ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 779 ไทเฮา หญิงชรา
บทที่ 779 ไทเฮา หญิงชรา
สาเหตุที่จางเซิ่นออกมาชุมนุมกับยอดฝีมือขั้นสี่และนายทหารชั้นสูงที่มีอำนาจและอิทธิพลสูงบางคน เป็นเพราะคำสั่งให้ถอนทัพมีความสำคัญอย่างยิ่ง และพูดถึงตำแหน่งขุนนางแล้ว เขาเป็นเพียงนายทหารฝ่ายเสนาธิการของหยางกง ไม่ใช่คนที่สามารถตัดสินใจได้
หยางกงซึ่งสามารถตัดสินใจได้ก็หมดสติยังไม่ฟื้น จะรอดหรือตายนั้นยากจะคาดเดา คนที่สามารถตัดสินใจได้อีกคน ก็ถูกสวี่เอ้อร์หลางฆ่าตายแล้ว
จากชิงโจวถึงสวินโจว ต่อสู้และฆ่าฟันมาตลอดทาง ปัญญาชนผู้ร่างกายอ่อนแอที่รูปลักษณ์ภายนอกดูสง่างาม แต่ภายในใจกลับสั่งสมความโหดร้ายไว้อย่างยากจะคาดเดา
หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้สวี่เอ้อร์หลางมีความกล้าเพียงใด ก็ไม่กล้าที่จะฆ่าสมุหเทศาภิบาลผู้สืบทอดขั้นสอง
ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองปั่นป่วน ชีวิตมนุษย์เหมือนต้นหญ้า ไม่ใช่แค่ชาวบ้านเท่านั้น ขุนนางและทหารก็เช่นเดียวกัน
ในไม่ช้า นอกจากนายทหารชั้นสูงที่อยู่เวรเฝ้ารักษาหน้าที่แล้ว ขุนนางชั้นสูงทั้งหมดต่างถูกเรียกให้ไปชุมนุมกันที่จวนผู้บัญชาการในค่ายทหาร
ในบรรดาคนเหล่านี้มีหัวหน้า เจ้าลัทธิของกลุ่ม พันธมิตรจอมยุทธ์สองสามท่าน มีผู้นำทหารกบฏ เช่น ฉู่หยวนเจิ่น เหิงหย่วน หยางเชียนฮ่วน มีผู้นำทางการทหารประจำราชสำนัก เช่น หยางเยี่ยน เฉินอิง แล้วยังมีทหารอารักขาชั้นสูงของเมืองชิงโจวเดิมที่ตบะไม่สูง แต่มีประสบการณ์โชกโชนในการเป็นผู้นำทหารในการทำสงคราม
สิ่งที่ควรพูดถึงก็คือ นอกจากโจวมี่ผู้บัญชาการเมืองชิงโจวเดิม และหยางกงท่านนี้แล้ว ผู้ที่ตำแหน่งขุนนางสูงสุด ล้วนพลีชีพที่สวินโจว
ภายในห้องโถง ขันทีวัยกลางคนที่สวมหม่างเผา รอจนทุกคนมากันพร้อมแล้ว ก็มองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“อาการบาดเจ็บของหยางกงเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่มู่ไป๋คนแรกทางด้านซ้ายพูดเบาๆว่า
“รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว เพียงแต่ยังคงหมดสติยังไม่ฟื้น ส่วนจะฟื้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่อาจรู้ได้”
ขันทีกุมตราลัญจกรขมวดคิ้ว มองไปด้านข้าง ที่ร่างในชุดขาวซึ่งหันหลังให้กับทุกคน
“แม้แต่หยางเชียนฮ่วนเจ้าก็ช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้หรือ”
ร่างในชุดขาวที่หันหลังให้กับทุกคน เงยคางขึ้น พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า
ขันทีกุมตราลัญจกรขยับริมฝีปาก ยกเลิกความคิดที่จะสนทนากับหยางเชียนฮ่วน ถอนสายตา ถามต่อว่า
“เหยาหงอยู่ที่ไหน?”
