในชุดครามก็เริ่มเฉื่อยชาและไม่พยายามอีก
แม้ว่าเสียงเรียกจากปลายเส้นทางสีทองระยับจะดังอยู่หลายครั้ง แต่เงาร่างในชุดครามก็ไม่ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว
…
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
ฮว๋ายชิ่งรู้สึกว่าสองแขนเย็นเยียบ มือที่ถือด้ามธงเอาไว้ก็มีชั้นน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมอยู่
ข้อดีของจอมยุทธ์ปรากฏออกมาให้เห็นในเวลานี้ หากให้ซ่งชิงมาโบกธงกวักวิญญาณ สองมือคงจะถูกแช่แข็งจนกลายเป็นหินแล้วแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แน่
ส่วนพิษที่อยู่ในอาวุธเวทมนตร์ แม้จะทำให้ฮว๋ายชิ่งรู้สึกไม่สบายอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยร่างวิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นสี่ จึงไม่ได้รับผลในเวลาสั้นๆ ขอเพียงต้องหยุดภายในหนึ่งเค่อเท่านั้น
เมฆดำที่ปกคลุมเหนือสำนักโหราจารย์มีมากขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็หนาวเย็นยิ่งขึ้น พลังของธงกวักวิญญาณส่งผลต่อบริเวณโดยรอบจนทำให้สำนักโหราจารย์กลายเป็น ‘ปรโลก’ แบบรางๆ วิญญาณหยินทั่วทั้งเมืองหลวงก็ล้วนมารวมตัวกันที่นี่
พวกมันบ้างก็ลอยไปมาอยู่เหนือแท่นแปดทิศ บ้างก็บุกรุกสำนักโหราจารย์ผ่านกำแพงและหน้าต่าง บ้างก็เต้นระบำอยู่รอบหอดูดาว
ภายในสำนักโหราจารย์ เหล่าโหรทั้งหลายยกอาวุธเวทมนตร์กักเก็บแบบต่างๆ ขึ้นมาแล้วไล่จับดวงวิญญาณที่วนเวียนอยู่เต็มห้องราวกับเด็กที่เล่นไล่จับผีเสื้อ
“เร็ว จับพวกมันเอาไว้เร็ว เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับหลอมยาหลอมอาวุธเชียวนะ”
“นี่มันโชคดีเหมือนมีลาภตกมาจากฟ้าแท้ๆ”
“ระวังด้วย อย่าไปเก็บวิญญาณของเว่ยเยวียนมาเชียวล่ะ”
เหล่าโหรชุดขาวตื่นเต้นกับจำนวนของ ‘วัตถุดิบ’ พลางทอดถอนใจเล็กน้อย เมื่อคิดว่าช่วงนี้มีคนตายทั่วทั้งเมืองหลวงเยอะเกินไปแล้ว
หลังจากคนคนหนึ่งตาย วิญญาณจะมารวมตัวภายในเจ็ดวัน และจากนั้นในเวลาครึ่งเดือนก็จะสลายกลายเป็นหมอกควัน ไม่สามารถดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ได้ด้วยตัวเองอีก
หรือก็หมายความว่า วิญญาณหยินพวกนั้นที่ธงกวักวิญญาณเรียกมาล้วนเป็นวิญญาณใหม่ เป็นคนที่ตายภายในครึ่งเดือนนี้
เวลาครึ่งเค่อผ่านไปอีกครา…ซ่งชิงมองไปยังธูปที่เล็กลงเรื่อยๆ จนแทบจะไหม้หมดก้าน สีหน้าพลันย่ำแย่ขึ้นมาทันที
“เหตุใดวิญญาณของเว่ยเยวียนยังไม่มาอีก? ไม่มีเหตุผลเลย หรือว่าเป็นเพราะฝ่าบาทไม่คุ้นเคยกับเขาจริงๆ เขาก็เลยปฏิเสธที่จะมา”
ใบหน้างามหมดจดของฮว๋ายชิ่งซีดเผือด ขนตาถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งค้าง ร่องรอยความกังวลค่อยๆ รวมตัวกันที่หว่างคิ้ว นางดุว่า
