ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 798 ศึกชิงตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่
บทที่ 798 ศึกชิงตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่
หลังจากที่สวี่หยวนไหวเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา ก็พบว่าโหรชุดขาวทั้งสองคนมองมาที่เขาด้วยแววตาเหมือนมองคนซื่อบื้อ
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วแค่นเสียงเอ่ยออกมา
“มีปัญหาอะไร?”
โหรชุดขาวที่อยู่ทางด้านซ้ายอุทาน ‘อ้อ’ ออกมา จากนั้นก็พลันตระหนักได้จึงตีหัวตัวเองก่อนเอ่ยตอบ
“ลืมไป พวกเจ้าสองคนเข้ามาในสำนักโหราจารย์ตอนที่ฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์พอดี นั่นก็คงจะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วกระมัง”
โหรชุดขาวทางด้านขวาหรี่ตามองสวี่หยวนไหว
“ข้าจะบอกข่าวร้ายกับเจ้าเรื่องหนึ่ง กองทัพอวิ๋นโจวบุกมาถึงเมืองหลวงแล้วจริงๆ แต่ก็ถูกฆ้องเงินสวี่สยบในวันนั้น พวกผู้นำทั้งหลายของทัพกบฏ บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกจับไป เจ้าหนู ตอนนี้ใต้หล้าสงบลงแล้วล่ะ”
สวี่หยวนไหวและพี่สาวมองหน้ากันแล้วยิ้มเยาะ
“ไปหลอกเด็กสามขวบเถอะไป”
เหตุใดพวกเขาถึงถูกขังเอาไว้ที่นี่ นั่นก็เพราะท่านโหราจารย์ถูกผนึก กำลังสำคัญของต้าฟ่งจึงหายไปแล้ว จิตใจผู้คนก็ตื่นตระหนก ท่านพ่อและท่านอาจึงเห็นว่านี่คือโอกาสกวาดล้างต้าฟ่งโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับกลยุทธ์เจรจาสันติภาพของชีก่วงป๋อ
หรือพูดอีกอย่างก็คือ สถานการณ์ของภาคกลางเกือบจะกลายเป็นต้าฟ่งพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว
สองพี่น้องถูกขังอยู่ในสำนักโหราจารย์ไม่ถึงหนึ่งเดือน เมื่อดูจากแนวโน้ม ตอนนี้ต้าฟ่งน่าจะล่มสลายจนถึงขีดสุดและอยู่ในจุดที่ควรมอดมลายหายไปแล้วต่างหาก
มุมมองของสวี่หยวนซวงก็เช่นเดียวกับน้องชาย แต่นางยังรักษาความสงบไว้ ทั้งไม่ได้เอ่ยถามและไม่ได้โต้เถียง
นางไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก พี่ใหญ่ผู้นั้นเปลี่ยนจากมือปราบตัวเล็กๆ กลายเป็นบุคคลที่เรียกลมเรียกฝนได้ ดังนั้นย่อมต้องทำการล่าสังหารอย่างเด็ดขาดแน่นอน แต่เขาไม่ได้ฆ่าไม่เลือกหน้าเช่นนั้น แม้ว่าตนและหยวนไหวจะเป็นหมากไร้ประโยชน์ แต่อย่างมากก็แค่ถูกขังไว้ในสำนักโหราจารย์
โหรของสำนักโหราจารย์หยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นคนชุดขาวทั้งสองคนจึงคร้านจะอธิบาย
สองพี่น้องสวมโซ่ตรวนที่มือและเท้าแล้วถูกนำขึ้นมาจากใต้ดิน จากนั้นก็เดินตามโหรทั้งสองคนขึ้นบันไดไป
ระหว่างทางได้พบกับโหรชุดขาวมากมายหลายคน พวกเขาไม่แม้แต่จะมองสองพี่น้องและเอาแต่ยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง
การเมินเฉยเช่นนั้น เดิมทีก็คือความหยิ่งยโสแบบหนึ่ง
ไม่นานก็มาถึงโถงใหญ่ชั้นสี่และถูกพาเข้าไปในห้องทางปีกซ้าย ก่อนจะมาหยุดอยู่นอกห้องใหญ่ห้องหนึ่ง
สวี่หยวนซวงมองเข้าไปข้างใน ทั้งสองประกอบด้วยชายหนุ่มผู้มีรอยคล้ำรอบดวงตาดำเข้ม หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ห่านที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองพร้อมมีของกินวางอยู่ตรงหน้า ซุนเสวียนจีที่ใบหน้าธรรมดาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กับลิงที่เขาเลี้ยง
รวมถึง พี่ใหญ่สวี่ชีอันผู้สวมชุดสีครามปักลายม่านเมฆ ไม่รู้ว่าเขากับโหรเหล่านี้กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ สีหน้าจึงแสดงความจนใจออกมา
ที่ข้างหน้าต่างยังมีโหรชุดขาวผู้เอาแต่ยืนทำมือไพล่หลัง อย่างไรก็ไม่มีวันได้เห็นหน้า
“ฆ้องเงินสวี่ มาแล้วขอรับ!”
