ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 801 เจ็ดยอดกู่ที่แท้จริง
บทที่ 801 เจ็ดยอดกู่ที่แท้จริง
การเลื่อนขั้นระดับเหนือมนุษย์จำเป็นต้องใช้พลังของเทพกู่จำนวนมาก ชิงพลังของเทพกู่มา ก็จะสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของหนอนกู่ในเหวลึกจี๋เยวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นหนทางแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
แต่ว่า แต่ละเผ่ากำเนิดระดับเหนือมนุษย์หนึ่งตน นั่นก็คือเหนือมนุษย์เจ็ดตน การกำเนิดของเหนือมนุษย์จะง่ายอย่างนี้เลยหรือ
ปรมาจารย์กู่ก็มีคอขวดเช่นกัน มีความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะและความสามารถธรรมดาๆ
ความเร็วในการบำเพ็ญของปรมาจารย์กู่ที่สำคัญดูที่สามด้าน
ด้านที่หนึ่งคือระดับความแข็งแกร่งของพลังของเทพกู่
พลังของเผ่าพันธุ์กู่มาจากเทพกู่ ระบบอื่นๆ ต้องการพลังวิญญาณของการฝึกลมหายใจ แต่การฝึกลมหายใจของเผ่าพันธุ์กู่ต้องการพลังของเทพกู่ เทพกู่หลับสนิทลึกอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ หากปรมาจารย์กู่ต้องการเลื่อนขั้นอย่างมั่นคง ก็ไม่สามารถจากซินเจียงตอนใต้ไปเป็นเวลานานได้
พลังของเทพกู่ยิ่งแข็งแกร่ง ความเร็วของการบำเพ็ญก็จะยิ่งเร็วมากขึ้น
แต่ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน และขีดจำกัดนี้ก็คือกู่เจ้าชะตา
ดังนั้นด้านที่สองคือ ความเข้ากันได้ระหว่างกู่เจ้าชะตากับเจ้าของร่าง
เหตุใดจอมเขมือบที่สุขภาพแข็งแรงมาตั้งแต่เกิดเช่นสวี่หลิงอิน จึงถูกเผ่าพันธุ์กู่ชื่นชมว่าเป็นบุคคลที่ฟ้าประทานความสามารถมาให้ ก็เพราะร่างกายเช่นนางเข้ากันได้ดีกับลี่กู่ ระดับความเข้ากันได้ยิ่งสูง ศักยภาพในการพัฒนาของกู่เจ้าชะตาก็ยิ่งมากขึ้น
ระดับความเข้ากันได้ก็คือพรสวรรค์ที่ปรมาจารย์กู่ให้ความสำคัญ
ปรมาจารย์กู่ที่ระดับความเข้ากันได้ไม่สูง ย่อมไม่มีหวังที่จะเป็นยอดฝีมือ
ด้านที่สามคือการเพาะเลี้ยงกู่เจ้าชะตา
ประสิทธิภาพในด้านลบบางส่วนของกู่ ก็คือกระบวนการในการเพาะเลี้ยง อาทิเช่น ต้องป้อนยาพิษทุกวัน ต้องหาหลุมซ่อนตัวเป็นต้น
ก็เหมือนกับจอมยุทธ์ที่ต้องเคลื่อนย้ายพลังปราณและหลอมกายาจิตทุกวัน
ในด้านนี้ สามารถใช้ความพยายามชดเชยความสามารถที่ขาดไปได้
ปัจจุบันนี้ ผู้อาวุโสที่อายุต่ำกว่าห้าสิบปีของแต่ละเผ่ามีความหวังที่จะโจมตีขั้นสามได้มากที่สุด แต่อัตราความสำเร็จยังคงไม่ถึงหนึ่งส่วน ผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์กู่ที่โจมตีขั้นสามทุกยุค ถ้าไม่ตายเพราะร่างกายแหลกสลาย ก็ตายเพราะกู่เจ้าชะตาผิดรูป กลืนเจ้าของร่าง
แบบแรกเป็นเพราะระดับความเข้ากันได้ของกู่เจ้าชะตากับร่างกายไม่ตรงตามความต้องการ ในขณะที่แบบหลังเป็นเพราะศักยภาพของกู่เจ้าชะตามีจำกัด รับการกรอกพลังของระดับเหนือมนุษย์ไม่ได้ และไม่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง เกิดผิดรูปกลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนหนอนกู่ในเหวเหวลึกจี๋เยวียน
“สถานการณ์รุนแรงมาก และไม่สามารถกำจัดพลังของเทพกู่ที่อยู่ในเหวลึกจี๋เยวียนได้แล้ว ภายในเวลาครึ่งปีจะต้องมีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์ปรากฏขึ้น ถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่บรรดาผู้นำที่จะตกอยู่ในอันตราย แต่สำหรับผู้คนทั่วไปแล้วยิ่งนับเป็นภัยพิบัติครั้งหนึ่ง”
ผู้อาวุโสของเผ่าฉิงกู่ท่านหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
แม่ย่าแห่งเทียนกู่มองผู้อาวุโสที่อยู่รอบๆ
“พวกเจ้ามีใครเต็มใจที่จะบุกโจมตีระดับเหนือมนุษย์บ้าง?”