“เหลวไหล ไปดูซะว่าเกิดปัญหาที่ตรงไหน”
ซ่งชิงไม่ได้พูดอะไร เขาตรวจสอบค่ายกลเป็นอันดับแรก แม้จะไม่คิดเลื่อนขั้นเป็นค่ายกลปรมาจารย์ค่ายกล แต่ค่ายกลที่สมควรเรียนรู้ เขาก็เรียนมาหมดแล้ว เมื่อมีวัสดุและภูมิศาสตร์ฮวงจุ้ยมากพอ ซ่งชิงก็สามารถสร้างค่ายกลที่มีพลังน่าเกรงขามออกมาได้
เพียงแต่ไม่อาจคิดแล้วทำให้ค่ายกลเกิดขึ้นมาได้เหมือนอย่างปรมาจารย์ค่ายกลเท่านั้น
“ค่ายกลเรียกวิญญาณไม่มีปัญหา ธงกวักวิญญาณไม่มีปัญหา กายเนื้อและจิตเดิมก็ยิ่งไม่มีปัญหา…”
ซ่งชิงพูดจบก็เงยหน้าของเงาร่างสะโอดสะองของจักรพรรดินี
“เจ้าหมายความว่า เรามีปัญหาหรือ?” ฮว๋ายชิ่งเลิกคิ้ว
นางสาบานได้ หากซ่งชิงกล้าหาเรื่องซวยในเวลานี้ กลับไปนางจะสั่งประหารเขาที่ไช่ซื่อโข่วแน่ๆ
ซ่งชิงขมวดคิ้ว เขาเงียบนิ่งไปนานก่อนเอ่ยว่า
“มีความเป็นไปได้สองแบบ หากวิญญาณของเว่ยเยวียนไม่สลายกลายเป็นหมอกควัน ก็ต้องถูกบางอย่างผนึกไว้ ดังนั้นแม้แต่ธงกวักวิญญาณที่เป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นสูงเช่นนี้ก็ไม่อาจเรียกมาได้”
เขาเผยความเคร่งขรึมที่มีในยามทำการทดลองแปรธาตุออกมา
ฮว๋ายชิ่งนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง พลางโบกสะบัดธงกวักวิญญาณพลางหันหน้าไปมองเขา
“มีวิธีหรือไม่”
ซ่งชิงตอบ
“เมื่อครู่ที่พูดเล่นกับฝ่าบาทว่าสวี่ชีอันเหมาะกับการเรียกวิญญาณมากกว่านั้น เป็นเพราะนอกจากโลหิตของเว่ยเยวียนที่อยู่ในตัวเขาแล้วก็…อืม พูดเช่นนี้ไม่ค่อยถูกนัก แค่พระองค์เข้าใจก็พอ แต่หลักๆ คือความจริงแล้วสวี่ชีอันมีโชคชะตามากพอ”
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว
“โชคชะตา?”
สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือ เรื่องการเรียกวิญญาณเช่นนี้ยังต้องโคจรปราณด้วยหรือ? หากต้องใช้วิธีการเป็นเด็กๆ เช่นนี้ แล้วธงกวักวิญญาณจะมีประโยชน์อะไร
ซ่งชิงยักไหล่
“ข้าก็ไม่เข้าใจหรอก นี่เป็นสิ่งที่จ้าวโส่วเอ่ยบอกมาเองตอนที่นำวิญญาณที่เหลือของเว่ยเยวียนส่งมายังสำนักโหราจารย์ เขาบอกว่า ต่อไปหากจะเรียกคืนวิญญาณของเว่ยเยวียน เช่นนั้นก็ต้องให้สวี่ชีอันมา เพราะเขามีโชคชะตามากพอ”
ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดแล้วถามกลับ
“สวี่ชีอันรู้เรื่องนี้หรือไม่”
“ย่อมต้องรู้แน่” ซ่งชิงตอบอย่างแน่วแน่
“เช่นนั้นเราก็ทำได้!”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง
เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นภารกิจที่สวี่ชีอันมอบให้นาง
นางสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาล้ำลึกสีดำสนิทของฮว๋ายชิ่งมีประกายสีทองวาบผ่าน แสงสีทองกลายเป็นเงาร่างมังกรเวียนว่ายอยู่ในดวงตา