หลังจากโหรชุดขาวทั้งสองคนเอ่ยบอกก็หันหายเดินจากไป
สองพี่น้องยืนตัวแข็งอยู่ที่ประตู ไม่รู้ว่าควรเดินเข้าไปหรือไม่
“เข้ามาเถอะ!”
สวี่ชีอันเก็บงำสีหน้าแล้วกวาดตามองสองพี่น้องอย่างเอื่อยเฉื่อย
สวี่หยวนไหวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปคนแรกแล้วเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้าจะใช้พวกเราสองพี่น้องเป็นตัวต่อรองกับท่านพ่อหรือ? เช่นนั้นขอแนะนำให้เจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝันไป การเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งเป็นความปรารถนาสูงสุดของชีวิตท่านพ่อ เขาสามารถแลกได้ทุกสิ่งเพื่อเรื่องนี้ ข้ากับหยวนซวงยังไม่มีค่าถึงขั้นนั้นหรอก อยากฆ่าก็ฆ่า ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ตัวข้าสวี่หยวนไหวหากขอร้องเจ้าก็ไม่ถือเป็นบุรุษ”
ศิษย์ทั้งหลายของท่านโหราจารย์เหลือบมองเขา รู้สึกไม่คาดคิดเล็กน้อย
น้องชายคนนี้ของสวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนกระดูกแข็งที่หยิ่งในศักดิ์ศรีคนหนึ่งเสียอย่างนั้น
สวี่ชีอันมองไปยังผู้พิทักษ์หยวนแล้วเอ่ยถาม
“เขาบอกว่าอะไร?”
ดวงตาสีฟ้าใสของผู้พิทักษ์หยวนจ้องมองไปยังสวี่หยวนไหวแล้วเอ่ยตอบอย่างจริงจัง
“เช่นเดียวกัน”
ก็หมายความว่าสิ่งที่สวี่หยวนไหวพูดออกมานั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดในใจ
‘เป็นเจ้าทึ่มคนหนึ่งโดยแท้…’ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที
คนที่อายุปูนนี้แต่คำพูดคำจายังเหมือนกับความคิดในใจนั้น ไหนเลยจะไม่ใช่คนทึ่ม
ดวงตาสีฟ้าใสของผู้พิทักษ์หยวนกวาดตามองทุกคนแล้วพยักหน้าเป็นการตอบว่าเห็นด้วย
“ข้าก็ว่าเป็นเจ้าเป็นคนทึ่มเช่นกัน ไม่น่าสนใจเลย!”
