ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 777 ผู้รับไม้ต่อที่ฝังไว้ห้าเดือน
บทที่ 777 ผู้รับไม้ต่อที่ฝังไว้ห้าเดือน
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณเมื่อถามออกไปว่าเว่ยเยวียนรู้มาก่อนหรือไม่ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพ
จะว่าไปแล้ว ตอนนี้มีหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ได้ว่าเว่ยเยวียนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า กระทั่งเตรียมพร้อมหมดแล้วเกี่ยวกับเรื่องการฟื้นคืนชีพของตน
เช่นจ้าวโส่วยืมพลังดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอก เพื่อแสดงประกาศิตและนำวิญญาณเว่ยเยวียนกลับมา
เป็นไปไม่ได้ที่จ้าวโส่วจะไม่บอกเรื่องนี้กับเว่ยเยวียนล่วงหน้า ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบัง
หรือตัวอย่างที่ซ่งชิงได้สร้างวิชาปรับแต่งร่างกายมนุษย์อัน ‘สะท้านโลกา’ ซึ่งนัยหนึ่ง นี่เป็นเรื่องผิดวิสัยจนสั่นสะเทือนโลกจริงๆ
และนี่ย่อมมิอาจปิดบังเว่ยเยวียนได้
ด้วยความสามารถด้านกุศโลบายของเขา จะต้องรวมมันเข้าในแผนการแน่
ทว่าฮว๋ายชิ่งยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
ใช่แล้ว เป็นเมล็ดบัว ตอนนั้นเว่ยกงตั้งใจให้สวี่ชีอันช่วยเหลือนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นพิเศษ แล้วแลกเมล็ดบัวเมล็ดหนึ่งมาจากนักบวชเต๋าจินเหลียน…ฮว๋ายชิ่งนึกออกแล้วว่า เว่ยเยวียนขอเมล็ดบัวเมล็ดหนึ่งจากนักบวชเต๋าจินเหลียนผ่านทางสวี่ชีอัน
จากเบาะแสต่างๆ ข้างต้น สรุปได้ไม่ยากว่าเว่ยเยวียนได้เตรียมแผนการฟื้นคืนชีพไว้ตั้งแต่ก่อนกรีธาทัพแล้ว
ในตอนนั้นเพียงคิดว่าที่เว่ยเยวียนของเมล็ดบัว เพียงเพราะเห็นว่าเป็นของล้ำค่าหายากเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการอันลึกซึ้งจนทำให้คนทอดถอนใจด้วยความท้อแท้
“บอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของต้าฟ่งในระยะนี้ก่อน”
สายตาของเว่ยเยวียนทอดมองไปยังซังผอขณะที่เอ่ย
ที่นั่นกำลังจัดพิธีไหว้วสันต์ เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเค่อเท่านั้นระหว่างที่เขาฟื้นคืนชีพจนถึงมานั่งคุยกันสองคน
และเป็นเวลาที่ชาพร้อมดื่มพอดี
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว…”
ฮว๋ายชิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ข้าจะเลือกประเด็นสำคัญมาพูดกับท่าน”
ประเด็นสำคัญที่ว่าก็คือ สถานการณ์ในปัจจุบันของต้าฟ่ง รวมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในสนามรบชิงโจวและยงโจว การ ‘ล่วงลับ’ ของท่านโหราจารย์ รวมถึงเปรียบเทียบกำลังและจำนวนผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งและอวิ๋นโจว
ต่อด้วยเรื่องยุทธการหนีเคราะห์กรรม
ซึ่งช่วยให้เว่ยเยวียนเข้าใจสถานการณ์โดยรวมได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องที่นางขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงอำนาจขุนนางต้าฟ่ง รวมถึงความลับโบราณเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องรอง
