ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 786 บุกเมือง
บทที่ 786 บุกเมือง
Ink Stone_Fantasy
หากมองเพียงผิวเผินจะเห็นว่าเว่ยเยวียนให้สิทธิ์เขาในการเลือกหนึ่งในสองตัวเลือกนี้ แต่ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเลือกด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่สามารถกลับไปที่เมืองเฉียนหลงอย่างแน่นอน
กระแสความคิดของสวี่ผิงเฟิงมีความชัดเจนมาก เมื่อเทียบกับหน่วยทหารติดอาวุธครบมือของอวิ๋นโจวแล้ว เมืองเฉียนหลงจะดับสูญก็ช่างปะไร ถึงแม้จะเสียดายแต่หน่วยทหารติดอาวุธครบมือสำคัญที่สุด
หลังจากตัดสินใจเลือกที่จะละทิ้งเมืองเฉียนหลงแล้ว ที่เบื้องหน้าเขาก็มีทางเดินทั้งหมดสองเส้น เส้นแรก คุ้มกันกองทัพอวิ๋นโจวถอยกลับไปที่ยงโจวหรือไม่ก็ชิงโจว เปลี่ยนจากฝ่ายรุกเป็นฝ่ายตั้งรับ ปล่อยให้ต้าฟ่งบุกมาโจมตีโดยมีกองทัพอวิ๋นโจวคอยปกป้องเมือง
ข้อดีของกลยุทธ์ข้อนี้คือ มีความเป็นไปได้สูงที่ต้าฟ่งซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักในตอนนี้จะไม่มีกองกำลังทหารพอที่จะมายึดยงโจวและชิงโจว พวกเขาจำต้องเลือกที่จะพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายและเริ่มสงครามอีกครั้งหลังฤดูเก็บเกี่ยว
แต่ในด้านการสู้รบของเหนือมนุษย์ อวิ๋นโจวย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและต้องพ่ายแพ้ให้กับต้าฟ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ เจียหลัวซู่และไป๋ตี้ที่อยู่ชายแดนตอนเหนือในตอนนี้จะเอาชีวิตรอดจากการปิดล้อมของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่งได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจทราบได้
หากเจียหลัวซู่และไป๋ตี้พ่ายแพ้และถูกฆ่าตายในเวลานี้ เช่นนั้นการถอยกลับไปตั้งรับที่ชิงโจวก็เป็นเพียงการรอความตายเท่านั้น
เส้นที่สอง บุกเข้ายึดเมืองหลวงโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด สนับสนุนให้จีเสวียนประกาศตัวเป็นจักรพรรดิ เขาจะได้ถือโอกาสบังคับให้จู่โจมปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
ตอนนี้เขาขัดเกลาโชคชะตาของอวิ๋นโจว ชิงโจวและยงโจวแล้ว โชคชะตาของทั้งสามเมืองไม่มีทางกลายเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้
หากเพิ่มต้าฟ่งเข้าไป ยึดครองเมืองหลวง สังหารจักรพรรดินี หลังจากสนับสนุนให้จีเสวียนขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็จะมีโอกาสในการโจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
หากปรมาจารย์ลิขิตฟ้าที่ขัดเกลาที่ราบกลางทั้งหมดถือเป็นจุดสุดยอดของขั้นหนึ่ง เช่นนั้นการที่ตนเองบังคับให้โจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าก็อาจจะเป็นช่วงเริ่มต้น
ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องเลือก เขาทำได้เพียงต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว
ท่ามกลางเสียงกลอง สวี่ผิงเฟิงประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันและดึงธงขนาดเล็กเท่าฝ่ามือออกมาอย่างรุนแรง ธงมีหลากสีสันมาก เช่น สีดำ สีขาว สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง
ค่ายกลรูปแบบแตกต่างกันถูกวาดอยู่ในธงขนาดเล็กเหล่านี้ ซึ่งธงแต่ละผืนก็เป็นสัญลักษณ์ของค่ายกลป้องกันช่องโหว่ของแต่ละสถานที่
‘จึก จึก…’
ธงขนาดเล็กสองผืนพุ่งออกไป ส่วนหางของธงมีความแหลมคมมากจนกระทั่งฝังลงในกำแพงได้อย่างง่ายดาย
‘แครก!’ ส่วนของกำแพงที่ได้รับผลกระทบเกิดรอยแตกร้าว และรอยแตกเหล่านั้นก็กระจายออกไปราวกับใยแมงมุม
ค่ายกลป้องกันที่ปกคลุมอยู่บนกำแพงเมืองอ่อนกำลังลงในทันที
‘หึ่ง!’