สองพี่น้องที่อยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
“กบฏอวิ๋นโจวถูกสยบลง พวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว ออกไปรอที่นอกห้องโถงเสีย เดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปพบมารดา”
พูดพลางก็โบกมือขึ้น เบื้องหน้าของสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวพร่าเลือน พวกเขาถูกผลักออกมาจากห้องโถงและกลับมายืนอยู่ที่โถงชั้นสี่แล้ว
สวี่หยวนไหวเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิด
“เขาบอกว่าจะพาพวกเราไปพบท่านแม่ คงคิดจะใช้พวกเราเป็นเครื่องต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านพ่อจริงๆ”
เขาถอนหายใจยาวออกมา
“ท่านพ่อยังไม่ลืมพวกเรา ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านแล้ว”
สวี่หยวนซวงพยักหน้า
ตอนนี้เอง โหรชุดขาวก็เดินเข้ามาจากอีกด้าน
สวี่หยวนซวงตกใจสั่นขึ้นมา นางเดินเข้าไปหาพร้อมกับเสียงโซ่ตรวนที่เท้าดัง ‘โครมคราม’
สวี่หยวนไหวเดินตามนางไป
“พี่ชายท่านนี้”
สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงอ่อน “ขอถามพี่ชายเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“แม่นางเชิญพูด”
สวี่หยวนซวงเอ่ยถาม
“ทัพอวิ๋นโจวยกมาถึงเมืองหลวงแล้วหรือ”
โหรชุดขาวพยักหน้าแล้วรับคำ ‘อืม’
‘อย่างที่คิด…’ สองพี่น้องเข้าใจแล้ว ‘สวี่ชีอันจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านพ่อจริงๆ’
‘ดังนั้นที่บอกว่าจะได้พบมารดาเมื่อกี้ คงหมายถึงให้ท่านพ่อพาพวกเขากลับไป…’ สวี่หยวนซวงเบาใจแล้ว เมื่อครู่สวี่ชีอันพูดเช่นนั้นหมายความว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างตัวเขากับท่านพ่อไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นท่านพ่อจึงยอมไถ่ตัวพวกเขากลับไป
สวี่หยวนไหวเอ่ยเสียงขรึม
“สถานการณ์เป็นอย่างไร ต้าฟ่งมาถึงทางตันแล้วใช่หรือไม่”
‘เป็นไปได้ว่าอาจจะยกทัพตีเข้ามาในเมืองหลวงแล้วด้วย…’ เขาเสริมหนึ่งประโยคอยู่ในใจ
โหรชุดขาวพินิจมองพวกเขา
“การกบฏถูกสยบลงได้ตั้งนานแล้ว พวกเจ้าสองคนเพิ่งจะออกมาจากห้องใต้ดินล่ะสิ”
“เป็นไปได้อย่างไร” สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงสูงขึ้น
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้” โหรชุดขาวถามกลับ
“อวิ๋นโจวมีขั้นหนึ่งถึงสองคน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงพวกเขาออกโรงเองก็สามารถทำให้ต้าฟ่งมอดไหม้เป็นจุณได้แล้ว” สวี่หยวนไหวเอ่ยเสียงขรึม
“อ้อ ฆ้องเงินสวี่กับราชครูก็เลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่งแล้วเหมือนกัน” โหรชุดขาวเอ่ยยิ้มๆ
“พวกระดับสูงในทัพกบฏนั้น ที่ตายก็ตาย ที่ล่มสลายก็ล่มสลาย แต่ก็เป็นเรื่องในหลายวันก่อนโน้นแล้วล่ะ”
สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวนิ่งงันอยู่กับที่
‘อวิ๋นโจวแพ้แล้ว เช่นนั้นจีเสวียนเล่า? ท่านพ่อเล่า? เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้ที่เป็นขั้นหนึ่งทั้งสองคนเล่า?’
สวี่หยวนซวงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย
โหรชุดขาวยักไหล่
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าไม่สนใจหรอก หากพวกเจ้าอยากรู้ก็ไปถามคนอื่นเถอะ ข้ายังต้องไปทดลองแปรธาตุต่อ ลาล่ะ”
เมื่อเงาร่างของโหรชุดขาวหายไปตามโถงทางเดิน สวี่หยวนไหวก็เอ่ยพึมพำ
“หนึ่ง ขั้นหนึ่ง?”