“ดีกว่าที่ข้าคิดไว้” เว่ยเยวียนจิบชาอึกหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าหมายถึงสนามรบ สถานการณ์การสู้รบจนถึงตอนนี้ ต้าฟ่งพร่องไปเพียงหนึ่งลมหายใจ ทว่าอวิ๋นโจวก็สาหัสเช่นกัน ซึ่งนี่ดีมากแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งในยามนี้ยังไม่เข้าใจที่เขาว่า ‘ดี’ นั้น ดีตรงไหน
นางเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ยามนี้ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของต้าฟ่งขึ้นอยู่กับยุทธการหนีเคราะห์กรรมของชายแดนตอนเหนือ ทว่าลั่วอวี้เหิงจะหนีเคราะห์กรรมได้ราบรื่นหรือไม่ เราไม่แน่ใจ เว่ยกงคิดว่าอย่างไรหรือ”
ฮว๋ายชิ่งแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะฟังความเห็นของเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับว่า
“ตอนที่สวี่ชีอันเลื่อนขึ้นเป็นขั้นสอง ได้ช่วงชิงจิตวิญญาณของพระชายาหรือไม่”
เขายังคงคุ้นเคยกับการเรียกมู่หนานจือว่าพระชายา
ในคำสาธยายเมื่อครู่ ฮว๋ายชิ่งเพียงเล่าว่าสวี่ชีอันถอนตะปูตอกวิญญาณแล้วเลื่อนขึ้นเป็นขั้นสอง แต่ไม่ได้กล่าวถึงมู่หนานจือ
ฟังจบ ฮว๋ายชิ่งก็กัดริมฝีปากพลางพยักหน้า
เว่ยเยวียนเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายเล็กน้อยว่า
“สิ่งที่ท่านต้องสนใจไม่ใช่สงครามเหนือมนุษย์ที่ชายแดนตอนเหนือ เรื่องที่มิอาจแทรกแซงได้ก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ด้วยปณิธานของท่าน”
“ข้าก็เช่นกัน ร่างกายนี้ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป เรื่องสงครามที่ชายแดนตอนเหนือ ข้าเองก็จนปัญญา
“สวี่หนิงเยี่ยนให้ท่านชุบชีวิตข้า เพื่อต้องการให้ข้าช่วยแก้ไขเรื่องสงครามยงโจว”
“ท่านไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เลือกเวลาที่เหมาะสมในการขึ้นครองบัลลังก์ แต่ตอนแรกข้านึกว่าท่านจะสนับสนุนให้องค์ชายสี่ครองบัลลังก์ ส่วนตนก็แอบชักใยอยู่เบื้องหลังเสียอีก แน่นอนว่าหากท่านเลือกที่จะแย่งชิงบัลลังก์หลังจากหยวนจิ่งตาย ข้าก็เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ท่านแล้วเช่นกัน”
ฮว๋ายชิ่งตะลึงงัน “นอกจากบุตรในเงามืดของเจ้าพนักงานเคาะยามบอกเวลาแล้ว เว่ยกงยังทิ้งลูกไม้อะไรไว้อีกรึ”
เหตุที่นางเลือกจะอดทนอดกลั้นหลังจากจักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ก็เพราะรัชทายาทเป็นเจิ้งถ่ง และต้าฟ่งในตอนนั้นก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ย่ำแย่เช่นนี้ ดังนั้นจึงยังไม่ถึงเวลา
อีกทั้งในยามนั้น ปราณมังกรถูกตีพ่าย ทัพกบฏอวิ๋นโจวเตรียมพร้อมในการโจมตี จักรพรรดิองค์ก่อนก็แทบจะผลาญคลังหลวงจนสูญ
เมื่อหย่งซิ่งขึ้นครองบัลลังก์จึงต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายครั้งใหญ่ ด้วยความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะควบคุมสถานการณ์ได้แน่ ดังนั้นฮว๋ายชิ่งจึงคิดว่าการอดทนอดกลั้นคือหนทางที่ดีที่สุด
