ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 799 ฝันเห็นเทพเจ้ากู่
บทที่ 799 ฝันเห็นเทพเจ้ากู่
“ตามข้ามา!”
สวี่ชีอันไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของน้องสาว แต่ถึงแม้จะสังเกตเห็นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
เขาพาสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวเข้าไปทางประตูใหญ่ของจวน เดินผ่านโถงด้านหน้าและโถงทางเดิน จากนั้นก็ตรงไปยังเรือนด้านหลังที่ครอบครัวอาศัยอยู่
ในโถงด้านในอันกว้างขวาง นอกจากสวี่ผิงจื้อที่ไปปฏิบัติหน้าที่ คนทั้งครอบครัวก็ล้วนอยู่กับพร้อมหน้า
สวี่เอ้อร์หลางเดิมทีต้องไปทำงานที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แต่เนื่องจากเมื่อวานสวี่ชีอันบอกไว้แล้วว่าวันนี้จะพาน้องชายและน้องสาวกลับมาบ้าน ดังนั้นเอ้อร์หลางจึงลางานเพื่อรอพบหน้าญาติผู้น้องทั้งสองอยู่ที่บ้าน
ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานทั้งสองที่คืออาสะใภ้และมารดา
ที่นั่งฝั่งอาสะใภ้มีสวี่ซินเหนียนและสวี่หลิงเยวี่ย รวมถึงมู่หนานจือ
ที่นั่งฝั่งมารดาจีไป๋ฉิงนั้นว่างเปล่า ยังไม่มีคนนั่ง
เมื่อเห็นสวี่ชีอันนำสองพี่น้องเข้ามาในโถงใหญ่ อาสะใภ้ก็เม้มริมฝีปาก พยายามอย่างหนักที่จะไม่กลอกตามองบน
นางอนุญาตให้เจ้าเด็กหน้าเหม็นสองคนนี้เข้ามาในจวนเพราะเห็นแก่หน้าบนพี่สะใภ้และหลานชายเท่านั้น
หลังจากที่สวี่หลิงเยวี่ยพูดยุยงคราวที่แล้ว อาสะใภ้ก็มีอคติกับสองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงมาก
สวี่ซินเหนียนและสวี่หลิงเยวี่ยมีความคิดในใจล้ำลึก แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า
“ท่านแม่!”
เมื่อพบหน้ามารดา สวี่หยวนซวงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
สีหน้าเคร่งเครียดของสวี่หยวนไหวผ่อนคลายลง
จีไป๋ฉิงเมื่อเห็นบุตรธิดาของตนมารวมตัวกันพร้อมหน้าในที่สุด ขอบตาของนางก็แดงก่ำและเผยรอยยิ้มขมขื่นทว่าเปี่ยมสุขออกมา
“มาพบอาสะใภ้ของพวกเจ้าสองคนสิ”
นางทำตัวเป็น ‘คนนอก’ มาโดยตลอด มองว่าอาสะใภ้คือนายหญิงใหญ่ของบ้านสกุลสวี่และรู้จักหนักเบาดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกต่อต้านและไม่ทำให้ใครเอาไปนินทาได้
แน่นอนว่าอาสะใภ้มองกลเม็ดเล็กๆ แบบนี้ไม่ออกอยู่แล้ว นางเพียงแค่รู้สึกตามสัญชาตญาณว่าสะใภ้ใหญ่ยังคงอ่อนโยนเปี่ยมน้ำใจเช่นในสมัยก่อนและเข้ากับคนได้ดีเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“หยวนซวงคารวะท่านอาสะใภ้!”
สวี่หยวนซวงเอ่ยทักทายอย่างว่านอนสอนง่าย ใบหน้าสวยสดเย็นชาประดับแต้มด้วยรอยยิ้ม
“คารวะอาสะใภ้”
คำทักทายของสวี่หยวนไหวดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
“อืม!”