ปราณดาบอันยิ่งใหญ่มหาศาลพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศออกมาจากพื้นที่ด้านข้างสวี่ผิงเฟิง ตัดเขาออกเป็นสองท่อนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
ร่างในชุดขาวดุจฝันมายาฟองสบู่ปรากฏตัวห่างออกไปกว่าสิบลี้และเหวี่ยงธงอีกสองผืนออกไปอีกครั้ง
‘จึก จึก!’
ธงผืนเล็กฝังเข้าไปในกำแพงอิฐ ทำให้เกิดรอยร้าวบนกำแพง ลามไปทำลายค่ายกลในบริเวณใกล้ๆ กัน
จิตดาบแห่งการทำลายล้างไล่ตามพ่อมดชุดขาวที่ส่งตัวได้ตามต้องการไม่ทัน กลยุทธ์จึงถูกปรับเปลี่ยนในทันที มุ่งตรงไปยังกองทัพอวิ๋นโจวที่มีจำนวนแน่นขนัดแทน
“ฮึ่ม!”
สวี่ผิงเฟิงพ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น
โค่วหยางโจวรังแกกองทัพอวิ๋นโจวที่ไม่มีค่ายกลป้องกัน ในสถานการณ์ปกติ ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์จะค่อนข้างยับยั้งชั่งใจและไม่ค่อยลงมือกับพลทหารทั่วไป เพราะวิธีการที่ทำให้บอบช้ำทั้งสองฝ่ายไม่เป็นประโยชน์ต่อใครทั้งสิ้น
เว้นแต่จะเดินมาถึงทางตัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการจบเกม ถึงจะลงมือสังหารพลทหารทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ยังไม่ถึงฉากจบสุดท้าย ทุกคนล้วนคิดว่าตนเองสามารถชนะได้ จึงไม่อยากใช้วิธีการที่ทำให้บอบช้ำทั้งสองฝ่ายเช่นนี้
แต่ตอนนี้เมืองหลวงมีค่ายกลป้องกันคอยปกป้องเมืองอยู่ ตราบใดที่ค่ายกลไม่ถูกทำลาย มันก็ยังคงเป็นถิ่นที่อยู่ยงคงกระพัน แต่ในทางกลับกัน กองทัพอวิ๋นโจวจะไม่เหลืออะไรโดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้โค่วหยางโจวยังไม่ถึงกับเข้าตาจน แต่กลับมีความมั่นใจที่จะใช้กลยุทธ์ ‘บอบช้ำทั้งสองฝ่าย’
สวี่ผิงเฟิงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะล้มเลิกการทำลายค่ายกลและส่งขบวนทหารอวิ๋นโจวกลับไป เขายืนขวางอยู่เบื้องหน้าปราณดาบ แบมือข้างหนึ่งออกและหันฝ่ามือออกไปด้านนอก สนับสนุนค่ายกลป้องกันอันมืดครึ้มเอาไว้ เมื่อปราณดาบตัดค่ายกลอย่างแรง เขาก็ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาสัมผัสเบาๆ
ปราณดาบที่น่าสะพรึงกลัวบิดเบี้ยวอยู่ในชั้นบรรยากาศและค่อยๆ ดับสูญลงราวกับมันไร้ซึ่งการสนับสนุนแล้ว
ช่วงเวลาเมื่อครู่ที่สวี่ผิงเฟิงปิดกั้น ‘ปราณดาบ’ ทำให้โค่วหยางโจวหลงลืมไปครู่หนึ่งว่าตนเองได้ใช้จิตดาบไป และปราณดาบก็ไม่มีแก่นสารใดๆ มันเป็นการรวมตัวกันของเจ้าของและเจตนารมณ์ เมื่อโค่วหยางโจวลืมมันไปก็ย่อมหมดหนทางที่จะรักษาให้คงอยู่
ภายใต้ผู้ชมจำนวนมาก เมื่อเริ่มใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็ไม่เกิดผลในทันที แต่ช่วงเวลาของการปิดกั้นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเล็งไปยังเจตนาดาบที่ไม่มีแก่นสาร
หลังจากกำจัดเจตนาดาบของจอมยุทธ์ขั้นสองแล้ว สวี่ผิงเฟิงก็กรีดกรายนิ้วออกมาทีละนิ้วอย่างต่อเนื่อง ปล่อยธงขนาดเล็กออกไปจนกระทั่งหายไปทีละผืน ในวินาทีต่อมา พวกมันก็ปรากฏอยู่ที่กำแพง ฝังเข้าไปในกำแพงและทำลายค่ายกลในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องกัน
เขาเล่นกลวิชาส่งตัวได้ยอดเยี่ยมมาก
จอมยุทธ์หยาบคายที่รู้แต่เพียงการใช้กำลังทำลายล้างจะหยุดยั้งการทำลายค่ายกลของเขาได้อย่างไร
‘ตูม!’ ค่ายกลที่ปกคลุมเมืองหลวงสิ้นฤทธิ์และพังทลายลง
ร่างของสวี่ผิงเฟิงปรากฏอยู่บนชั้นบรรยากาศ ประสานนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าด้วยกันเพื่อรวมกำแพงเมืองด้านล่างเข้าด้วยกัน
ค่ายกลวงกลมเพลิงสิบสองวงซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ พลังจิตอัคคีหลอมรวมกันอย่างบ้าคลั่ง
‘หึ่ง!’
