ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 790 ไล่ฆ่า
บทที่ 790 ไล่ฆ่า
Ink Stone_Fantasy
“ราชครู!”
สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงมีความสุขและฮึกเหิม
ไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้ สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัวที่นี่ แสดงว่าการศึกในเมืองหลวงชี้ชัดแล้ว
ในชั่วพริบตานั้น ชายวัยกลางคนชุดม่วงคิดถึงภาพมากมาย ตั้งแต่การเข้าสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ จากนั้นก็สวมชุดมังกรกลายเป็นเจ้าชีวิตของคนใต้หล้า แย่งชิงเจิ้งถ่งกลับคืนมา คลี่คลายปมความเสียใจของบรรพชน
เขายิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม เลือดลมพลุ่งพล่าน ตื่นเต้นเป็นที่ยิ่ง
ทว่า กิริยาซึ่งได้รับการปลูกฝังในตำแหน่งใหญ่โตตลอดหลายปีมานี้ทำให้เขาสงบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อคงภาพลักษณ์แล้วเอ่ยว่า
“สงครามในเมืองหลวงแน่ชัดแล้วสินะ ราชครูมารับข้าเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่”
สวี่ผิงเฟิงไม่ได้หันมา หากนิ่งมองฟองสีขาวที่ผุดขึ้นบนผิวสมุทรอย่างต่อเนื่อง แล้วเอ่ยด้วยความทอดถอนใจว่า
“กองทัพพ่ายแล้ว ฝ่าบาททรงเตรียมตัวออกทะเลเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เกิดเสียง ‘วิ้ง’ ในหัวของชายวัยกลางคนชุดม่วง ราวกับถูกคนฟาดด้วยไม้พลองจนถอยหลังซวนเซ
สีหน้าของเขาขาวซีดลงอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากสั่นระริก เช่นเดียวกับมือและเท้า ราวกับมิอาจทนต่อความเย็นชื้นของลมทะเลได้
ชายวัยกลางคนชุดม่วงเอ่ยคำต่อคำว่า
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ไป๋ตี้เล่า พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เล่า ยังมีจีเสวียน ชีก่วงป๋อ แล้วคนอื่นๆ เล่า”
สวี่ผิงเฟิงส่ายหน้าเบาๆ
“ระหว่างการสู้รบที่ชายแดนตอนเหนือ สวี่ชีอันใช้ประโยชน์จากการหลุดพ้นเคราะห์กรรมเลื่อนขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่หาใช่คู่ต่อสู้ของเขา คนแรกถอยกลับโพ้นทะเลไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นตัวแทนสำนักพุทธในการฉีกพันธสัญญากับอวิ๋นโจว
“คนที่ออกไปรบล้วนรั้งอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว จีเสวียนตายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน”
สมองของชายวัยกลางคนชุดม่วงพลันว่างเปล่า หัวใจพลันหยุดเต้น
ตอนที่เขาทิ้งคนในตระกูลที่เมืองเฉียนหลงโดยไร้ซึ่งความลังเล อย่างมากเขาก็เสียใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าจีเสวียนตายอยู่เมืองหลวง ตายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน ชายวัยกลางคนชุดม่วงนั้นปวดใจจนเกินระงับ ประหนึ่งสายฟ้าห้าสายฟาดกลางกระหม่อม
ใช่ว่าเขารักบุตรซึ่งเกิดจากสนมผู้นี้มากมายนัก หากนี่เป็นจอมยุทธ์ขั้นสามคนหนึ่งเชียวนะ
