ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 789 จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
บทที่ 789 จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
Ink Stone_Fantasy
บนกำแพงเมือง การจากไปของสวี่ชีอัน ทำให้กองทัพอวิ๋นโจวตกอยู่ในความโกลาหล
ในสายตาพวกเขา จีเสวียนคือผู้ชนะสิบทิศ จีเสวียนคือเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ที่ส่องประกายเจิดจรัสตั้งแต่ชิวโจวจรดยงโจว แต่เมื่อครู่นี้ศีรษะของเขากลับอยู่ในมือฆ้องเงินสวี่
ทันใดนั้น ความสิ้นหวังก็ปะทุขึ้นในใจกองทัพอวิ๋นโจวและแม่ทัพนายกองระดับกลาง จากที่ตื่นเต้นอย่างยิ่งยวดกับการที่จักรพรรดินีถูกสะบั้นคอ ตอนนี้กลายเป็นท้อแท้หมดหวัง
นอกจากจีเสวียนที่พวกเขาเชิดชูให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแล้ว ท่านราชครูก็มาหนีหาย…
“แม่ทัพจีถูกฆ่าแล้ว ฆ้องเงินสวี่อยู่ยงคงกระพัน เขาเป็นเทพสวรรค์ลงมาจุติ”
ท่ามกลางกลุ่มฝูงชน ใบหน้าทหารอวิ๋นโจวนายหนึ่งเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ริมฝีปากสั่นระริก
ความสิ้นหวังและความตื่นตระหนกสุมในทรวงกองทหารอวิ๋นโจว กลุ่มกบฏเริ่มชุลมุน กวัดแกว่งดาบไปรอบๆ ทิศด้วยความสับสน โดยไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรต่อไปดี
หลังจากเห็นหัวจีเสวียน หัวใจพวกเขาปราศจากเจตจำนงในการทำสงครามจนหมดสิ้น
ในฐานะคนพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเขาทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามฆ้องเงินสวี่ทั้งนั้น เหตุใดคนคนหนึ่งจึงฆ่าล้างกองกำลังสำนักพ่อมดกว่าสามแสนนายด้วยดาบเล่มเดียว ไหนจะตอนที่บุกเดี่ยวมาอวิ๋นโจวเพื่อกำราบกลุ่มกบฏกว่าสองหมื่นนายและเรื่องอื่นๆ อีก
ความประทับใจโดยธรรมชาติเช่นนี้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์โดยรวมที่ดี ก็อาจจะเก็บกดไว้ในใจ แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันไม่สามารถก้าวผ่านได้ ความหวาดกลัวที่เก็บกดอยู่ในใจจะสะท้อนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังใจ
ดวงตาหยางชวนหนานฉายแววเคร่งขรึม พลางกล่าวเสียงดัง
“กองทัพอวิ๋นโจวยอมตายดีกว่ายอมจำนน แม่ทัพทุกคนฟังข้า จงลงมือ!”
ข้างกายมีพรรคพวกมากกว่าสิบนายกำดาบแน่น ใบหน้าพวกเขาเปี่ยมด้วยความเหี้ยมโหด
‘แคร้ง!’
ขณะเดียวกันนี้ ดาบจากในมือทหารนายหนึ่งหลุดร่วงกระแทกพื้น เอ่ยเสียงสั่นเทา
“ข้า…ข้ายอมจำนน…ข้าเคยบอกแล้วว่ากบฏอย่างเราไม่มีทางเอาชนะฆ้องเงินสวี่ได้”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่หลายวินาที ผู้ยอมจำนนคนที่สองจึงปรากฏตัว
“ข้าเองก็ขอยอมแพ้ ข้า ข้าแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ข้าก็ยอมแล้ว…”
ต่อจากนั้น ราวกับเป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาลูกโซ่ กองทัพอวิ๋นโจวละทิ้งอาวุธและยอมจำนนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างใช้ภาษาถิ่นแต่ละที่ส่งเสียงตะโกน ‘ยอมแพ้’ ออกมา
“การก่อกบฏต้องโทษประหาร ถึงยอมจำนนก็ไม่มีทางรอด!”