อาสะใภ้พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยวาจารับคำทักทายใดๆ
ตอนแรกนางก็อยากจะเอ่ยพูดสักสองสามประโยคเพื่อแสดงอำนาจ แต่เมื่อเห็นท่าทางกลั้นน้ำตาของสะใภ้ใหญ่ ใจก็อ่อนยวบลง
จีไป๋ฉิงรีบเอ่ยพูด
“ต่อไปพวกเจ้าก็อาศัยอยู่ในจวนเถอะ พี่ใหญ่ของพวกเจ้าจัดที่ทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวแม่จะพาพวกเจ้าไป”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันหน้าไปมองสวี่หลิงเยวี่ย
สวี่หลิงเยวี่ยลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ นางตรงไปหาสวี่หยวนซวงพลางเอ่ยพูดไปด้วย
“ไม่ลำบากท่านป้าสะใภ้หรอกเจ้าค่ะ เรื่องเล็กๆ พวกนี้ให้หลิงเยวี่ยทำแทนเถิดเจ้าค่ะ”
ขณะเอ่ยพูด สวี่หลิงเยวี่ยก็ดึงมือของสวี่หยวนซวงขึ้นพร้อมแย้มยิ้มเป็นมิตรออกมา
“พี่หยวนซวง ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของพี่มานานแล้ว วันนี้ได้เจอหน้าก็ช่างไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย แล้วก็น้องหยวนไหว ช่างเป็นคนมีความสามารถอย่างที่พี่ใหญ่พูดเอาไว้จริงๆ อีกทั้งพรสวรรค์ก็ยังยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
สวี่ซินเหนียนส่ายหน้าแล้วหัวเราะ
“หลิงเยวี่ย คนบ้านเดียวกันก็ไม่ต้องเอ่ยคำพูดเกรงใจอันใดหรอก เจ้าน่ะไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง[1] แล้วเอาอันใดมาพูดว่าได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานานอย่างนั้นกัน”
สวี่หลิงเยวี่ยหันไปเอ่ยด้วยท่าทางขุ่นๆ
“พี่รองกำลังว่าร้ายคนอื่น พี่ใหญ่เคยพูดไว้แล้วนี่นาว่าพี่หยวนซวงกับน้องหยวนไหวนั้น คนหนึ่งเป็นโหร อีกคนเป็นจอมยุทธ์ คราที่แสดงฝีมือในยงโจวนั้นก็เกือบทำให้พี่ใหญ่เสียเปรียบอย่างหนักด้วยซ้ำ ดีที่พี่ใหญ่นั้นเป็นยอดอัจฉริยะหาตัวจับยาก บัดนี้จึงเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เช่นนั้นพี่รองบอกหน่อยสิว่า พี่หยวนซวงกับน้องหยวนไหวไม่สมกับคำที่น้องกล่าวว่า ‘ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานาน’ หรอกหรือ?”
สวี่ซินเหนียนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
“ช่างเป็นอัจฉริยะมากความสามารถจริงๆ แต่เอ๋ ได้ยินว่าหยวนไหวใกล้จะถึงขั้นสี่แล้วนี่นา น่าละอายๆ”
สวี่หยวนซวงกระอักกระอ่วนจนยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ฉับพลันนั้นก็ไม่รู้ว่าควรตอบรับด้วยสีหน้าเช่นไรดี
สวี่หยวนไหวก้มหน้าลงเล็กน้อยและยิ่งรู้สึกอับอายเข้าไปอีก
นี่กำลังเปิดเผยเรื่องที่พวกเขาเคยต่อกรกับสวี่ชีอันออกมาอย่างหมดเปลือกชัดๆ
ก่อนหน้านี้เคยติดตามพวกจีเสวียนไปต่อกรกับสวี่ชีอัน แต่ตอนนี้อวิ๋นโจวไม่มีแล้ว ทั้งยังต้องแบกหน้ากลับมาพึ่งพิงอีกด้วย…คนที่เคยมีหน้ามีตาก็รู้สึกอึดอัดอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีได้อยู่แล้ว
สีหน้าของจีไป๋ฉิงกระอักกระอ่วน นางฝืนยิ้มออกมา
“หยวนซวงกับหยวนไหวไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนหน้านี้จึงทำเรื่องไม่ถูกต้องไปมาก”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เพียงขอโทษก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