การฝึกฝนจอมยุทธ์ขั้นสามผู้หนึ่งเป็นเรื่องยากลำบากนัก ยาโลหิตที่ทำให้ร่างกายของจีเสวียนเหนือมนุษย์เม็ดนั้น เป็นหนึ่งในแก่นของสายเลือดพวกเขา ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้ว
“เราละอายต่อบรรพชน ละอายต่อบรรพชนนัก!”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงปิดหน้า น้ำเสียงเจ็บลึกเจือด้วยเสียงคร่ำครวญอันยากจะกดข่ม
สวี่ผิงเฟิงมิได้เอ่ยคำปลอบโยน หากน้ำเสียงเย็นชา
“ฝ่าบาทเสด็จไปรอที่เกาะหลังเต่าและพักฟื้นพระวรกายก่อน ความพ่ายแพ้ในเมืองหลวงวันนี้ อย่างมากก็แค่ต้องอดทนต่อไป วันหน้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อครั้งกบฏอู่จง บรรพบุรุษเชื้อพระวงศ์ของฝ่าบาทก็เป็นเช่นนี้
“โชคดีที่พวกเราได้พิจารณาแง่มุมนี้ไว้ เงินและเสบียงที่กักตุนไว้หลังเต่าสามารถใช้เป็นรากฐานในการหวนคืนอำนาจได้”
ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ทั้งสองด้าน ดังนั้น สวี่ผิงเฟิงและสายเลือดของเมืองเฉียนหลงจึงเสาะหาสถานที่ในโพ้นทะเลที่เหมาะแก่การเพาะปลูก เกาะร้างซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และกักตุนเงินและเสบียงส่วนหนึ่งไว้ที่นั่น
เมื่อการก่อกบฏล้มเหลว จะได้ถอยไปเก็บตัวที่เกาะร้าง
บัดนี้เส้นทางสายหลังนับว่าเกิดประโยชน์แล้ว แม้จะมิใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับท่านก็ตาม
ชายวัยกลางคนชุดม่วงสองตาแดงเรื่อ และพึมพำถามกลับว่า
“ยังมีโอกาสหวนคืนอำนาจอีกใช่หรือไม่”
สวี่ผิงเฟิงส่งเสียง ‘ฮึ’
“ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่า บุตรสายตรงคนโตผู้นั้นของข้าก่อร่างสร้างตัวมาได้อย่างไร”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเกิดแรงบันดาลใจและโพล่งออกมา
“นอกจากความโชคดีและดวงแข็งแล้วก็มิได้ต่างจากคนทั่วไป”
ระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากความโศกเศร้าอาดูรเป็นความตื่นเต้นยินดี แล้วกล่าวอย่างฮึกเหิมว่า
“รอจนเขาสิ้นอายุขัย พวกเราก็ร่วมมือกับสำนักพุทธและไป๋ตี้ได้อีกครั้ง อีกทั้งตอนนั้น ท่านโหราจารย์ก็ยังถูกปิดผนึก ราชสำนักต้าฟ่งจะเอาอะไรมาสู้กับพวกเราเล่า”
สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ
“ด้วยเหตุนี้ล่ะ
“ดังนั้นตอนนี้ ข้าต้องออกทะเลไปตามหาไป๋ตี้และวางแผนร้ายกับมัน ฝ่าบาทไปที่เกาะหลังเต่าก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ มหาสมุทรกว้างใหญ่ ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจจัดวางค่ายกลไว้บนเกาะแล้วด้วย เขาคิดจะตามหาก็ไม่ง่ายแล้ว”
ในเวลานั้นเอง เกิดเสียง ‘เปรี้ยง’ ประหนึ่งสายฟ้าฟาดดังเสียดหูมาจากท้องฟ้าใสกระจ่าง
ทหารชุดเกราะและยอดฝีมือในกองเรือรบมังกรเขียวชิงหลงต่างมองไปยังท้องฟ้าด้วยความตะลึงงัน จากนั้นใบหน้าจึงถอดสีด้วยความหวาดกลัวราวกับคนที่รอรับวันสิ้นโลก
คนร่างหนึ่งโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแรกเห็นยังอยู่ที่ขอบฟ้า หากเพียงพริบตาก็มาถึงตรงหน้าแล้ว
สวี่ชีอัน!