หยางชวนหนานแผดเสียงตวาด “ท่านแม่ทัพ ออกไปสู้กับข้ากันอีกสักตั้ง…”
เขารู้ดีว่าตนต้องตาย จึงปฏิเสธการยอมจำนนอย่างแน่วแน่ และนึกอยากปลุกใจให้กองทัพอวิ๋นโจวพังพินาศไปพร้อมกับต้าฟ่ง ถึงแม้ตัวตายก็ต้องชดใช้ด้วยราคาแสนแพง
ทว่าคำพูดเขายังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ย สหายสนิทด้านหลังผู้หนึ่งก็ทิ้งดาบในมือลง พลางร้องขึ้นมา
“ข้ายอมจำนน”
เสียงหยางชวนหนานพลันชะงัก
สหายคนสนิทนับสิบคนข้างกายเขาละทิ้งดาบและร้องตะโกนยอมจำนน
กล้ามเนื้อแก้มของหยางชวนหนานกระตุกอย่างรุนแรง แววตาฉายแววผิดหวัง
ไกลออกมา พอมองกำแพงเมืองและใต้กำแพงเมือง กองทัพอวิ๋นโจวเอาแต่ยอมละทิ้งอาวุธอย่างต่อเนื่อง ชีก่วงป๋อค่อยๆ หลับตาลง มือข้างหนึ่งกระชับดาบเหน็บข้างเอว
การจะเป็นแม่ทัพ ต้องเลือกวิธีตายที่สมเกียรติ
สีหน้าเขาเศร้าหมอง ตอนนั้นเอาชนะเว่ยเยวียนในสนามรบไม่ได้ บัดนี้ก็ยังคงไม่มีโอกาส
สวี่ชีอัน สามคำนี้กลายเป็นหุบเหวลึกระหว่างเขากับเว่ยเยวียนที่ไม่มีหนทางให้ข้ามผ่าน พลอยแต่จะให้สิ้นหวัง
หัวใจชีก่วงป๋อเต้นไม่เป็นจังหวะ ขณะกำลังชักดาบออกมาปลิดชีพตน จู่ๆ สองมือก็เกิดควบคุมไม่ได้
จึงลืมตาด้วยความงุนงง ก่อนจะเห็นชุดสีขาวตรงหน้า ใบหน้าแสนธรรมดา อารมณ์สงบนิ่ง พร้อมด้วยส่วนสูงสมส่วน
“เหตุใดไม่ปล่อยให้ข้าตาย” ชีก่วงป๋อเอ่ยเสียงขรึม
‘เป็นผู้นำทัพอวิ๋นโจว คิดจะตายยังไม่ง่ายเลย…’ ซุนเสวียนจีเอ่ยในใจเงียบๆ แต่เมื่อมาถึงริมฝีปาก จึงกลายเป็นคำคำเดียว
“หึ!”
ภายใต้การนำทัพของพวกแม่ทัพนายกองทหารอารักขาต้าฟ่ง เหล่าทหารที่ยอมจำนนจะถูกจับมัด พวกเขาจะกวัดดาบแกว่งไม้ ตะโกนด่าทอและทุบตี เพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวในใจ
กลุ่มกบฏที่รนหาที่ตายกลุ่มนี้ ช่างกล้าบุกเข้ามาตีเมืองหลวง ใครกันที่มอบความกล้าบ้าบิ่นให้พวกเขา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าฆ้องเงินสวี่เป็นนักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่ง
สวี่ชีอันผู้เป็นตำนาน เขาเคยพ่ายแพ้รึ?