มู่หนานจืออุ้มลูกจิ้งจอกในอ้อมกอดแล้วมองดูละครเอาสนุก
นางย่อมมองออกว่าสวี่หลิงเยวี่ยกำลังแสดงอำนาจต่อพี่น้องตัวร้ายอยู่ ในขณะที่ดูละครอย่างสนุกสนานก็รู้สึกสับสน เพราะในภาพจำของนาง สวี่หลิงเยวี่ยไม่น่าจะแข็งกร้าวเช่นนี้นี่นา
‘อืม สวี่เอ้อร์หลางน่าจะเป็นคนสั่งสอนนางกระมัง เอ้อร์หลางเป็นปัญญาชน เขาย่อมเชี่ยวชาญกลอุบายปากหวานก้นเปรี้ยวเช่นนี้ที่สุดแล้ว…’ มู่หนานจือวิเคราะห์อยู่ในใจ
สวี่ชีอันกวาดตามองสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวที่ใบหน้าแดงก่ำในทันใด จึงออกหน้าเอ่ยเสียงเรียบ
“พวกเจ้าสองคนไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนไปสวมชุดสะอาดๆ ก่อนเถอะ”
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองพี่ใหญ่อย่างคับแค้นใจแล้วเอ่ยต่อ
“ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”
ที่พักของสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวถูกจัดให้อยู่ในเรือนใกล้กัน แต่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกันกับพวกเขา
จีไป๋ฉิงไหนเลยจะปล่อยให้สวี่หลิงเยวี่ยรังแกบุตรของตนต่อไป จึงรีบเอ่ยพูดว่า
“ไม่จำเป็นหรอก ข้าจะพาพวกเขาไปเอง”
จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับสวี่ชีอัน
“หนิงเยี่ยน มากินมื้อเย็นกับแม่นะ…มากินข้าวกับทางนี้เถอะ ข้าจะทำอาหารอวิ๋นโจวให้เจ้า”
นางเกิดความขัดแย้งในใจ ทั้งอยากใกล้ชิดลูกชายคนโต แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้นัก
หลักๆ เป็นเพราะสวี่ชีอันยังไม่เคยเรียกนางว่าแม่
นางจึงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแม่
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ได้”
เมื่อมองส่งมารดาพาน้องชายน้องสาวออกไปแล้ว สวี่ชีอันก็หันหน้ามามองเจ้าน้องชายตัวดีแล้วเอ่ย
“ไปห้องหนังสือหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
สองพี่น้องมาที่ห้องหนังสือของสวี่ชีอัน หลังจากปิดประตูแล้วสวี่ชีอันก็พูดขึ้น
“พรุ่งนี้เจ้าลองเขียนฎีกาถามว่าฝ่าบาทต้องการตั้งโหราจารย์คนใหม่หรือไม่ ลูกศิษย์พวกนั้นของท่านโหราจารย์กำลังแย่งตำแหน่งนี้กันอยู่”
เขาเล่าเรื่องการ ‘แย่งชิง’ ของพวกหยางเชียนฮ่วนออกมา
สวี่ซินเหนียนลูบคางแล้วกล่าวว่า
“จู่ๆ ข้าก็มีความคิดขึ้นมา กรมการคลังกำลังปวดหัวกับเงินบำนาญสำหรับเหล่าทหารเผ่าพันธุ์กู่ที่เสียชีวิตอยู่ เช่นนั้นให้สำนักโหราจารย์จ่ายเงินออกมาสิ บอกพวกเขาว่าใครออกเงินเยอะ ก็จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แน่นอนว่าความโปรดปรานก็ส่วนความโปรดปราน ไม่ได้ตัดสินว่าใครจะได้เป็นโหราจารย์”
ถึงอย่างไรสำนักโหราจารย์ก็มีเงินทองอยู่แล้ว
นี่เป็นการถอนขนแกะของสำนักโหราจารย์อย่างนั้นหรือ…สวี่ชีอันคิดไปคิดมาดูก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี
“พอดีเลย ช่วงนี้ข้าก็จะไปที่ซินเจียงตอนใต้แล้วรับหลิงอินกลับมา เงินบำนาญข้าก็จะเป็นคนไปส่งแล้วกัน”
“เจ้าคิดอย่างไรกับสองคนนั้น” สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน
“เลี้ยงอยู่ข้างกายแม่ข้าไง ก็แค่เด็กโง่สองคน” สวี่ชีอันลูบคาง
“จริงๆ ข้าก็ค่อนข้างสงสัยเรื่องที่สวี่ผิงเฟิงให้พวกเขามาเจรจาสงบศึกที่เมืองหลวงนะ เพราะเขาตั้งใจส่งคนมาให้ เช่นนี้ เมื่อต้าฟ่งชนะแล้ว พวกเขาสองคนก็จะมีที่ไป แต่หากต้าฟ่งพ่ายแพ้ อวิ๋นโจวก็สามารถช่วยพวกเขากลับมาได้ อย่างไรก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใด”
“ก็อาจจะ!” สวี่เอ้อร์หลางไม่มีความเห็นจะกล่าว
เมื่อคุยเรื่องจริงจังจบ สวี่ชีอันก็แค่นเสียงหัวเราะ ‘เฮอะ’
“ต่อไปก็มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว มารดาของข้าคนนี้ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ตอนนี้ใจของนางไม่ได้คิดจะทะเลาะเรื่องบ้านเรือน เพียงคิดแค่อยากจะซ่อมแซมความสัมพันธ์กับข้า รอให้คุ้นชินกับชีวิตในจวนสกุลสวี่ก่อนเถอะ เรื่องปะทะฝีปากของนางกับหลิงเยวี่ยจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ อ้อ จริงสิ หวางซือมู่ก็ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมันเช่นกัน ต่อไปเมื่อพวกเจ้าแต่งงานกันแล้วนะ จิ๊ๆ อีกหน่อยข้าก็ไม่ต้องไปฟังเพลงฟังละครที่หอคณิกาแล้ว แค่ดูสตรีในเรือนฆ่าฟันกันก็สนุกไม่รู้ลืม แบบนี้สิถึงจะเหมือนครอบครัวใหญ่ ถ้าในบ้านไม่มีเรื่องมีราวเสียบ้าง มันจะถือว่าเป็นตระกูลร่ำรวยได้อย่างไร แต่ก่อนเป็นภูเขาที่ไร้เสือ ลิงอย่างอาสะใภ้จึงกลายเป็นราชาได้”
สวี่ซินเหนียนกระแอมไอ
“ใช่แล้ว ก่อนหน้าซือมู่ก็ยังมีองค์หญิงหลินอัน และยังมีลั่วอวี้เหิงอีก ครึกครื้นยิ่งนัก พี่ใหญ่ ข้าตั้งตารองานสมรสของท่านกับองค์หญิงหลินอันเลยนะ ท่านว่าราชครูจะถือดาบมาโวยวายหรือไม่”
ไม่นะ ไหนจะมู่หนานจืออีก ถึงขั้นอาจมากกว่านั้นด้วย…สีหน้าอย่างดีใจที่เห็นคนตกที่นั่งลำบากของสวี่ชีอันค่อยๆ เลือนหายไป เขาเอ่ยเสียงกระซิบ
“ปากคอเราะร้ายนัก! พรสวรรค์ของเจ้ามันก็แค่เศษฟืนชิ้นรองเท่านั้นแหละ”
สวี่ซินเหนียนถูกแหย่ตรงจุดแล้วแค่นเสียงเบาเช่นกัน
ในใจเอ่ยออกมาว่า ‘ข้าเก่งกว่าหลิงอินก็แล้วกัน’
…
จีไป๋ฉิงนำบุตรทั้งสองมายังที่พัก หลังจากจัดแจงห้องหับเรียบร้อยแล้วก็สั่งให้คนรับใช้ต้มน้ำอุ่นเตรียมไว้ให้พวกเขาอาบชำระกาย
“ต่อไปหากไม่มีเรื่องใดก็ไม่ต้องไปที่นั่นนะ จะได้ยั่วยุหลิงเยวี่ยน้อยหน่อย พวกเจ้าสองคนเคยเป็นศัตรูกับหนิงเยี่ยน นางล้วนจดจำอยู่ในใจ สองพี่น้องนั่นปกป้องหนิงเยี่ยนเป็นอย่างยิ่ง คนไร้เดียงสาอย่างเสี่ยวหรูทำไมถึงได้เลี้ยงสตรีในห้องหอที่ร้ายกาจแบบนี้ออกมาได้นะ”
จีไป๋ฉิงเอ่ยเตือนขึ้นว่า
“ไม่มีอวิ๋นโจวอีกแล้ว ต่อไปก็อย่าได้เอ่ยถึงมันอีก ในเมื่อหนิงเยี่ยนพาพวกเจ้ากลับมา ก็แปลว่าเรื่องในอดีตได้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว เขาไม่เก็บมาคิดอะไรอีก ต่อไปก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงให้ดี เขาไม่มีทางปฏิบัติแย่ๆ ต่อพวกเจ้าแน่”