ทุกคนหันไปมองสวี่ซินเหนียน
พูดตามตรง หยางเยี่ยนและคนอื่นๆ ซึ่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายปี หากไม่ถูกบีบบังคับจนต้องทำเช่นนี้ คงจะไม่กล้าฆ่าสมุหเทศาภิบาลระดับสองชั้นโท
บรรดาเจ้าลัทธิและหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ยิ่งไม่ทำเรื่องเช่นนี้ สมุหเทศาภิบาลมณฑลท่านหนึ่ง เป็นถึงระดับสองชั้นโท ไม่ใช่คนนอกเช่นพวกเขาเหล่านี้นึกจะฆ่าก็ฆ่าได้
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และราชสำนักต้าฟ่งจุดธูปสาบานร่วมกันใหญ่โตเช่นนี้ หากเป็นเพราะความโกรธเคือง จนทำให้ความสัมพันธ์ต้องแตกร้าว หรือในใจเกิดความระแวงต่อกัน ถ้าเช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
คงจะมีเพียงสวี่ซินเหนียนที่มีความมั่นใจและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าเค้าเงื่อนผิดปกติ จึงรีบดับไฟแต่ต้นลม จนกระทั่งรู้ว่าทุกคนมีความกังวล จึงก้าวออกมารับผิดชอบภาระนี้เอง
ถึงแม้จะไม่โดดเด่นเท่าญาติผู้พี่สวี่ชีอัน แต่ความสามารถ ความรู้ ความรับผิดชอบของซู่จี๋ซื่อท่านนี้ก็ได้รับการยอมรับเป็นเอกฉันท์โดยหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ
สวี่ซินเหนียนตอบอย่างใจเย็นว่า
“เพื่อปลอบขวัญขุนนาง และเสนาบดีเล็ก ที่ล้มป่วยเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลานาน สมุหเทศาภิบาลเหยาจึงพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่จวน”
คราวหลังปล่อยให้เหยาหงได้มีโอกาส ‘พลีชีพเพื่อชาติ’ เพียงคนเดียวก็พอ
สวี่ซินเหนียนไม่กลัวว่าเมื่อเรื่องแดงขึ้นมาแล้วจักรพรรดินีจะทรงประณามอย่างรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงว่าฮว๋ายชิ่งจะทรงกล่าวโทษ ถึงจะทรงกล่าวโทษ เขาก็แค่ผลักพี่ใหญ่ออกไป ใครจะกล้าพูดอะไร?
“ลำบากใต้เท้าเหยาแล้ว!”
ขันทีกุมตราลัญจกรไอครั้งหนึ่ง และเข้าสู่ประเด็นทันที
“วันนี้ข้าน้อมรับพระราชโองการของฝ่าบาท คืนนี้ให้พวกท่านถอนทัพออกจากยงโจว รักษากำลังไว้ ถอยกลับมาพิทักษ์เมืองหลวง”
ประการแรก ยงโจวเป็นด่านกำบังสุดท้าย ทิ้งยงโจวไป กองทัพอวิ๋นโจวก็ตีถึงเมืองหลวงแล้ว
ด้วยสายตาของสวี่เอ้อร์หลาง ความจริงแล้วก็เข้าใจได้ว่า ในการต่อสู้ตัดสินความเป็นความตายระหว่างกองทัพเมืองหลวงกับกองทัพอวิ๋นโจวนั้นโอกาสชนะจะมีมากหน่อย
แต่ปัญหาก็คือ นี่เป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตราย ต้าฟ่งจะไม่มีทางหนีทีไล่แม้แต่น้อย
ประการที่สอง ยกยงโจวให้ด้วยสองมือ พลังต่อสู้ของสวี่ผิงเฟิงก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับ และกองทัพอวิ๋นโจวก็จะถือโอกาสฉกฉวยของกินของใช้ของยงโจว ขยายกองกำลัง ลำบากแทบแย่กว่าจะทำลายกองทัพอวิ๋นโจว หรือที่ผ่านมาจะเสียแรงเปล่า?
ประการสุดท้าย ชาวบ้านในเมืองยงโจวจะทำอย่างไร?