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่ได้ลงมือก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าลงมือแล้วละก็ คงสังหารผู้นำศัตรูแล้ว
คนผู้นี้คือเทพเจ้าแห่งสงครามในความคิดของพวกเขา
เก่อเหวินเซวียน หยางชวนหนานและผู้เป็นกำลังสำคัญอีกหลายสิบคนถูกจ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี และโค่วหยางโจวกำราบอย่างรวดเร็ว การมียอดฝีมือขั้นเหนือสามัญจับจ้อง คงเป็นการยากหากคิดจะฆ่าตัวตาย
…
ตำหนักกระดิ่งทอง ณ วังหลวง
จักรพรรดินีประทับบนบัลลังก์ นอกเหนือจากองค์ชาย ภายในตำหนักยังมีทหารรักษาวัง บรรดาผู้บัญชาการสิบสององครักษ์พิทักษ์เมืองหลวง รวมถึงสวี่เอ้อร์หลาง จางเซิ่น ฉู่หยวนเจิ่น เฉาชิงหยาง และยอดฝีมือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คนอื่นๆ
ฝ่ายหลังได้ทำคุณงามความดีในการปกป้องต้าฟ่ง จึงได้รับข้อยกเว้นให้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิบนตำหนัก เพื่อตบรางวัลตอบแทนตามความดีความชอบ
“กบฏถูกจับกุมตัวทั้งหมดสองหมื่นแปดพันสามร้อยหกสิบหนึ่งคน ชีก่วงป๋อ หยางชวนหนาน และแม่ทัพกบฏคนอื่นๆ ถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมดแล้ว สงครามครั้งนี้มีทหารล้มตายแปดพันสามร้อยสี่สิบสามคน บาดเจ็บหนึ่งหมื่นสองพันคน นอกเมืองมีราษฎรล้มตายและบาดเจ็บมากกว่าแปดร้อยคน”
“เปืนใหญ่มากกว่าสองร้อยกระบอก หน้าไม้หนึ่งร้อยยี่สิบอัน อาวุธหุ้มเกราะ…”
“ในบรรดาประตูเมืองทั้งสี่ ประตูเมืองทางทิศใต้ถูกทำลาย กำแพงเมืองส่วนใหญ่พังทลายลงมา ประตูเมืองอีกสามแห่งได้รับความเสียหายในแตกต่างกันตามลำดับ จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมครั้งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ความเสียหายจากสงครามนั้นใหญ่หลวงอยู่แล้ว แต่พระพักตร์ของบรรดาองค์ชายเปี่ยมไปด้วยความยินดี มีความสบายอกสบายใจชนิดที่ว่าเห็นแสงอุทัยตัดผ่านหมอกเมฆ
สงครามครั้งนี้ยุติการกบฏของอวิ๋นโจว เมฆครึ้มที่เคยแผ่ปกคลุมเหนือราชสำนักต้าฟ่ง ในที่สุดก็แตกสลายจนหมดสิ้น ให้รุ่งอรุณมาถึง
ฮว๋ายชิ่งฟังเงียบๆ ก่อนเอื้อนเอ่ยว่า
“การสูญเสียในสงครามครั้งนี้หนักหนาสาหัสนัก ท่านทั้งหลายมีข้อเสนอแนะอย่างไรเกี่ยวกับผลพวงจากหลังสงคราม รวมถึงการกำจัดนักโทษกบฏ”
สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูก้าวออกมา กล่าวว่า
“ให้ทหารอวิ๋นโจวไปใช้แรงงาน รับผิดชอบเรื่องการซ่อมแซมกำแพงเมืองและส่วนอื่นๆ จากนั้นจึงค่อยจัดการหลังจากเสร็จสิ้นเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
การใช้งานหมากเบี้ยเหล่านี้ให้มากที่สุดในตอนนี้ ถือเป็นแรงงานปราศจากสินจ้าง
สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูกล่าวต่อ
“สำหรับผู้นำกลุ่มกบฏเช่นชีก่วงป๋อและคนอื่นๆ ให้เร่งประหารโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการแสดงถึงความน่าเกรงขามของราชสำนัก สำนักราชเลขาธิการได้เตรียมประกาศไว้แล้วว่า ‘ฆ้องเงินสวี่ตัดหัวจีเสวียนผู้นำกองทัพกบฏ สร้างความหวาดผวาให้แก่กองทัพและปราบปรามการก่อกบฏ’
“ด้วยวิธีเช่นนี้ จะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ราษฎรได้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า กล่าวว่า
“ได้!”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงก้าวออกมา พลางกล่าว
“กระหม่อมยังคงมีบาวเรื่องยังสงสัย สงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือดูเหมือนจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ตอนนี้พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้อยู่ที่ใด?”
