ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 82 เหตุฉุกเฉิน
ดวงตาสุนัขของข้ากำลังจะบอดแล้ว ดวงตาสุนัขอันล้ำเลิศของข้าจะบอดแล้ว…ดวงตาทั้งคู่ของสวี่ชีอันปวดแสบปวดร้อน น้ำตาร้อนๆ ไหลกลิ้ง
ชั่วขณะที่ไปสอดแนมหอดูดาว ดวงตาก็เหมือนกับถูกเข็มเหล็กสองแท่งแทงเข้ามา เมื่อจิตสัมผัสพร่าเลือน ความเจ็บปวดรุนแรงก็แผ่กระจายทันที
ซ่งถิงเฟิงกดเข่าข้างหนึ่งอยู่บนหน้าอกของสวี่ชีอันเพื่อหยุดไม่ให้เขากลิ้งต่อ จากนั้นก็เปิดหนังตาของเขาและพบว่าดวงตาทั้งสองของสหายร่วมงานแดงก่ำ แต่รูม่านตาไร้สิ่งกั้นขวาง ยังไม่ได้บอด
ซ่งถิงเฟิงถอนหายใจโล่งอก ไม่สนใจสหายร่วมงานโง่เง่าคนนี้อีกแล้ว
รออยู่ราวหนึ่งเค่อ ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนของสวี่ชีอันก็หายไป เขาลุกขึ้นมานั่งบนพื้นทั้งดวงตาแดงก่ำ วิสัยทัศน์ยังคงพร่าเลือน มองเห็นชัดเพียงเงาร่างทั้งสองตรงหน้า
“เมื่อครู่เจ้าทำอะไร” เสียงของซ่งถิงเฟิงดังขึ้น
“ข้ามองไปที่หอดูดาว…” สวี่ชีอันหลับตาลงแล้วกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ญาติผู้น้องของข้าเป็นศิษย์สำนักศึกษาอวิ๋นลู่ วันนี้ได้มอบกระดาษที่จดบันทึกวิชามองปราณใบหนึ่งมาให้ข้า”
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรู้รายละเอียดครอบครัวของบ้านสกุลสวี่อยู่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “จากนั้นข้าก็ใช้วิชามองปราณมองดูที่สำนักโหราจารย์”
เอ่ยจบ เขาก็พบว่าซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไม่พูดอะไรอยู่นาน
ซ่งถิงเฟิงถอนหายใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านโหราจารย์ชอบอยู่บนแท่นแปดทิศที่หอดูดาวยิ่งนัก”
“ไม่รู้”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดสุดยอดของระบบโหรก็คือท่านโหราจารย์ผู้นั้นของพวกเรา”
“เรื่องนี้พอจะรู้อยู่บ้าง”
“อืม เจ้าใช้วิชามองปราณมองท่านโหราจารย์ นี่ไม่ใช่หาเรื่องตายหรอกหรือ”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ…”
จูกว่างเสี้ยวก็ถอนหายใจ “โหรของสำนักโหราจารย์กับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อย ค่อยๆ สะสมประสบการณ์ไป อีกหน่อยเจ้าก็จะรู้เอง”
นอกจากโหรแล้วก็ยังมีลัทธิขงจื๊อ คนทั่วไปไม่อาจเชี่ยวชาญวิชามองปราณได้
กรณีของสวี่ชีอันเป็นอุบัติเหตุไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งสามไม่ได้ลาดตระเวนต่อ แต่นั่งพักอยู่ริมถนน รอให้ดวงตาสุนัขของสวี่ชีอันฟื้นกลับมาแจ่มชัดอย่างเงียบๆ
ผ่านไปนาน จู่ๆ ก็มีแสงสีแดงพุ่งขึ้นฟ้าทางทิศตะวันออก มันคงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็หายไป
‘ชิ้ง!’