แม้จะพูดกันว่าในช่วงเวลาบ้านเมืองปั่นป่วนชีวิตมนุษย์เหมือนต้นหญ้า แต่คนก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจกัน ถ้ากองทัพอวิ๋นโจวฆ่าล้างเมือง ชาวบ้านแสนกว่าคนนี้…
หลี่มู่ไป๋เห็นว่าไม่มีใครพูดจา จึงไอครั้งหนึ่ง แล้วพูดว่า
“ขออภัยที่ข้าไม่อาจทำตามพระราชโองการได้! หากละทิ้งยงโจว เช่นนั้นก็จะเป็นการช่วยเติมเชื้อไฟให้ของกองทัพอวิ๋นโจว จะยิ่งทำให้พวกเขาฟื้นคืนปฐมปราณ สงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือยังไม่เห็นผล หากทำตามที่ฝ่าบาททรงชี้แนะ ถึงแม้ฆ้องเงินสวี่จะชนะสงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือ ก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะมีโอกาสชนะ”
“อย่าลืมว่า ลั่วอวี้เหิงหลุดพ้นจากบ่วงกรรมแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการตีเสมอพลังต่อสู้ แต่ไม่ใช่ต้าฟ่งจะสามารถตอบโต้อวิ๋นโจวได้”
จางเซิ่นพูดเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาหาที่เปรียบมิได้ แต่กลับไม่เชี่ยวชาญในการนำทหารออกรบ ยากที่จะหลีกเลี่ยง การคะเนที่ผิดพลาด
“กล่าวกันว่าแม่ทัพที่อยู่ข้างนอกอาจไม่น้อมรับพระบรมราชโองการของจักรพรรดิอยู่บ้าง ตัวข้าก็มีความเห็นของตัวเอง หลังเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้วหากฝ่าบาททรงกล่าวโทษ ก็มาหาจางเซิ่นคนนี้ได้”
หยางเยี่ยนและคนอื่นๆ เป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน และยังเป็นคนสนิทของจักรพรรดินีอีกด้วย แต่ในเรื่องนี้ กลับทรงสนับสนุนปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่
ความรู้ความสามารถของฝ่าบาทไม่เป็นรองผู้ชาย กระทั่งเหนือกว่าผู้ปราดเปรื่องธรรมดาทั่วไป แต่พระองค์ก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทรงรู้อะไรเกี่ยวกับสงคราม?
แต่ว่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของจักรพรรดินี ความคิดก็เป็นเรื่องของความคิด ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันแสดงออกมา
ฟู่จิงเหมินพูดอย่างดูแคลนว่า
“ถ้าจะถอยพวกเจ้าถอยไปเอง กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะไม่ถอย!”
หยางชุยเสวี่ยลูบดาบ พูดเสียงต่ำว่า
“บรรดาศิษย์อาวุโสต่างเสียชีวิตในยงโจว ข้าก็ควรตายที่นี่เช่นกัน เช่นนี้จึงไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์และอาจารย์กัน
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ได้อยู่ในการดูแลของราชสำนัก จะไปพวกเจ้าก็ไป”
นายทหารชั้นสูงผู้ใต้บังคับแห่งชิงโจวแสดงสีหน้าสะเทือนใจเล็กน้อย เกิดความฮึกเหิม
‘ฝ่าบาททรงคาดไว้ไม่ผิด คนกลุ่มนี้ฝ่าฝืนคำสั่งจริงๆ ด้วย…’ ขันทีกุมตราลัญจกรนึกถึงพระราชดำรัสที่ฝ่าบาททรงรับสั่งไว้ก่อนเดินทางไปยงโจว
ฝ่าบาททรงตรัสว่า ถ้าทหารอารักขาของยงโจวรวมตัวกันฝ่าฝืนคำสั่ง ก็ให้บอกพวกเขาว่าเว่ยกงฟื้นคืนชีพแล้ว
‘ฝ่าบาททำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำเหมือนเทพเจ้าทีเดียว!’ ขันทีกุมตราลัญจกรสูดลมหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า
“นี่เป็นคำสั่งของเว่ยกง!”
พูดจบ เขาก็พบว่าภายในห้องโถงนั้นเงียบลงอย่างฉับพลัน ทุกคนมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
แววตานั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก แปลกประหลาดอย่างยากที่จะพรรณนา
หลังจากนั้นประมาณไม่กี่วินาที เส้นโลหิตดำบนหน้าผากของหยางเยี่ยนก็ปูดขึ้น พูดชัดถ้อยชัดคำว่า
“เจ้ากำลังล้อพวกเราเล่น?”