นางคิดไม่ถึงว่าเว่ยเยวียนจะยังทิ้งไพ่ใบสุดท้ายไว้ให้นางจริงๆ
“ในเมื่อไม่ได้ใช้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว” เว่ยเยวียนเอ่ยพลางหรี่ตา
“ข้าถึงบอกว่า ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของหยางกงและทหารต้าฟ่งอยู่นอกเหนือความคาดการณ์ของข้า ซึ่งดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก เดิมคิดว่าจะเป็นสงครามที่ยากลำบาก ผลปรากฏว่ากองทัพอวิ๋นโจวกลับเป็นม้าตีนต้นไปได้
“ทว่าการปรากฏตัวของไป๋ตี้กลับไม่อยู่ในการคาดการณ์ของข้า ส่วนเรื่องการคำนวณพลาดของท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้น่าแปลกใจนัก
“สวี่ผิงเฟิงกล้าก่อกบฏ ย่อมมีวิธีตอบโต้กับพลังของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า สำหรับจุดนี้ไม่ต้องไปสืบเสาะอนาคตหรอก ใช้สมองก็พอแล้ว”
เขามองจักรพรรดินีที่พลันแสดงสีหน้าตกใจ แล้วยิ้มพลางว่า
“ใช่แล้ว เรื่องที่ข้าก็คิดได้ ท่านโหราจารย์จะคิดไม่ถึงรึ”
ฮว๋ายชิ่งหาได้โง่เขลา นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เว่ยเยวียนส่ายหน้า
“ตาเฒ่านั่นคิดอะไร ไม่มีใครรู้หรอก จำหมากลับก้าวนี้ไว้ก็พอ เมื่อมองต่อไปย่อมจะเดาออกเอง”
ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงอืม แสดงออกว่าเรียนรู้แล้ว
เว่ยเยวียนเอ่ยต่อว่า
“จุดประสงค์ที่ไป๋ตี้จัดการท่านโหราจารย์ และจัดการต้าฟ่งคืออะไร”
นี่ก็เป็นสิ่งที่ฮว๋ายชิ่งไม่ได้เอ่ยถึงเช่นกัน
นางรู้ว่าเว่ยเยวียนจะถาม จึงฉวยจังหวะเอ่ยว่า
“เรื่องนี้ว่าไปแล้วซับซ้อน เว่ยกงเคยได้ยินเรื่องการมีอยู่ของผู้พิทักษ์ประตูหรือไม่”
เว่ยเยวียนส่ายหัว ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้
“ท่านโหราจารย์หรือ”
ฮว๋ายชิ่งไม่เคยรู้สึกว่าตนเป็นคนฉลาดเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ และบอกเว่ยเยวียนทุกอย่างเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องผู้พิทักษ์ประตู รวมถึงความจริงและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการล่วงลับของเทพมารบรรพกาล
“ที่แท้ก็จุดประสงค์เดียวกับระดับสุดยอด” เว่ยเยวียนกระจ่างพลัน เขาจิบชาอุ่นๆ แล้วเอ่ยว่า
“การหนีเคราะห์กรรมจะสิ้นสุดลงในสี่วันให้หลัง อืม ตอนนี้ท่านควรส่งคำสั่งไปยงโจวทันทีเพื่อถอนทหารในชั่วข้ามคืนและถอยกลับเมืองหลวง”
เขารู้ได้อย่างไรว่าระดับสุดยอดและไป๋ตี้วางแผนร้ายเรื่องเดียวกัน…ฮว๋ายชิ่งไม่เคยอ่านจดหมายสั่งเสียที่เว่ยเยวียนทิ้งไว้ให้สวี่ชีอัน หลังจากสงสัยได้ครู่หนึ่ง ก็ถลึงตาอ้าปากค้างกับคำพูดอันน่าตกใจของเว่ยเยวียน ก่อนขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า
“หยางกงบาดเจ็บสาหัสไม่ฟื้นคืนสติ ทหารอารักขายงโจวขาดผู้นำ และกำลังรอให้ท่านไปดูแลสถานการณ์โดยรวม ยงโจวเป็นแนวป้องกันสุดท้าย เหตุใดจึงประเคนให้คนอื่นไปเฉยๆ เล่า”
เว่ยเยวียนเติมน้ำร้อนอย่างเนิบๆ แล้วยิ้มพลางว่า
