ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 788 ยุติสงคราม
บทที่ 788 ยุติสงคราม
Ink Stone_Fantasy
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พนมมือ ร่างกายท่อนล่างฝังอยู่บนหน้าดิน ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปปั้นถูกทุบ
เสื้อผ้าของเขาหนาและแข็งราวกับเคลือบด้วยขี้ผึ้ง
“สวี่ชีอัน!”
สีหน้าจีเสวียนผันเปลี่ยนฉับพลัน แววตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ความเคียดแค้น ความหวาดกลัว ความสับสนและความสิ้นหวัง
ราชครูเคยบอกไว้ว่า การต่อสู้ในชายแดนตอนเหนือเสียเปรียบมาก สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงทั้งคู่ต่างได้รับการเลื่อนระดับเป็นขั้นหนึ่ง
ฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ!
ตอนจีเสวียนได้ยินข่าว เขาแทบคลั่ง ยอมรับความจริงเช่นนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย
แต่ช่วงสงคราม เขาระงับทุกห้วงอารมณ์รวมถึงความริษยาและความหวาดกลัวภายในใจเอาไว้ และร่วมสู้ศึก
เหนือสิ่งอื่นใดเจียหลัวซู่และไป๋ตี้ยังอยู่ และทั้งสองก็เป็นขั้นหนึ่งที่ทรงพลัง ถึงแม้สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงจะเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งแล้วทั้งคู่ก็ตาม อย่างมากก็เปลี่ยนข้อเสียเป็นข้อได้เปรียบ อยากตัดสินผลแพ้ชนะ ยังต้องใช้เวลา
ในช่วงเวลานี้ ขอแค่พวกเขาตัดเศียรจักรพรรดินี เอาชนะกองทัพต้าฟ่ง เข้าพิชิตเมืองหลวง
จากนั้นราชครูก็จะมีโอกาสโจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าอีกครั้ง…เมื่อประสบความสำเร็จ กองทัพอวิ๋นโจวจะมีทหารขั้นหนึ่งเพิ่มขึ้น และพลังทั้งหมดของสวี่ชีอันจะลดลงเพราะเมืองหลวงล่มสลาย สิ่งหนึ่งมลายหายไปสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ อวิ๋นโจวยังคงมีหวัง
จีเสวียนคิดเช่นนั้น สวี่ผิงเฟิงก็คิดเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถูกกระแทกเข้าไปในวังหลวงต่อหน้าต่อตา
สิ่งเดียวตอนนี้ที่ผิดพลาดคือ ไม่ว่าเขาหรือสวี่ผิงเฟิง ต่างประเมินพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันผิด
ประการแรก หลังจากจักรพรรดิอู่จงเป็นต้นมา จิ่วโจวไม่มีการบันทึกสถิติการต่อสู้ของจอมยุทธขั้นหนึ่งออกสู่สาธารณะมาห้าร้อยปีแล้ว เสินซูคือคนเดียวที่ปรากฏตัว แต่เพราะอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ จึงไม่มีข้อมูลอ้างอิงมากนัก
ประการที่สอง ร้อยกว่าปีมานี้เซียนครองพิภพอันดับหนึ่ง มีแค่เทพสวรรค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น และเขาไม่สามารถหลีกเร้นจากโลกียวัตรได้ ถ้าเซียนครองพิภพและจอมยุทธขั้นหนึ่งร่วมมือกันจะระเบิดพลังได้มากเพียงใดเชียว เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
ประการสุดท้าย องค์ประกอบของสวี่ชีอันนั้นค่อนข้างซับซ้อน ทั้งกระบี่สยบดินแดน เจดีย์พุทธะ พลังแห่งเวไนยสัตว์ กลวิธีต่างๆ จากเจ็ดยอดกู่ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากจอมยุทธขั้นหนึ่งทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