เขาไล่ตามมาแล้ว
เสียงของสวี่ชีอันดังก้องสะท้อนขอบฟ้า
“สวี่ผิงเฟิง เจ้าหนีไม่รอดหรอก ต่อให้หนีไปซ่อนถึงโพ้นทะเล ข้าก็จะไล่ล่าเจ้า ต่อให้ต้องบุกขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าให้ได้”
สวี่ผิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก หลังจากสวี่ชีอันไล่ตามมาสกัดจีเสวียนที่เมืองหลวง เขาก็เผยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์อย่างชัดเจนอีกครั้ง เป็นการแสดงออกที่เหนือความควบคุม
“มีอันใด คิดไม่ถึงว่าข้าจะตามมาเร็วเพียงนี้รึ
“เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว คิดว่าตนฉลาดหลักแหลม วีรบุรุษในใต้หล้าล้วนอยู่ในความคาดการณ์ของเจ้าหมด คิดว่าตัวเองมีทางถอยอยู่เสมอ หลังจากที่พ่ายแพ้ เจ้าก็จะละทิ้งกองทัพในเมืองหลวงแล้วกลับอวิ๋นโจวทันที พร้อมหอบความหวังสุดท้ายออกทะเล
“เจ้าวางแผนทำร้ายข้า วางกับดักข้า ทำเหมือนข้าเป็นหมาก แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ในการประมือกันแต่ละครั้ง ข้าอ่านนิสัยและความเคยชินของเจ้าออกตั้งนานแล้ว นิสัยที่เก็บงำบางอย่างและรอเวลาที่เหมาะสม
“คิดจริงๆ หรือว่าทุกคนจะโง่เขลาไปกับการจูงจมูกของเจ้า
สวี่ชีอันประณามถากถางจนสาแก่ใจ แล้วจึงพรั่งพรูลมหายใจด้วยความอัดอั้น
เขาคิดถึงวันนี้มานานมากแล้ว วันที่ต้อนสวี่ผิงเฟิงจนมุม และเหยียบย่ำความสำเริงสำราญทั้งหมดของเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วบอกกับเขาว่า เขาเป็นเพียงคนชั่วที่อาละวาดสร้างความเดือดร้อนผู้หนึ่งเท่านั้น!
วันนี้ สวี่ชีอันทำสำเร็จแล้ว
สวี่ผิงเฟิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากเคราะห์สวรรค์วางแผนเลื่อนขึ้นสู่ขั้นหนึ่ง ตรงไปสู่การสิ้นสุดของกองทัพอวิ๋นโจว
และต่อมา สวี่ผิงเฟิงก็ยังคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะไล่ตามมาได้เร็วถึงเพียงนี้
ตั้งแต่ช่วงเวลาที่สวี่ผิงเฟิงออกจากเมืองหลวง สวี่ชีอันก็รู้ทันทีว่าเขาจะมาอวิ๋นโจว และหอบความหวังสุดท้ายออกทะเล ก่อนกบดานรอคอยการกลับมามีอำนาจในอนาคต
นี่เป็นการคาดเดาจากนิสัยที่เคยชินของสวี่ผิงเฟิง จากการแสดงออกแต่ละอย่างที่ผ่านมา จึงวิเคราะห์นิสัย ‘รอบคอบ’ ของสวี่ผิงเฟิงได้ไม่ยาก รวมถึงความเคยชินในการซ่อนไพ่ตายและไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเป็นอันขาด
นอกจากนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏกลุ่มดาวมังกรเขียวชิงหลงในกลุ่มดาวยี่สิบแปดดารา จากคำสารภาพของเชลยศึกกองทัพอวิ๋นโจวซึ่งถูกจับในชิงโจวพบว่า กลุ่มดาวมังกรเขียวชิงหลงเป็นกองทัพเรือหน่วยหนึ่ง