ทันใดนั้น ฮว๋ายชิ่งก็คล้ายกลายเป็นคนละคน เป็นจอมกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์ผู้ทรงพลังอำนาจ แข็งแกร่ง และอยู่เหนือผู้ใด ทำให้ซ่งชิงที่อยู่ด้านหลังเกือบจะลงไปคุกเข่ากับพื้นและไม่กล้ามองความน่าเกรงขามของจอมกษัตริย์ตรงๆ
นางขับเคลื่อนปราณมังกรภายในร่างกาย
ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ นางใช้ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีเป็นสะพานดูดซับปราณมังกรหลักสามสายและเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายอีกหลายร้อยสาย
ปราณมังกรเหล่านี้ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างของนาง ไม่อาจขับเคลื่อนมาใช้ได้
จนกระทั่งนางขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินีและมีโชคชะตาติดตัว โชคชะตาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างจึงยอมจำนนต่อนางโดยสมบูรณ์ และกลายเป็นสองที่สามารถนำมาใช้งานได้
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
นัยน์ตาทั้งสองข้างของฮว๋ายชิ่งเปล่งประกายพลางขับเคลื่อนปราณในตันเถียน พร้อมส่งเสียงดังก้องทะลุฟ้า
…
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
เมืองจิ้งซาน ที่ปลายสุดของเส้นทางประกายทอง มีเสียงตะโกนเรียกดังลั่นราวกับสายฟ้ายามวสันต์
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนั่นก็คือลำแสงสีทองอร่ามที่สาดส่องจากปลายของเส้นทางประกายทองตรงมายังหว่างคิ้วของรูปสลักเทพพ่อมด
ที่หว่างคิ้วนั้น ผนึกที่ก่อเกิดเป็นปราณใสสายนั้นราวกับถูกแยกและค่อยๆ ลอกออก
บนริมขอบแท่นบูชา เสียงของซ่าหลุนอากู่ดังขึ้น เขาเดินปรี่มายังหน้ารูปสลักก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนี้ถึงจะถูก! โชคดีนักที่ต้าฟ่งยังมีผู้ที่มีโชคชะตาหนาแน่นมากพอ เว่ยเยวียน วันนั้นเจ้าผนึกเทพพ่อมด เทพพ่อมดจึงได้แสวงหาวิญญาณของเจ้า นี่เป็นวัฏจักรของเหตุต้นผลกรรม เจ้าซ่อมแซมผนึกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังแห่งชีวิต มาวันนี้เจ้าจึงจะลบผนึกชิ้นนี้ออกไปได้ นี่ก็คือวัฏจักรของเหตุต้นผลกรรมเช่นกัน เช่นนั้นข้าจะส่งพลังให้เจ้าอีกแรง”
เขาหยิบแส้ต้อนแกะออกมา แสงสีขาวสว่างขึ้นมาจากแส้ต้อนแกะ กระแสไฟฟ้าไหลหลั่งจนเกิดเสียง ‘ชี่ ชี่’ ราวกับเป็นสายฟ้าฟาด
‘เพียะ!’
ซ่าหลุนอากู่ฟาดลงบนร่างวิญญาณชุดครามด้วยมืออันสั่นเทา แสงสีขาวในแส้พลันหลอมรวมเข้าไปในวิญญาณ ร่างวิญญาณชุดครามระเบิดแสงสีขาวพร่างพราวและเต็มไปด้วยพลังในฉับพลัน
ขณะเดียวกันนี้ ปราณสีดำภายในรูปสลักก็เคลื่อนไหวอย่างดุดัน พวกมันต่างพากันผลักดันร่างวิญญาณชุดครามให้พุ่งออกมา
อีกด้านหนึ่ง เมื่อแสงทองส่องลงมา ในที่สุดแสงใสที่หว่างคิ้วก็สลายหายไป
‘โครม!’