ความสงสัยของหลิวหงนั้นก็เป็นความสงสัยของบรรดาองค์ชายเช่นกัน
การก่อกบฏอวิ๋นโจวจบลงแล้ว แต่สำหรับองค์ชาย ผลลัพธ์ของบางอย่างก็ยังหาข้ออธิบายไม่ได้
เนื่องจากพลังต่อสู้ของขั้นเหนือสามัญ อวิ๋นโจวสามารถพึ่งพาไป๋ตี้กับเจียหลัวซู่ได้อยู่แล้ว ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขายังไม่เห็นผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งทั้งสองท่านนี้ปรากฏตัวเลย
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยสรุเสียงอันน่าเกรงขามช้าๆ ว่า
“ท่านราชครูและฆ้องเงินสวี่ พวกเขาทั้งคู่ได้เลื่อนอันดับเป็นขั้นหนึ่ง สังหารไป๋ตี้ตั้งแต่อยู่ในชายแดนตอนเหนือแล้ว ส่วนเจียหลัวซู่นั้นยากจะรับภาระไว้ลำพัง จึงโดนฆ้องเงินสวี่ขับไล่ หนีกลับไปยังแดนประจิมแล้ว”
!!!
ภายในตำหนัก ใบหน้าที่ก้มลงต่ำพลันเงยขึ้นทันใด เผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจและงุนงง
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง…ในหัวเหล่าขุนนางชั้นสูงผุดเสียงพึมพำ จนเกือบทูลจักรพรรดินีว่า
นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ!
ประโยคธรรมดาๆ เช่นนี้พลันเกิดคลื่นโหมซัดสาดกระหน่ำขึ้นกลางใจเหล่าขุนนางชั้นสูง
และแม้แต่จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ที่ทราบสถานการณ์จากจ้าวโส่วแล้ว พอได้ยินอีกครั้ง ก็ยังตกใจจนไม่อาจอธิบายได้
พวกหัวหน้าผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ต่างอ้าปากค้าง ยากจะซ่อนการแสดงออกได้
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจุติแล้ว
ตั้งแต่สิ้นจักรพรรดิอู่จง ในยุทธภพที่ราบลุ่มภาคกลางไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏตัวมาห้าร้อยปีแล้ว
ห้าร้อยปีต่อมาจวบจนวันนี้ สวี่ชีอันเลื่อนอันดับเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
ก่อนเขาจะรู้ตัว ก็กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงแล้ว…ขุนนางสูงสุดมีความรู้สึกว่าสรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
‘ข้าเพิ่งอยู่ในค่ายทหารแค่ห้าเดือนจริงๆ หรือ…’ หนานกงเชี่ยนโหรวถามตนในใจ พลางสงสัยว่าตนพลาดอะไรไปหรือไม่ เขายังยอมรับว่าฆ้องเงินที่แต่เดิมอยู่อันดับสลายแรงขั้นห้า และห้าเดือนต่อมาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงสุด
แนวคิดขั้นหนึ่งจะเป็นอย่างไร?
นี่คือจุดสิ้นสุดของระบบจอมยุทธ์
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากระดับสุดยอดแล้ว มีพลังต่อสู้ของผู้ใดสามารถเทียบเคียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้เล่า?
บรรพชนต้องปลีกวิเวกเป็นเวลากว่าห้าร้อยปี ถึงได้เลื่อนอันดับเป็นขั้นที่สอง นี่ถือเป็นบุคคลที่โดดเด่นแล้วจึงได้บันทึกในประวัติศาสตร์ แต่ฆ้องเงินสวี่ในวัยยี่สิบต้นๆ บรรลุเส้นทางจอมยุทธแล้ว…ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จิตใจว้าวุ่น เพียงเดี๋ยวเดียวก็คิดได้ว่าความสามารถพิเศษของเหล่าบรรพชนดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยหรือ?
ขณะเดียวกันที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว พวกเขากวาดมองรอบๆ ด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าผู้พิทักษ์หยวนไม่ได้อยู่ในตำหนักด้วย จึงโล่งใจทันที
“ดี ดีเลย! ต้าฟ่งมาถึงขนาดนี้แล้ว จากนี้สืบไปก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ทั้งแผ่นดินสี่สารทิศ จะมิมีผู้ใดมารุกราน!”
สองมือของหลิวหงสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น น้ำตาเอ่อล้นไหลออกมา
“นี่เป็นโชคของประชาราษฎร์ โชคของฝ่าบาทและโชคของประเทศ”
ขณะนี้เอง ขุนนางขั้นสูงต่างสะเทือนใจ นึกย้อนไปถึงปีที่ตรวจสอบข้าราชสำนัก เหตุการณ์ต่างๆ ที่ต้าฟ่งต้องพบเจอ ตั้งแต่จักรพรรดิเจินเต๋อก่อหายนะ ทำลายรากฐานของบรรพบุรุษด้วยตนเอง จนมาถึงกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว ประชาชนต้องประสบกับความยากลำบาก
ในปีที่ผ่านมา มีภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย ทางราชสำนักต้องรับภาระหนักมาแต่ไหนแต่ไร
ในที่สุดตอนนี้ก็ข้ามผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากได้แล้ว ทั้งเว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพ สวี่ชีอันได้เลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง มีฝ่ายหน้าควบคุมนำทัพออกรบ มีฝ่ายหลังเป็นพลังต่อสู้เหนือธรรมชาติ
แค่คิดก็รู้แล้วว่า ต่อไปในภายภาคหน้า ต้าฟ่งจะอุดมสมบูรณ์ลมฝนตกต้องตามฤดูกาล ประเทศชาติและปวงประชาสงบสันติอยู่เย็นเป็นสุข
ตามบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ ช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิเกาจู่และอู่จง ตั้งแต่แดนประจิม เขตชายแดนตอนเหนือ สำนักพ่อมด ซินเจียงตอนใต้ ทั้งสี่ฝ่ายยอมจำนน ไม่รุกรานดินแดนต้าฟ่ง ไม่กล้าใช้อาวุธยุทโธปกรณ์บุ่มบ่าม
…
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง กฎอัยการศึกของเมืองชั้นในก็ถูกยกเลิก กองทัพป้องกันเมืองวิ่งไปตามถนนและตรอกซอกซอย ตีฆ้องร้องป่าวตะโกนว่ากบฏถูกปราบลงแล้วและใต้หล้าก็สงบสุข
เมื่อประชาชนได้ยิน ก็เปิดประตูและหน้าต่างด้วยความประหลาดใจ ปรากฏว่าบนถนนไม่มีทหารเดินลาดตระเวนแล้วจริงๆ
“สงครามสิ้นสุดแล้ว? ข้าตกใจแทบตาย คิดว่าเมืองหลวงจบเห่แล้วซะอีก”
“เสียงปืนใหญ่เงียบลงไปได้สักพักแล้ว ข้าคิดว่าพวกกบฏคงล่าถอยกลับไปแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าพวกกบฏโดนปราบแล้วกันล่ะ”
“ไปไปไป ไปดูประกาศบนกระดานกัน”
ประชาชนทยอยออกจากบ้านเรือนตนออกมาเดินตามถนน เพื่ออ่านป้ายประกาศที่ประตูเมือง และป้ายประกาศของที่ทำการปกครองทั่วทุกแห่ง
แน่นอนว่าประชากรที่อยู่ไกลๆ ก็สามารถเห็นป้ายประกาศใหม่ได้
“เขาว่าอย่างไรบ้าง? “
“ใช่เรื่องที่กบฏถูกปราบแล้วหรือไม่ แต่ฐานกลุ่มกบฏอยู่ในอวิ๋นโจว ถึงจะบอกว่าการก่อกบฏจะสิ้นสุดแล้ว อาจจะหวนกลับมาอีกก็ได้”
“ถ้าแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ เมืองหลวงของเราขับไล่กลุ่มกบฏได้อย่างรวดเร็ว นับว่าสุดยอดมากแล้ว”
“ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตจริงๆ พวกขุนนางก็ไม่ได้ทำให้พวกเราปวดหัวถึงเพียงนั้น”
คนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ขณะสนทนากันไปด้วยก็รอฟังเนื้อหาในประกาศจากคนที่อ่านหนังสือออกไปด้วย
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“บนประกาศแจ้งว่า ฆ้องเงินสวี่ตัดหัวผู้นำกลุ่มกบฏ ข่มขวัญพวกกองทัพ”
ตามคลื่นเสียงก็ดังขึ้นเป็นระลอกในทันใด ผู้คนที่อยู่ข้างป้ายประกาศต่างวิพากษ์วิจารณ์ ถกถามความจริงเท็จไม่หยุด
หลังจากได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว ประชาชนก็เข้าใจได้ในทันที มิน่าเล่ากลุ่มกบฏจึงโดนกำราบรวดเร็วถึงเพียงนี้ สุดท้ายก็เป็นฝีมือของฆ้องเงินสวี่นี่เอง