กองทัพเรือหน่วยนี้ไม่เคยเข้าร่วมสงครามเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วมันใช้ทำอะไรเล่า คำตอบชัดเจนในตัวเองยิ่งนัก
อันที่จริง ไม่เพียงแต่สวี่ชีอันเท่านั้นที่เดาได้ เว่ยเยวียนก็เดาออกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงทิ้งกระจกเทพฮุ่นเทียนไว้ในค่ายทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เว่ยเยวียนให้เขาใช้เสาะหาสวี่ผิงเฟิงในท้องทะเลอันกว้างใหญ่
“ราชครู เขามาแล้ว เขามาแล้ว!”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ จึงร้องด้วยความตระหนกว่า
“รีบพาเราไป เร็ว…”
ยามหนีเอาชีวิตรอด สวี่ผิงเฟิงมีหรือแบกภาระไว้บนบ่า
แสงสว่างวาบขึ้นใต้เท้าของเขา แล้วเขาก็หายไปจากสายตาของทุกคนในชั่วพริบตา
สวี่ชีอันไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เนื่องจากในระหว่างที่กำลังเอ่ยถากถางเมื่อครู่ เขาได้ผูกติดกับสวี่ผิงเฟิงไว้แล้ว และทลายพลังปราณทั้งหมด ยับยั้งอารมณ์ทั้งหมดไว้
ลำแสงดาบสีเหลืองทองวาบขึ้นระหว่างผืนดินและท้องฟ้าก่อนหายวับไป หนีเข้าสู่ความว่างเปล่า
สามขั้นตอนของหยกสลายคือ
ผูกติดเป้าหมาย…สะสมพลัง…เชือด!
ตอนที่เข้าใกล้กองเรือมังกรเขียวชิงหลง สวี่ชีอันได้ฉวยโอกาสจากการพูดถากถางเพื่อผูกติดเป้าหมายกับสวี่ผิงเฟิง นับตั้งแต่นั้น สวี่ผิงเฟิงก็ยากที่จะหลบหนีหยกสลายของเขาอีก
หลังจากตัดหยกสลายแล้ว สวี่ชิงอันก็โยนดาบสยบดินแดนและดาบไท่ผิงออกไป แล้วออกคำสั่งว่า
“พวกเจ้าทั้งสองไปฆ่าทุกคนบนเรือ ฆ่าหมดแล้วค่อยมาหาข้า”
ดาบไท่ผิงและดาบสยบดินแดนพุ่งพรวดออกไป เปลี่ยนเป็นริ้วสีทองหม่นและลำแสงสีเหลืองอร่ามโบยบินตัดสลับกัน แล้วพุ่งเข้าใส่กองเรือมังกรเขียวชิงหลง
พริบตานั้นเอง ศีรษะของมนุษย์แต่ละคนก็ลอยละลิ่ว พร้อมกับเลือดอุ่นๆ ที่สาดกระเซ็น
“สวี่ชีอัน…”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงตะโกนก้อง ต้องการบอกสวี่ชีอันว่าตนยินยอมจำนน ยินดีสวามิภักดิ์ ยอมกลับเมืองหลวงไปกับเขา ทว่าเขาทันร้องออกมาเพียงสามคำว่า ‘สวี่ชีอัน’ เท่านั้น ก่อนถูกดาบสยบดินแดนแทงทะลุทรวงอก และถูกดาบไท่ผิงตัดศีรษะขาดสะบั้น
ชุดสีม่วงเปื้อนไปด้วยเลือด
“กลับมาค่อยเรียกวิญญาณมาไต่สวน…”
สวี่ชีอันหยิบกระจกเทพฮุ่นเทียนแล้วสั่งให้มันมองในรัศมีพันลี้โดยรอบเพื่อค้นหาตำแหน่งของสวี่ผิงเฟิง ก่อนหายไปในท้องฟ้าท่ามกลางเสียงกัมปนาทกึกก้อง
…