มงกุฎหนามบนศีรษะสะเทือนลั่น ปราณสีดำพวยพุ่งออกมาราวกับน้ำพุแล้วดันร่างวิญญาณชุดครามออกไป
‘แคร่ก!’ หว่างคิ้วของรูปสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แตกร้าวอีกครั้ง และกลายเป็นเช่นก่อนหน้าที่เว่ยเยวียนจะซ่อมแซมมัน
ทันทีที่วิญญาณชุดครามหลุดออกจากที่กัก เส้นทางสายใหญ่ที่สายลมหยินสร้างขึ้นก็ยื่นเข้ามาหายิ่งกว่าเดิมแล้วพัดพาเขาไป จากนั้นมันก็หดเล็กลงแล้วหายไปที่ปลายขอบฟ้า
และปราณสีดำสายนั้นที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก็รวมกันเป็นใบหน้าขนาดใหญ่อันเลือนรางที่มองมายังทั่วทั้งเมืองจิ้งซาน
ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจ รู้สึกราวกับปลดภาระหนักและสิ้นหวังไปพร้อมกัน
ตั้งแต่เว่ยเยวียนผนึกเทพพ่อมด จนกระทั่งเขาฟื้นคืนชีพขึ้นก็ผ่านไปเป็นเวลาห้าเดือนแล้ว
เวลาห้าเดือนนี้ กลับทำให้สำนักพ่อมดเสียโอกาสดีๆ ที่จะกลืนกินพรมแดนทางเหนือและใช้พรมแดนเหนือเป็นฐานที่มั่นในการลงใต้และกลืนกินภาคกลาง
“บัดนี้จิ่วโจวตกอยู่ในความวุ่นวาย เทพมารสวมหนังปลอมตนนั้นหวนกลับมายังจิ่วโจว ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์พ้นจากปัญหาแล้วรวมตัวขึ้นใหม่ หากลั่วอวี้เหิงผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ เช่นนั้นลัทธิเต๋าก็จะมีเทพเซียนเดินดินเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว สถานการณ์เริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ”
“เจตจำนงสวรรค์เป็นเช่นนี้!”
ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าอย่างเสียใจ
ขณะที่เอ่ยพูด ใบหน้าเลือนรางที่เกิดจากปราณสีดำมารวมกันบนท้องฟ้าก็แตกสลาย พังทลาย และหดตัวกลับเข้าไปอยู่ในรูปสลักเทพพ่อมด
ดวงตาของรูปสลักที่เดิมทีว่างเปล่าก็ปรากฏแสงหม่นหมองสองดวงขึ้น พลางจ้องมองรูปสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงข้าม
หากสังเกตดูดีๆ จะพบว่ารอยร้าวที่หว่างคิ้วของรูปสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์กำลังแพร่กระจายและยื่นขยายออกไปทีละนิดๆ ท่ามกลางการ ‘จ้องมอง’ นี้
ตลอดทั้งกระบวนการเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง แต่มั่นคงไม่เปลี่ยนผัน
…
“หมดเวลาแล้ว!”
ซ่งชิงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ฝ่าบาท หนึ่งเค่อได้ผ่านไปแล้ว ท่านวางธงกวักวิญญาณเสียเถิด ถือนานไปจะทำร้ายพระวรกายมังกรได้”
ฮว๋ายชิ่งกัดฟันแน่นและโบกธงกวักวิญญาณต่อไปโดยไม่สนใจการห้ามปรามของซ่งชิง
ท่ามกลางเสียง ‘พรึ่บ พรั่บ’ ความร้อนจากธูปที่ซ่งชิงจุดขึ้นก็ค่อยๆ มลายหายไป เศษเถ้าถ่านต่างร่วงลงมา
ซ่งชิงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ผ่านมาอีกหนึ่งเค่อ ฮว๋ายชิ่งก็ตัวสั่นเทา ธงกวักวิญญาณในมือหลุดออกแล้วตกกระแทกพื้นเสียงดัง ‘ตึง’
ไม่ได้เป็นเพราะนางคิดล้มเลิก แต่นางมาถึงขีดจำกัดแล้ว จึงไม่อาจถือธงกวักวิญญาณให้มั่นได้อีก