คลื่นอากาศสั่นสะเทือน เสาอัคคีที่พร่างพราวจนแสบตาตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับกำลังแผดเผาพลทหารของต้าฟ่งที่กำแพงเมืองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ซุนเสวียนจีใช้สองมือชูค่ายกลวงกลมที่มืดครึ้มสิบสองวงไปบนท้องฟ้า จากนั้นกำแพงเมืองด้านล่างก็เรียบเป็นหน้ากลองอย่างรวดเร็ว ผืนดินพุ่งขึ้นไปปะทะบนท้องฟ้า พอดีกับที่เสาอัคคีกระแทกเข้ากับมันอย่างแรง
ดินข่มไฟ!
ลูกศิษย์อันดับสองและลูกศิษย์อันดับสามของสำนักโหราจารย์เป็นผู้นำในการต้านคลื่นครั้งนี้
‘ตุง ตุง ตุง!’
เสียงตีกลองเรียกสติ กองทัพอวิ๋นโจวยกอาวุธในการบุกเมืองขึ้นมาและเริ่มพุ่งเข้าไปประชิดกำแพงเมือง จู่ๆ จิตสังหารก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงระเบิดดังก้องในหู พลทหารที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของพวกเขาก็ถูกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับท้องฟ้าที่หมุนอย่างปั่นป่วน
พลทหารที่อยู่ด้านข้างโชคดีที่รอดชีวิตมาได้แต่ก็ยังถูกฟอสฟอรัสขาวจากแรงระเบิดที่ด้านล่างกระเด็นขึ้นมาเปื้อน ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชน จะดับอย่างไรก็ดับไม่ลงจนกระทั่งถูกมันเผาทั้งเป็นกลายเป็นซากโครงกระดูก
กับระเบิดของซ่งชิงสร้างความเจ็บปวดให้กับพลทหารที่บุกเมืองอย่างโหดเหี้ยม
…
อวิ๋นโจว เมืองเฉียนหลง
เสื้อเกราะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด หนานกงเชี่ยนโหรวถือกระบี่ยืนอยู่บนยอดเขาและมองลงมายังเมืองที่คุกรุ่นไปด้วยควันระเบิด เขาที่มีความอ่อนโยนเป็นอุปนิสัยประจำตัว น้อยครั้งมากที่จะมีความกล้าหาญเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้
ทุกที่เต็มไปด้วยเงาร่างที่กำลังหนีกระเจิดกระเจิง เหล่าประชาชนพากันกรีดร้องและกุมศีรษะวิ่งพล่านราวกับหนู ทั้งๆ ที่เมื่อวานพวกเขายังฝันหวานว่าจะได้เป็นคนชั้นสูงในเมืองหลวง
วันนี้กลับถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ตายอย่างอนาถด้วยคมมีดของศัตรู
พลทหารห้าพันนายในเมืองเฉียนหลงภายใต้การนำทัพของยอดฝีมือในเมือง หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดกว่าครึ่งชั่วยามก็เริ่มต้านทานไม่ได้ จนเปลี่ยนไปต่อสู้บนท้องถนน
ถึงเวลานี้ กองกำลังหลักถูกกวาดล้างโดยทหารเกราะเหล็กของต้าฟ่งแล้ว เหลือเพียงไม่กี่หน่วยที่กำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
ด้านหลังหนานกงเชี่ยนโหรวเป็นศพที่นอนอยู่ในแนวราบ แต่งกายสีสันสดใส พวกเขาคือสายเลือดของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน หลังจากสืบทอดต่อกันมาห้าร้อยปี สมาชิกของสายเลือดนี้ก็มีจำนวนมากขึ้น ในพระราชวังบนยอดเขามีสมาชิกตระกูลจีอยู่หลายร้อยคน