การทับซ้อนขององค์ประกอบข้างต้น ทำให้สวี่ผิงเฟิงประเมินพลังต่อสู้ที่แท้จริงของบุตรชายคนโตได้ยาก
อย่าว่าแต่สวี่ผิงเฟิง เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้เองก็ยังคำนวณพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงผิด ก่อนเริ่มสงครามฝ่ายหลังเคยปฏิญาณด้วยความแน่วแน่หนักแน่นว่า จะต้องลิ้นรสแก่นโลหิตของจอมยุทธขั้นหนึ่งให้จงได้
เป็นผลให้พรสวรรค์เหนือธรรมชาติถูกควบคุมโดยเซียนครองพิภพ ความแข็งแกร่งของกายหยาบแทบจะเทียบจอมยุทธขั้นหนึ่งไม่ได้
ต้องตายอย่างทุกข์ระทม
“เจ้าช่างเป็นหินเหม็นในส้วมจริงๆ”
สวี่ชีอันหลุบตามองเจียหลัวซู่ เอ่ยปรามาสหนึ่งประโยค
จากนั้นเขาก็มองสีหน้าเขียวคล้ำของจีเสวียน เหยียดยิ้มเยาะ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่เจ็ด”
จีเสวียนขบฟันแน่น ไม่แม้แต่จะลังเล ปล่อยยันต์หยกเลื่อนออกจากแขนเสื้อด้วยแรงจากฝ่ามือ
ราชครูมักจะหาทางออกไว้เสมอ จีเสวียนก็เช่นเดียวกัน เขาไม่เคยขาดยันต์หยก ระยะทางไกลที่ค่ายกลส่งตัวสามารถเคลื่อนย้ายได้คือพื้นที่มณฑลเดียวกัน ฉะนั้นเพียงบิดขยี้ยันต์หยก เขาก็สามารถกลับยงโจวได้ทันที
ไม่ใช่แค่เขา แต่บุคคลสำคัญหลายคนในกองทัพอวิ๋นโจวก็มียันต์หยกส่งตัวอยู่ในกำมือ
ทว่าแสงสว่างไม่ได้เปล่งรัศมี เขายังคงอยู่ในวังหลวง ขณะนั้นจีเสวียนรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนขวา ไม่รู้ว่าแขนขวาทั้งแขนหลุดร่วงจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไร
ตามด้วยสวี่ชีอันที่อยู่กลางท้องฟ้าถูกลมพัดกระโชกแรงจนแตกสลาย นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา
“พี่ชายสบายดีนะ ข้าล่ะชอบฆ่าท่านที่สุด”
เสียงเยาะเย้ยของสวี่ชีอันแว่วดังมาจากด้านหลัง จึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยค
“ข้าก็ชอบฆ่าน้องชายเหมือนกัน”
เขาใช้เคล็ดลับวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่ บดบังลางล่วงรู้วิกฤติจอมยุทธของจีเสวียน
ร่างจีเสวียนซวนเซไถลไปด้านหน้าหลายสิบหมี่ พลางแผดเสียงลั่น
“ท่านราชครู…”
ในตอนนี้มีเพียงสวี่ผิงเฟิงเท่านั้นที่ช่วยเขาได้
คล้อยหลังเสียงคำราม สวี่ชีอันใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เคลื่อนย้ายตัวมาปรากฏต่อหน้าจีเสวียนอีกครั้ง ในท่ายึดขาซ้ายเป็นแกนหลัก บิดยืดเอวเล็กน้อย
‘ปึง!’
ขาขวาสะบัดฟาดดั่งแส้ ตัดเอวจีเสวียนขาดสะบั้น ร่างกายท่อนล่างยังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง หลังจากร่างกายท่อนบนกระเด็นห่างออกไป ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นเต็มแรง
“เจียหลัวซู่ พาจีเสวียนไปด้วย!”
สูงขึ้นไปกลางอากาศ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวของสวี่ผิงเฟิงดังก้องลงมา
โหรขั้นสองผู้นี้มีเหตุผลที่จะไม่สำแดงเดชต่อหน้าบุตรชายคนโต จึงทิ้งห่างออกไปไกล
ทันทีที่เห็นสวี่ชีอันย้อนกลับมายังเมืองหลวง เขาก็รู้แน่ว่าถึงคราวสิ้นหวังแล้ว
สวี่ชีอันเหยียบท่อนบนจีเสวียนด้วยเท้าข้างหนึ่ง พลางมองไปทางเจียหลัวซู่แล้วยิ้มเยาะ
“เจ้ากล้ากระดิกรึ!”