“ข้าแค่จะปล่อยยงโจวให้เขา”
เมื่อเห็นฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วมุ่น เว่ยเยวียนจึงอธิบายว่า
“สวี่ผิงเฟิงคือโหรขั้นสอง คิดว่าเขาคงรู้แล้วว่าข้าคืนชีพแล้ว เมื่อคิดในมุมของเขา ท่านคิดว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร”
ฮว๋ายชิ่งวิเคราะห์ว่า
“ฉวยโอกาสที่ท่านเพิ่งฟื้นคืนชีพ ทำการต่อสู้และยึดยงโจวด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่ท่านจะทันได้เข้าควบคุมสถานการณ์และกองทัพ เขาไม่มีทางให้เวลาท่านแน่”
“กองกำลังทหารกล้าของต้าฟ่งถูกกวาดล้างหมดแล้ว ท่านคิดว่าจะรักษายงโจวไว้ได้หรือ”
ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า แล้วเม้มปากพลางว่า
“แต่ก็ร่วมกันล้มกำลังหลักส่วนหนึ่งของทัพอวิ๋นโจวอีกครั้งได้นี่”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า
“นี่ไม่ใช่วิธีการต่อสู้ในสงคราม ยงโจวไม่มีทหารกล้ามากนัก แต่เมืองหลวงน่ะมี เมืองหลวงยังมีกองทหารต้องห้ามหนึ่งหมื่นนาย ซึ่งเป็นกองกำลังสุดท้ายของต้าฟ่ง เมืองหลวงมีปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพที่สุด มีกำแพงเมืองแข็งแกร่งที่สุด ยอดฝีมือก็ไม่ขาดแคลนเช่นกัน องค์ชายองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ในวังก็เลี้ยงดูยอดฝีมืออยู่จำนวนไม่น้อย
“เมืองหลวงยังมีค่ายกลป้องกันเมืองขนาดใหญ่ที่ท่านโหราจารย์บรรจงสรรค์สร้างด้วยตัวเอง แม้จะกล่าวว่าอานุภาพของค่ายกลลดทอนลงอย่างมากเมื่อปราศจากการควบคุมของเขา แต่ก็ยังถือเป็นปราการอันแข็งแกร่งชั้นหนึ่ง หากรวบรวมกองทหารต้องห้ามไร้ค่ายและกองกำลังที่เหลือของยงโจวอีก จะคุ้มกว่าการปล่อยให้พวกหยางกงตายไปพร้อมกับเมืองหรือไม่”
ค่ายกลใหญ่ป้องกันเมืองจัดตั้งขึ้นในช่วงต้นของการสร้างเมืองหลวง
เมื่อครั้งสถาปนาอาณาจักรต้าฟ่ง จักรพรรดิเกาจู่ได้สร้างเมืองหลวงที่นี่ โหรทั้งหมดแห่งสำนักโหราจารย์ก็ได้ออกมามีส่วนร่วมในการก่อตั้งอย่างเต็มกำลัง
วัสดุที่ประสานรับกันถูกใส่เข้าไปในผนังของกำแพงเมืองที่ต่างๆ ท่านโหราจารย์รุ่นหนึ่งเป็นผู้ประสานงานบรรจงสร้างค่ายกลด้วยตนเอง ภายในกำแพงสูงใหญ่ซึ่งดูเหมือนธรรมดาของเมืองหลวง แท้จริงแล้วซ่อนค่ายกลอยู่เท่าไรก็ไม่มีใครล่วงรู้
หลังจากท่านโหราจารย์คนปัจจุบันขึ้นมามีอำนาจ ค่ายกลของเมืองหลวงก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้ราชสำนักสูญเสียรายได้จากภาษีไปเกือบครึ่งปี
นอกจากเมืองหลวงแล้ว มีเพียงเมืองหลักสำคัญที่ชายแดนบางแห่งเท่านั้นจึงจะมีค่ายกล ทว่าก็เป็นเพียงค่ายกลป้องกันเมืองอย่างคร่าวๆ
ซึ่งนี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรคนและทรัพย์สินอย่างแท้จริง
‘แต่เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่มีทางถอยแล้ว’…ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วนิ่งเงียบ แล้วฟังเว่ยเยวียนเอ่ยอีกว่า
“นี่เป็นวิธีการรับมือที่ถูกต้องที่สุดแล้ว จากมุมมองของสวี่ผิงเฟิง นี่เป็นทางที่ข้าจะเลือก และจุดนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง”