เขาไม่มีเจตนาที่จะไว้ชีวิตอยู่แล้ว จึงออกคำสั่งให้สังหาร
นี่คือศักดิ์ศรีที่หนานกงเชี่ยนโหรวเหลือไว้ให้ราชวงศ์ มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่พวกผู้ชาย กระทั่งเชื้อพระวงศ์ที่อ่อนแอเหล่านี้ก็จะต้องมีจุดจบโดยการเป็นของเล่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหล่าพลทหารรักษาการณ์อยู่ในค่ายทหารร้างมาห้าเดือน พวกเขาทั้งหิวและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หากเห็นแม่หมูสักตัว ดวงตาก็คงเปล่งประกายระยิบระยับ
เวลานี้เอง นายพลท่านหนึ่งในชุดเกราะเปื้อนเลือดก็เดินออกจากลานบ้าน มาที่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนโหรว กอบกำปั้นขึ้นคารวะพลางกล่าวว่า “ฆ้องทองคำหนานกง สหายพี่น้องพบผู้หญิงสองคนอยู่ที่ห้องใต้ดินขอรับ”
หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเบาๆ ว่า “ฆ่าไปเสีย มาแจ้งข้าเพื่อเหตุใดกัน”
นายพลท่านนั้นแสดงสีหน้าแปลกประหลาดและกล่าวว่า “นาง นางอ้างว่านางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฆ้องเงินสวี่ขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานกงเชี่ยนโหรวก็เลิกคิ้วขึ้น เขารู้ประสบการณ์ในชีวิตของสวี่ชีอันมาจากหัวหน้าองครักษ์ของฮว๋ายชิ่งแล้ว
หลังจากที่สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัวอย่างเป็นทางการ ขุนนางชั้นสูงในราชสำนักต่างก็จำบุคคลนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับสวี่ชีอันด้วย
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในหมู่ราชการระดับสูง แต่ด้วยความเข้าใจกันโดยปริยายของเหล่าขุนนาง พวกเขาจึงพร้อมใจกันปิดข่าวนี้และห้ามไม่ให้ใครเผยแพร่ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันและสวี่ผิงเฟิง
แน่นอนว่าเหล่าขุนนางไม่ได้ต้องการปกปิดความอัปลักษณ์แทนตระกูลสวี่ เพียงแต่บารมีของสวี่ชีอันสำคัญต่อราชสำนักมากและทนไม่ได้หากต้องมีจุดด่างพร้อยใดๆ
ในฐานะที่หัวหน้าองครักษ์เป็นขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิและยังอยู่ในตำแหน่งระดับสูง เขาได้บอกเล่าและแจกแจงเรื่องราวให้หนานกงเชี่ยนโหรวฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อหนานกงเชี่ยนโหรวรู้ตัวตนของสวี่ชีอันก็รู้สึกปลื้มปีติยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง
“ฆ่าเสีย!”
เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
บิดามารดาที่ต่ำทรามยิ่งกว่าหมูกว่าหมา เลี้ยงไว้จะมีประโยชน์อันใด
“ขอรับ!”