โหรชุดขาวคนเมื่อครู่อาจล้อพวกเขาเล่น แต่โหรผู้นี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเลย
ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องจริง
สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ขั้นหนึ่ง! หยวนไหว ท่านพ่อวางแผนการใหญ่มาตั้งยี่สิบปี คิดคำนวณเลือดตาแทบกระเด็นและพัฒนาขึ้นทีละขั้นๆ สุดท้ายแล้วกลับถูกสวี่ชีอันที่ฝึกฝนมาสองปีทำลายสิ้นในคราวเดียว”
สองพี่น้องมองหน้ากัน ในหัวผุดคำสี่คำขึ้นมา
‘กงเกวียนกำเกวียน!’
…
ในห้องโถง สวี่ชีอันมองหน้าเหล่าลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์แล้วเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ พวกเรามาต่อเถอะ ข้าเข้าใจดีถึงความคิดที่อยากจะแทนที่ตำแหน่งของโจรเฒ่าโหราจารย์ หย่งซิ่งที่ชั้นล่างกับเยี่ยนชินอ๋องก็ยิ่งเข้าใจดี แต่มันจะเร็วเกินไปหรือไม่ กระดูกของท่านโหราจารย์ยังไม่ทันหายเย็น ไม่สิ ท่านโหราจารย์ยังไม่ได้สิ้นชีพไปจริงๆ สักหน่อย เรื่องแต่งตั้งท่านโหราจารย์คนใหม่นั้น ไม่ต้องรีบหรอก”
มาเร็วไม่สู้มาถูกจังหวะ เขาเพิ่งจะตามทันความคิดในใจของพวกลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์พอดี คนพวกนี้คิดจะชิงตำแหน่งท่านโหราจารย์คนใหม่แล้วควบคุมสำนักโหราจารย์เอาไว้
เรื่องนี้เป็นหยางเชียนฮ่วนที่ริเริ่มขึ้นมาด้วยเหตุผลอันแสนเรียบง่ายสิ้นดี
“ชาติจะไร้ซึ่งจักรพรรดิไม่ได้แม้แต่วันเดียว ถึงแม้ท่านโหราจารย์จะยังไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตายไปแล้ว” หยางเชียนฮ่วนเอ่ยเสียงขรึม
“ผู้แซ่หยางคนนี้เห็นว่าจำเป็นต้องเลือกตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่ เพื่อสร้างประโยชน์ส่วนตน ไม่สิ สร้างประโยชน์แด่ส่วนรวม ผู้แซ่หยางนั้นเป็นผู้ที่มีบารมีสูงส่งที่สุดในสำนักโหราจารย์ เหมาะสมที่จะได้เป็นท่านโหราจารย์คนใหม่ หวังว่าฆ้องเงินสวี่จะกล่าวคำพูดดีๆ ถึงข้าแก่ฝ่าบาทสักสองสามคำ และเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าแซ่หยางจะเปิดเผยแผนการเบื้องหลังและการกระทำทุกอย่างของเทพบุตรนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่คนนั้นที่พยายามจะจัดการเจ้าทั้งหมดด้วย”
ชาตินั้นไม่อาจไร้จักรพรรดิ แต่สำนักโหราจารย์ที่ไม่ได้ความของพวกเจ้าน่ะ หากไม่มีท่านโหราจารย์ก็ไม่เห็นเป็นไรกระมัง อีกอย่าง ที่เจ้าอยากเป็นท่านโหราจารย์ก็เพื่อภาพลักษณ์เหนือล้ำผู้คนมิใช่หรือ…สวี่ชีอันโบกไม้โบกมือ
“หลี่หลิงซู่เข้าไปแล้ว น่าสังเวชใจมากพอแล้ว ข้าไม่อยากจะไปคิดเล็กคิดน้อยอันใดกับเขาอีก”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ซ่งชิงแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ศิษย์พี่ซ่ง ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าท่านจะสนใจตำแหน่งโหราจารย์ด้วย ท่านแค่มีการทดลองแปรธาตุก็พอแล้วนี่นา”