สวี่ผิงเฟิงไม่มีลางสังหรณ์ถึงสถานการณ์อันตรายของจอมยุทธ์ แต่เขาก็รู้ว่าหายนะกำลังใกล้เข้ามา เนื่องจากสวี่ชีอันชักดาบออกมาต่อกรกับเขา
เขารวบรวมข่าวกรองทุกเรื่องของบุตรสายตรงคนโต สวี่ผิงเฟิงเข้าใจทุกเรื่องก่อนได้ขั้นสองเป็นอย่างดี ทั้งพลังต่อสู้ของเขา ไพ่ตาย อาวุธเวทมนตร์และอื่นๆ ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของสวี่ผิงเฟิง
ด้วยเหตุนี้ สวี่ผิงเฟิงจึงกระจ่างกว่าใครว่า ‘ความตั้งใจ’ ของบุตรสายตรงคนโตนั้นน่ากลัวเพียงใด
เมื่อเขายึดเจ้าเป็นเป้า เจ้าจึงทำได้เพียงเดิมพันชีวิตกับเขา แล้วบาดเจ็บไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ไม่ว่าเขาจะสร้างบาดแผลไว้บนร่างเจ้ามากเพียงใด ก็จะย้อนกลับมาสู่ตัวเองในเวลาเดียวกัน
ไร้หนทางหลบหนี ไม่มีวิธีการหรืออาวุธเวทมนตร์ที่จะต่อต้าน มีเพียง…การเดิมพันด้วยชีวิต
วิธีเดียวที่เขาจะรับมือได้ตอนนี้ก็คือการหลบหนีด้วยวิชาส่งตัว วิชาส่งตัวเกี่ยวเนื่องกับช่องว่างในอากาศ และเป็นวิชาที่รวดเร็วที่สุดในโลกนอกเหนือจากพระโพธิสัตว์หลิวหลี
ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัววูบวาบอย่างต่อเนื่อง ด้านหลัง ลำแสงดาบเหลืองอร่ามทะลุผ่านช่องว่างในอากาศเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว ไล่ล่าเขาราวกับยมทูต
ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกที…
สวี่ผิงเฟิงค่อยๆ เผยสีหน้าดุร้าย ขณะที่ดาบเหลืองอร่ามราวกับจะส่องแสงอยู่ด้านหลัง เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะแยกจิตเดิมออกจากกายเนื้อในพริบตา
นี่คือวิธีเดียวที่สวี่ผิงเฟิงคิดได้เพื่อหลีกเลี่ยงวิธีการของหยกสลายได้อย่างสมเหตุสมผล
และเป็นข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของหยกสลาย ซึ่งก็คือ มันมีพลังโจมตีเพียงทางเดียว
ร่างกายหรือจิตเดิม มันเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ระหว่างท้องทะเลกับผืนฟ้า ปรากฏร่างชุดขาวสองร่างในเวลาเดียวกัน
เจตนารมณ์ของดาบที่กำลังจะตัดผ่านกายเนื้อได้เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน แล้วพุ่งไปยังภาพลวงตาอันเลือนรางของจิตเดิม
จิตเดิมของสวี่ผิงเฟิงสลายและมลายไปทีละน้อยท่ามกลางลำแสงของดาบ และหายไปพร้อมกับแสงดาบเหลืองอร่ามบนผืนสมุทรอันกว้างใหญ่
เวลานั้นเอง ธงดำราวน้ำหมึกผืนหนึ่งก็ถูกดึงออกจากในถุงหอมซึ่งอยู่ข้างเอวของสวี่ผิงเฟิง สิ่งนี้คือธงกวักวิญญาณของปลอมที่มีอานุภาพเพียงหนึ่งถึงสองส่วนของของจริง สามารถอัญเชิญวิญญาณในรัศมีสิบลี้เท่านั้น
‘เคร้ง!’