นายพลยกกำปั้นขึ้นมาคารวะ รับคำสั่งและถอยออกไป แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว หนานกงเชี่ยนโหรวก็หยุดเขาอีกครั้งโดยการเปลี่ยนคำพูด “พานางมาที่นี่”
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หนานกงเชี่ยนโหรวรู้สึกว่าไม่เป็นการดีที่จะทำเกินอำนาจของตน สู้พานางกลับไปให้สวี่ชีอันจัดการด้วยตัวเอง ยังจอาจะได้รับความดีความชอบอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน พลทหารสองนายก็คุมตัวหญิงทั้งสองมาที่นี่ เขามองข้ามสาวใช้ไปโดยปริยาย มองไปยังหญิงวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์และบุคลิกอันยอดเยี่ยม ท่าทางของนางดูสงบ ไม่มีความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด
แน่นอนว่านางไม่ได้อ่อนแอเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป
“เจ้าคือมารดาผู้ให้กำเนิดของสวี่ชีอันอย่างนั้นรึ?” หนานกงเชี่ยนโหรวถามนางด้วยความเย็นชา
หญิงวัยกลางคนในชุดฮั่นฝูมองซ้ายมองขวาและถามว่า “ลูกชายข้าอยู่ที่ใด”
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยนแต่ก็เผยให้เห็นถึงความหยิ่งยโสและสงบนิ่งของสตรี
ผิดกับสาวใช้ที่ตัวสั่นไปทั้งร่าง ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด
“รีบรนหาที่ตายเช่นนี้เลยรึ?” หนานกงเชี่ยนโหรวแสยะยิ้ม
เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้เห็นหายนะที่ใกล้เข้ามา ดังนั้นนางจึงต้องการแสวงหาสวี่ชีอันเพื่อหงายไพ่ครอบครัว และพยายามเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติ
แต่จากความเข้าใจของหนานกงเชี่ยนโหรวที่มีต่อสวี่ชีอัน แม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ถือว่าโหดเหี้ยมแต่ก็เป็นคนที่เด็ดขาด ไพ่เลือดข้นกว่าน้ำส่วนใหญ่มักจะไร้ประโยชน์
หญิงวัยกลางคนหรี่ตาลง สูดหายใจเข้าและถามอีกครั้ง “สงครามที่ราบกลางเป็นอย่างไรบ้าง? สวี่ผิงเฟิงพ่ายแพ้แล้วรึ?”
หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเบาๆ ว่า “เขาแพ้หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่พวกเจ้าต้องตายแน่นอน ตอนนั้นที่พวกเจ้าตัดสินใจปฏิบัติต่อเขาราวกับเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เคยคิดว่าจะมีวันนี้หรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่และคนอื่นๆ ในตระกูลต่างก็สำนึกผิดแล้ว สำหรับสวี่ผิงเฟิง จากสิ่งที่ข้าเข้าใจเกี่ยวกับเขา เขามีความคิดที่จะฆ่าข้าอยู่แล้ว”
หนานกงเชี่ยนโหรวมองนางอย่างพิจารณา “ฆ่าเจ้า?”
หญิงวัยกลางคนกลับไม่พูดอะไรอีก
เวลานี้เอง ร่างหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาจากเชิงเขา ปรากฏตัวที่ด้านข้างหนานกงเชี่ยนโหรวพร้อมกับเสียงกระแทกดังเคร้ง นั่นคือหยางเยี่ยนที่ถือหอกเหล็กอยู่ในมือ
หยางเยี่ยนที่มีสีหน้าเยือกเย็นราวกับรูปปั้นชายตามองศพที่อยู่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนโหรว ก่อนจะมองหญิงวัยกลางคนที่สง่างาม และสุดท้ายก็หันไปมองหนานกงเชี่ยนโหรว
ทั้งสองทำงานร่วมกันอยู่ข้างเว่ยเยวียนมานานหลายปีย่อมมีความเข้าใจกันโดยปริยาย หนานกงเชี่ยนโหรวเข้าใจความหมายในแววตาของเขาจึงกล่าวว่า “ไม่พบเจ้าเมืองเฉียนหลง มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะอยู่ในเมืองไป๋ตี้ ในเมื่อจนถึงตอนนี้สวี่ผิงเฟิงก็ยังไม่กลับมา แสดงให้เห็นว่าเขาได้ทอดทิ้งอวิ๋นโจวแล้ว รอจัดการชำระล้างกองกำลังที่นี่เสร็จ พวกเราจะตามไปฆ่ามันที่เมืองไป๋ตี้”
หลังจากขึ้นไปบนยอดเขา หนานกงเชี่ยนโหรวก็จับได้เพียงแค่กลุ่มสมาชิกในราชวงศ์ แต่กลับไม่พบเจ้าเมืองนั่นที่ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ
แต่เขาก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรนัก หากฝ่ายตรงข้ามไม่มีวิธีการเอาตัวรอดอย่างเช่นค่ายกลส่งตัว นั่นถึงจะเป็นเรื่องแปลก
หยางเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ “ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา”
สำหรับภารกิจโค่นล้ม ไม่ใช่แค่เจ้าเมืองนั่นที่จะถูกตัดศีรษะ แต่กองบัญชาการใหญ่ของกบฏก็ต้องถูกคิดบัญชีในคราวเดียวกัน
กวาดล้างกองบัญชาการใหญ่จนหมดสิ้นแล้ว แม้ว่าเจ้าเมืองจะยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถกลายเป็นอากาศธาตุได้
หยางเยี่ยนกล่าวว่า “ฆ่ายอดฝีมือและทหารในเมืองทั้งหมด ไล่ประชาชนออกไป แล้วจุดไฟเผาเมืองนี้เสีย”
รอจนกระทั่งหนานกงเชี่ยนโหรวพยักหน้า เขาก็หันไปมองหญิงวัยกลางคนที่มีบุคลิกสง่างามอีกครั้ง “เหตุใดยังไม่ฆ่าผู้หญิงคนนี้”
“นางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของสวี่ชีอัน” หนานกงเชี่ยนโหรวอธิบาย
หยางเยี่ยนตกตะลึง
…
‘ปัง ปัง ปัง!’