เอ่ยจบ นางก็เหลือบมองไปทางสวี่หยวนไหวแล้วเอ่ยเสียงเบา
“แม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพี่ใหญ่ของเจ้า แต่นี่จะเทียบกับการท่องอยู่ในยุทธภพของเจ้าได้อย่างไร? เจ้าอยากหาญกล้าและแข็งแกร่งในด้านวิทยายุทธ เช่นนั้นการมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งคอยสอนสั่งก็ล้วนยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นแล้ว ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ยอมรับพวกเจ้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ช่องว่างนั้นก็จะหายไปเอง แล้วก็หยวนซวง เจ้าอยากเดินอยู่ในสายของโหร เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ควรออกจากเมืองหลวงและสำนักโหราจารย์”
สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงต่ำ
“ท่านแม่ หากข้ากับหยวนไหวต้องการไป ท่านจะไปกับพวกเราหรือไม่เจ้าคะ”
จีไป๋ฉิงส่ายหน้าเบาๆ
“แม่อยู่กับพวกเจ้ามาเกือบยี่สิบปี ต่อไปแม่คิดจะอยู่กับเขาให้มากๆ หน่อย แค่ได้มองหน้าเขา แม่ก็พอใจแล้วล่ะ”
สวี่หยวนไหวเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“เขาเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งแล้วจริงๆ หรือขอรับ? ท่านลุงล่ะ ท่านพ่อล่ะ แล้วก็จีเสวียน พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง หนีไปที่ใดแล้ว”
ในสายตาของเขา ท่านพ่อคือบุคคลที่เปรียบเสมือนขุนเขา แม้ว่าพี่ใหญ่จะสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ท่านพ่อก็จะไม่เป็นอันใด ท่านพ่อมีหนทางสำรองอยู่เสมอและไม่มีวันตกที่นั่งลำบากแน่
ส่วนจีเสวียนเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม เป็นยอดฝีมือเหนือสามัญ
หากสู้ไม่ชนะ ก็สามารถหนีได้อย่างไม่มีปัญหา
จีไป๋ฉิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
“ล้วนสิ้นกันหมดแล้ว จีเสวียนถูกหนิงเยี่ยนตัดหัวที่เมืองหลวงด้วยมือตัวเอง หลังจากที่กองทัพพ่ายแพ้ พ่อของพวกเจ้าก็พยายามหลบหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ และถูกหนิงเยี่ยนสังหารนอกดินแดน พี่ใหญ่ของข้าก็เช่นกัน คนในตระกูลก็ตกตายกันหมดแล้ว ต่างถูกทหารม้าหนักไล่ล่าสังหาร ตายกันจนหมดสิ้น แม่ก็สมควรตาย เพียงแต่ตัดใจจากพวกเจ้ากับเขาไม่ได้”
ในช่วงยี่สิบปีของการถูกคุมขัง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของนางและสวี่ผิงเฟิงได้หดหายไปหมดแล้ว สายสัมพันธ์ต่อตระกูลก็ถูกทำลายลงไปนานแล้วเช่นกัน
แทนที่จะตายร่วมกับพวกเขา การมีชีวิตอยู่ข้างกายลูกๆ ทั้งสามนั้นสำคัญยิ่งกว่า
“ตาย ตายแล้ว ตายหมดแล้ว…”
สวี่หยวนไหวพึมพำแล้วยิ่งนิ่งงันอยู่ที่เดิม
ไม่มีใครหนีมาได้สักคน ล้วนถูกสวี่ชีอันสังหารจนไม่เหลือ พ่อที่เขาเคารพดุจดั่งเทพเจ้าก็ตายด้วยน้ำมือของสวี่ชีอัน
นี่ไม่เหมือนกับที่เขาคิดเลยสักนิด ในความคิดของเขา แม้ว่าทัพอวิ๋นโจวจะพ่ายแพ้ แต่บุคคลระดับสำคัญก็ควรจะซุ่มซ่อนตัวได้ถึงจะถูก
สวี่หยวนไหวยากจะทำใจเชื่อได้ในทันที บิดาที่แข็งแกร่งเช่นนั้น เหตุใดถึงตายได้?