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วพลางว่า
เว่ยเยวียนมองไปยังทิศของยงโจว
“หมายความว่าใช้กลยุทธ์รบเร็วจบเร็ว”
…
กลางดึก
ณ ค่ายทหารอวิ๋นโจว ห่างจากเมืองยงโจวไปสี่สิบลี้
ในกระโจมทหาร แม่ทัพสิบกว่าคนกำลังรวมตัวกัน เทียบกับแม่ทัพที่สามารถเข้าไปหารือในกระโจมทหารของชีก่วงป๋อเมื่อครั้งเพิ่งออกจากอวิ๋นโจวแล้ว มีหน้าใหม่มามากทีเดียว
จัวเฮ่าหราน หวังฉู่ และแม่ทัพคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์โชกโชนและตบะแกร่งกล้า ได้พลีชีพในสนามรบไปทีละคน
ผู้ได้รับการเลื่อนขั้นใหม่ หากไม่มีตบะอ่อนด้อยไปบ้าง ก็ขาดประสบการณ์ในการนำทัพออกรบอยู่สักหน่อย
เมื่อเทียบกับการสูญเสียกองกำลังชั้นยอด การพลีชีพในสนามรบของแม่ทัพระดับสูงเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ชีก่วงป๋อปวดใจที่สุด
แม่ทัพประสบการณ์สูงผู้หนึ่งซึ่งตัดสินชี้ขาดผลการรบได้ มิเช่นนั้นจะมีคำกล่าวหรือว่า การเกณฑ์ทหารนับพันเป็นเรื่องง่าย แต่การหาแม่ทัพที่ดีได้นั้นแสนยาก
ทว่าสงครามที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ความเสียหายของต้าฟ่งก็มีแต่จะหนักขึ้น
ไม่เพียงทหารกล้าที่ถูกกำจัดออกไป กระทั่งหยางกงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการยงโจวก็ยังมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เวลานี้กองทัพยงโจวไร้ผู้นำ ขุนนางตำแหน่งสูงสุดในตอนนี้ก็คือเหยาหง สมุหเทศาภิบาลยงโจวซึ่งเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง
ส่วนผู้บัญชาการยงโจวก็เป็นลูกหลานตระกูลโบราณผู้หนึ่งที่นอนเสพสุขอยู่บนความดีความชอบของบรรพบุรุษและรอวันตาย
ยงโจวอยู่ประชิดเมืองหลวง เชื่อมต่อกันทางทิศเหนือและใต้ มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่โบราณ น้อยนักที่จะมีภัยพิบัติจากสงคราม
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว ประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทัพจึงอ่อนแออย่างยิ่ง และเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับลูกหลานตระกูลโบราณในการชุบตัว
หลังสงครามสวินโจว ทหารกล้าที่สู้รบได้ของต้าฟ่งก็ถูกกำจัดไปเกือบหมด การยึดครองยงโจวจึงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ทว่ากองทัพอวิ๋นโจวก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน ทหารเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง กองทัพซึ่งขึ้นตรงกับชีก่วงป๋อก็เกือบถูกกวาดล้างที่สวินโจว
ด้วยเหตุนี้ แม้กองทัพอวิ๋นโจวจะประจำการอยู่นอกเมืองยงโจว หากได้แต่คุมเชิง มิได้เริ่มสงคราม และพักฟื้นพลางรอให้ยุทธการหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือสิ้นสุดลง
ทว่าวันนี้ ข่าวหนึ่งที่ทำให้ทหารระดับสูงของกองทัพอวิ๋นโจวขนหัวลุก ได้ถูกส่งมาจากราชครู
เว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพแล้ว!