ปลายกระบอกปืนพ่นเปลวไฟอันลุกโชน สายธนูดีดตัวดังลั่น กระสุนปืนใหญ่และศรธนูเก็บเกี่ยวชีวิตข้าศึกที่พยายามบุกเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
บนถนนที่กำแพงส่วนนอก กระสอบทรายและของจิปาถะถูกวางกองพะเนินเป็นป้อมปราการเพื่อสกัดกั้นการจู่โจมของกองทหารม้า จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงนำเจ้าพนักงานและกองดาบห้าพันนายซ่อนตัวอยู่หลังป้อมปราการ
ศพของข้าศึกและประชาชนที่กำแพงส่วนนอกนอนเป็นแนวราบอยู่ที่เบื้องหน้า
พวกเขาโต้กลับการจู่โจมระลอกสามได้แล้ว แต่ศรธนูและกระสุนปืนใหญ่กำลังจะหมดลง
จูกว่างเสี้ยวโน้มตัวเข้าไปหาซ่งถิงเฟิงพลางกล่าวเสียงทุ้มว่า “ศรธนูและกระสุนปืนใหญ่ใกล้จะหมดแล้ว อย่างมากก็ต้านทานได้อีกระลอก แต่ต่อจากนั้นคงต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับกบฏกลุ่มนี้เองแล้ว”
“เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอะไรกัน?” ซ่งถิงเฟิงหันไปถ่มน้ำลายใส่เขาและก่นด่าว่า “ไอ้สมองหมู วิธีการสู้รบเช่นนี้ของเจ้า ต่อให้มีอีกสิบชีวิตก็ยังไม่พอ หากไม่มีศรธนูและกระสุนปืนใหญ่แล้ว แน่นอนว่าต้องถอนกำลังโดยด่วน เว่ยกงสร้างแนวป้องกันไว้เก้าด่านที่กำแพงส่วนนอกแล้ว พวกเราแค่สู้เพื่อถอยก็พอ”
กำแพงเมืองเป็นเพียงแนวป้องกันด่านแรกเท่านั้น ด้านหลังกำแพงเมืองยังมีกำแพงส่วนนอก หลังกำแพงส่วนนอกยังมีกำแพงของกำแพงส่วนใน ต่อให้ข้าศึกจะบุกมาถึงกำแพงส่วนใน พวกเขาก็ยังต้องเผชิญกับป้อมปราการหลวงที่มีการป้องกันอย่างหนาแน่นยิ่งกว่า
หน้าที่ของจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงคือรับผิดชอบแนวป้องกันที่สองทางตอนใต้ของกำแพงส่วนนอก ซึ่งบรรดาประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองหลวง ตอนนี้มีเพียงประตูทางตอนใต้เท่านั้นที่เสียฐานทัพไปและกลุ่มกบฏก็บุกเข้ามาได้
นี่มัน…โชคร้ายสุดๆ!