ซ่งชิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“สำนักโหราจารย์คือรากฐานของท่านอาจารย์ ข้าไม่มีทางปล่อยให้มันถูกทำลายอยู่ภายใต้น้ำมือของหยางเชียนฮ่วนแน่ ดังนั้นข้าจึงยินดีละทิ้งวิชาเล่นแร่แปรธาตุที่ข้ารักเพื่อรับตำแหน่งโหราจารย์นี้”
ถือว่าพอจะมีความซื่อสัตย์กตัญญูอยู่บ้าง…สวี่ชีอันคิดในใจ จากนั้นก็ได้ยินฉู่ไฉ่เวยกล่าว
“ศิษย์พี่ซ่งกลัวว่าศิษย์พี่หยางจะบริจาคเงินของสำนักโหราจารย์เพื่อช่วยผู้ประสบภัยเหมือนคราวก่อน หากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะไม่มีเงินไปใช้ทำการทดลองแปรธาตุอีก อีกอย่าง หลังจากได้เป็นโหราจารย์ เขาก็จะเอาเงินทั้งหมดของสำนักโหราจารย์ไปใช้ทำการทดลองแปรธาตุด้วย”
ซ่งชิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ศิษย์น้องไฉ่เวย เจ้าบอกเรื่องพวกนี้กับคนนอกได้อย่างไรกัน”
พอจะใช้ข้า ข้าก็กลายเป็นคุณชายสวี่ พอไม่ได้ใช้งาน ข้าก็กลายเป็นคนนอกแล้วหรือ? สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในหัว เขาจ้องไปยังสาวน้อยน่ารักตาเขม็ง
“แล้วเจ้ามาดูความครึกครื้นอันใดอยู่ตรงนี้”
ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน
“ก็พวกศิษย์พี่ทั้งหลายให้ข้ามาน่ะสิ พวกเขาบอกว่าข้าก็เป็นศิษย์ของท่านโหราจารย์ จึงมีสิทธิ์สืบทอดเหมือนกัน”
สีหน้าของนางภาคภูมิใจมาก คิดว่าพวกศิษย์พี่ทั้งหลายต่างให้ความสำคัญกับนางและไม่มองนางเป็นเด็กน้อยอีก อีกทั้งยังสามารถเป็นคนรุ่นเดียวที่พูดคุยสมาคมกันได้อย่างเท่าเทียม
สวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองไปยังผู้พิทักษ์หยวน
ผู้พิทักษ์หยวนเข้าใจทันที ดวงตาสีฟ้าใสมองไปที่เหล่าโหรทั้งหลายในที่นั้นแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ความในใจของพวกท่านเหล่านี้บอกข้าว่า หากฉู่ไฉ่เวยโชคดีส้มหล่นจนบังเอิญได้เป็นท่านโหราจารย์ เช่นนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับให้ข้าเป็นท่านโหราจารย์สักนิด”
นั่นหมายความว่า ด้วยสติปัญญาของฉู่ไฉ่เวย ไม่ว่าใครก็สามารถหลอกลวงนางได้ทั้งนั้น…สวี่ชีอันยกมือขึ้นปิดปาก เกือบหลุดหัวเราะออกไปแล้ว
ฉู่ไฉ่เวยใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะเข้าใจความหมายของผู้พิทักษ์หยวน จากนั้นก็เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อแล้วมองไปยังเหล่าศิษย์พี่ที่ปกติต่างก็รักเอ็นดูนาง
นางสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจอันล้ำลึกของเหล่าศิษย์พี่ทันที
“เช่นนั้นศิษย์พี่ซุนเล่า ท่านก็อยากเป็นท่านโหราจารย์เช่นกันหรือ?”