ธงกวักวิญญาณสั่นไหวพร้อมลมกรรโชก ไม่นาน จิตเดิมที่แตกสลายของสวี่ผิงเฟิงก็รวมตัวกันอย่างช้าๆ ก่อนปรากฏเป็นร่างที่เกือบโปร่งใส
ร่างนี้เปราะบางยิ่งนัก สั่นไหวราวกับจะร่วงท่ามกลางลมทะเล ประหนึ่งจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
จิตเดิมพุ่งเข้าสู่กายเนื้อทันทีโดยไร้ซึ่งความลังเล
กายเนื้อพลันลืมตาขึ้น จากนั้นเขาก็เก็บธงกวักวิญญาณ แล้วหยิบขวดเคลือบลายครามขวดหนึ่งออกจากถุงหอม ก่อนดึงจุกไม้ออก แล้วกลืนยาอายุวัฒนะฤทธิ์อุ่นบำรุงจิตเดิมในขวดลงไปทั้งหมด
ถึงได้เพียงพอที่จะสร้างเสถียรภาพให้จิตเดิม
“โชคดีที่วรยุทธ์ในตัวรับมือกับวิธีการของจิตเดิมได้พอกล้อมแกล้ม”
สวี่ผิงเฟิงเหงื่อกาฬเต็มหลัง ในใจไร้ซึ่งความยินดีจากการรอดตาย มีเพียงความหวาดกลัว โกรธเกรี้ยว รวมถึงความรู้สึกไร้กำลัง
เขาเป็นถึงโหรขั้นสองระดับสูงสุดผู้สง่างาม กลับทำได้เพียงฝืนรับหนึ่งดาบของสวี่ชีอันเท่านั้น
ไม่ต้องเอ่ยถึงการต่อสู้แพ้ชนะกับเขาหรอก กระทั่งหนีเอาชีวิตรอดยังถูลู่ถูกังเช่นนี้
ซึ่งนี่ทำให้สวี่ผิงเฟิงผู้อวดดีหยิ่งยโสยากจะรับได้ เป็นความอัปยศอดสูที่มิอาจปิดบังอำพราง
เมื่อลำแสงใสฉายวาบ เขาก็ใช้วิชาส่งตัวหลบหนีไปอีกครั้ง
สวี่ชีอันไม่มีทางปล่อยเขา จะต้องไล่ล่าเขาไปตลอดจนสุดขอบโลก
บัดนี้ผู้ที่จะช่วยเขาได้มีเพียงไป๋ตี้ เบื้องหลังของเทพมารผู้นี้ไม่ธรรมดา ไป๋ตี้เป็นเพียงหุ่นเชิด ร่างจริงของมันคือคนอื่น
สวี่ผิงเฟิงไม่ได้พยายามปิดบังความลับสวรรค์ของตน เนื่องจากสวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว ระดับสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น อีกทั้งความเกี่ยวพันระหว่างพ่อลูกก็ลึกซึ้งเกินกว่าจะฝืนอำพรางได้
เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อใช้วิชาส่งตัวตามลมหายใจเกล็ดเล็กๆ ในมือ แล้วมาถึงยังจุดมุ่งหมายในที่สุด
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็เห็นลั่วอวี้เหิงที่ปลายสุดของแนวชายฝั่ง
…
“หืม”
สวี่ชีอันซึ่งกำลังเหาะด้วยความเร็วสูงหยุดชะงักลงกะทันหัน ด้วยรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงระลอกหนึ่งที่ส่งมาจากร่างกาย ความเจ็บปวดรุนแรงเช่นนี้ราวกับมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
“ปฏิกิริยาตอบกลับของหยกสลายไม่ถูกต้อง…”
เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที
หลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นหนึ่ง แก่นแท้ ลมปราณและจิตก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง จิตเดิมและกายเนื้อก็ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป
แต่เขายังคงสัมผัสได้ว่า จิตเดิมได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กายเนื้อบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นเพราะผลพวงต่อเนื่องหลังการผสานรวมกันของกายเนื้อและจิตเดิม
