ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 803 อนาคตที่ถูกเปลี่ยนแปลง
บทที่ 803 อนาคตที่ถูกเปลี่ยนแปลง
ในอนาคตไม่มีข้า?!
ได้ยินจิตวิญญาณของเทพกู่ส่งกระแสจิต สวี่ชีอันไม่อาจซ่อนความงงงัน คิดในใจว่าไม่เคยได้ยินเรื่องฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งด้วย? ระดับเหนือมนุษย์เช่นเจ้าหูตาคับแคบจริงๆ!
“เทียนกู่เห็นได้เพียงมุมหนึ่งของอนาคต บางทีเจ้าอาจไม่เห็นข้า”
สวี่ชีอันใช้จิตวิญญาณตอบ
แม้พูดเช่นนี้ แต่ตามคำพูดนี้ที่เทพกู่เปิดเผย เขาวิเคราะห์ความเป็นไปได้สามข้อ
หนึ่ง ฆ้องเงินสวี่สิ้นชื่อก่อนเกิดภัยพิบัติ ดังนั้นอนาคตที่เทพกู่เห็นจึงไม่มีเขา
สอง มีคนปิดบังการมีอยู่ของเขา
เช่นเดียวกับที่สวี่ผิงเฟิงใช้อาวุธเวทมนตร์ของโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งปิดบังแผนการของตน ให้ในอนาคตที่โหราจารย์คนปัจจุบันเห็น เขาเป็นผู้ชนะสงครามชิงโจว ไม่ใช่เขาถูกผนึก
พูดถึงเรื่องนี้ สวี่ชีอันมีข้อสงสัยที่ยังไม่ได้พิสูจน์
โหราจารย์ไม่อาจคาดการณ์ผลลัพธ์สงครามชิงโจว งั้นเขาคาดการณ์อนาคตที่ไกลกว่านั้นได้หรือไม่ ถ้าได้ งั้นผ่านสถานการณ์ที่ไม่มีตนเองในอนาคต โหราจารย์ก็วิเคราะห์ได้ว่าชิงโจวเป็นจุดจบสิ้นของเขา
สำหรับเรื่องนี้ เขาเดาว่าสิ่งที่โหราจารย์เห็นนั้นเป็นอีกอนาคตหนึ่ง ในอนาคตนั้น การก่อกบฏของสวี่ผิงเฟิงถูกปราบปรามที่ชิงโจว แต่อาวุธเวทมนตร์ที่โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งทิ้งไว้ เปลี่ยนแปลงอนาคต
แน่นอน หัวข้อนี้เป็นปรัชญาเกินไป ฆ้องเงินสวี่ผู้หยาบกระด้างยากที่จะเข้าใจ
สาม ขณะที่เทพกู่สืบเสาะอนาคต เขายังไม่ได้ทะลุมิติมา
เทพกู่ไม่ตอบคำถามของสวี่ชีอัน ผ่านไปสักพัก เสียงอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามพูดต่อไปว่า
“อนาคตเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว”
อีกแล้ว? สวี่ชีอันใคร่ครวญชั่วครู่ ถามว่า
“อนาคตที่เจ้าเห็น เปลี่ยนแปลงหลายครั้งแล้ว?”