“เจ้าหมายถึงกลุ่มกบฏรนหาที่ตายรึ อุตส่าห์บุกเข้ามาถึงเมืองหลวง ยังไม่ทันได้ก่อคลื่นพายุก็โดนฆ้องเงินสวี่สังหาร”
“ข้าคิดว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาและกล้าหาญ พวกขุนพลได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ที่ไหนได้ฆ้องเงินสวี่เป็นคนปราบกลุ่มกบฏ”
“แน่นอนสิ ฆ้องเงินสวี่อยู่นอกด่านอวี้หยางตั้งแต่แรก เอาชนะกองทัพสำนักพ่อมดห้าแสนคนได้ด้วยดาบเดียวตามลำพัง”
ในวันนี้เขาสังหารผู้นํากบฏข่มขวัญกองทัพ ในความคิดประชาชน ถือเป็นสิ่งที่ฆ้องเงินสวี่พึงกระทำ
“เอ๋ ไม่ใช่สองแสนคนรึ? “
บางคนตั้งคำถามถึงปริมาณที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวเดียวก็จมอยู่ใต้คลื่นกระแสแห่งการสรรเสริญอย่างรวดเร็ว
ประชาชนในเมืองหลวงถูกปลูกฝังความ ‘โอหังอวดดี’ โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ความอวดดีนี้ไม่ใช่ความหยิ่งผยองของคนชนชั้นสูง แต่เป็นความหยิ่งผยองที่อยู่ในร่วมกับฆ้องเงินสวี่
ภัยพิบัติในที่ราบลุ่มภาคกลางยังคงถาโถม ชิงโจวและยงโจวก็ถูกกบฏยึดครอง แต่เมืองหลวงไม่เกรงกลัวเพราะเมืองหลวงมีฆ้องเงินสวี่
…
จวนอ๋อง
หวางซือมู่กับมารดาและสะใภ้ทั้งสองนั่งรถม้า เดินทางกลับตำหนัก
สองบุตรชายออกมาต้อนรับอย่างตื่นตระหนก พลางรีบเร่งถามว่า
“ได้ยินคนพูดกันว่า สงครามนอกเมืองจบลงแล้วหรือขอรับ?”
ฮูหยินหวางพยักหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ระบายยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ได้ยินคนในวังบอกว่า ฆ้องเงินสวี่ตัดหัวผู้นำกบฏ ข่มขวัญกลุ่มกบฏที่กำแพงเมืองเพื่อยุติความโกลาหล
“เฮ้อ แต่แรกข้าคิดว่าใต้เท้าวางแผนเกี่ยวดองกับตระกูลสวี่ ข้ายังคัดค้านอยู่ในใจ ตอนนี้กระจ่างแล้วว่าใต้เท้าตั้งใจไว้แล้ว”
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวางและตระกูลสวี่ ถึงแม้ว่าบิดาจะสละตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ เขาก็ยังมั่งคั่งร่ำรวยอยู่ในเมืองหลวงและนำพาโชคชะตามาสู่คนรุ่นหลัง
บุตรชายคนโตของตระกูลหวางรู้สึกโล่งใจ จึงแสดงความยินดี
“ท่านพ่อรอฟังข่าวอยู่ด้านใน ข้าจะเร่งนำเรื่องไปบอก”
ฮูหยินหวางพยักหน้า
“ใต้เท้าจะได้พักรักษาตัวให้หายอย่างสบายใจ”
หวางซือมู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ให้ข้าไปคุยกับท่านพ่อเถอะ”
ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
หวางซือมู่เดินมาจนถึงห้องนอนของบิดา หมุดลูกบิดเปิดประตู พลางเอ่ยว่า
“ท่านพ่อ”
หวางซือมู่ขานรับ “อืม” ก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง เห็นสมุหราชเลขาธิการหวางพิงหมอนอิง มองมายังตน
“สงครามเป็นอย่างไรบ้าง? “ สีหน้าและน้ำเสียงสมุหราชเลขาธิการหวางสงบนิ่ง เพียงแต่จ้องหวางซือมู่ตาไม่กะพริบ
หวางซือมู่เข้าใจความหมายของบิดา จึงนั่งลงข้างเตียง จับมือบิดาเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ฆ้องเงินสวี่กลับมาแล้ว สงครามจบลงแล้ว ท่านพ่อ ทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว”
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า เพราะเขารู้เรื่องนี้จากลูกชายทั้งสองคนตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“สงครามหนีเคราะห์กรรมเขตแดนทางเหนือก็สิ้นสุดลงแล้ว…”
หวางเจินเหวินยังคงมีข้อสงสัยอีกหนึ่งข้อ แต่รู้ว่าลูกสาวตนตอบไม่ได้
เขาชนะได้อย่างไร?