ความจริงแล้วก็คือการส่งเจ็ดคนไปตาย แต่ก็ไม่มีทางเลือก หากบังเอิญมีใครโชคดีรบชนะ ปัญหาเรื่องพลังของเทพกู่ก็จะได้รับการแก้ไข และตนเองก็จะสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์
ถ้าเจ้าไม่ลอง สถานการณ์จะต้องเลวร้ายลงอย่างแน่นอน
เทพกู่หลับสนิทอยู่ในเหวลึกจี๋เยวียนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ในที่สุดก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่
ผู้อาวุโสทุกเผ่าต่างมองหน้ากันอย่างหมดปัญญา และไม่มีใครพูดอะไร
“ผู้อาวุโสที่อายุต่ำกว่าห้าสิบปี เตรียมตัวที่จะบุกโจมตีระดับเหนือมนุษย์สินะ เพื่อเผ่าพันธุ์กู่ จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย”
ผู้อาวุโสของเผ่าลี่กู่พูด
หลงถูขมวดคิ้ว
“ข้าสามารถทดลองบุกโจมตีขั้นสอง ยกให้ข้าเป็นตัวแทนของเผ่าลี่กู่ก็แล้วกัน”
แต่ข้อเสนอของเขานั้นถูกแม่ย่าแห่งเทียนกู่ยับยั้งอย่างตรงไปตรงมา ผู้อาวุโสใช้ค้ำไม้เท้า พูดเรียบๆ ว่า
“ระดับเหนือมนุษย์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงภัย เผ่าพันธุ์กู่ยอมรับความเสียหายครั้งนี้ไม่ไหว”
ขั้นสี่ตายแล้ว ต่อไปจะต้องมีอีก
ผู้อาวุโสห้าของเผ่าลี่กู่ลุกขึ้นยืน และพูดเสียงดังว่า
“ข้าสามารถบุกโจมตีระดับเหนือมนุษย์ได้ สิบปีก่อนข้าก็เลื่อนสู่ขั้นสี่แล้ว อายุเพิ่งตามเกณฑ์ เกินห้าสิบปีไม่มาก”
มีเผ่าลี่กู่เป็นผู้นำแล้ว เงียบไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสที่อายุเหมาะสม และการบำเพ็ญเหมาะสมของแต่ละเผ่า ต่างทยอยกันยืนขึ้นแสดงความเห็นด้วย
แม่ย่าแห่งเทียนกู่มองรอบๆ ไปที่ทุกคน พูดช้าๆ ว่า
“พรุ่งนี้เรียกพี่น้องชนเผ่ามาชุมนุมกัน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการเลื่อนขั้น”
ในบรรยากาศที่ค่อนข้างเคร่งเครียด ทุกคนพยักหน้าเงียบๆ ภายใต้การนำของบรรดาผู้นำ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ระหว่างทางกลับไปที่เผ่าลี่กู่ หลงถูมองผู้อาวุโสห้าที่ผมขาว ดวงตาล้ำลึก พูดว่า
“หลังจากกลับถึงบ้าน มอบหมายงานที่ต้องการจะมอบหมายให้เรียบร้อย”
คนของเผ่าลี่กู่พูดจาตรงไปตรงมามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ผู้อาวุโสห้าส่งเสียง “เฮ้อ” ครั้งหนึ่ง “คนตายไปแล้ว ยังมีอะไรต้องมอบหมายอีก อีกอย่าง ข้าอาจจะไม่ตาย และไม่แน่อาจจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับเหนือมนุษย์อีกด้วย”
แต่ระหว่างทาง ผู้อาวุโสห้าดูท่าทางเงียบขรึมมาก
…
‘ตูม!’