แต่ท่านแม่ไม่มีทางโกหกเขา
ตอนนี้เอง เขาก็เริ่มเกิดภาพจำสลักลึกถึงคำว่า ‘จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง’ แล้ว
มันคือระดับขั้นที่ทำให้บิดาผู้ราวกับเป็นเทพเจ้าสามารถทำได้เพียงเกลียดชังเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เติบโตขึ้นอีกขั้น ตั้งแต่ที่เจินเต๋อตาย แผนการที่ท่านพ่อวางไว้กับเขาก็ล้มเหลวลงไปทีละเรื่องๆ ในที่สุดก็ไม่อาจควบคุมสัตว์ร้ายตัวนี้ได้แล้ว จึงต้องเผชิญกับการแว้งกัด…สีหน้าของสวี่หยวนซวงซับซ้อน ไม่ว่าจะทุกข์ โศก เศร้า ตรอมตรม ไร้หนทางล้วนแต่มีทั้งนั้น
ท่านพ่อ ‘สร้าง’ เขาขึ้นมาเองกับมือ ให้กำเนิดเขาออกมาเพื่อปลูกฝังชะตาอาณาจักรให้กับเขา เป็นการปูทางไปสู่ความเป็นเจ้าอาณาจักรของตัวเอง
แต่สุดท้าย หมากตัวนี้ก็ทำร้ายเขาจนสิ้นชีวิต
กงเกวียนกำเกวียน โชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว
สวี่หยวนซวงในฐานะที่เป็นโหรสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเหตุต้นผลกรรมอย่างล้ำลึก
…
สวี่หลิงเยวี่ยถือชามน้ำแกงเดินเข้ามามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็พบว่ามีเพียงแค่สวี่เอ้อร์หลางเท่านั้น นางจึงขมวดคิ้วเอ่ย
“พี่ใหญ่ล่ะ?”
สายตาของสวี่เอ้อร์หลางตกอยู่บนชามน้ำแกงแล้วถอนหายใจ “น้ำแกงชามนี้คงไม่ได้ทำมาให้พี่รองใช่หรือไม่ เฮ้อ พี่รองช่างไม่มีวาสนาเอาเสียเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยรีบแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน
“พี่รองพูดเช่นนี้ออกจะดูเป็นคนนอกเกินไปแล้ว หลิงเยวี่ยรู้ว่าท่านทำงานอย่างหนัก จึงตั้งใจต้มน้ำแกงชามนี้มาให้ท่าน พี่ใหญ่จำเป็นต้องใช้ที่ไหนกันเจ้าคะ”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า
“วางไว้ตรงนี้เถอะ”
เมื่อมองส่งน้องสาวเดินจากไปพร้อมกับถาดไม้แล้ว สวี่เอ้อร์หลางก็ลูบปลายคางแล้วแค่นเสียงเบา
“ยัยหนูตัวร้าย ข้ารู้แกวเจ้าหรอก ทำไมเรื่องดีๆ ล้วนแต่คิดถึงพี่ใหญ่ก่อนตลอด ใครเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้ากันแน่”
เขาหยิบน้ำแกงขึ้นมาแล้วจิบคำหนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วก่นด่าออกมา
“ยัยตัวร้าย คิดจะว่าข้าร่างกายอ่อนแอรึ?”