เว่ยเยวียนกลับมามีชีวิตอีกครั้งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
ทว่าใครบ้างที่มาจากกองทัพจะไม่รู้จักชื่อเสียงของเว่ยเยวียน
เทพสงครามผู้ชนะในยุทธการด่านซานไห่ ซึ่งถูกกำหนดให้ทิ้งชื่อไว้ในตำราประวัติศาสตร์
แม้ในอนาคตอวิ๋นโจวจะได้ครอบครองใต้หล้า แต่เมื่อขุนนางอารักษ์รวบรวมประวัติศาสตร์ ปลายพู่กันก็มิอาจหลบเลี่ยงขุนพลผู้มีพรสวรรค์ซึ่งพันปีจะพบสักครั้งได้
“ราชครูหมายความว่าอย่างไร”
หยางชวนหนานเหลือบมองจีเสวียน แล้วปราดมองชีก่วงป๋ออีกครั้ง
จีเสวียนคือผู้ที่กลับมายังค่ายทหารวันนี้ ซึ่งหมายความว่าสงครามเหนือมนุษย์ในยงโจวสิ้นสุดลงแล้ว แต่ไม่มีข่าวการเสียชีวิตในสนามรบของโค่วหยางโจวและซุนเสวียนจี จึงเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองฝ่ายเพียงพักศึกไว้ชั่วคราวเท่านั้น
จีเสวียนเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ความหมายของราชครูก็คือ เอาชนะยงโจวโดยไม่คำนึงผลตอบแทน แล้วคุมเชิงทางเหนือกับเมืองหลวง อย่าได้เปิดโอกาสให้เว่ยเยวียน”
ชีก่วงป๋อสีหน้าหนักอึ้ง ทว่าสองตากลับมีประกายแวววาว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พลุ่งพล่านอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งกล่าวเสริมว่า
“ตีเมืองหลวง ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จมาและจัดพิธีขึ้นครองบัลลังก์อย่างยิ่งใหญ่ ถึงเวลานั้น ราชครูจะหล่อหลอมโชคชะตาของเมืองหลวง ไม่มีอำนาจใดที่จะกู้คืนราชสำนักต้าฟ่งได้”
หยางชวนหนานพยักหน้า
“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ”
แม่ทัพที่เหลือเพียงพยักหน้าโดยมิเอ่ยคำใด
หากชนะยุทธการหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือ ทุกอย่างก็พูดง่ายแล้ว
แต่ถ้าพลาดขึ้นมาเล่า
ลั่วอวี้เหิงเลื่อนขึ้นเป็นขั้นหนึ่งอย่างราบรื่น การต่อสู้ของระดับเหนือมนุษย์ก็เกือบเสมอกัน หากมีเว่ยเยวียนมาวางกลยุทธ์เผด็จศึกแนวหลังอีก…แค่คิดก็หนังศีรษะชาหนึบแล้ว
เดิมทุกคนมีความมั่นใจอย่างมากในยุทธการหนีเคราะห์กรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนส่วนใหญ่ก็เริ่มไหวหวั่น
เกือบสิบวันแล้ว พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และไป๋ตี้ยังไม่ได้สังหารสวี่ชีอันและคนอื่นๆ
หากฆ่าได้คงฆ่าไปนานแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่มีผลลัพธ์ใดๆ แสดงว่าการต่อสู้ที่ชายแดนตอนเหนือจะต้องมีปัญหาแน่
ชีก่วงป๋อเอ่ยว่า
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป บุกโจมตีเมืองในเวลาย่ำรุ่ง”
จีเสวียนเอ่ยว่า
“ข้าและราชครูจะรับผิดชอบตรึงกำลังซุนเสวียนจีและพวกตาเฒ่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ พวกท่านต้องยึดยงโจวโดยเร็วที่สุด”
ทุกคนกล่าวพร้อมกันว่า
“แม้ตายก็ไม่ถอย!”