เสียงระเบิดที่ดังจนหูแทบหนวกดังมาจากท้องฟ้าเหนือที่ราบกว้างใหญ่ ชนเผ่าลี่กู่ที่กำลังทำงานอย่าง ‘ยากลำบาก’ อยู่ในทุ่งนาต่างพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เงาของคนคนหนึ่งลงมาจากฟากฟ้า ร่อนลงสู่ข้างคันนา ก่อให้เกิดลมแรง
“ยอดฝีมือในชนเผ่าเล่า?”
สวี่ชีอันกวาดตาทิพย์ก็รู้ว่ายอดฝีมือเผ่าลี่กู่ล้วนไม่อยู่ในกองบัญชาการสูงสุด
คนผมขาวท่านนั้น ชายชราที่ความเร็วในการไถนายังเร็วกว่าสัตว์เลี้ยงชี้ไปทางเหวลึกจี๋เยวียนแล้วพูดว่า
จากนั้นเขาก็ชี้ไปอีกด้านหนึ่ง พูดว่า
“คนชนเผ่าอื่นกำลังซ่อมเขื่อนอยู่บนภูเขา ซินเจียงตอนใต้มีฝนตกชุก จะต้องซ่อมแซมเขื่อนก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึง มิฉะนั้นน้ำที่ไหลบ่าจากภูเขาจะซัดสาดไร่นาจนพังทลาย”
ที่ราบกว้างใหญ่ที่เผ่าลี่กู่ตั้งอยู่ลักษณะภูมิประเทศค่อนข้างต่ำ ข้อดีคือนำร่องสะดวก ข้อเสียคือทันทีที่มีฝนเทกระหน่ำลงมาติดต่อกันหลายวัน ก็จะเกิดการสะสมน้ำได้ง่าย หากมีน้ำไหลบ่าจากภูเขา ก็จะท่วมไร่นาทันที
เผ่าลี่กู่เป็นชนเผ่าที่อยู่ในระดับอิ่มหนำสำราญ และให้ความสำคัญกับไร่นามากกว่าการล่าสัตว์
“สถานการณ์ในเหวลึกจี๋เยวียนเป็นอย่างไรบ้าง?” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง
ชายชราส่ายหน้า
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บรรดาผู้อาวุโสและผู้นำต่างขมวดคิ้วแน่นทุกวัน บอกว่าอาจจะมีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์ปรากฏขึ้น พลังของเทพกู่ในเหวลึกจี๋เยวียนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ในขณะที่กำลังพูด หญิงสูงวัยคนหนึ่งก็แบกถุงทรายเดินมา และเข้าร่วมหัวข้อสนทนา
“ทุกครั้งที่ในเหวลึกจี๋เยวียนปรากฏอสูรกู่ ก็จะมีคนตายจำนวนมาก”
ใบหน้าที่ดำคล้ำและหยาบของนางแสดงให้เห็นความวิตกกังวล
ถึงแม้ว่าครั้งก่อนที่ปรากฏอสูรกู่จะนานมากแล้ว คนรุ่นพวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน แต่เผ่าพันธุ์กู่เล่ากันปากต่อปากถึงความหวาดกลัวและความบ้าคลั่งของผู้คนในชนเผ่าและอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์
หลังจากถามถึงสวี่หลิงอินและลี่น่าที่ซ่อมเขื่อนอีกครั้ง สวี่ชีอันก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ไปยังภูเขาด้านหลังท่ามกลางเสียงระเบิดที่แสบแก้วหู
ในเวลาเพียงประมาณสองวินาที เขาก็เห็นอ่างเก็บน้ำของเผ่าลี่กู่ ตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างภูเขาที่ลักษณะภูมิประเทศค่อนข้างสูง สาหร่ายในน้ำทำให้น้ำดูเป็นสีเขียวอ่อน
ชนเผ่าลี่กู่มากกว่าหนึ่งร้อยคนกำลังทำงานยุ่งอยู่บนเขื่อน คนส่วนหนึ่งในมือถือเครื่องเหล็กเช่นค้อน สิ่ว ฝนหินที่ไม่ได้มาตรฐาน คนอีกส่วนหนึ่งนั้นกำลังผสมดินโคลน
สวี่ชีอันกวาดสายตา เห็นเสี่ยวโต้วติงและลี่น่าบนทางเดินที่ขรุขระบนภูเขาที่อยู่ไกลออกไป พวกนางกำลังขุดหินอยู่กับคนในชนเผ่าสิบกว่าคน
‘ติงๆๆ!’