ดังนั้น อนาคตไม่ใช่ไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่เรียกว่าสืบเสาะอนาคต สิ่งที่เห็นคือแนวโน้มหนึ่งในอนาคต…สวี่ชีอันรู้แจ้งในใจ เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินคำพูดหนึ่ง อนาคตก็เหมือนกับต้นไม้สูงตระหง่านที่มีกิ่งก้านสาขามากมาย
มีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน
อนาคตที่โหราจารย์เห็นเมื่ออยู่ชิงโจวยามนั้นเป็นหนึ่งในกิ่งก้านสาขา แต่หลังจากที่อาวุธเวทมนตร์ของโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งปรากฏ อนาคตก็ดำเนินไปสู่อีกกิ่งก้านสาขา
“นับตั้งแต่ต้าฟ่งก่อตั้ง อนาคตเปลี่ยนแปลงสองครั้ง นับรวมการมีอยู่ของเจ้า ก็เป็นสามครั้ง”
เสียงอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของเทพกู่ตอบคำถามอย่างเยือกเย็น คล้ายไม่สนใจที่จะปิดบัง
“สองครั้งก่อน เจ้าเห็นอะไร” สวี่ชีอันฉวยโอกาสถามต่อ
“อู่จงก่อกบฏ โหราจารย์คนปัจจุบันปรากฏตัว…” เทพกู่เว้นวรรคไม่กี่วินาที คล้ายกำลังนึก พูดว่า
“ในอนาคตเดิม โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งจะอยู่รอดจนถึงยามนี้ จากนั้นรับสวี่ผิงเฟิงเป็นศิษย์ ฝ่ายหลังเพื่อเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ร่วมมือกับสำนักพุทธ ฆ่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งและแทนที่เขา”
…ในหัวของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยคำว่า ‘บัดซบ’!
ผ่านไปสักพัก เขาถึงเลิกคิดวุ่นวาย เริ่มทำความเข้าใจกับข่าวที่เทพกู่เปิดเผย
“กล่าวคือ ในอนาคตเดิม ไม่มีอู่จงก่อกบฏ โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังไม่ตาย เดิมทีสวี่ผิงเฟิงควรเป็นลูกศิษย์ของรุ่นที่หนึ่ง จนกระทั่งไม่นานมานี้ ถึงร่วมมือกับสำนักพุทธแทงข้างหลังอาจารย์
“ชะตากรรมที่โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งตายเพราะศิษย์แทงข้างหลังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เส้นเวลาเปลี่ยนไป เกิดขึ้นล่วงหน้าห้าร้อยปี นอกจากนี้ ในอนาคตนั้น สวี่ชีอันเสียชีวิตจริงๆ ในคดีภาษี…เหตุใดถึงปรากฏการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้”
ในหัวของสวี่ชีอันปรากฏสองคำ
โหราจารย์!
“เทพกู่ ในอนาคตที่เจ้าล่วงรู้ โหราจารย์ก็ไม่ควรมีอยู่ใช่หรือไม่” สวี่ชีอันใช้จิตวิญญาณส่งกระแสจิต
“เขาเหมือนกับเจ้า” คำตอบของเทพกู่สั้นกระชับ
เหมือนกับข้า น่าจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอนาคตเหมือนกับข้า คงไม่ใช่เป็นผู้ทะลุมิติเหมือนกับข้ากระมัง…สวี่ชีอันลอบพึมพำอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“เดิมทีข้าไม่ควรมีอยู่ในอนาคต เพราะข้าไม่ใช่คนในโลกนี้ การทะลุมิติของข้าทำให้อนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลง งั้นคนที่ไม่ควรปรากฏตัวเหมือนกันเช่นโหราจารย์นี้ มาจากที่ใด” สวี่ชีอันใคร่ครวญในใจ
ภายหลังถ้ามีโอกาส ส่งสัญญาณลับกับเขา? อืม ตารางธาตุไม่เลว แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่าหลังโซเดียม แมกนีเซียม อะลูมิเนียม ซิลิคอน ฟอสฟอรัสคืออะไร เปลี่ยนใหม่ ข้าจำประโยคหลังของสูตรตรีโกณมิติได้…ขณะที่สวี่ชีอันใช้ความคิด เสียงอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามแต่ไร้อารมณ์ของเทพกู่แว่วมาอีกครั้ง
“โชคชะตาอันแรงกล้าบนร่างเจ้ามาได้อย่างไร”
“นี่คือชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของราชสำนักที่ราบลุ่มภาคกลาง พูดให้ชัดเจน ไม่นับเป็นโชคชะตาธรรมดา”
สวี่ชีอันเล่าภูมิหลังและต้นสายปลายเหตุชะตาบ้านเมืองของตนให้เทพกู่ฟัง
นี่เพื่อรักษาการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างสันติในยามนี้ให้คงอยู่
“ที่แท้เป็นเจ้า!”