…
ดวงจันทร์ลอยเด่น
ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งควบไปตามถนนแคบๆ บนภูเขา และหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อแยกแยะทิศทางตามตำแหน่งของดวงจันทร์
หลังจากวิ่งควบผ่านสถานที่รกร้างไร้ผู้คนตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็ปรากฏแสงไฟตรงหน้า
แสงไฟสว่างขึ้นเรื่อยๆ เค้าโครงสิ่งปลูกสร้างที่สอดรับกันสะท้อนเข้านัยน์ตาของทหารม้าชุดดำ
นั่นเป็นเมืองทหารซึ่งถูกทิ้งร้างที่สร้างขึ้นในที่ลุ่มบนภูเขา
ม้าควบไปตามเส้นทางเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหินจนมาถึงนอกเมืองทหาร ทันใดนั้น ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาท่ามกลางความมืด ก่อนปักอยู่บนถนนเบื้องหน้าทหารม้า
ทหารบนหลังม้าดึงสายบังเหียนอย่างแรง ม้าศึกร้องเสียงยาวแล้วหยุดลงกะทันหัน
ทหารกล้าชุดเกราะหมุนตัวพุ่งออกมาจากในพุ่มหญ้าสองข้างถนนลูกรังเล็กๆ
ทหารชุดเกราะซึ่งเป็นผู้นำตะคอกว่า
“ใครน่ะ!”
ทหารม้ามิได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า
“ได้รับคำสั่งจากเว่ยกงให้มาพบหัวหน้าของพวกท่าน”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวหน้าคือผู้ใด
…
ในหอเล็กๆ ใจกลางเมืองทหาร หนานกงเชี่ยนโหรวนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังเช็ดดาบประกายวาววับ
ในช่วงห้าเดือนนี้ เขาคุ้นชินกับการเช็ดอาวุธก่อนเข้านอน
รอคอยวันข้างหน้าที่เขาจะนำกองทัพไปถล่มสำนักพ่อมดเพื่อล้างแค้นให้พ่อบุญธรรมของเขา
ตะเกียงน้ำมันสีเหลืองสลัวสะท้อนใบหน้าอันงดงามไร้ที่เปรียบของเขา ริมฝีปากกระจับ ผิวขาวราวหิมะ รูปคิ้วดั่งภาพวาดให้ความรู้สึกสำอาง หากมิใช่เพราะดวงตาเย็นชากดข่มซึ่งมิใช่คุณลักษณะที่สตรีพึงมี รวมถึงลูกกระเดือกที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ใครก็ตามที่ได้พบล้วนต้องคิดว่าเขาเป็นสตรีเพศ
ทั้งยังเป็นคนงามเพริศแพร้วด้วย
หลังจากได้พบกับซุนเสวียนจีในวันนั้น เขาก็มาที่เมืองทหารร้างแห่งนี้ตามคำแนะนำในถุงผ้าดิ้นที่พ่อบุญธรรมทิ้งไว้ให้
ที่นี่มีทุกสิ่งพร้อมสรรพ มีเสบียงอาหารซึ่งเพียงพอสำหรับกองทัพใหญ่หนึ่งหมื่นนายใช้กินได้ตลอดหนึ่งปี เพราะอย่างไรเสียเสบียงอาหารชุดนี้ก็มีไว้ให้กองทัพใหญ่หนึ่งแสนนายอยู่แล้ว
นอกจากอาหารและหญ้าแล้ว ยังมีเทียนไข น้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงวัสดุสิ้นเปลืองและของใช้ประจำวันที่เกี่ยวข้อง หากมีปริมาณน้อยนัก
หลังจากเห็นเสบียงกองทัพเหล่านี้ หนานกงเชี่ยนโหรวก็พลันกระจ่างว่า เสบียงกองทัพที่หายไปเมื่อครั้งยกทัพไปปราบปรามสำนักพ่อมดไปอยู่ที่ใด