สวี่ชีอันมองไปยังผู้พิทักษ์หยวน
คนหลังรีบอ่านความในใจของซุนเสวียนจีออกมาทันที
“ข้าคือศิษย์คนรอง เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ตายไปแล้ว ข้าก็คือผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง”
“แล้วจงหลีเล่า พวกเจ้าลืมจงหลีไปแล้วหรือ”
สวี่ชีอันนึกถึงเจ้าตัวน่าสงสารน้อยของเขา
หยางเชียนฮ่วนแค่นเสียง ‘เฮอะ’
“จากดวงชะตาของจงหลี นางแบกรับโชคชะตาของโหราจารย์ไม่ได้หรอก หากวันนี้นางเป็นท่านโหราจารย์ พรุ่งนี้ทั้งสำนักโหราจารย์ก็เตรียมเปิดโต๊ะจัดพิธีลาได้เลย”
โลกมนุษย์ช่างมิคู่ควร…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว ทันใดนั้นก็เริ่มเข้าใจท่านโหราจารย์ขึ้นแล้ว
“เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าจะรายงานฝ่าบาทให้ พวกเจ้าก็รอข่าวคราวเงียบๆ ก่อนแล้วกัน”
สวี่ชีอันกุมมือคำนับให้แล้วกลายเป็นเงามืดก่อนจะหายลับไป
ครู่ต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โถงใหญ่ด้านนอกและมองไปยังน้องชายน้องสาวที่รออยู่อย่างเชื่อฟัง
สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวลืมหายใจไปในทันใด สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง
คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือพี่ใหญ่ของพวกเขาและเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งด้วย
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง!
สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ ให้กับทั้งสองคนแล้วไม่พูดอะไรมาก เขาพาพวกเขากระโดดข้ามเงาแล้วออกไปจากหอดูดาว
ในสายตาของสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหว โลกเบื้องหน้าถูกเงาดำมืดเข้าปกคลุม ทิวทัศน์ของเมืองหลวงพัดผ่านไปราวกับโคมไฟที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง เมื่อภาพเริ่มแจ่มชัดขึ้น พวกเขาก็มองเห็นประตูใหญ่ของจวนสกุลสวี่
จวนสกุลสวี่ ในเมืองหลวง…สวี่หยวนซวงค่อยๆ เบิกตากว้างแล้วหันหน้าไปมองสวี่ชีอันทันใด
เขาพาท่านแม่กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว!
เมื่อครู่ตอนอยู่ในหอดูดาว สวี่หยวนซวงก็พอจะมีความคาดเดานี้อยู่ในใจแล้ว
ตอนนี้เมื่อเห็นเขาพาตนและหยวนไหวมาที่จวนสกุลสวี่ จึงยืนยันได้อย่างแน่ชัด
ท่านพ่อมองว่าเขาเป็นเครื่องมือหลอมรวมโชคชะตา ราชวงศ์ที่เมืองเฉียนหลงมองว่าเขาเป็นหนามยอกอก ซึ่งรวมไปถึงนางและน้องชายด้วย ทั้งยังได้ยินคำนินทาว่าร้ายต่างๆ นานามาตั้งแต่เด็ก จนในใจเกิดความไม่เป็นมิตรต่อเขาขึ้นมาพอสมควร
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ต่อให้ทุกคนต่างก็ให้ร้ายและจะสังหารเขา
เขาก็ยังยินดีรับท่านแม่กลับมายังเมืองหลวง…
ในชั่วขณะนี้ ในใจของสวี่หยวนซวงราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง เจ็บจนจมูกของนางแสบร้อนไปหมด ขอบตาก็แดงก่ำ
นางมองไปยังสวี่หยวนไหวด้วยดวงตาที่พร่าเลือนและเห็นเขาก้มหน้าลงเงียบงันไม่พูดจา ในแววตาก็มีประกายความสับสนและอับอายฉายอยู่
………………………………………………….