เสียงของเทพกู่ผันผวนเล็กน้อย
? สวี่ชีอันรีบซักถาม “หมายความว่าอย่างไร”
เทพกู่ไม่ตอบ
เห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันได้แต่ถามต่อไป
“งั้นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงอนาคตครั้งที่สองคืออะไร”
ครั้งนี้เทพกู่ไม่ได้นิ่งเงียบ ตอบเขาตามตรง “จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่ราบลุ่มภาคกลาง ชื่อว่าเว่ยเยวียน เขาจะมีบทบาทสำคัญในภัยพิบัติ”
เป็นอีกข่าวที่เรียกได้ว่าระเบิดลูกใหญ่…สวี่ชีอันคลึงหว่างคิ้ว วิเคราะห์เบื้องหลังที่สลับซับซ้อนของข่าวนี้อย่างใจเย็น
“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่ราบลุ่มภาคกลางในอนาคตที่เทพกู่เห็นคือเว่ยเยวียน ไม่ใช่ข้า กล่าวคือ ข้าแทนที่เว่ยกง? การเปลี่ยนแปลงอนาคตครั้งแรกเพราะการปรากฏตัวของโหราจารย์ งั้นการเปลี่ยนแปลงอนาคตครั้งนี้ สาเหตุคืออะไร หลังจากเสียชีวิตที่เมืองจิ้งซาน เว่ยกงกลายเป็นคนธรรมดาสามัญ หวังฟื้นคืนตบะไม่รู้อีกนานเท่าใด…”
“ไม่ถูกต้อง จุดเปลี่ยนไม่ใช่สงครามเมืองจิ้งซาน เพราะยามนั้นข้าได้แบกรับชะตาบ้านเมือง แบกรับเหตุต้นผลกรรมต่างๆ ต่อให้เว่ยกงไม่ตาย ข้าก็เติบโตถึงระดับในยามนี้ได้เช่นกัน การตายของเว่ยกง เพียงเร่งความเร็วการเติบโตของข้า”
สวี่ชีอันหรี่ตาเล็กน้อย เขาเจอคำตอบแล้ว…หลังจากยุทธการด่านซานไห่ เว่ยเยวียนทำลายตบะของตน อยู่ในราชสำนักต่อ!
“และปีนั้น ข้าปรากฏตัว…”
“ตั้งแต่ยามนั้น ข้าก็แทนที่เว่ยเยวียน การเติบโตของข้า การเกิดขึ้นของข้า ล้วนมีโหราจารย์ผลักดันอยู่เบื้องหลัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง โหราจารย์ให้ข้าแทนที่เว่ยเยวียน ไม่ พูดให้ชัดเจน โหราจารย์เคยเลือกเว่ยเยวียน ภายหลังเพราะเว่ยเยวียนทำลายตบะของตน เขาจำใจละทิ้งหมากตัวนี้ เปลี่ยนมาเลือกข้า
“การเปลี่ยนแปลงอนาคตสองครั้ง ล้วนเป็นเพราะโหราจารย์”
ตามข้อสันนิษฐานนี้ ในที่สุดก็สวี่ชีอันเข้าใจความน่ากลัวที่แท้จริงของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ตามการวางหมากของตน พวกเขาสร้างผลกระทบต่อแนวโน้มในอนาคต เลือก ‘กิ่งก้าน’ ที่สอดคล้องกับความคิดของพวกเขา
“ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเราถูกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ผนึก จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจะเติบโตได้อย่างราบรื่น” เสียงของเทพกู่ดังขึ้นอีกครั้ง
“หมายความว่าอย่างไร”
ได้ยินคำพูดนี้ สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
เสียงอันยิ่งใหญ่ของเทพกู่แว่วสู่ในหัว
“ตั้งแต่จบสิ้นยุคเทพมาร ผ่านกาลเวลาไม่มีที่สิ้นสุด จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่จิ่วโจวให้กำเนิดไม่นับว่าน้อย แต่เหตุใดยามนี้จิ่วโจวไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
“ข้ารู้ว่าระบบจอมยุทธ์ซ่อนความลับไว้มากมาย”
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบตรงๆ
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเช่นจักรพรรดิอู่จงและจักรพรรดิเกาจู่นี้มีอายุขัยจำกัด แต่ย่อมมีบางคนที่อาศัยพรสวรรค์และความพยายามสำเร็จระดับขั้นหนึ่ง ตามหลักแล้ว พวกเขาน่าจะอยู่รอดได้ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ถึงปัจจุบัน
แต่นอกจากเสินซู แผ่นดินใหญ่จิ่วโจวไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
แม้แต่เสินซู สถานการณ์ก็พิเศษมาก เขาเหมือนจะเป็นอีกร่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า ไม่อาจมองข้าม นับเป็นข้อยกเว้น
เทพกู่พูดว่า
“เพราะพวกระดับเหนือมนุษย์ไม่ต้องการเห็นเทพยุทธ์ปรากฏตัว ในทุกระบบสำคัญยุคปัจจุบัน ระบบซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดในยามนี้คือลัทธิขงจื๊อ เพราะระดับเหนือมนุษย์ของลัทธิขงจื๊อยับยั้งการมีอยู่ของระดับเดียวกันได้ รูปสลักนั้นข้างๆ เจ้าก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด
“แต่แม้ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็ฆ่าพวกเราไม่ตาย
“ที่จริง จอมยุทธ์ถึงเป็นระบบที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าเพียงเพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่ง จึงไม่เข้าใจความเกรียงไกรที่แท้จริงของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าสู่ขั้นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ย่อมได้รู้เอง”
ข้ารู้จริงๆ…สวี่ชีอันใช้จิตวิญญาณตอบว่า
“ขั้นหนึ่งสมบูรณ์ ต่อให้ระดับเหนือมนุษย์ก็ฆ่าไม่ตาย? นี่คือความสามารถที่ขั้นหนึ่งระบบอื่นไม่มี”
เทพกู่นิ่งเงียบชั่วครู่ ตอบราวกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ตามข้อสันนิษฐานของข้า เทพยุทธ์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฆ่าระดับเหนือมนุษย์ระบบอื่นได้ พระพุทธเจ้า ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ เทพอู และปรมาจารย์เต๋าล้วนคิดเห็นเช่นนี้”
สวี่ชีอันเข้าใจทันที
“ดังนั้น สาเหตุที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งสูญพันธุ์ เพราะพวกเจ้าคุกคามเค้นคอฆ่าตั้งแต่ในเปล?”
เสียงอันยิ่งใหญ่ของเทพกู่ดังก้อง
“ไม่ใช่ข้า เป็นพวกเขา หลังจากสิ้นสุดยุคดึกดำบรรพ์ ข้าก็หลับสนิทที่นี่ ซ่อมแซมแหล่งพลังปราณ”
“เหตุใดต้องเลี้ยงน้องสาวข้าให้เป็นภาชนะ” สวี่ชีอันพูดเสียงขรึม
สำหรับเรื่องนี้ คำตอบของเทพกู่คือ
“ไม่ใช่ภาชนะ!”
ไม่ใช่ภาชนะ? สวี่ชีอันซักถาม
“หมายความว่าอย่างไร”
เทพกู่กลับไม่สนใจเขาอีก เขาอยากพูดก็พูด ไม่อยากพูดก็ไม่พูด
นี่คือมาดของระดับเหนือมนุษย์
เทพกู่เลี้ยงเจ็ดยอดกู่ในร่างหลิงอิน มีแผนการอื่น ซ้ำยังไม่เกี่ยวกับข้า จิ๊ อึดอัดอยู่บ้าง…สวี่ชีอันเห็นเช่นนี้ ไม่ซักถามอีก รีบหาข่าว ถามคำถามต่อไป
“ยุคดึกดำบรรพ์ สาเหตุที่เทพมารฆ่ากันเองคืออะไร”
เทพกู่นิ่งเงียบอยู่นาน เสียงเปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ราวกับประกาศลิขิตสวรรค์
“เพราะขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณ เพราะจำเป็นต้องทำ เพื่อคว้าความหวังครั้งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากเปิดฟ้าแยกดิน”
“อธิบายสักหน่อย?” สวี่ชีอันพูด
เทพกู่ไม่สนใจ
“ไป๋ตี้ที่มาชายแดนตอนใต้หาเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ ที่จริงร่างเดิมคือ ‘ฮวง’ ซ้ำยังเป็นเทพกู่บรรพกาล อยู่ระดับเดียวกับเจ้า”
สวี่ชีอันฉวยโอกาสหักหลัง ‘ฮวง’ อย่างน้อยเขาคิดว่าเทพกู่น่าจะรู้เรื่องนี้
“แหล่งพลังปราณของเขาถูกวิหคอมตะฉีกขาด” เทพกู่ตอบอย่างเรียบง่าย
สวี่ชีอันพยักหน้า แน่นอน สำหรับระดับเหนือมนุษย์ ไม่มีความลับในโลกนี้
“ตามทฤษฎีเทพกู่บรรพกาลฆ่ากันเอง เจ้ากับพระพุทธเจ้าและคนอื่นๆ เป็นความสัมพันธ์แบบแข่งขันใช่หรือไม่” เขาถาม
จุดนี้ค่อนข้างสำคัญ
“หลังจากที่พวกเราหลุดพ้นผนึก จะแบ่งเฉือนที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมโชคชะตา จากนั้นถึงเริ่มแก่งแย่งแข่งขัน เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งที่แท้จริง กลยุทธ์ก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด”
เสียงของเทพกู่ยิ่งใหญ่แต่เย็นชา ล้มล้างความคิดเจ้าเล่ห์ของสวี่ชีอัน
นี่คือกำลังบอกข้า อย่าคิดจะใช้กลยุทธ์ครอบงำระดับเหนือมนุษย์ ชี้นำสถานการณ์ ถ้าคิดจะทำเช่นนี้จริงๆ สิ่งที่ได้จะคืออาวุธของระดับเหนือมนุษย์…สวี่ชีอันถอนหายใจเงียบๆ
ถึงระดับนี้ มีแต่ต้องใช้กำลังพูดคุยเท่านั้น คารมและปัญญาไม่มีประโยชน์
“ไม่กลัวข้าใช้การซ่อมแซมผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ข่มขู่เจ้า?” สวี่ชีอันหยั่งเชิง
“ได้!”
เทพกู่พูดตอบ
ที่จริงข้าก็ไม่มีสิทธิ์ข่มขู่ ผนึกหนึ่งในระดับเหนือมนุษย์ ข้าน่าจะพิการแล้ว ยกเว้นข้าผนึกระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมดในครั้งเดียวได้…สวี่ชีอันพูดหยั่งเชิง
“เหตุใดบอกเรื่องพวกนี้กับข้า”
เทพกู่พูด
“เรื่องพวกนี้ไร้ความหมาย”
สวี่ชีอันลองวิเคราะห์ ความหมายของเทพกู่คือ ในระดับเหนือมนุษย์ ข่าวพวกนี้เป็นสาธารณะ ไม่มีค่าอะไร เขาไม่สนใจว่าผู้อื่นจะรู้
สำหรับสวี่ชีอัน ข่าวพวกนี้อาจมีความสำคัญ แต่สำหรับเทพกู่ ไม่มีค่าแม้แต่น้อย
ต่างกันเป็นเท่าตัวจริงๆ…สุดท้ายสวี่ชีอันพูดว่า
“เจ้าคิดจะไปเอง หรือข้าสยบเจ้า จากนั้นไปกำจัดเซียนครองพิภพ?”
เทพกู่นิ่งเงียบ ครู่ต่อมา จิตใจอันเกรียงไกรถอยไปราวกับกระแสน้ำ ออกจากเจ็ดยอดกู่
เขาไปแล้ว
การคบค้าสมาคมกับระดับเหนือมนุษย์นั้นช่างน่าสนุก มีเอกลักษณ์ การเดินทางสู่ชายแดนตอนใต้ครั้งนี้ ได้กำไรมากแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำอย่างมองโลกในแง่ดี พินิจตนเอง ในที่สุดก็มีโอกาสจำแนกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์ของเจ็ดยอดกู่
………………………………………………………………………