เจียหลัวซู่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
ทั้งสองคนต่อสู้กันมาตลอดตั้งแต่ชายแดนตอนเหนือมาจนถึงเมืองหลวง ใช้ความรุนแรงปะทะกับความรุนแรง เจียหลัวซู่กระจ่างแล้วว่าการอาศัยเพียงร่างธรรมเทพอารักษ์ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวี่ชีอัน เพราะเลือดสีทองเข้มบนร่างกายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
จอมยุทธขั้นหนึ่งรวมกับพลังแห่งเวไนยสัตว์ พลังต่อสู้ทั้งหมดของสวี่ชีอันนั้นเหนือกว่าโหราจารย์ของชิงโจวยามนั้น
เขาสามารถยืนอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าโหราจารย์ได้ แต่กลับถูกจอมยุทธขั้นหนึ่งที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่ง เขวี้ยงไปมาอย่างกับก้อนหิน
อย่างไรเสียสวี่ชีอันก็ยังห่างชั้นจากเสินซู ยังด้อยกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่ต้องมีพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อัดเขาได้ในสามหมัดเหมือนในอดีต
แต่เจียหลัวซู่ก็ยังต้องเอาตัวเองให้รอด
หากไม่มีพระโพธิสัตว์มัญชุศรี มีเพียงกายหยาบซึ่งเป็นพรจากร่างธรรมวชิระ ไม่อาจต้านทานหมัดมวยและกระบี่สยบดินแดนของจอมยุทธขั้นหนึ่งผู้นี้ได้
“ส่งจีเสวียนมาให้ข้า เจ้าไม่กล้าลงมือกับข้าในเมืองหลวงหรอก”
เจียหลัวซู่พูดเสียงขรึม
ท่าทางเจียหลัวซู่ในเวลานี้กำลังตัดสินความเป็นความตายของจีเสวียน รวมถึงตัดสินชีวิตประชาชนคนทั่วไปส่วนใหญ่ในเมืองหลวงด้วยเช่นกัน
สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
“เจ้าเอาเมืองหลวงมาขู่ข้าได้ก็จริง เพราะนี่คือจุดอ่อนของข้า แต่เจ้าคิดว่าทำลายเมืองหลวงทิ้งแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าลอยนวลอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางอย่างนั้นรึ?”
สวี่ชีอันเมินคำขู่ และเอ่ยเตือน
“หากเจ้าทำลายเมืองหลวง จ้าวโส่วไม่ปล่อยเจ้าแน่ ลั่วอวี้เหิงก็คงไม่ปล่อยเจ้า อาซูหลัวแม้นจะไม่สนใจเมืองหลวง แต่หากเป็นไปได้ เขาก็คงจะทำทุกอย่างเพื่อขังเจ้าไว้ในที่ราบลุ่มตอนกลาง นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ่งไม่ปล่อยโอกาสนี้ที่จะเก็บเกี่ยวบุญกุศลอันยิ่งใหญ่
“ข้าอยากรู้นักว่าพระโพธิสัตว์มัญชุศรีจะทนรับมือยอดฝีมือเยอะขนาดนี้ได้หรือไม่
“ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก จะยืนหยัดสู้กับข้าจนตัวตาย แล้วทำลายเมืองหลวง แต่เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นบรรลุธรรมของต้าฟ่งกลับมา เจ้าตายแน่นอน หรือไสหัวไปให้พ้นๆ เสียตอนนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าออกจากเมืองหลวง จงเลือกเสีย”
เจียหลัวซู่ต้องการเอาเมืองหลวงมาขู่เขา เช่นนั้นเขาต้องขู่อีกฝ่ายด้วยชีวิต จะได้เห็นดีกันว่าใครมันเหี้ยมกว่ากัน!
“พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อย่าหลงกลเขา เขาไม่กล้าเดิมพันกับเจ้าหรอก เขาไม่มีทางกล้า!” จีเสวียนพยายามเงยหน้าขึ้นอย่างสุดกำลัง ตะโกนใส่เจียหลัวซู่เสียงกร้าว
สวี่ชีอันสีหน้าสงบนิ่ง ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว จึงเอ่ยว่า
“แต่แม้ว่าเจ้า เจียหลัวซู่จะเต็มใจสละชีวิตเพื่อสวี่ผิงเฟิง เจ้าคิดว่าเขายังมีความหวังที่จะยื่นมือมาเอี่ยวในที่ราบลุ่มภาคกลางตอนนี้รึ? จะอาศัยเขาที่เป็นโหรขั้นสอง เป็นขยะใต้เท้าข้าน่ะรึ? ไป๋ตี้ยังหนีออกไปไกลจากโพ้นทะเล อวิ๋นโจวถึงคราวสูญสิ้นแล้ว
“ไม่ว่าเขาจะให้คำมั่นสัญญาว่าสำนักพุทธจะได้ประโยชน์อะไร มันก็ไม่มีวันเป็นจริง”
เจียหลัวซู่อาจจะโหดเหี้ยม แต่ไม่มีวันสละชีพเพื่อสวี่ผิงเฟิงแน่นอน เพราะแม้แต่สวี่ผิงเฟิงก็คงไม่ยอมสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของตน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เจียหลัวซู่ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น อาการบาดเจ็บทางกายหายฉับพลัน เขาที่ร่างกายเปื้อนด้วยเลือดสีทองเข้ม ยกมือขึ้นประนม เอ่ยเนิบนาบว่า
เขามองไปทางสวี่ชีอัน ก่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังสามก้าว เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดขวาง จึงกระโจนขึ้นฟ้า กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางทิศตะวันตก
สวี่ผิงเฟิงดูเหมือนจะคาดเดาทางเลือกเจียหลัวซู่ไว้แต่แรกแล้ว เขามองไปยังวังหลวงเบื้องล่างอย่างไม่แยแส ก่อนจะหายตัวจากไป
ส่วนจีเสวียนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ฟู่ว…สวี่ชีอันเป่าปากพ่นลมยาวพรืด
เขาเดือดดาลจนยอมพังพินาศ และการมีอยู่ของหยกสลายก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่าง
แต่ถ้าเขาสามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ เขาก็ยินดีที่จะประนีประนอมและหลีกทางให้เจียหลัวซู่ออกไป
ในภายภาคหน้าไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปเยี่ยมเยือนแดนประจิม บัญชีแค้นนี้ค่อยชำระ
“มันจบแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปหาน้องชาย”
สวี่ชีอันก้มมองจีเสวียน กดฝ่ามือเบาๆ
หน้าผากจีเสวียนมีเส้นเลือดปูดโปนด้วยความโกรธ กลัวและไม่ยินยอม เขาเกิดมาเป็นบุตรนอกสมรส ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการแย่งความโดดเด่นจากจีเชียนบุตรชายของภรรยาเอก เขาจำต้องซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงมานานกว่ายี่สิบปี
หลังจากจีเชียนสิ้นลมหายใจ เขาถึงได้ไต่ขึ้นตำแหน่งสูงๆ หลังจากผ่านการรอดตายมาอย่างหวุดหวิด ในที่สุดเขาก็เลื่อนขั้นสู่ขั้นบรรลุธรรม และกลายเป็นจอมยุทธขั้นบรรลุธรรมคนที่สองตั้งแต่ยังหนุ่ม
เพียงก้าวเดียว แค่อีกก้าวเดียวก็สามารถสังหารจักรพรรดินีได้ จากนั้นก็จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองเมือง
ห้วงสุดท้ายของชีวิต เขาทบทวนความคิดราวกับภาพฉาย
“สวี่…ชี…อัน…”
จีเสวียนกรีดร้องโหยหวน วินาทีต่อมา เสียงนั้นพลันหยุดลง สีหน้าดุดันฉาบค้างอยู่บนใบหน้า
จิตเดิมของเขาแตกสลายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน จนดวงวิญญาณกระจัดกระจาย
“ขอยืมหัวของเจ้าหน่อยแล้วกัน”
สวี่ชีอันเรียกกระบี่สยบดินแดนออกมา ตัดเอาศีรษะจีเสวียน จากนั้นจึงหันไปหาจักรพรรดินีแล้วกล่าวว่า
ร่างของจีเสวียนยังคงมีชีวิต แม้นจะเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต ทว่ามันก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า
…
“แย่แล้ว!”