ขณะที่กำลังตีค้อน เหล็กเจาะขนาดยาวได้ดันหินออก ลี่น่าอุ้มหินหนักหกหรือเจ็ดร้อยชั่งก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้ววางไว้บนไหล่ของเสี่ยวโต้วติง
“ไปเถอะ!”
หลังจากที่หินก้อนนี้กดลงไป สวี่ชีอันก็มองไม่เห็นร่างกายส่วนบนของเสี่ยวโต้วติงแล้ว เห็นแค่เพียงน่องสั้นๆ ใหญ่ๆสองข้าง ราวกับหินงอกออกมาเอง
“อาจารย์ เมื่อไหร่จะกินข้าว ข้าหิวแล้ว”
เสียงของสวี่หลิงอินดังมาจากใต้ก้อนหิน
“พระอาทิตย์ตกดินก็กินข้าวได้”
ลี่น่าพูดพร้อมกับแบกหินก้อนใหญ่ที่หนักมากกว่าพันชั่ง ลูกศิษย์และอาจารย์ทั้งสองเดินเร็วราวกับบินไปตามทางเดินที่ขรุขระบนภูเขา
ตระกูลสวี่มีลูกสาวที่เพิ่งเติบโต มีพลังที่สามารถถอนภูเขาได้…สวี่ชีอันปิดบังใบหน้าอย่างเงียบๆ ถ้าอาสะใภ้รู้ว่าลูกสาวคนเล็กที่ตนเองต้องการจะปลูกฝังให้เป็นหญิงสาวที่ได้รับการอบรมสั่งสอน ต้องกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้สามารถแบกกระถางทองสัมฤทธิ์ไว้บนไหล่ได้ นางจะรู้สึกอย่างไร?
“สู้ๆ!”
สวี่หลิงอินก้าวขาสั้นๆ พร้อมกับให้จังหวะตัวเอง
จู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู
“เหนื่อยหรือไม่?”
สวี่หลิงอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ขาสั้นๆ ทั้งสองข้างแข็งทื่อ จากนั้น ก้อนหินหนักหกเจ็ดร้อยชั่งก็ถูกโยนทิ้ง เผยให้เห็นเสี่ยวโต้วติงที่ใบหน้ากลมมน
“พี่หญ่าย…”
สวี่หลิงอินตะโกนเรียกเสียงดัง ใบหน้าซื่อๆ ยิ้มหน้าบานมือทั้งสองข้างเท้าเอว ก้มหัวพุ่งชนไปทางสวี่ชีอันเหมือนวัวพยศ
‘ตึงๆๆ’ …ทิ้งรอยเท้าเล็กๆ สองข้างไว้บนพื้น
“คิดถึงพี่ใหญ่หรือไม่?”
สวี่ชีอันหิ้วต้นคอเสี่ยวโต้วติง หิ้วนางขึ้นกลางอากาศ
“อืม!”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างแรง พูดเสริมว่า
“แล้วยังคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย แล้วก็พี่สาว แล้วก็ แล้วก็ …”
“แล้วก็พี่รอง!” สวี่ชีอันเตือน
“แล้วก็พี่รอง” สวี่หลิงอินพูดตามแต่โดยดี
อีกด้านหนึ่ง ลี่น่าวางหินก้อนใหญ่บนไหล่ลง พูดด้วยความประหลาดใจว่า
“เร็วขนาดนี้เลย?”