เขาสาบานว่า ถ้าขันทีคนนี้กล้าที่จะยอมรับ เขาก็จะกล้าที่จะแทงหน้าอกอีกฝ่ายให้ทะลุต่อหน้าทุกคน
ขันทีกุมตราลัญจกรมาจากพระตำหนักของฮว๋ายชิ่ง ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย จึงพูดอย่างไม่กลัว ไม่รีบร้อนว่า
“วันนี้เว่ยกงได้ฟื้นคืนชีพแล้ว ฝ่าบาททรงเชิญวิญญาณมาเอง หากทุกท่านไม่เชื่อ เมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง”
ภายในห้องโถงโกลาหลขึ้นมาทันที
สีหน้าของทุกคนแตกต่างกันไป มีทั้งดีใจ มีทั้งงุนงง มีทั้งตื่นตะลึง มีทั้งสงสัย มีทั้งตื่นเต้น…
“หากเว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพจริงๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็เห็นด้วยที่จะถอยกลับไปพิทักษ์เมืองหลวง”
เพราะมีเว่ยเยวียนคุมกองกำลัง ถ้าเช่นนั้นการตัดสินใจที่จะถอยกลับไปพิทักษ์เมืองหลวง ก็ไม่ใช่การเสี่ยงภัยด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แม้ตกอยู่ในอันตราย ย่อมสามารถเสี่ยงตายเอาชีวิตรอดมาได้
แต่ทุกคนยังคงไม่เชื่อ
เว่ยเยวียนเสียชีวิตในการต่อสู้ในเมืองจิ้งซานตั้งนานแล้ว ข่าวการฟื้นคืนชีพมาจากไหนกัน
ในเวลานี้ ทุกคนในห้องโถงฟังหยางเชียนฮ่วนพูดอย่างช้าๆ ว่า
“เขาไม่ได้โกหก!”
สายตาทุกคู่มุ่งไปที่ด้านหลังศีรษะของโหรชุดขาวทันที
หยางเยี่ยนรีบหาข้อพิสูจน์ทันที ถามว่า
“เจ้าใช้วิชามองปราณมองหรืออย่างไร”
‘ดูเหมือนจะไม่ได้หันศีรษะเลยนี่นา…’ ในใจของสวี่เอ้อร์หลางและคนอื่นๆ พูดเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่ง
หยางเชียนฮ่วนทำเสียง ‘อะแฮ่ม’ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ที่สามารถทำให้คนร้อนใจเจียนตายว่า
“ไม่ ข้าไม่ได้มอง แต่…”
เขาเจตนาหยุดไปครู่หนึ่ง เพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน
‘อยากจะซัดเขาจริงๆ…’ หลังมือของหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ มีเส้นโลหิตดำปูดขึ้น อดกำอาวุธไว้แน่นไม่ได้
ไม่ว่าคนนอกจะคิดอย่างไร ตัวหยางเชียนฮ่วนเองกลับสุขุมเหมือนหมาแก่ พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า
“แต่ข้าเคยเห็นร่างของเว่ยเยวียนในห้องลับของซ่งชิง และข้ายังรู้ว่าสวี่ชีอันได้ทดลองชุบชีวิตเว่ยเยวียนมาโดยตลอด”
‘โอ้ ฆ้องเงินสวี่เป็นคนชุบชีวิตเว่ยเยวียน…’ ทุกคนเข้าใจในทันที
ความข้องใจภายในใจของฆ้องทองคำหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ หายไปในทันที
หากบอกว่าสวี่ชีอันกำลังชุบชีวิตเว่ยเยวียน นั่นย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำที่ขันทีกุมตราลัญจกรอธิบายว่า “ฝ่าบาททรงเชิญวิญญาณมาเองเพื่อชุบชีวิตเว่ยเยวียน” มากนัก
หลี่มู่ไป๋ถอนหายใจโล่งอกและมองทุกคนรอบๆ
“ถ้าเช่นนั้น ทุกท่านรู้สึกอย่างไร?”
“ถอนทัพเถิด!” ฟู่จิงเหมินพูดทันที
ในที่เกิดเหตุ ทุกคนต่างเลือกที่จะถอนทัพออกจากยงโจว หยางเยี่ยนและคนอื่นๆ ถึงกระทั่งมีคนที่อดใจไม่ไหว อยากที่จะกลับเมืองหลวงไปพบเว่ยเยวียนทันที
“หยางเยี่ยน เฉินอิง หยางเชียนฮ่วน…”
ขันทีกุมตราลัญจกรไล่ชื่อทีละคน ล้วนเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียนและจักรพรรดินี เพิ่มจอมเสแสร้งอีกหนึ่งคน แล้วพูดว่า
“พวกเจ้ามีงานอื่น ไม่ต้องตามกองทัพกลับเมืองหลวง”
หยางเยี่ยนและคนอื่นๆ มองหน้ากัน แล้วพูดว่า
“เว่ยกงมีคำสั่งอะไร?”