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พอจะเดาการกระทำของสวี่ผิงเฟิงออก
หากลูกคลอดยาก แค่จัดการรักษาชีวิตแม่ไว้ก็เท่านั้น
“ฮึ่ม มาดูกันว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงไหน”
กระจกเทพฮุ่นเทียนก็เหมือนกับคลื่นตรวจจับทิศทางที่จับสังเกตในรัศมีพันลี้ หลังจากสวี่ชีอันเหาะไปได้ครึ่งชั่วยามก็ยังจับร่างของสวี่ผิงเฟิงไม่ได้ แต่กลับเห็นลั่วอวี้เหิงแทน
ลั่วอวี้เหิงพกกระบี่เทพ ยืนอยู่ระหว่างผืนฟ้าและท้องทะเล ชุดขนนกโบกพลิ้ว เรือนผมงดงามปลิวไสว ดูงดงามน่าค้นหาประหนึ่งเซียนหญิงบนสวรรค์
นางขมวดคิ้วจ้องนิ่งไปยังก้นทะเล ราวกับกำลังคุมเชิงบางสิ่งอยู่
ในเวลาเดียวกับที่กระจกเทพฮุ่นเทียนจับสังเกตนางได้ ลั่วอวี้เหิงก็สัมผัสถึงกระจกเทพได้เช่นกัน จึงเงยหน้ามามอง
ทั้งสองสบตากันโดยมีกระจกเทพกั้น
อึดใจต่อมา สวี่ชีอันก็พลัน ‘มุด’ เข้าไปตรงหน้าลั่วอวี้เหิง แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ไป๋ตี้เล่า”
ลั่วอวี้เหิงก้มลงเหลือบมองผิวน้ำทะเลแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ข้าไล่ตามวิญญาณของไป๋ตี้มาตลอดจนถึงที่นี่ มันลงไปในทะเลจากตรงนี้ ข้าไล่ตามลงไปก็เห็นร่องน้ำลึก ในร่องน้ำลึกมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนักอาศัยอยู่ ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมัน จึงขึ้นมา”
การดำรงอยู่ของสิ่งที่น่ากลัวมาก ร่างเดิมของต้าฮวงรึ สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“แข็งแกร่งแค่ไหน”
ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“หากสู้กันลำพัง ข้าไม่มีโอกาสชนะเลย”
แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียว…สวี่ชีอันสูดลมหายใจ แม้ในสมัยบรรพกาลที่เทพมารยังอยู่กันขวักไขว่ เทพมารที่ทัดเทียมระดับสุดยอดเช่นเทพกู่นั้นมีดุจขนหงส์และเขากิเลน
แต่ต้าฮวงผู้นี้มีร่างสืบเชื้อสายจากเทพมาร ซึ่งความจริงแล้วแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่งอีกไม่ใช่หรือ
เช่นนั้นบรรพบุรุษของมันจะน่ากลัวเพียงใด
ลั่วอวี้เหิงกล่าวอีกว่า
“สวี่ผิงเฟิงอยู่ข้างล่าง เขาเผชิญหน้ากับข้าก่อนจะส่งตัวไปยังก้นทะเล จิตเดิมของเขาเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าทำอะไรลงไปน่ะ”
อยู่ข้างล่างสินะ ที่แท้เขาก็มาอาศัยหลบภัยกับไป๋ตี้ หนึ่งคนหนึ่งตัวสร้างพันธมิตรกันมานานแล้ว…สวี่ชีอันสูดหายใจลึกแล้วมองใบหน้ารูปไข่อันงดงามของลั่วอวี้เหิง “ท่านร่วมมือกับข้าแล้วลงไปเจอมันดีหรือไม่ ถือโอกาสดูด้วยว่าตาเฒ่าโหราจารย์นั่นตายหรือยัง”
ท่านโหราจารย์ยังอยู่ในมือ ‘ไป๋ตี้’
………………………………………………………….