ฉู่หยวนเจิ่นหน้าถอดสี กลั้นใจหันไปมองเหิงหย่วน ปรากฏว่าในดวงตาของฝ่ายหลังสะท้อนความโกรธแค้นและโศกเศร้าเหมือนกับตน
ในมุมมองของยอดฝีมือที่เผด็จศึกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นอกเมือง พวกเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการบุบสลายอาวุธเวทสำริดมากนัก
จากเมืองชั้นนอกเข้ามาวังหลวง ระยะทางจึงเป็นสาเหตุให้อาวุธเวทสำริดขนาดมหึมา ในสายตาผู้คนบนกำแพงเมือง มันเล็กเหมือนจานชาม นับประสาอะไรกับสวี่ชีอันที่มีร่างกายเท่ามนุษย์ปกติ
ทัศน์วิสัยของยอดฝีมือขั้นสี่ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดจากระยะไกลๆ ได้มากนัก
ดังนั้นการบุบสลายแผ่นทองสำริดจึงเหมือนกับการถูกนำกลับมาหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ
จางเซิ่นและยอดฝีมือคนอื่นๆ ทางด้านต้าฟ่งทั้งโศกเศร้า เคียดแค้นและสับสน พวกเขาล้วนคาดเดาไว้ว่าจักรพรรดินีถูกสวี่ผิงเฟิงสังหารอย่างโหดเหี้ยม
สำเร็จแล้วรึ? หยางชวนหนานรู้สึกยินดีปรีดา ดวงตาพร่างพราวเป็นประกายสุขสม ตื่นเต้นเล็กน้อย
หลังจากตัดเศียรจักรพรรดินี กองทัพต้าฟ่งต้องตื่นตระหนก เมื่อจิตใจผู้คนล่องลอย พวกเขายังต้องต่อสู้กับอะไรอีกเล่า? แนวกำลังต่อต้านถัดไปจะลดลงเช่นกัน
เท่ากับว่าการยึดเมืองหลวงมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
เก่อเหวินเซวียนเหยียบอาวุธเวทเหินฟ้า เหม่อมองวังหลวงจากระยะไกลๆ เขาพลันนึกอะไรได้หลายสิ่ง อวิ๋นโจวกลายเป็นเจ้าปกครองที่ราบลุ่มภาคกลาง เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดิ เขาไม่เพียงแต่มีโชคช่วยในการบำเพ็ญพรตมากพอ แต่ยังได้เลื่อนขั้นเป็นนักพยากรณ์ ปรมาจารย์ค่ายกลและแม้แต่โจมตีปรมาจารย์ความลับสวรรค์
ตามที่เขาพยากรณ์ เส้นทางแห่งการบำเพ็ญพรตที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น
ทหารขั้นสี่คนอื่นๆ จากอวิ๋นโจวพากันตื่นเต้น
“จักรพรรดินีสิ้นแล้ว และวันนี้จะเป็นวันที่เรายึดเมืองหลวง”
“วางอาวุธลงเสีย ผู้ใดยินยอมเราจะไว้ชีวิต”
ทหารหยาบกระด้างหลายคนร้องตะโกน
ชีก่วงป๋อไม่ต้องเหินฟ้าตรวจสอบสถานการณ์ แค่ได้ยินเสียงตอบรับจากบรรดายอดฝีมือด้านกำแพงเมือง ก็คาดเดาได้แล้วว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ท่านราชครูและจีเสวียนลงมือสำเร็จแล้ว
‘เว่ยเยวียน ถึงตาเราคว้าชัยบ้างแล้ว…’ ชีก่วงป๋อหรี่ตา พลางยกยิ้มมุมปาก
สำหรับเขาแล้ว การฆ่าจักรพรรดินีถือเป็นความจำเป็นในการทำสงคราม แต่แก่นแท้ลึกๆ กลับไม่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จ