นางส่งข้อความกับสวี่ชีอันตอนใกล้เวลาอาหารกลางวัน ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เขาก็เดินทางจากเมืองหลวงมาถึงซินเจียงตอนใต้แล้ว ระยะทางกว่าแสนลี้
สวี่ชีอันปล่อยเสี่ยวโต้วติงลง นางไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ ตั้งแต่ร่างกายจนถึงสติปัญญาล้วนไม่พบความผิดปกติ กู่เจ้าชะตาก็เหมือนกับตอนที่นางจากมา อย่างมากก็แค่โตขึ้นมาก
ท่าทางไม่เหมือนถูกเทพกู่กัดกร่อน
กู่เจ้าชะตาเสี่ยวโต้วติง รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนงูเหลือมขนาดจิ๋ว มีนิ้วเดียวยาว และกล้ามเนื้อขดงอ
“หลิงอิน เจ้าบอกว่าหนอนตัวใหญ่ในความฝันตัวนั้นกำลังสอนเจ้าต่อสู้?”
“อืม!”
“ต่อสู้อย่างไร? แสดงให้พี่ใหญ่ดูรอบหนึ่ง”
“ข้าลืมไปแล้วน่ะ”
“…”
สวี่ชีอันคิดในใจ หากเทพกู่รับเจ้าเป็นศิษย์จริงๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาตาบอดแล้ว
ในเมื่อเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของน้องเล็ก เขาไม่ยอมเสียเวลา รีบหยิบมงกุฎขงจื๊อออกมาทันที พร้อมกับหยิบกระดาษออกมาสองแผ่น แล้วใช้พลังปราณจุดกระดาษแผ่นหนึ่งก่อน
‘พรึ่บ’
กระดาษบันทึกลั่นประกาศิตลุกไหม้ สวี่ชีอันดีดมงกุฎขงจื๊อเบาๆ พึมพำเสียงเบาว่า
เวลานี้จะต้องไม่มีพลังของ ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ อยู่
ในขณะที่เอ่ยวาจาออกจากปาก มงกุฎขงจื๊อได้ส่องแสงอันรุ่งโรจน์ออกมาเป็นระลอก ทำให้เวลานี้เต็มไปด้วยร่างแห่งปราณที่ยิ่งใหญ่ ประกอบกับพลังของลั่นประกาศิต
สวี่ชีอันรู้สึกเจ็บที่คอ สังเกตเห็นว่าเจ็ดยอดกู่กำลังรู้สึกเกรงกลัว และกำลังถูกกดดัน
เวลานี้ เขาเห็นสวี่หลิงอินร้อง “ไอ้หยา” ครั้งหนึ่ง กดที่คอ แล้วร้องว่า
“มีหนอนกัดข้า”
นางก็รู้สึกเจ็บเหมือนกัน…สวี่ชีอันรู้สึกหนักใจ หิ้วสวี่หลิงอินขึ้นมาอีกครั้ง อุ้งมือกดที่ต้นคอ ครั้งนี้ เขาเห็นกู่เจ้าชะตาของเสี่ยวโต้วติงเกิดความผิดปกติ
มันเปลี่ยนจากงูเหลือมขนาดจิ๋วเป็นหนอนเจ็ดท่อนสีแดงเลือด
เหมือนกับเจ็ดยอดกู่ไม่มีผิด!
ที่แตกต่างกันก็คือ เจ็ดยอดกู่เป็นสีหยกขาว แต่หนอนเจ็ดท่อนในร่างกายของหลิงอินเป็นสีแดงสดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปราณโลหิต
นอกจากนี้ สาวกหนอนเจ็ดท่อนสีแดงมีลักษณะของมันเอง ไม่มีไสยศาสตร์กู่อีกหกชนิด
บ้าเอ๊ย…สวี่ชีอันสบถคำหยาบในใจ เทพกู่ต้องการที่จะเพาะเลี้ยงหลิงอินให้เป็นภาชนะงั้นหรือ?
‘พรึ่บ!’