ทว่าเขาเดาถูกเพียงครึ่งหนึ่ง เสบียงกองทัพพวกนี้เป็นส่วนที่หายไปตั้งแต่แรกจริงๆ ทว่ามิใช่เสบียงที่เว่ยเยวียนตัดทิ้ง เป็นจักรพรรดิองค์ก่อนที่สร้างถนนไม้กระดานในที่แจ้งเพื่อข้ามเฉินชางอย่างลับๆ โดยเคลื่อนย้ายเสบียงกองทัพชุดนี้ผ่านการขนส่งทางน้ำ
เพียงแต่ระหว่างทางถูกคนที่เว่ยเยวียนจัดวางไว้ปล้นไป
การที่จักรพรรดิองค์ก่อนตัดเสบียงอาหาร เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดการณ์ของเว่ยเยวียน
หนานกงเชี่ยนโหรวหาได้รู้ภารกิจอันหนักอึ้งของตน เว่ยเยวียนมอบถุงผ้าดิ้นสามใบให้เขาผ่านทางซุนเสวียนจี ซึ่งใบหนึ่งในนั้นก็คือที่อยู่ รวมถึงคำสั่งให้เขารอจังหวะที่เหมาะสมอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้
ส่วนรอจังหวะอะไรนั้น หนานกงเชี่ยนโหรวก็ไม่ทราบได้
ถุงผ้าดิ้นถัดมาอีกสองใบนั้น เขาไม่ได้เปิดออก
หนานกงเชี่ยนโหรวเชื่อว่า หากจังหวะและโอกาสมาถึง เว่ยเยวียนย่อมปล่อยให้เขาเปิดดูเอง แม้ว่าตัวละครสำคัญที่ไม่เคยวางแผนพลาดนี้จะตายไปแล้วก็ตาม
เวลานั้นเอง ทหารชุดเกราะนายหนึ่งก็มาเคาะประตูของหนานกงเชี่ยนโหรวแล้วเอ่ยว่า
“ท่านแม่ทัพหนานกง มีคนจากนอกเมืองมาขอพบขอรับ”
หนานกงเชี่ยนโหรวชะงักการเช็ดดาบ ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านในใจแล้วเอ่ยว่า
“พาเข้ามา!”
ชายชุดดำถูกพาตัวเข้ามาในเวลาอันรวดเร็ว หนานกงเชี่ยนโหรวเห็นเขาแล้วตกตะลึง
“เจ้า”
ชายชุดดำผู้นั้นพินิจมองหนานกงเชี่ยนโหรวเช่นกัน แววตาเปลี่ยนจากงุนงงเป็นตกตะลึง จากนั้นจึงเผยท่าทีของความกระจ่างแจ้งโดยพลัน
“ฆ้องทองคำหนานกงรึ!”
วิชาอำพรางความลับสวรรค์จะไม่เป็นผลสำหรับ ‘ผู้ประจักษ์’ ที่เห็นด้วยตาตนเอง
แต่เตือนความจำทุกคนก่อนว่า จำต้องเปิดเผยต่อหน้าสายตาธารกำนัล ซึ่งก็คือสามคนขึ้นไป (การกำหนดนี้ถูกกล่าวถึงในตอนท้ายของเล่มที่สอง)
หนานกงเชี่ยนโหรวพยักหน้า
“ที่แท้เจ้าก็เป็นบุตรในเงามืดของพ่อบุญธรรมเช่นกัน องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงทราบหรือไม่”
คนผู้นี้ก็คือหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ของจวนฮว๋ายชิ่งนั่นเอง
คนใกล้ชิดของคนใกล้ชิด
“ตอนนี้เป็นจักรพรรดินีฮว๋ายชิ่งแล้ว” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์พูดจบก็เผยรอยยิ้มขื่น
“เมื่อก่อนไม่ทราบ แต่หลังจากจักรพรรดินีฮว๋ายชิ่งทรงรับช่วงบุตรในเงามืดของเว่ยกงก็ทราบแล้ว ฝ่าบาทน้ำพระทัยกว้าง ไม่ทรงลงโทษข้า และยังคงเต็มใจใช้ข้าเหมือนเก่า ทว่า นางยังคงไม่ทราบภารกิจที่เว่ยกงมอบให้ข้าก่อนที่จะออกเดินทาง”
ฝ่าบาท…หนานกงเชี่ยนโหรวจี้ถามว่า
“พ่อบุญธรรมมอบหมายภารกิจอะไรให้เจ้า”
………………………………………………………