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือเว่ยเยวียน
นี่คือเหตุผลที่เขายอมติดตามสวี่ผิงเฟิงเข้าเมืองเฉียนหลง
เขากับเว่ยเยวียนต่างไม่รู้จักกัน แต่ก็เหมือนอย่างที่ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงก้องยุทธภพหลายคนคิด แม้ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน ก็อยากข้ามเขานับพันลูกข้ามน้ำนับหมื่นสายเพื่อประลอง
เพราะในโลกใบ้นี้ สหายที่รู้ใจกับคู่ต่อสู้นั้นหายากที่สุด
ภายในค่ายทหารที่อยู่ไม่ไกลจากกำแพงเมือง เว่ยเยวียนวางกระจกเทพฮุ่นเทียนลงแล้วบิดขี้เกียจ
“เตรียมรถที ข้าจะไปพักผ่อนที่หอเฮ่าชี่”
ภาพที่สะท้อนในกระจกเทพฮุ่นเทียน ปรากฏภาพกำแพงเมืองเงียบสงบ ชายหนุ่มในชุดสีดำลอยเด่น ในมือถือศีรษะ กำลังมองสมรภูมิรบด้านล่างที่เต็มไปด้วยเขม่าควันดินปืน
สวี่ชีอันหยุดนิ่งกลางอากาศ เอ่ยเนิบนาบว่า
“จีเสวียนตายแล้ว ความพ่ายแพ้ของอวิ๋นโจวถูกตัดสินแล้ว ผู้ใดยอมจะไม่ถูกฆ่า!”
“สะ…สวี่ชีอัน…”
ริมฝีปากเก่อเหวินเซวียนสั่นระริก พยายามเปล่งถ้อยคำออกมาอย่างยากลำบาก
ดวงตาเขาจับจ้องศีรษะจีเสวียนโดยพลัน ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดขาว ในขณะนี้ เขาถึงตระหนักได้ว่าการบุบสลายของแผ่นความลับสวรรค์นั้น ไม่ได้มาจากการที่จีเสวียนกับราชครูตัดเศียรจักรพรรดินี แต่กลับกลายเป็น สวี่ชีอันที่กลับมาต่างหาก
ท่านราชครูและจีเสวียนเจอกับเขาในวังหลวง
จีเสวียนตายแล้ว ละ…แล้วอาจารย์ล่ะ?
“จีเสวียนตายแล้วรึ!?”
อารมณ์ของหยางชวนหนานพลิกสลับขั้ว จากความภาคภูมิใจมากมาย ตอนนี้กลายเป็นสิ้นหวังอย่างมาก
“เป็นไปไม่ได้ ทั้งไป๋ตี้กับเจียหลัวซู่ไม่สามารถฆ่าเขาได้? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใดกัน…”
จีเสวียนตายแล้ว ราชครูหายตัวไป กองกำลังอวิ๋นโจวก็หายไปด้วย การเดิมพันครั้งนี้ที่เขาวางไว้กับชะตากรรมของทั้งครอบครัว จบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
ไม่ใช่แค่หยางชวนหนานเท่านั้น แต่ยอดฝีมือในกองทัพอวิ๋นโจว เริ่มทยอยหน้าซีดเซียว ทั้งมึนงงและสิ้นหวัง โดยไม่รู้ว่าสถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ความพ่ายแพ้ที่อธิบายไม่ได้
ห่างออกไป รอยยิ้มมุมปากของชีก่วงป๋อยังไม่จางหาย มีเพียงใบหน้าแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย
หัวใจเขาค่อยๆ ดิ่งวูบสู่ก้นบึ้งเช่นกัน
เขารับรู้สถานการณ์ได้ในทันที การสู้รบในเขตชายแดนตอนเหนือสิ้นสุดลงก่อนเวลา สวี่ชีอันย้อนกลับมายังเมืองหลวง เอาชนะจีเสวียนและราชครู
จีเสวียนตาย ราชครูคงหนีไปได้
อวิ๋นโจวจบเห่แล้ว