ขันทีกุมตราลัญจกรถือโอกาสหยิบถุงผ้าออกมา พูดยิ้มๆ ว่า
“อยู่ในนี้ทั้งหมด”
ขันทีกุมตราลัญจกรสามารถออกเดินทางได้ทันที แต่การถอนทัพของทหารเป็นงานที่ยุ่งยากซับซ้อน รวมถึงการเรียกกำลังทหาร การเคลื่อนย้ายอาวุธ เงิน เสบียง และการทำลายหน้าไม้และปืนใหญ่บนกำแพงเมืองที่ไม่สามารถนำติดตัวไปได้
เนื่องจากกองทัพอวิ๋นโจวอยู่ห่างออกไปแค่ห้าสิบลี้ เพื่อไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว ดังนั้นจึงไม่สามารถนำชาวบ้านไปด้วย ไม่สามารถถอนทัพขนาดใหญ่
ดังนั้นทหารอารักขาจึงไม่ได้ทำให้ชาวบ้านตื่นตูม แต่สวี่เอ้อร์หลางให้เหมียวโหย่วฟางนำทัพ โดยนำเสนาบดีเล็กและขุนนางที่มีเงินมีเสบียงทั้งหมดไปด้วย
คนที่ไม่ยอมไปด้วย ก็ให้ใช้เหตุผลเกลี้ยกล่อม
นอกจากนี้ หลี่มู่ไป๋ยังได้สั่งให้คนมัดหุ่นฟาง แล้วเรียงไว้บนกำแพงเมืองทั้งมากและถี่ เพื่อสร้างความสับสนให้กับหน่วยสอดแนมของกองทัพอวิ๋นโจว
…
รุ่งอรุณ ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้มที่สุด
กองทัพอวิ๋นโจวซึ่งรวมตัวกันเรียบร้อยนานแล้ว ได้เข้าใกล้เมืองยงโจว ภายใต้การคุ้มกันของกองทัพใหญ่
หน่วยสอดแนมที่มีตบะไม่เลวคนหนึ่ง อาศัย สายตาที่เฉียบคมและกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยว มองไปที่กำแพงเมืองยงโจว มองเห็นร่างที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองท่ามกลางความมืดทั้งมากทั้งถี่เหล่านั้น
“เอ๊ะ ผิดปกติแล้ว…”
หน่วยสอดแนมสูดลมเย็นเข้าปอด แล้วพูดกับตัวเองว่า
“ทำไมจู่ๆ จำนวนคนก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว หรือจะคาดว่าพวกเราจะเข้าตีเมือง?”
ตามปกติ บนกำแพงเมืองจะไม่มีทหารอารักขาเข้าเวรคุ้มกันมากนัก จะมีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ทหารส่วนใหญ่จะพักผ่อนอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นการรับรองว่าสภาพร่างกายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
การระวังการจู่โจมเป็นงานของหน่วยสอดแนม
หน่วยสอดแนมคนนี้หันไปพูดกับเพื่อนร่วมงานว่า
“กลับไปรายงาน บอกว่าสถานการณ์บนกำแพงเมืองผิดปกติ มีคนจำนวนมากอยู่เวรกลางคืน เกรงว่าจะมีกลโกง”
เขาเป็นห่วงว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายตัวเองจะถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทหารอารักขามีการเตรียมการป้องกันไว้อย่างเต็มที่ ถึงกระทั่งได้มีการวางแผนบุกโจมตีไว้แล้ว
หน่วยสอดแนมกลับไปรายงานกองทัพอวิ๋นโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อความรอบคอบ กองทัพจึงยุติการเคลื่อนไหว และส่งหน่วยสอดแนมไปเคลื่อนไหวบริเวณรอบนอก เพื่อรวบรวมข่าวกรอง
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ทางตะวันออกฟ้าเริ่มสาง ท้องฟ้าที่มืดมนเปลี่ยนเป็นสีคราม
ในเวลานี้ กองทัพอวิ๋นโจวจึงพบความผิดปกติ สิ่งที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ที่แท้คือหุ่นฟาง
หุ่นฟาง?