ถึงแม้ซ่งถิงเฟิงจะไม่เคยอ่านตำราพิชัยสงครามมาก่อน แต่เขาก็เฉลียวฉลาด แม้จะเสียฐานทัพที่ประตูเมืองไปก็ไม่ตื่นตระหนก เมืองหลวงมีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ได้อย่างเพียงพอ แนวป้องกันแต่ละด่านสามารถทำสงครามล้างผลาญกำลังของกองทัพอวิ๋นโจวได้อย่างสมบูรณ์
ในสนามรบ สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมไม่ใช่การสังหารศัตรู แต่คือการเอาชีวิตรอดต่างหาก
…
พระราชวัง
นางสนม นางใน และครอบครัวขุนนางอาศัยหลบภัยอยู่ในวังใต้ดินซีหยวน
สถานที่นี้อยู่ลึกจากพื้นดินลงไปถึงหกจั้ง มีการจัดวางอาวุธเวทมนตร์เพื่อปกปิดกลิ่นอาย แม้แต่โหรขั้นสูงก็ยังยากที่จะสังเกตเห็นความผิดปกติของสถานที่นี้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
อาสะใภ้และผู้หญิงคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พวกนางต่างตกใจกลัวราวกับนกตัวหนึ่ง สีหน้าซีดขาว ใบหน้าอันสวยสดงดงามเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวล
สวี่หลิงเยวี่ยอยู่ข้างมารดาอย่างเงียบๆ และกุมมือนางเพื่อปลอบประโลมจิตใจ “ท่านแม่ ไม่ต้องกลัว พวกเราจะไม่เป็นไร”
อาสะใภ้ไม่เคยปะทะลมฝนมาก่อน นางเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร?
“พวกกบฏบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่แน่อาจจะโจมตีเข้ามาในพระราชวังทันที” อาสะใภ้ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว
มู่หนานจือโบกมือปฏิเสธ
“เว่ยเยวียนยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่รึ มีเขาอยู่ ไม่มีทางแพ้สงคราม”
นางกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“นอกจากนี้ เมืองหลวงยังมียอดฝีมือจำนวนมาก ไม่ง่ายเลยที่พวกกบฏคิดจะโจมตีมาถึงพระราชวัง อืม ต่อให้พวกเราจะตกอยู่ในอันตราย แต่ครึ่งหนึ่งก็มาจากสวี่ผิงเฟิง”
อาสะใภ้คิดในใจว่า ‘สุนัขไร้ประโยชน์ตัวนั้นเลือดเย็นและโหดเหี้ยมที่สุด ฆ่าได้แม้กระทั่งญาติพี่น้อง ดูเหมือนวันนี้ข้าจะต้องตายเป็นแน่แล้ว’
“หนิงเยี่ยนล่ะ? หนิงเยี่ยนอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่?” อาสะใภ้คว้ามือลูกสาวและกล่าวว่า “หากหนิงเยี่ยนมา แม่จะไม่กลัวเลย”
นางสนมและผู้หญิงในครอบครัวขุนนางที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกายระยิบระยับ ทั้งยังรู้สึกสบายใจขึ้นมากโดยไม่มีเหตุผล
พวกนางอยู่ในห้องส่วนตัวที่ลึกที่สุดในจวน แต่ก็เคยได้ยินตำนานของสวี่ชีอัน บุคคลที่กวาดล้างกองทัพสามแสนนายของสำนักพ่อมดด้วยตัวคนเดียวกับดาบอีกหนึ่งเล่ม
ตอนนี้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของต้าฟ่งและเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
มีเขาอยู่ ไม่ว่ากลุ่มกบฏจะโหดร้ายเพียงใดก็ย่อมถูกกวาดล้างในไม่ช้าก็เร็ว
บนอาคารสูง ฮว๋ายชิ่งที่สวมเสื้อคลุมมังกรทอดสายตามองออกไปไกล เห็นร่างของโค่วหยางโจวและสวี่ผิงเฟิงอยู่รำไร พวกเขากำลังไล่ล่าและต่อสู้อย่างดุเดือดบนชั้นบรรยากาศ นางไม่แม้แต่จะคลายยันต์หยกในมือแม้แต่น้อย
ด้วยตำแหน่งที่นางอยู่ ความจริงแล้วจะไม่ได้ยินเสียงปืนที่กำแพงส่วนนอก แต่นางก็รู้ว่ามีการสู้รบที่ดุเดือดเกิดขึ้นที่นั่น
เว่ยกงกล่าวว่า กบฏอวิ๋นโจวเป็นพวกรัวกลองศึกสร้างขวัญกล้า ตีอีกครั้งเสียขวัญ ตีครั้งที่สามหมดกำลังใจ
เมื่อพวกกบฏตีเข้ามาในเมืองก็เป็นเวลาที่ต้าฟ่งปิดประตูตีสุนัข เพียงแต่การทำเช่นนั้นต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก
ฮว๋ายชิ่งหันไปด้านข้างและมองไปทางทิศเหนือ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสงคราม และนางก็กำลังรอสวี่ชีอันอยู่