เหมียวโหย่วฟางนั่งลงบนพื้นหันหลังพิงเชิงกำแพง เช็ดใบหน้าเปื้อนเลือด เอ่ยอย่างโล่งใจว่า
“ในที่สุดเขาก็กลับมา”
ด้านข้างมีจางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ สวี่ซินเหนียน รวมถึงบรรดาทหารรักษาวัง เกิดความโล่งใจอย่างแท้จริง เหมือนมีแกนหลักสำคัญ เหมือนได้ยกหินออกจากอก
ฉู่หยวนเจิ่นและไต้ซือเหิงหย่วนสบตากัน ระบายยิ้มพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะฮว๋ายชิ่งตายด้วยน้ำมือสวี่ผิงเฟิง แต่เพราะสวี่หนิงเยี่ยนกลับมาแล้ว
นั่นก็หมายความว่า ผลการสู้รบสงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือ ต้าฟ่งได้รับชัยชนะ
“ฆ้องเงินสวี่กลับมาแล้ว”
“ฆ้องเงินสวี่สังหารยอดฝีมือขั้นบรรลุธรรมของอวิ๋นโจว”
บนกำแพงเมือง ทหารอารักขาแห่งต้าฟ่งกู่ร้องเฮลั่น เหล่าทหารต่างเลื่อมใสศรัทธาเงาร่างบนท้องฟ้าดุจเทพเจ้า
“วางใจได้แล้ว แม่เจ้าโว้ย พวกเราไม่ต้องตาย”
ทหารอารักขาที่แขนหักเอนพิงกำแพงเมือง ฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นเหงือกสีแดงเลือดนก
“ไม่ต้องตายแล้ว ไม่ต้องสละชีวิตอีกแล้ว…”
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่างพากันปิดหน้า หลั่งน้ำตาออกมา
ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของกองทัพต้าฟ่ง เก่อเหวินเซวียน ชีก่วงป๋อ หยางชวนหนานและแกนหลักสำคัญอีกหลายคนในกองทัพอวิ๋นโจว นำยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อในเวลาเดียวกัน
นี่คืออาวุธเวทคุ้มครองของพวกเขาที่ราชครูให้ไว้ จุดหมายปลายทางในการเคลื่อนย้ายถูกตั้งไว้ที่ชายแดนระหว่างยงโจวและเมืองหลวง เมื่อถึงยงโจว พวกเขาสามารถใช้เคล็ดวิชาหายตัวอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ผ่านค่ายกลส่งตัว กลับไปยังอวิ๋นโจว
ซึ่งอาจใช้เวลามากที่สุดประมาณหนึ่งเค่อ
การหลอมสกัดยันต์หยกส่งตัวนั้นยุ่งยาก วัตถุดิบต่างๆ นั้นไม่ได้ราคาสูงมาก แต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเพียงแกนหลักสำคัญในกองทัพเท่านั้นที่จะได้รับการจัดสรร
“ที่นี่หายตัวไม่ได้!”
อีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือกำแพงเมือง เขาคือจ้าวโส่วที่สวมหมวกขงจื๊อ
เขาเป็นคนแรกที่รีบกลับเมืองหลวง เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเคล็ดลับวิชาขงจื๊อเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในทุกระบบ ทั้งเป็นระดับแนวหน้าและโดดเด่นเหนือใคร
ยันต์หยกในมือชีก่วงป๋อและคนอื่นๆ ถูกบดขยี้แล้ว แต่กลับไม่เกิดแสงสว่างนำพาพวกเขาออกไป
ความหวังสุดท้ายหายไปแล้ว
จ้าวโส่วพยักหน้าให้สวี่ชีอันเบาๆ
‘ตู้ม!’