ดวงหน้าขาวสล้างงามละออเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีเข้ม ริมฝีปากสีแดงก็กลายเป็นสีดำอมม่วง สองแขนของนางก็มีน้ำแข็งเคลือบอยู่หนาแน่น
อาวุธเวทมนตร์ชั้นสูงอย่างธงกวักวิญญาณนั้น ไม่มีวัสดุหลักสักชิ้นเดียวที่เกี่ยวข้องกับโลกของผู้อยู่เหนือสามัญ นางในขั้นสี่ยากจะควบคุมมันได้เป็นเวลานานๆ
เมฆครึ้มปกคลุมเต็มท้องฟ้า จากนั้นลมหยินก็หยุดพัด
วิญญาณหยินที่วนเวียนอยู่รอบหอดูดาวก็ค่อยๆ จากไปเช่นกัน
“ฝ่าบาท ถอนพิษเถิด”
ซ่งชิงหยิบขวดกระเบื้องออกมาจากในอกเสื้อแล้วโยนไปให้ส่งๆ
ไม่มีความคิดที่จะยกถวายด้วยสองมือเลย
คนที่ทำการศึกษาทดลองมักไม่ค่อย ‘ฉลาด’ พอ
ดังนั้นฮว๋ายชิ่งจึงไม่รับ นางเดินตรงไปหาเว่ยเยวียนแล้วจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั่นโดยไม่เอ่ยพูด ในแววตามีความผิดหวังอย่างล้ำลึก
ในชั่วขณะนี้เอง ซ่งชิงกลับมองเห็นความโศกเศร้าจากองค์จักรพรรดินี
เขาพลันคิดขึ้นได้ว่า หากเขาจำไม่ผิด ตอนที่ฮว๋ายชิ่งยังเป็นองค์หญิงก็คล้ายจะเรียนวิชาเดินหมากกับเว่ยเยวียนอยู่หลายปี
ทันใดนั้น ค่ายกลเรียกวิญญาณที่เท้าของฮว๋ายชิ่งก็สว่างขึ้นมา จากนั้นประกายแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นมาบนฟ้าและซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ แล้วพุ่งเข้าหาหอดูดาวที่สูงตระหง่านเทียมเมฆอย่างรวดเร็ว
แสงทองนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงไม่กี่อึดใจก็เข้ามาใกล้กับแท่นแปดทิศแล้ว จากนั้นก็พุ่งเข้าสู่ภายในร่างในชุดครามที่กลางค่ายกลภายใต้การ ‘คุ้มกัน’ ของสายลมหยิน
ฮว๋ายชิ่งถอยออกจากค่ายกลในชั่วขณะนี้ ดวงตาคู่งามจดจ้องไปยังร่างในชุดครามโดยไม่แม้แต่จะกะพริบ
ทันใดนั้น ดวงตาของชายในชุดครามก็สั่นไหวและค่อยๆ เปิดออก
เขามองไปยังท้องฟ้าเงียบๆ สามวินาที จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาแล้วมองดูรอบข้าง สุดท้ายสายตาก็ไปตกอยู่บนร่างของฮว๋ายชิ่ง
จอนผมของเขาสีขาว ในดวงตาแฝงความโชกโชนที่สั่งสมมาหลายปี จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา
“ไม่ได้เจอกันนาน ฝ่าบาท!”
ฮว๋ายชิ่งขอบตาแดงก่ำ น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาเงียบๆ
“เว่ยกง…”
…
นอกเมืองหลวง ชายชุดดำผู้หนึ่งขี่ม้าพุ่งออกจากประตูเมืองแล้วทะยานออกไป
…
ยงโจว
สวี่ผิงเฟิงรู้สึกได้ถึงบางอย่าง จึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายเพื่อหนีห่างและหลบหลีกปราณดาบจากชายชราได้
จากนั้นก็หันหน้าไปมองทางเหนือ เห็นอยู่ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวัน แต่ท้องฟ้าทางเหนือกลับมีดวงดาวเจิดจรัสส่องประกายอยู่
“เว่ยเยวียน...”
ในฐานะโหรขั้นสอง การอ่านปรากฏการณ์ดวงดาวคือความสามารถที่อยู่ในขอบเขตอยู่แล้ว
สวี่ผิงเฟิงค่อยๆ กำหมัดแน่น หน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาชัดเจน
เว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ร่างกายอ่อนแอเช่นนั้นจะไปทำสิ่งใดได้?