กระดาษแผ่นที่สองลุกไหม้ สวี่ชีอันใช้ ‘วิชาพยากรณ์’ ของพ่อมด เสริมดวงชะตาของสวี่หลิงอิน ทำการทำนายโชคชะตาของนางในระยะนี้
ผลการเสี่ยงทายบ่งบอกว่าในอนาคตที่ยาวนาน ดวงชะตาของสวี่หลิงอินจะราบรื่นไม่มีอุปสรรค
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันสบายใจเล็กน้อย เขารู้ว่าเทพกู่สามารถกำบังการเสี่ยงทายได้ และระยะเวลาที่การเสี่ยงทายแสดงให้เห็นก็ไม่นานมาก แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว ภายในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ไม่เกิดปัญหาก็พอแล้ว
ภายในระยะเวลาใกล้ๆ นี้เขาจะพาสวี่หลิงอินไป
แต่ว่า เพื่อความปลอดภัย เขาจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน
“เป็นไงบ้างๆ!”
ลี่น่าถามซ้ำๆ ไม่พบกันนาน คนผิวขาวก็มีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงเป็นคนผิวดำอีกครั้ง
“มา กอดพี่ใหญ่ให้แน่นๆ!”
“เรื่องราวซับซ้อนอธิบายไม่ถูก…” สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ข้าจะพาหลิงอินไปพบแม่ย่าแห่งเทียนกู่ก่อน แล้วค่อยเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดในภายหลัง”
“มา หลิงอิน กอดพี่ใหญ่ให้แน่นๆ”
สวี่หลิงอินไม่ใช่เด็กที่คอยปีนป่ายขาเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เพียงแค่กระโดดเบาๆ ก็กอดคอสวี่ชีอันได้แล้ว แล้วก็แขวนตัวเองไว้กับหน้าอกของพี่ใหญ่
เสียงดัง ‘ตูม’ สวี่ชีอันเหมือนกระสุนปืนใหญ่ ยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า และหายไปภายในพริบตา
สวี่หลิงอินตาลาย แล้วก็พบว่าตัวเองมาถึงบ้านเก่าชำรุดทรุดโทรมเล็กน้อยหลังหนึ่ง เหนือศีรษะเป็นช่องแสงหลังคาสี่เหลี่ยม
จากนั้น นางก็รู้สึกว่าอวัยวะภายในสับเปลี่ยนตำแหน่ง กรดในกระเพาะอาหารเดือดพล่าน
“พี่หญ่าย ข้าจะอาเจียนแล้ว …”
หลังจากเสี่ยวโต้วติงพูดจบ น้ำเปรี้ยวๆ คำใหญ่ก็ถูกคายลงบนหน้าอกของสวี่ชีอัน
อาเจียนเสร็จแล้ว เสี่ยวโต้วติงก็มองไปที่น้ำเปรี้ยวๆ บนหน้าอกของพี่ใหญ่ พูดเสียงดังว่า
“เอ๋ เนื้อที่ข้ากินเข้าไปทำไมจึงกลายเป็นแบบนี้”
นางจงใจแสดงสีหน้าเกินจริง พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ใหญ่ ทำให้เขาลืมว่าสิ่งสกปรกบนหน้าอกเป็นอาเจียนของตนเอง
สวี่ชีอันลูบศีรษะนาง สายตากลับมองไปที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่ที่เดินออกมาจากบ้าน
“ยินดีด้วย!”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดยิ้มๆ
“หลังจากยุคจักรพรรดิอู่จง ที่ราบลุ่มภาคกลางก็ไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งอีกเลย”
สวี่ชีอันพยักหน้าแสดงเจตนา แล้วโยนเสี่ยวโต้วติงออกไป “แม่ย่า ท่านลองดูนางอีกครั้ง!”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ยื่นไม้เท้าออกไป ลากเสี่ยวโต้วติงลงสู่พื้นอย่างช้าๆ มือขวาที่ผอมแห้งสำรวจที่คอของนาง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“นี่คือเจ็ดยอดกู่ใช่หรือไม่?”
สวี่ชีอันถาม
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“เทพกู่ต้องการจะเพาะเลี้ยงลี่กู่ในร่างกายของนางให้เป็นเจ็ดยอดกู่ เช่นเดียวกับที่อยู่ในร่างกายของเจ้า แต่ว่า นี่เพิ่งวางรากฐานเท่านั้น ยังห่างไกลจากร่างกายที่สมบูรณ์อีกมาก”
มีเพียงภายนอกที่ดูดี แต่ธาตุแท้ยังคงเป็นลี่กู่ แต่มีพื้นฐานที่สามารถรองรับไสยศาสตร์หกชนิดได้…สวี่ชีอันดีดนิ้วทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า
“ก่อนหน้านี้แม่ย่าไม่พบหรือ?”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหัวเบาๆ
“ระดับของเทพกู่ต้องสูงกว่าข้า ข้ามองทะลุการอำพรางของเขาไม่ได้ แล้วเจ้าค้นพบได้อย่างไร?”
สวี่ชีอันอธิบายวิธีการของตัวเองสั้นๆ แล้วถามว่า
“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
เดิมทีเขาแค่คาดเดาเอาเอง เทพกู่ต้องการเพาะเลี้ยงสวี่หลิงอินเป็นภาชนะ เพื่อเป็นตัวนำการเกิดของสติปัญญา
ต่อมาก็คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผิดปกติตรงไหน?
ประการแรก เกิดสติปัญญาแล้วจะทำอะไรได้ ภาชนะเช่นนี้ รับฝ่ามือของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่ได้ จะมีความหมายอะไร?
อีกอย่าง เพราะเหตุใดเขาจึงเลือกสวี่หลิงอินเป็นภาชนะ?
แม้สวี่หลิงอินจะมีพรสวรรค์เพียงใด ก็ยังคงเป็นเด็ก สู้นักรบชนเผ่าลี่กู่ที่เป็นผู้ใหญ่พวกนั้นไม่ได้ อย่างเช่นลี่น่าอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรของลี่กู่เช่นนี้
“ข้าให้คำตอบเจ้าไม่ได้”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหน้า นางพูดต่อว่า
“แต่ว่า หนอนกู่ในร่างกายของหลิงอินตัวนี้ัยังคงเติบโตต่อไป จึงเป็นเจ็ดยอดกู่ที่แท้จริง และเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของเทพกู่”
“หมายความว่าอย่างไร?” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ปลายนิ้วของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ลูบต้นคอที่อ่อนนุ่มของหลิงอินเบาๆ แล้วพูดว่า
“เจ็ดยอดกู่ในร่างกายของเจ้า มีเทียนกู่เป็นรากฐาน กู่อีกหกชนิดที่เหลือมีเทียนกู่เป็นผู้นำ ดังนั้นตอนที่เจ้าเพิ่งได้รับเจ็ดยอดกู่ การเพิ่มพลังต่อสู้จึงไม่สูงมีเพียงวรยุทธ์ขั้นสูงของวิชา ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ เท่านั้นที่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะตอนนั้นผู้ที่พบเจ็ดยอดกู่ที่เหวลึกจี๋เยวียนเป็นชายชรา
“เขาเป็นคนเปลี่ยนเจ็ดยอดกู่ เจ็ดยอดกู่ที่แท้จริง รากฐานไม่ใช่เทียนกู่”
นางมองสวี่ชีอัน แล้วพูดช้าๆ ว่า
“ในบรรดาความสามารถทั้งเจ็ดของเทพกู่ หากจะเลือกหนึ่งในนั้นเป็นรากฐาน เจ้าคิดว่าเป็นอันไหน?”
ในสมองของสวี่ชีอันปรากฏร่างมหึมาเหมือนภูเขาของเทพกู่ขึ้นมาแวบหนึ่ง จึงคิดขึ้นมาได้
“ลี่กู่!”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้า เพื่อให้คำตอบยืนยัน
นางหดนิ้วมือ แล้วคลำศีรษะของสวี่หลิงอิน
“เจ้าพานางกลับไปเมืองหลวงก่อนเถิด ไปจากซินเจียงตอนใต้ แม้เทพกู่จะมีแผนการมากเพียงใด ก็ไม่อาจควบคุมถึงเรื่องของวันข้างหน้า วันข้างหน้าค่อยคุยกัน”
คงทำได้เพียงแค่นี้…สวี่ชีอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงอีกวัตถุประสงค์หนึ่งที่ตนเองมาที่นี่
“ข้าได้ยินลี่น่าพูดว่า พลังของเทพกู่ในเหวลึกจี๋เยวียนนั้นแข็งแกร่งผิดปกติ ที่ข้ามาครั้งนี้ เพราะต้องการเลื่อนขั้นเจ็ดยอดกู่สู่ระดับเหนือมนุษย์”
…………………………………………….