ในกระโจมทหาร ในใจของชีก่วงป๋อที่ได้รับรายงานรู้สึกหนักอึ้ง พูดว่า
“ส่งทหารม้าคนหนึ่งไปตรวจสอบสถานการณ์”
ผู้เชี่ยวชาญในการขี่ม้าของทัพอสูรเหินเวหานายหนึ่ง ควบพาหนะไปยังเมืองยงโจว เคลื่อนไหวอยู่ในเมืองอยู่เป็นเวลานาน จึงย้อนกลับไปที่กองทัพอวิ๋นโจว คำตอบที่ได้รับคือ
ทหารอารักขาของต้าฟ่งถอนทัพออกจากยงโจวแล้ว และค่ายทหารว่างเปล่า
ชีก่วงป๋อไม่ลังเลอีกต่อไป ได้ส่งกองทัพขนาดใหญ่บุกประชิดตัวเมือง ยึดเมืองยงโจวได้อย่างง่ายดาย
หลังจากคลำหาและตรวจสอบแล้ว ก็พบว่าทหารอารักขาของต้าฟ่งได้นำเสบียงอาหาร เงินทอง ทหารและอาวุธไปด้วย และได้ทำลายอาวุธขนาดใหญ่
เหลือชาวบ้านชาวยงโจวไว้เพียงแสนกว่าคนเท่านั้น
…
ในเมืองเวิ่ง
สวี่ผิงเฟิงที่สวมชุดขาวดุจหิมะฟังชีก่วงป๋อรายงานจบ ไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“เว่ยเยวียนต้องการจะประลองฝีมือกับข้าที่เมืองหลวงหรือ”
ชีก่วงป๋อในชุดเครื่องแบบทหารมือกดดาบ พูดช้าๆ ว่า
“สมกับที่เป็นเว่ยเยวียน ความเด็ดขาดนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาจะมีได้”
แม้การรักษายงโจวอย่างสุดชีวิต จะสู้การรักษาพลังต่อสู้และกำลังทหารขั้นสูงไว้ แล้วถอยกลับไปพิทักษ์เมืองหลวงซึ่งจะเป็นวิธีที่ดีกว่าจริงๆ ไม่ได้ แต่ราคาที่ต้องจ่าย ก็เพียงพอที่จะทำให้กลุ่มขุนพลอาวุโส เสนาธิการทหาร ที่มีประสบการณ์ต้องอึดอัดใจ
แต่งานแรกหลังจากที่เว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพแล้ว ก็คือการโยกย้ายกำลังทหารของยงโจวกลับเมืองหลวง เพื่อเพิ่มกำลังป้องกันเมืองหลวง
ผู้วางแผนที่ดี ก็คือผู้ที่สะท้อนให้เห็นได้จากรายละเอียดเหล่านี้
ชีก่วงป๋อพูดต่อว่า
“เงิน เสบียงและอาวุธถูกนำไปหมดแล้ว แต่ชาวบ้านยังอยู่ ทุกครัวเรือนล้วนมีเงินสะสมอยู่บ้าง อิทธิพลของยุทธภพยงโจวก็ยังอยู่ดีมากๆ”
ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองยงโจว ล้วนเป็นคนที่มีฐานะทางครอบครัวมั่งคั่ง ขุดดินลงไปสามฉื่อ ก็สามารถค้นหาทรัพย์สมบัติไม่น้อยมาเสริมค่าใช้จ่ายของกองทัพได้แล้ว
ส่วนอิทธิพลของยุทธภพยงโจว สามารถดึงมาเป็นพวกได้ ทั้งเก็บไว้ใช้เอง และไว้เสริมพลังต่อสู้ที่ขาดหายไป
สวี่ผิงเฟิงพูดว่า
“หยุดพักก่อน รอให้ข้าปรับปรุงยงโจวขั้นแรกก่อน แล้วจะรีบขึ้นเหนือทันที เว่ยเยวียนคิดจะใช้ยงโจวเลี้ยงพวกเราให้อิ่ม เพื่อถ่วงเวลา? ก็จะสามารถทำให้เขาได้สมปรารถนา”
ชีก่วงป๋อสูดลมหายใจเข้าลึก อารมณ์ต่อสู้ฮึกเหิม
“ความคิดของราชครูคือ ก่อนที่จะสิ้นสุดสงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือ จะตั้งกองทัพไว้ที่เมืองหลวง บีบให้ระดับเหนือมนุษย์เช่นสวี่ชีอันใช้เมืองหลวงเป็นสนามรบ ให้รู้แพ้รู้ชนะกับต้าฟ่งไปเลย”
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย
“การสงครามครั้งนี้ต่อสู้จนถึงเวลานี้ ควรจะสิ้นสุดได้แล้ว ยังจะต้องพัวพันกับต้าฟ่งไปอีกหลายเดือนเลยหรือ? ข้าจะไม่ให้โอกาสเว่ยเยวียนได้หายใจอีกแล้ว ต่อสู้อย่างรวดเร็ว สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว”
ชีก่วงป๋อพยักหน้า เขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
สถานการณ์มาถึงจุดนี้แล้ว สนามรบถูกผลักดันไปยังเมืองหลวงแล้ว จะได้ตอกฝาโลงให้กับสงครามแย่งชิงใต้หล้าครั้งนี้เสียที
“สงครามชายแดนตอนเหนือเป็นอย่างไรบ้าง?”