แต่ถ้าหากลั่วอวี้เหิงผ่านด่านเคราะห์ได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นต้าฟ่งก็ไม่เพียงมีพลังต่อสู้เหนือสามัญสมดุลกับฝั่งอวิ๋นโจวเท่านั้น แต่ในสมรภูมิ ต่อให้สวี่ผิงเฟิงจะชื่นชมชีก่วงป๋อแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถต่อกรกับเว่ยเยวียนได้
“ข้าต้องไปที่ทางเหนือสักหน ต่อให้ต้องใช้ร่างอวตารก็ตาม…”
สวี่ผิงเฟิงกวาดตามองชายชราด้านล่าง แล้วนวดหว่างคิ้วด้วยความรู้สึกปวดหัว
หากคิดจะทรมานจอมยุทธ์ขั้นสองจนตาย ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในวันสองวัน
‘ช่างเป็นหินโสโครกในห้องปลดทุกข์ยิ่งนัก’
…
ซินเจียงตอนใต้
ในป่าบุพกาลนอกหุบเหวลึก แม่ย่าเทียนกู่มองไปทางเหนือผ่านแมกไม้ที่ปกคลุมหนาแน่น
“เว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพแล้ว”
แม่ย่าเทียนกู่หรี่ตาลง ใบหน้ายับย่นเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำแล้วจะสูญเปล่าอีกแล้ว”
หลงถูและพวกผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจขึ้นมา จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
หลวนอวี้ผู้ทรงเสน่ห์ขมวดคิ้วขนงทรงประณีต
“เขาฟื้นคืนระดับฝึกตนในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?”
แม่ย่าเทียนกู่ส่ายหน้า
หลงถูผิดหวังไปครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดเล่า ยังต้องดูด้วยว่าสวี่ชีอันยังสามารถคุมศึกช่วงชิงนี้ได้หรือไม่”
โหยวซือกล่าว
“ต้าฟ่งต้องแพ้แน่แล้ว พวกเราไม่เพียงแต่ขาดทุนย่อยยับ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะถูกดึงไปคิดบัญชีร่วมด้วยก็ได้”
สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจคือ เจ้าสวี่ชีอันผู้นี้ยังไม่ได้มอบศพโบราณนั่นให้เขาเลย
แม่ย่าเทียนกู่หัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าย่ำแย่ของผู้นำแต่ละคน
…
หอดูดาว แท่นแปดทิศ
เว่ยเยวียนนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะที่เดิมเป็นของท่านโหราจารย์ ในมือถือชาร้อนหนึ่งถ้วย เขาจิบมันแล้วส่ายหน้า
“ไม่มีชาของเทพดอกไม้หรือ?”
ฮว๋ายชิ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขากักเก็บอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ แล้วยิ้มมุมปากเบาๆ จนแทบมองไม่เห็น
“เว่ยกงเชิญไปขอจากสวี่ชีอันได้”
ซ่งชิงถูกไล่ออกไปจากแท่นแปดทิศแล้ว แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ดีใจยิ่ง ถึงอย่างไรเรื่องเล็กๆ ไม่น่าพูดถึงอย่างการฟื้นคืนชีพเว่ยเยวียนก็ไม่พอทำให้เขาละทิ้งงานทดลองแปรธาตุในมือ
เว่ยเยวียนวางชาลงแล้วเอ่ย
“สวี่ชีอันไม่มี นั่นแปลว่าต้าฟ่งมาถึงสถานการณ์ที่ล่อแหลมแล้ว ท่านโหราจารย์ผู้นั้นถูกใครผนึกเอาไว้ล่ะ?”
ฮว๋ายชิ่งผู้ซึ่งไม่เคยเปิดเผยข้อมูลใดๆ ออกไปแม้แต่นิดเหลือบมองชายหนุ่มจอนผมขาวแล้วถอนหายใจออกมา
“เว่ยกง ก่อนที่ท่านจะไป ได้คิดเอาไว้ก่อนแล้วหรือไม่ว่าตัวเองจะฟื้นคืนชีพอีกครา? ตอนนี้ต้าฟ่งอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมจริงๆ ฮว๋ายชิ่งจึงอยากจะขอคำชี้แนะจากท่าน”
……………………………………………..