ท่ามกลางเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว สวี่ชีอันหายวับไปจากสายตาผู้คน ความเร็วของเขาในตอนนี้นั้นเกินขีดจำกัดจอมยุทธแล้ว
หรืออาจกล่าวได้ว่าเกินขีดจำกัดการเหาะเหินเดินอากาศเสียอีก
นอกจากวิชาส่งตัวประเภทเคลื่อนย้ายไปไกลถึงอวกาศ ไม่มีเคล็ดวิชาเหินฟ้าใดรวดเร็วกว่าเขาแล้ว
สาเหตุที่เขาไม่ยอมรีบตามสวี่ผิงเฟิงไป นั่นก็เพราะกลัวว่าเจียหลัวซู่จะย้อนกลับมากลางคัน แล้วถอนฟืนใต้หม้อเสียก่อน
พอจ้าวโส่วกลับมา อาซูหลัวและจินเหลียนก็คงอยู่ไม่ไกล พวกเขาทั้งสามคนผนวกกับโค่วหยางโจวกับซุนเสวียนจี อย่างไรก็สู้กับเจียหลัวซู่ที่ออกแรงมหาศาลได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเจียหลัวซู่จะมีความคิดถอนฟืนใต้หม้อล่ะก็ แต่ถ้าเห็นคณะชุดนี้ ก็ต้องสลัดความคิดออกไปจากหัวแน่
ยิ่งไปกว่านั้น สวี่ชีอันรู้ดีว่าสวี่ผิงเฟิงจะไปไหนและไม่กลัวว่าจะหาเขาไม่เจอด้วย
ระหว่างพ่อลูก อย่างไรก็ต้องมีจุดจบ
เมื่อลูกชายจะส่งพ่อสู่ปรโลก ย่อมเป็นเรื่องสมควรแล้ว
…
ห้องลับใต้ดิน ณ วังซีหยวน
กองทหารรักษาวังจำนวนหนึ่งเปิดประตูเหล็กหนา จากนั้นอากาศปลอดโปร่งสดชื่นก็ไหลเข้ามาในห้องลับ ทำให้สมาชิกหญิงนั้นจิตใจชื่นบาน
ผู้นำกองทหารรักษาวังโค้งคำนับ
“ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ กราบบังคมทูลเชิญไทเฮา องค์หญิงทุกพระองค์ รวมถึงท่านหญิงท่านชายกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
ออกไปได้แล้วหรือ?
ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาเอ่ยหยั่งเชิง
“พวกกบฏถูกขับไล่แล้วรึ?”
ครั้นเห็นไทเฮาและบรรดาองค์หญิงหันมามอง หัวหน้าทหารรักษาวังจึงตอบกลับ
“ผู้นำกองกบฏตายและหนีไป การก่อจลาจลนอกเมืองก็สงบลงแล้ว แม่ทัพนายกองฝ่ายกบฏทั้งหมดถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หวางซือมู่ซึ่งอยู่ข้างๆ ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้ว เอ่ยถาม
“รวดเร็วอะไรเช่นนี้?”
หัวหน้ากองทหารรักษาวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ฆ้องเงินสวี่กลับมาแล้ว จะไม่เร็วได้อย่างไร”
เสียงกู่ร้องดีใจดังขึ้น บรรดาสมาชิกหญิงต่างพากันสบายใจ พวกนางหัวเราะกันทั้งน้ำตา ทั้งกล่าวสวรรค์คุ้มครองราชวงศ์ ขณะเดียวกันก็พร่ำขอบคุณฆ้องเงินสวี่
หลินอันที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ เฉินไท่เฟยในที่สุดก็ไม่แสร้งทำเป็นสงบนิ่งอีกต่อไป นางพ่นลมโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกพลางยกมือเท้าเอวไปด้วย
อาสะใภ้แต่เดิมอยากจะทิ้งตัวทรุดลง แต่บรรดาสมาชิกหญิงที่ยืนอยู่ใกล้หญิงบ้านสกุลสวี่มองมา จึงทำให้อาสะใภ้ต้องยืดอกเชิดหน้าขึ้น คงไว้ซึ่งภาพพจน์
เพื่อให้ได้รับการยอมรับและสรรเสริญเยินยอจากท่านหญิงผู้สูงศักดิ์
มู่หนานจือเหลือบมองหลินอัน พลางยกมือขึ้นเท้าเอวเช่นกัน
ส่วนสวี่หลิงเยวี่ยนั้นอ่อนโรยไร้พิษภัย
…………………………………………………………