…
กลุ่มกบฏยังไม่สามารถบุกเข้ามาในกำแพงส่วนในได้ในระยะเวลาอันสั้น แม้ว่าจะเป็นกำแพงส่วนนอกก็มีเพียงกำแพงทางใต้เท่านั้นที่เสียฐานทัพไป
กองกำลังของเมืองหลวง อย่างเช่นสิบสององครักษ์และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างก็มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับพวกกบฏบนท้องถนน การทำสงครามแบบกองโจรเช่นนี้ ไม่สามารถแยกแพ้ชนะออกในช่วงเวลาอันสั้น
แต่อารมณ์หวาดกลัวและตื่นตระหนกได้กระจายไปในหมู่ประชาชนแล้ว
พวกเขาเห็นสถานการณ์โดยรวมไม่ชัดเจน และไม่เข้าใจการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ ความรู้สึกที่สังเกตได้โดยตรงที่สุดก็คือกลุ่มกบฏได้โจมตีเมืองหลวงแล้ว ทั้งยังได้ยินเสียงระเบิดปืนใหญ่ บางทีพวกมันอาจจะเข้ามาในกำแพงเมืองกันหมด
เช่นนี้จึงค้นพบว่าได้ทำให้ชาวบ้านในตลาดตกอยู่ในความตื่นตระหนกเสียแล้ว
หกร้อยปีตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรต้าฟ่ง นอกจากอู่จงกำจัดขุนนางชั่วข้างกายครั้งนั้น เมืองหลวงก็ไม่เคยตกอยู่ในหายนะแห่งสงครามอีกเลย
ในความเป็นจริง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ประวัติของการกำจัดขุนนางชั่วข้างกายของอู่จงเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้จะรู้ก็เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว
พวกเขาเกิดในเมืองหลวง เติบโตในเมืองหลวง สงครามที่อันตรายที่สุดในความทรงจำของพวกเขาคือสงครามด่านซานไห่ ซึ่งต้าฟ่งก็ยังเป็นฝ่ายที่ชนะ
ดังนั้นประชาชนในเมืองหลวงจึงมีความทะนงตนสูง ยิ่งทะนงตนมากเท่าใด เมื่อความมั่นใจพังทลายลง ความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ราชสำนักออกคำสั่งให้จัดวางกำลังป้องกัน เมืองหลวงทั้งหมดจึงเข้าสู่สถานะเตรียมพร้อม พวกเขาเริ่มกังวล ดูท่าทางแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่กบฏอวิ๋นโจวจะโจมตีเข้ามาในเมืองหลวง
และก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้จริงๆ
ถนนกำแพงส่วนในว่างเปล่า มีเพียงขบวนทหารที่เดินลาดตระเวนบนท้องถนนเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย มีการใช้มาตรการห้ามออกนอกจวนในยามราตรี ไม่ว่าประชาชนคนใดก็ห้ามก้าวเท้าออกนอกประตูบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต
มาตรการสั่งห้ามนี้ยุติการจลาจลที่เกิดจากความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พลทหารของเมืองหลวงจึงไม่สามารถไปที่ด่านแนวหน้าได้ทั้งหมด จำเป็นต้องมีบางส่วนอยู่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
หากไม่มีใครดูแลประชาชนสองถึงสามล้านคนนี้ หากมีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความไม่สงบและปั่นป่วนของประชาชน แน่นอนว่าต้องมีผลร้ายแรงกว่าพวกกบฏ
“พวกกบฏโจมตีเข้ามาแล้วจริงๆ”
“ตอนนี้ข้าชักสงสัยแล้วว่าชัยชนะที่สวินโจวเป็นเรื่องโกหก ความจริงฆ้องเงินสวี่ไม่ได้ชนะอวิ๋นโจว”
“ใช่ ถ้าเขาชนะ แล้วพวกกบฏจะบุกมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร”
“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี?”
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกลัว ฆ้องเงินสวี่ขับไล่ศัตรูไปได้อยู่แล้ว”
“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย เฮ้อ!”
ทุกครอบครัวต่างก็ปิดประตูคุยกันด้วยความกังวลและหวาดกลัว
ทั้งใคร่อยากจะให้ราชสำนักยุติสงครามโดยเร็ว ทั้งแอบสาปแช่งราชสำนักที่โง่เขลาไร้ความสามารถ
ในทางตรงกันข้าม เด็กกลับบริสุทธิ์มากและมั่นใจว่าฆ้องเงินสวี่จะขับไล่ศัตรูออกไปได้แน่
……………………………………………