จนป่านนี้เจียหลัวซู่และไป๋ตี้ยังไม่สามารถสังหารระดับเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งได้ เขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
สวี่ผิงเฟิงพูดว่า
“ร่างอวตารของข้าเดินทางไปชายแดนตอนเหนือแล้ว”
ร่างอวตารไม่มีพลังต่อสู้มากนัก เขาแค่ไม่วางใจสนามรบในชายแดนตอนเหนือ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้น
ในฐานะที่เป็นนักเล่นหมากรุก เขาเคยชินกับการควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ ดังนั้นเมื่อเรื่องสงครามชายแดนตอนเหนือเข้าสู่ช่วงหยุดนิ่ง ในใจจึงรู้สึกกังวลและกระวนกระวายตามสัญชาตญาณ
ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ สงครามหนีเคราะห์กรรมจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
สวี่ผิงเฟิงสามารถเดาได้บ้างว่าเกิดปัญหาอยู่ที่ตัวสวี่ชีอัน อยู่ที่ ‘เต๋า’ ที่ยิ่งรบยิ่งแข็งแกร่ง เพียงแต่ แม้ด้วยสติปัญญาของเขาก็ยังคงไม่เข้าใจ ว่าพลังงานแบบไหนที่สามารถรับมือทหารขั้นสองได้ และสู้รบอย่างทรหดกับขั้นหนึ่งได้นานขนาดนี้
ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เขาย่อมไม่รู้อย่างแน่นอน ในโลกนี้ คนที่รู้เรื่องนี้ สามารถนับนิ้วได้ และล้วนเป็นผู้อาวุโสนิสัยแผลงๆ ที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุดทั้งนั้น
ต้นไม้ที่เป็นอมตะต้นนั้น ตอนนี้มีชีวิตอยู่ในพระราชวังอย่างสุขสบายแล้ว
…
“ป้ามู่ ท่านไม่รู้หรอกหรือ?”
สวี่หลิงเยวี่ยกะพริบตา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงไม่มีเจตนาไม่ดีว่า
“เทศกาลไหว้วสันต์ได้ผ่านไปแล้ว งานแต่งงานระหว่างพี่ใหญ่ของข้าและองค์หญิงหลินอัน เหลืออีกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ท่านแม่ของข้าไม่ได้บอกท่านหรือ?”
ในพระราชวัง ในลานที่งดงาม ที่โต๊ะหิน มู่หนานจือพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า
“แม่ของเจ้าทั้งวันเอาแต่ปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้ คนที่ไม่รู้ยังคิดว่านางเป็นเทพดอกไม้เองเสียอีก!”
สวี่หลิงเยวี่ยพูดอย่างงุนงงว่า
“เทพดอกไม้อะไรกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าจะไปตำหนักเฟิ่งชี ไปพบหญิงชราเสียหน่อย!” มู่หนานจือลุกขึ้น
สวี่หลิงเยวี่ยตกใจ พินิจพิเคราะห์มู่หนานจือครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงชราหมายถึงไทเฮาสินะ นางเป็นใครกันแน่ จึงกล้าเรียกไทเฮาเช่นนี้
……………………………………………….