…
อารามรัตนะ
ในห้องสงบมีฟูกวางอยู่สองที่ คนหนึ่งนั่งบนอีกคน ส่วนอีกคนไม่ได้นั่ง
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนฟูก เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“หลังจากเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง การฝึกตนของข้าก็หยุดนิ่งไม่คืบหน้าแล้ว การฝึกลมหายใจแทบจะไม่มีประโยชน์ แม้แต่การบำเพ็ญคู่ก็ทำให้พัฒนาไปได้ช้ายิ่ง”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วราวกับเจ็บเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดออกมา
“หลังจากขั้นหนึ่ง จิต ปราณ วิญญาณก็จะรวมเป็นหนึ่ง หากเจ้าคิดจะเลื่อนขั้นต่อ ก็ต้องเลื่อนขั้นสามอย่างนี้ขึ้นพร้อมกัน แน่นอนว่าการฝึกลมหายใจไม่ให้ผลอะไรแล้ว การฝึกลมหายใจเพียงแค่เพื่อหลอมพลังปราณเท่านั้น”
นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งถึงเกิดจุดคอขวดขึ้นมากระมัง…สวี่ชีอันรู้สึกตึงที่เอวขึ้นมา เขาออกแรงอย่างต่อเนื่องแล้วเอ่ยพูด
“เช่นนั้นหากฝึกลมหายใจ นั่งสมาธิ และฝึกฝนร่างวิญญาณไปพร้อมกัน จะสามารถทำลายคอขวดได้หรือไม่”
จอมยุทธ์ทั่วไปนั้นฝึกฝนพลังปราณและอาศัยการฝึกลมหายใจเป็นตัวขับเคลื่อน แต่หลังจากที่จิตปราณวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง การฝึกลมหายใจก็ไม่มีผลอีกต่อไป หากคิดจะเลื่อนขั้น ก็ต้องเลื่อนขั้นทั้งสามอย่างนี้พร้อมกัน
เมื่อจิต ปราณ วิญญาณรวมเป็นหนึ่ง ก็จะเป็นคุณสมบัติที่พิเศษและแข็งแกร่งที่สุดของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นโซ่ตรวนเช่นกัน
ลั่วอวี้เหิงกัดริมฝีปากแน่น ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ใบหน้ามีริ้วสีแดงปรากฏขึ้น
“มะ ไม่เคยได้ยิน วิธี…วิธีการฝึกฝนแบบนี้” นางเอ่ยพูดต่อ
“หากว่ากันในตอนนี้ วิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือการบำเพ็ญคู่กับราชครู”
สวี่ชีอันหรี่ตาลง “ราชครูโปรดช่วยเมตตาด้วย”
“ใครจะบำเพ็ญคู่กับเจ้ากัน ข้าพูดไปนานแล้วว่าหลังจากเลื่อนขั้นสู่เทพเซียนเดินดิน เจ้ากับข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
ลั่วอวี้เหิงแค่นเสียงเบา
“ใช่ๆๆ ข้าคิดเพ้อฝันไปเอง ขอเพียงได้มาฟังราชครูบรรยายทางเต๋าสักหนึ่งชั่วยามทุกวันเท่านั้น ขอราชครูอย่าได้ปฏิเสธเลย”
สวี่ชีอันคล้อยตามไปด้วย
ลั่วอวี้เหิงตอบรับ ‘อืม’ ด้วยท่าทีสงวนตัว
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็หยุดเคลื่อนไหวแล้วหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากในอกเสื้อเพื่ออ่านข้อความ
หมายเลขห้า ‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามาที่ซินเจียงตอนใต้สักหนได้หรือไม่’
หมายเลขสี่ ‘ลี่น่า อย่าเพิ่งรีบร้อน งานสมรสของหนิงเยี่ยนกับหลินอันยังเหลือเวลาอีกพักหนึ่ง เมื่อถึงวันงานจะลืมไม่ลืมเจ้าแน่นอน’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความหยอกเย้า
ลั่วอวี้เหิงที่ผินหน้ามาอ่านข้อความมีสีหน้ามืดครึ้มลงทันที
กาไหนน้ำไม่เดือด ก็หยิบกานั้น[2]จริงๆ! สวี่ชีอันก่นด่า จากนั้นเขาก็เห็นลี่น่าส่งข้อความมา
‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หลิงอินฝันเห็นเทพเจ้ากู่’
ฝันเห็นเทพเจ้ากู่…สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
…………………………………………………
[1] ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง (大门不出二门不迈) หมายถึง ไม่เคยออกนอกบ้านไปติดต่อกับภายนอก
[2] กาไหนน้ำไม่เดือด ก็หยิบกานั้น (哪壶不开,提哪壶) หมายถึง พูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด