ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 807 ทางของเทพธิดา
บทที่ 807 ทางของเทพธิดา
ฆ่าเมี่ยวเจินงั้นหรือ คงไม่ใช่แบบนั้นหรอกมั้ง…สวี่ชีอันเลิกคิ้ว เปลี่ยนทิศทาง บินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หากจำไม่ผิด นิกายสวรรค์อยู่ไกลจากเจี้ยนโจว
นี่เป็นเรื่องที่หลี่หลิงซู่คายออกมา
ในบรรดาลัทธิเต๋าทั้งสามนิกาย นิกายสวรรค์ปกปิดตัวตนและแทบไม่ข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ทุกสองสามทศวรรษหรือสิบกว่าปี จะส่งเทพบุตรกับเทพธิดาเดินทางลงเขามาฝึกฝนจิตใจที่โลกมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ สวี่ชีอันจึงไม่ได้ตั้งใจสืบหาที่ตั้งของนิกายสวรรค์มาก่อน และปล่อยมันเป็นเรื่องของ ‘อนาคต’ ไป เดิมทีเขาวางแผนจะไปเพื่อถามหาความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับขององค์เทพในอดีตที่นิกายสวรรค์เป็นการส่วนตัวในอนาคตเมื่อแข็งแกร่งมากพอ
ทว่าต่อมาเขาก็ไขความลับเรื่องที่องค์เทพรวมเป็นหนึ่งกับวิถีแห่งฟ้าได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นหลี่หลิงซู่ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือ สมาชิกในพรรคฟ้าดินจึงประหลาดใจ จากนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็ส่งข้อความไปถาม
หมายเลขสี่ ‘ฆ่าเจ้าหรือฆ่าหลี่เมี่ยวเจินนะ พวกเจ้าสองคนก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน หรือว่านิกายสวรรค์ให้ค่ากับผู้ชายมากกว่า จึงฆ่าเพียงเมี่ยวเจิน ไม่ฆ่าเจ้า’
หลี่หลิงซู่คิดในใจ ‘เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่ จุดสำคัญของปัญหาไม่ใช่พวกโจรเฒ่าต้องการฆ่าเมี่ยวเจินหรอกหรือ ข้าไม่ถูกฆ่า แล้วมันขวางหูขวางตาเจ้าอย่างไร’
แม้จะบ่นอยู่ในใจ ความเร็วในการส่งข้อความก็ไม่ได้ลดลง เขาอธิบายอย่างรวดเร็วว่า
หมายเลขเจ็ด ‘องค์เทพคิดว่าข้ากับเมี่ยวเจินมีกรรมมากเกินไปและถูกกำหนดให้พินาศ คงไม่อาจตัดอารมณ์ความรู้สึกได้ ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจจะลบความทรงจำของพวกเรา ข้ายอมถอยเพื่อเอาตัวรอด จึงตอบตกลง แต่พวกเจ้าก็รู้นิสัยของเมี่ยวเจิน เป็นตายอย่างไรนางก็ไม่ยอม’
‘แถมยังกล้าต่อปากต่อคำกับองค์เทพอีก พูดว่าฆ่าข้าได้ ทำลายข้าได้ แต่หยามข้าไม่ได้’
‘หลี่เมี่ยวเจินทำเรื่องโง่เขลาลงไปจริงๆ’ สมาชิกพรรคฟ้าดินถอนหายใจในใจ
หญิงสาวคนนั้นดูไม่เหมือนเทพธิดาเลย อุปนิสัยแข็งแกร่ง ยอมตายดีกว่ายอมประนีประนอม
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความไป
หมายเลขเก้า ‘องค์เทพมองได้แม่นยำมาก สถานการณ์ของเจ้ากับเมี่ยวเจิน ถึงในชีวิตนี้จะอยากตัดอารมณ์ความรู้สึกก็คงยากแล้วล่ะ’
อาซูหลัวไม่เข้าใจจึงถาม
แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว แต่สำนักพุทธอยู่ห่างไกลจากนิกายสวรรค์ นับพันปีไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ต่อให้เป็นเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของนิกายสวรรค์อยู่ดี
หมายเลขเก้า ‘สืบทอดควันธูป สืบสานสำนัก ในสายตาขององค์เทพมันเป็นกฎ ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึก เหมือนตะวันกับจันทราสับเปลี่ยนแทนที่กัน ฤดูกาลเปลี่ยนผัน มีกฎเกณฑ์ที่ทำงาน เกี่ยวอะไรกับอารมณ์ความรู้สึก หลี่เมี่ยวเจินเป็นเทพธิดา เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดตำแหน่งองค์เทพในอนาคต เมื่อเทพธิดาเบี่ยงเบนไปจากจุดประสงค์ของหลักคำสอน องค์เทพจึงเข้าไปแทรกแซง เช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างเหนือมนุษย์จะทำให้ธาตุแห่งฟ้าดินวุ่นวาย เวลานี้ กฎฟ้าดินก็จะเข้าไปแทรกแซง ทำให้ธาตุฟื้นกลับเป็นปกติ’
อาซูหลัวเข้าใจ
‘ไม่แปลกใจเลยที่องค์เทพในอดีตจะรวมเป็นหนึ่งกับวิถีแห่งฟ้า’
เขาเข้าใจเรื่องนิกายสวรรค์ในระดับลึกซึ้ง
ข่าวเรื่ององค์เทพในอดีตรวมเป็นหนึ่งกับวิถีแห่งฟ้าเป็นข่าวที่สวี่ชีอันล้วงมาจากไป๋ตี้ตอนยุทธการหนีเคราะห์กรรม ตอนนั้นเจ้าตัวก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ต่อมาก็แชร์ให้เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินฟัง
หมายเลขเก้า ‘นิกายให้เวลาเมี่ยวเจินหนึ่งวันในการไตร่ตรอง ทว่านางยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ องค์เทพจึงตัดสินใจโบยนางตอนเที่ยงตรง ต้องการทำให้นางสิ้นหวัง’
หลี่หลิงซู่คิดในใจ พวกเจ้าอย่ามัวแต่คุยเล่น รีบไปช่วยนางเถอะ!
หมายเลขสาม ‘ข้ากำลังรีบไปที่เจี้ยนโจว คงถึงก่อนเที่ยงตรง’
พอดี ฉวยโอกาสนี้คุยกับองค์เทพ ความลับของปรมาจารย์เต๋า ความลับของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์และความลับขององค์เทพในอดีต
สวี่ชีอันเชื่อว่า องค์เทพรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอื่นๆ อย่างแน่นอน
หมายเลขเก้า ‘อาตมาก็จะไปเช่นกัน เมี่ยวเจินเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดินของข้า ไม่ใช่แค่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ของเขา’
หมายเลขแปด ‘ข้าไม่มีอะไรทำพอดี’
แต่ก็กังวลเพราะคิดว่าพวกเหนือมนุษย์มากันเยอะเกินไป เขาแค่อยากช่วยตัวเองกับหลี่เมี่ยวเจิน ไม่ได้อยากให้คนจากพรรคฟ้าดินกลุ่มนี้ทำลายนิกายสวรรค์
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าจะแจ้งให้ลั่วอวี้เหิงทราบ!’
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยแทรก
แม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินที่แทงจักรพรรดิต้าฟ่งตายคนนั้น แต่เห็นแก่ที่เป็นสมาชิกองค์กรเดียวกันและยินดีจะยื่นมือช่วยเหลือ
ยิ่งไปกว่านั้น คนสกุลสวี่กำลังแต่งงาน เขาต้องเชิญหลี่เมี่ยวเจินไปดื่มเหล้ามงคลอย่างแน่นอน
“…” หลี่หลิงซู่มีเพียงความคิดเดียวในหัว
นิกายสวรรค์คงรอไม่ไหวแล้ว!
…
นิกายสวรรค์
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ เก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในอกเสื้อ แล้วออกจากห้องสงบจิตของท่านอาจารย์ไปอย่างเงียบเชียบ
หลังกลับมายังนิกายสวรรค์ หนังสือปฐพีของพวกเขาก็ถูกท่านอาจารย์ของแต่ละคนยึดไป แต่เทพบุตรเห็นกับตาว่านักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ในกล่องไม้
เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงออกไปจากห้อง แอบเข้ามาส่งข้อความขอความช่วยเหลือถึงสมาชิกพรรคฟ้าดิน
ส่วนตอนนี้ สวี่ชีอันมาเร็วมาก เขาจะทิ้งนิกายสวรรค์และตามศิษย์น้องไปด้วยกันอย่างแน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกลับคืน
หลี่หลิงซู่ออกจากลานบ้านไปเงียบๆ เดินไปทางที่พักของตัวเอง เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง เขาก็เห็นนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกลับมาพอดี
“ท่านอาจารย์!”
หลี่หลิงซู่โค้งตัวทำความเคารพ และแสดงความเศร้าหมองออกมาเล็กน้อยกำลังดี
ไม่ว่าหลี่เมี่ยวเจินกำลังจะเผชิญกับอะไรก็ตาม หรือเขาจะถูกลงโทษลบความทรงจำ ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
“ผู้อาวุโสทุกท่านเรียกศิษย์ภายในนิกายไปรวมตัวกันที่นอกวังเทพสวรรค์แล้ว เพื่อดูการลงโทษด้วยแส้สายฟ้า
“ส่วนเจ้าไปกับข้า หลังจากจัดการกับเทพธิดาแล้ว องค์เทพจะลบความทรงจำให้เจ้า”
หลี่หลิงซู่คงสีหน้าเศร้าหมองไว้และเอ่ยเสียงเบา
“ขอรับ!”
…
ณ จัตุรัส นอกวังเทพสวรรค์
หลี่เมี่ยวเจินนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นสูง หลับตานั่งสมาธิ
ข้างใต้แท่นสูง เป็นศิษย์นิกายสวรรค์ฝ่ายในสามร้อยกว่าคน มีทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาต่างมองไปยังหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่บนแท่นสูง ส่วนใหญ่ยังคงเงียบ แต่ส่วนน้อยเริ่มกระซิบกระซาบ
มีเพียงไม่กี่คนในนิกายสวรรค์ที่สามารถตัดอารมณ์ความรู้สึกได้ หากเทพบุตรกับเทพธิดายังไม่เคยตัดความรู้สึก ศิษย์ฝ่ายในเหล่านี้ก็ไม่ต้องพูดถึง
“ท่านอาจารย์ เทพธิดาเป็นอะไรไปหรือขอรับ นางทำผิดอันใด”
เด็กสาวที่มีแก้มอวบอ้วนคนหนึ่งดึงแขนเสื้ออาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เทพธิดาเดินทางลงเขาไปแล้วสูญเสียจิตเต๋า จึงกำลังจะถูกนิกายประหารชีวิต”
ท่านอาจารย์ถอนหายใจ
เด็กสาวที่มีแก้มอวบอ้วนอายุประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หน้าถอดสี ใบหน้าเป็นกังวล
“เทพธิดาจะถูกประหารได้อย่างไรกัน”
ในมุมมองของนาง เทพธิดาเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดตำแหน่งองค์เทพในอนาคต เป็นบุคคลผู้สูงส่ง สถานะในนิกายสวรรค์ก็ต่ำกว่าแค่องค์เทพกับเหล่าผู้อาวุโส
“เมื่อนางตาย เจ้าก็จะมีความหวังไม่ใช่หรือ” นักบวชวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเยาะ
“ไม่ใช่แค่เจ้าหรอก ศิษย์หญิงทุกคนล้วนมีความหวังที่จะได้เป็นเทพธิดา เทพธิดาของพวกเราคนนี้ไม่ใช่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ที่ดี แต่เป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน”
ขณะที่รอ ยามอู่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เวลานี้ นักบวชเฒ่าผมสีดอกเลายืนอยู่ใต้ชายคาวังเทพสวรรค์แล้วตะโกนเสียงดังและเย็นชา
“เทพธิดา ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหนึ่งครั้ง หากยอมลบความทรงจำ ข้าจะไม่ถือสาหาความเรื่องในอดีต”
บนแท่นสูง หลี่เมี่ยวเจินลืมตาขึ้นมองท้องฟ้า ก่อนถอนสายตากลับด้วยความผิดหวังเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เมี่ยวเจินได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
ผู้อาวุโสใหญ่เลิกพูดจาไร้สาระ เบนสายตามองไปทางฝูงชนหนาแน่นแล้วเอ่ยเสียงดัง
“เทพธิดาหลี่เมี่ยวเจิน ช่วงเดินทางลงจากเขา ได้เมินเฉยต่อกฎนิกาย ไม่สนใจคำแนะนำของนิกาย มีกรรมมากเกินไป ไม่มีหวังจะตัดอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว
“องค์เทพยอมให้โอกาสนาง แต่นางกลับโง่เขลา ยอกย้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“วันนี้ข้าจะใช้แส้สายฟ้าสลายดวงวิญญาณของนาง เพื่อเป็นการตักเตือน พวกเจ้าก็ดูไว้เป็นบทเรียน จะได้ไม่เดินซ้ำรอยเดิมกับนาง”
ในฝูงชน ศิษย์จำนวนมากพากันเห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
“เหมือนว่าเทพธิดาจะตกสู่ทางมารแล้วจริงๆ ถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้”
“ดูสิ่งต่างๆ ที่นางทำในโลกสิ ปราบโจรที่อวิ๋นโจว ปราบกบฏที่ยงโจว เพลิดเพลินกับความรู้สึกที่ถูกผู้คนเคารพนับถือ จนเกือบลืมว่าตัวเองสกุลอะไร นิกายเลี้ยงดูนางมาจนโต ฝึกฝนนางจนประสบความสำเร็จ แต่นางกลับตอบแทนนิกายแบบนี้หรือ”
“องค์เทพให้โอกาสนาง แต่นางก็ไม่รักษาไว้ คิดว่ากฎของนิกายมีไว้แค่ประดับหรือ ความตายยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ!”
“ไม่มีใครมาช่วยนางหรอก”
“น่าเสียดายที่ข้าขอท่านอาจารย์ไปอ้อนวอนองค์เทพเมื่อสองสามปีก่อน ให้ข้ากับเทพธิดาเป็นคู่บำเพ็ญกัน ตอนนี้ดูเหมือนจะโชคดีที่เรื่องนั้นไม่ประสบความสำเร็จ”
เทพบุตรกับเทพธิดาในอดีตต่างได้รับการคัดเลือกด้วยใจอันบริสุทธิ์โดยนิกายสวรรค์ ได้รับการฝึกฝนด้วยทรัพยากรทั้งหมด ได้รับการสั่งสอนโดยยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ และได้รับความเคารพยกยอจากศิษย์ในนิกาย
ในสายตาของศิษย์นิกายสวรรค์ พฤติกรรม ‘ยอมตายดีกว่ายอมจำนน’ ของหลี่เมี่ยวเจินถือเป็นการทรยศต่อนิกายสวรรค์และเป็นความเห็นแก่ตัวอันน่ารังเกียจ
“ประหาร!”
นี่คือสิ่งที่เทพธิดาปิงอี๋ตกลงไว้ตอนวิงวอนขอความกรุณาจากองค์เทพเมื่อวานนี้
หากเทพธิดาไม่กลับใจ นางจะลงมือด้วยตัวเอง
เทพธิดาปิงอี๋ยืนต้านลม ชุดคลุมปลิวไสว แขนเสื้อทั้งสองข้างกระพือ นางหลุบตามองศิษย์รักจากที่สูง มือขวายื่นไปในความว่างเปล่า คว้าแส้สีแดงมาถือไว้
‘ฟึ่บ!’
เทพธิดาปิงอี๋บีบนวดด้วยมือข้างเดียวแล้วยกแส้ในมือขึ้น
‘ตู้ม!’
สายฟ้าหนาเท่านิ้วฟาดลงมาจากท้องฟ้า ปะทะกับแส้โดยตรง สายฟ้าควบแน่นไม่กระจัดกระจาย แส้ทั้งแส้กลายเป็นแส้สายฟ้าที่มีประกายไฟแลบออกมาและส่องประกาย
เทพธิดาปิงอี๋จ้องมองลูกศิษย์ที่อยู่บนแท่นสูงแล้วสะบัดข้อมือ
แส้สายฟ้าเปล่งประกายสว่างวาบในดวงตาของผู้มุงดู จากนั้น เสียง ‘เผียะ’ ก็ดังก้องในหูของทุกคน
หลี่เมี่ยวเจินเหมือนจะถูกแส้ฟาดอย่างแรง ร่างทั้งร่างราวกับกระสอบทรายที่แตกสลาย และล้มลงบนแท่นอย่างแรง
เสื้อคลุมด้านหลังนางฉีกขาด ทว่าไม่ได้เผยให้เห็นผิวขาวนวลหรือบาดแผลโชกเลือด แต่เป็นรอยไหม้เกรียมราวกับถ่าน
เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดทางกายแล้ว สิ่งที่ทำให้เทพธิดาเกือบตายจริงๆ คือแส้เส้นนี้ฉีกจิตเดิมออกจากกันและฟาดลงไปในส่วนลึกของวิญญาณ
เหงื่อไหลซึมออกมาจากรูขุมขนทันที หลี่เมี่ยวเจินนอนขดตัวอยู่บนแท่นสูง ใบหน้าซีดเผือด กัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมา ดื้อรั้นไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมา
ใบหน้าอันเยือกเย็นและงดงามของเทพธิดาปิงอี๋ไม่แสดงสีหน้าใด สะบัดข้อมือ ฟาดแส้ครั้งที่สอง
‘เผียะ!’
แส้ฟาดลงบนร่างของหลี่เมี่ยวเจินอีกครั้ง สร้างรอยไหม้และประกายไฟแลบ
ร่างกายของหลี่เมี่ยวเจินแข็งทื่อทันที ก่อนจะอ่อนปวกเปียก ม่านตาของนางเริ่มหย่อนยาน แสงในดวงตาหรี่ลงอย่างรวดเร็ว จิตเดิมกำลังสลาย
หากฟาดต่ออีก นางจะกลายเป็นคนตายที่มีชีวิตโดยกายเนื้อยังมีชีวิต แต่จิตเดิมสลายไปแล้ว ผ่านไประยะหนึ่ง กายเนื้อก็จะค่อยๆ ตายไป
ในบรรดาศิษย์นิกายสวรรค์ที่มุงดูอยู่ ศิษย์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลี่เมี่ยวเจินทนมองไม่ได้ จึงเบือนหน้าหนี
“ศิษย์น้อง…”
เมื่อเห็นฉากนี้ หลี่หลิงซู่ตะโกนเสียงดัง
ขณะก่นด่าสวี่ชีอันว่าเหตุใดยังมาไม่ถึง เขาก็มองไปทางเทพธิดาปิงอี๋ เพื่อถ่วงเวลา เขาจึงตะโกนว่า
“ท่านอาจารย์อาปิงอี๋ ท่านเลี้ยงดูนางมาด้วยตัวคนเดียว จิตทางโลกของท่านก็อยู่กับนาง เหตุใดถึงใจคอโหดเหี้ยม ฆ่านางได้ลงเช่นนี้”
เทพธิดาปิงอี๋ถือแส้สายฟ้าไว้ในมือ แต่ครั้งนี้ยังไม่ได้ฟาดลง นางมองหลี่เมี่ยวเจินด้วยสีหน้าเย็นชาและเอ่ยเสียงเรียบ
“ในฐานะอาจารย์ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากยอมลบความทรงจำ ขีดเส้นแบ่งกับคนทางโลก เจ้าก็จะยังเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ หากตกลงก็พยักหน้าเสีย”
ใต้ชายคาวังเทพสวรรค์ ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งมองดูอย่างเฉยเมย ไม่ได้ไม่พอใจกับการกระทำโดยพลการของเทพธิดาปิงอี๋ แต่แสดงท่าทีไม่สนับสนุนไม่ต่อต้าน
แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบ
“เทพธิดา พยักหน้าสิ!”
“การฝึกฝนไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้ทำผิดพลาด”
หลี่เมี่ยวเจินยังคงไม่เปิดปากพูด ในบรรดาฝูงชนที่มุงดู ศิษย์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางหรือทนต่อการสูญเสียเทพธิดาของนิกายสวรรค์ไปไม่ได้พากันพูดทีละคนๆ
นักบวชหญิงคนหนึ่งปาดน้ำตาร้องไห้
“เทพธิ…ศิษย์พี่ เจ้าพยักหน้าสิ ยังมีอะไรสำคัญกว่าการมีชีวิตอีกหรือ แค่ลบความทรงจำเท่านั้นเอง ความทรงจำกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน เจ้าแยกไม่ออกหรือ ศิษย์พี่ รีบพยักหน้าเถิด อย่าให้ท่านอาจารย์ลำบากใจเลย เจ้าเดินทางลงเขาไปสามปี ไปผดุงคุณธรรมมาสามปี เจ้าช่วยคนไปตั้งมากมาย แต่ใครเล่าจะมาช่วยเจ้า”
สติสัมปชัญญะของหลี่เมี่ยวเจินค่อยๆ กลับมา เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ข้างหู นางก็เอ่ยอย่างอ่อนแรง
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ลงจากเขาไปสามปี ไม่ได้รับอะไรเลยสักอย่าง ศิษย์เจอเส้นทางของตัวเองแล้ว ปราชญ์ได้กล่าวไว้ว่า เช้าได้สัมผัสสัจธรรม คืนนั้นแม้ตายก็ยินดี แม้เมี่ยวเจินต้องตายก็ไม่เสียใจ”
ในช่วงเวลาที่กลับมานิกายสวรรค์นี้ นางคิดมาดีแล้ว
พูดให้ถูกคือ วันนั้นที่นางตายในยงโจว จู่ๆ นางก็คิดอะไรได้มากมาย วันนี้นางขอสาบานว่าจะไม่ยอมลบความทรงจำ นอกจากผู้คนและเรื่องราวที่ไม่อาจลืมได้แล้ว ก็ยังมีเส้นทางที่นางค้นพบด้วยตัวเองอีก
นางเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ แต่เส้นทางของนิกายสวรรค์ ไม่ใช่เส้นทางของนาง
หากต้องมีชีวิตอยู่โดยฝืนใจตัวเอง สู้ตายไปอย่างรู้แจ้งดีกว่า
ขนตาของหลี่เมี่ยวเจินสั่นไหว นางมองดูท้องฟ้าคราม ซึ่งพร่างพราวเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นคนที่อยากเจอ จึงหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
เวลานี้ ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เทพธิดาร้องขอความตาย ปิงอี๋ ลงมือเสีย!”
ใบหน้างามของเทพธิดาปิงอี๋ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางสะบัดมือฟาดแส้สายฟ้า…ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ท้องฟ้าเหนือศีรษะของทุกคนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
พื้นที่นี้เปรียบเสมือนผิวน้ำที่เกิดระลอกคลื่น ระลอกคลื่นที่แผ่ออกเป็นวง
“มีคนกำลังโจมตีค่ายกลพิทักษ์สิงขร!”
นอกจากเหล่าลูกศิษย์จะตกใจแล้ว ยังไม่อยากเชื่ออีกด้วย มีคนกล้าโจมตีประตูสิงขรของนิกายสวรรค์ด้วยหรือ กลัวอายุยืนหรืออย่างไร
‘ตึง! ตึง! ตึง!’
ค่ายกลพิทักษ์สิงขรยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะพังทลายลงกลายเป็นลมกรรโชกและพลังวิญญาณกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง
บนท้องฟ้าสีคราม ร่างหลายร่างลอยอยู่ในอากาศ ผู้นำสวมชุดคลุมสีเขียวปักลายก้อนเมฆ รูปร่างกำยำ หน้าตาหล่อเหลา
เบื้องหลังเขาคือเซียนครองพิภพผู้สวมชุดคลุมขนนกและมีสีหน้าสุขุมเยือกเย็น นักบวชเฒ่าผมสีดอกเลา อาซูหลัวผู้ทั้งหล่อเหลาและน่ารังเกียจ สูงเก้าฟุต สันคิ้วโดดเด่น
ประเด็นสำคัญคือ อาซูหลัวเปลี่ยนผ้าเหลืองแล้ว ศีรษะล้านก็มีผมสีดำสลวยปกคลุมเต็ม เขาลาสิกขาแล้ว
“ลั่วอวี้เหิง เป็นนางที่มา”
“นักบวชเต๋าจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีอย่างนั้นหรือ เหตุใดทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร เหตุใดผู้นำเต๋าทั้งสองถึงยืนอยู่ข้างหลังเขา”
ศิษย์นิกายสวรรค์ไม่รู้จักอาซูหลัวและสวี่ชีอัน แต่จำลั่วอวี้เหิงกับนักบวชเต๋าจินเหลียนที่เป็นผู้นำเต๋าได้
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
“สวี่ชีอัน เจ้ามาทำอะไรที่นิกายสวรรค์”
‘สวี่ชีอันหรือ’
‘สวี่ชีอัน ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งน่ะหรือ’
สีหน้าของเหล่าศิษย์นิกายสวรรค์เปลี่ยนไป แม้ว่าพวกเขาจะติดต่อกับโลกภายนอกเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตัดการเชื่อมต่อโดยสมบูรณ์ นิกายสวรรค์ยังคงให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในจิ่วโจว บุคคลทรงอิทธิพลและอื่นๆ
มิเช่นนั้น นิกายสวรรค์ก็คงไม่รู้ว่ามังกรหมอบกับหงส์เพลิงวัยกระเตาะกำลังทำอะไรอยู่ในยุทธภพ
เหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในจิ่วโจวเมื่อเร็วๆ นี้ก็คือการกวาดล้างกบฏในที่ราบลุ่มภาคกลาง ลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอันได้เลื่อนขั้นเป็นระดับหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาจิ่วโจวก็มีผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดเพิ่มขึ้นอีกสองคน
เหตุใดเขาถึงมาที่นิกายสวรรค์ล่ะ
ท่ามกลางฝูงชน หลี่หลิงซู่โล่งใจ แทบจะโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน ใช้กำปั้นต่อยหน้าอกเขา แล้วพูดว่า ‘ไอ้ผีทะเล เหตุใดถึงเพิ่งมา!’
หลี่เมี่ยวเจินลืมตาครึ่งหนึ่ง ร่างของชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวสะท้อนในดวงตาที่ไม่สดใสแล้ว ก่อนนางจะค่อยๆ หลับตาลง
‘เจ้ามาแล้ว!’
“นิกายสวรรค์แตะต้องคนของข้า ได้ถามความยินยอมจากข้าแล้วหรือ!”
สวี่ชีอันยืนเอามือไพล่หลัง
เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยเสียงเรียบ
“ศิษย์ของข้าไปเป็นคนของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หลี่เมี่ยวเจินประสบความสำเร็จในการกวาดล้างกบฏ ฝ่าบาทจึงปูนบำเหน็จให้ แต่งตั้งนางเป็นแม่ทัพรับจ้างของราชสำนัก ราชการระดับห้า นิกายสวรรค์คิดจะลงมือกับเจ้าพนักงานราชสำนักต้าฟ่งของข้า ยังเห็นฆ้องเงินเช่นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่”
สวี่ชีอันเปลี่ยนจากผู้มาเยือนเป็นเจ้าถิ่น และโยนความผิดให้คนอื่น
แน่นอนว่า สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง หลี่เมี่ยวเจินมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพรับจ้างจริงๆ ฮว๋ายชิ่งเป็นคนออกพระราชโองการเอง
นักบวชเต๋าจินเหลียนเห็นด้วยพลางหัวเราะ
“หลี่เมี่ยวเจินเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดินของอาตมา อาตมาไม่อาจทนนั่งดูนางตายได้ หวังว่านิกายสวรรค์จะไว้หน้าอาตมาด้วย”
นี่…ระดับเหนือมนุษย์สี่คนร่วมมือกันบีบบังคับนิกายเพื่อเทพธิดาอย่างนั้นหรือ
เหล่าผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์มองหน้ากันโดยไม่แสดงสีหน้า หันไปทางวังเทพสวรรค์แล้วเอ่ยพร้อมกัน
“ขอองค์เทพตัดสินใจด้วย!”
ไม่ปากแข็ง ไม่กล่าวหา ด้วยความสงบและเหตุผลอันบริสุทธิ์ หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ควรให้องค์เทพจัดการ
ศิษย์ทุกคนเงียบกริบ
พวกเขาเพียงแค่รู้สึกเหลือเชื่อว่า ยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์เหล่านี้ต้องการบาดหมางกับนิกายสวรรค์เพื่อเทพธิดาอย่างนั้นหรือ
“นี่คือบุญวาสนาของศิษย์พี่ที่ฝึกฝนมา บุญวาสนาของนาง”
นักบวชหญิงคนนั้นปิดปากทั้งร้องไห้และหัวเราะ
เสียงอันน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ขององค์เทพดังขึ้นจากในวัง ไม่ปะปนความรู้สึก ราวกับคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว
“เจ้าต้องการอะไร”
…………………………………………