หวางซือมู่เอ่ย
“ระหว่างทางข้าพบเอ้อร์หลาง เขากำลังจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท บอกข้ามาเรื่องหนึ่ง”
หวางเจินเหวินมองลูกสาว
หวางซือมู่เม้มปาก ก่อนบอกความจริง
“ฆ้องเงินสวี่เลื่อนอันดับเป็นขั้นหนึ่งแล้ว”
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง…
หวางเจินเหวินพึมพำ “จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งรึ”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีพลังชีวิตใหม่กำลังผุดขึ้นและแผ่ซ่านทั่วร่างกาย ใบหน้าของเขาอ่อนโรย
…
นอกชายฝั่ง อวิ๋นโจว
บนผืนมหาสมุทรสีคราม กองเรือจอดทอดสมออยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น ธงที่ปักดิ้นลายมังกรตัวเขียวโบกสะบัดโต้ลมกระโชกแรง
กองเรือมังกรเขียวชิงหลง!
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ข้างเรือ กวาดสายตามองอวิ๋นโจว แววตาเคร่งขรึมจนมองไม่ออกว่ากำลังสุขหรือทุกข์
หลังจากเมืองเฉียนหลงถูกโจมตี เขาตระหนักได้ว่ากำลังรบเมืองนั้นไม่แข็งแกร่งเท่าของศัตรู เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด บดขยี้ยันต์หยกส่งตัวไป๋ตี้ไปที่เมือง หลังจากนั้นก็นำกองทหารที่เชื่อถือได้ห้าร้อยนาย ตรงไปที่ชายฝั่ง นำกองเรือชิงหลงหนีออกนอกประเทศ
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากอวิ๋นโจวหลายสิบหลี่ ซึ่งปลอดภัยเพียงพอ
เขายังคงรอข่าวของราชครูจากที่นี่
การมีอยู่ของกองเรือชิงหลง ไม่ใช่เพื่อต่อสู้ แต่เพื่อทิ้งอวิ๋นโจวไว้ข้างหลัง
ตอนนั้นที่เลือกหยั่งรากลึกในอวิ๋นโจว ก็เป็นเพราะมีมหาสมุทรให้พึ่งพิง แม้สถานการณ์จะถึงจุดสิ้นหวัง ก็ยังมีทางถอย
“ในเมื่อท่านราชครูไม่ยอมช่วยอวิ๋นโจว นั่นก็แสดงว่าเขายึดเมืองหลวงได้แล้ว เพียงแค่ยึดเมืองหลวงได้ ถึงสูญเสียอวิ๋นโจวก็ไม่เป็นไร”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงดำรงตำแหน่งระดับสูงมาหลายปี จนในใจสงบนิ่งและไม่ตื่นตระหนก
เวลาเดียวกันนี้ เขามองเห็นเงาร่างสีขาวอยู่ตรงหน้า ก่อนที่แผ่นหลังสวี่ผิงเฟิงจะปรากฏขึ้น
………………………………………………