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวชักดาบออกมาอย่างรู้ใจ
สวี่ชีอันที่เพิ่งจะฟื้นฟูวิสัยทัศน์กลับมาเป็นปกติเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ซ่งถิงเฟิงเอ่ยเสียงขรึม “แสงสีแดงคือสัญญาณเตือนของพวกเรา มักใช้ในการสถานการณ์ไล่ล่าและจับกุม อาจจะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มไหนสักกลุ่มพบคนน่าสงสัย แต่มันกลับหนีไปได้…ดูจากระยะของแสงสีแดงแล้ว มันอยู่ใกล้กับเรามาก หนิงเยี่ยน ตาของเจ้ายังไม่หายดี เจ้ารับหน้าที่ตรวจการณ์บนถนนไป กว่างเสี้ยว พวกเราขึ้นไปดูบนหลังคา”
ทั้งสองใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคา แต่ละคนก็พุ่งไปคนละทาง
เขตที่ทั้งสามรับหน้าที่ลาดตระเวนอยู่ใหญ่มาก เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำได้เพียงแยกย้ายกันค้นหา
เมื่อมองส่งสหายร่วมงานทั้งสองจากไปไกลแล้ว สวี่ชีอันก็ดึงดาบพกออกมา หยิบหน้าไม้ จากนั้นก็กระชับฆ้องทองแดงที่หน้าอกและเกราะคันฉ่องที่อยู่ด้านในให้แน่น
ปกติหากเขาไม่ใช้พิษกร่อนกระดูกก็จะไม่ทาไว้บนดาบ เพราะกลัวว่าวันไหนที่สมองตนใช้การไม่ได้แล้วจะไปเลียมันเข้า
สวี่ชีอันลาดตระเวนอย่างระแวดระวังครู่หนึ่ง ก็เห็นฆ้องทองแดงไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่งไต่หลังคาเข้ามา ฆ้องทองแดงผู้นั้นหยุดอยู่บนหลังคาแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“อีกสองคนล่ะ”
สวี่ชีอันกล่าว “แยกย้ายกันทำงานแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ฆ้องทองแดงกล่าว “ผิงหย่วนป๋อถูกฆ่าแล้ว สหายร่วมงานสองคนที่รับผิดชอบบริเวณนั้นถูกทำร้าย คนร้ายใช้วิชาลับหลบหนีไป ตอนนี้ยังไม่เจอร่องรอย”
ผิงหย่วนป๋อ…บุคคลบรรดาศักดิ์ป๋อ[1]ถูกฆ่าหรือ!
สวี่ชีอันตกตะลึง กล้าสังหารบุคคลระดับป๋อในเมืองชั้นใน ปฏิกิริยาแรกของเขาไม่ใช่โกรธเกรี้ยว แต่เป็นหนังศีรษะชา
ถึงแม้อิทธิพลอำนาจของชนชั้นสูงราชวงศ์ต้าฟ่งในปัจจุบันจะลดลง แต่ถึงอย่างไรระดับป๋อก็คือระดับป๋อ ในจวนต้องเลี้ยงดูยอดฝีมือเอาไว้สิ
แต่ฆาตกรผู้นั้นกลับสามารถฆ่าท่านป๋อได้และทำร้ายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก่อนจากไปอย่างราบรื่น ย่อมไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากได้พบกัน สวี่ชีอันคิดว่าตนต้องเป็นอันตรายมากแน่
เมื่อฆ้องทองแดงผู้นั้นเอ่ยจบก็จากไปอย่างรวดเร็ว คิดว่าคงจะไปแจ้งแก่กองดาบที่ประตูเมืองแน่
โถ่เอ๊ย…ดวงตาของข้ายังไม่หายดีสมบูรณ์เลย มองอะไรก็พร่าเลือนไปหมด…แต่จากคุณสมบัติเรื่องความโชคดีของข้า ก็น่าจะไม่เจอ…สวี่ชีอันลอบภาวนาอย่าให้ได้เจอกับฆาตกรเลย
ตอนนี้เอง เขาก็สัมผัสได้ว่าชิ้นส่วน ‘หนังสือปฐพี’ มีข้อความถูกส่งมา หลังจากหยดเลือดจำเจ้าของแล้ว ระหว่างเขากับหนังสือปฐพีก็เกิดสายสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ได้
เป็นเจ้าคนไหนที่ส่งข้อความตอนดึกดื่นไม่หลับไม่นอน
เขารู้สึกงุนงงพลางหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมา เห็นตัวอักษรแถวหนึ่งนูนขึ้นมาบนผิวกระจกว่า
‘หก: ทุกท่าน ข้าเจอปัญหาที่เมืองหลวง ช่วยข้าได้หรือไม่’
ผ่านไปชั่วขณะ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ตอบกลับ ‘เก้า: เจ้าเจอปัญหาอะไร’
‘หก: ข้าถูกกักเอาไว้ในเมืองชั้นใน ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามล่าตัว มากสุดหนึ่งชั่วยาว พวกโหรของสำนักโหราจารย์ก็จะมาแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะเจอเคราะห์ร้ายยากหลุดพ้น’
สวี่ชีอัน “???”
ไม่หรอกมั้ง…
เขาเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องที่ผิงหย่วนป๋อถูกฆ่าได้ในทันที หมายเลขหกคือฆาตกรผู้นั้นหรือ
ไม่มีคำพูดใดอยู่พักหนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงเรื่องยุ่งยาก จึงไม่อาจตอบกลับได้ชั่วคราว
‘สอง: ลองใช้พลังยุทธ์ฝ่าวงล้อมสิ’
‘หก: ไม่ได้ อยู่ไกลจากประตูเมืองเกินไป ระหว่างทางมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับกองดาบลาดตระเวนยามค่ำคืนอยู่ อีกอย่างพอออกจากเมืองชั้นในก็ยังมีเมืองชั้นนอก’
‘สอง: ที่ตัวมีอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอายหรือไม่’
‘หก: ไม่มี’
‘เก้า: ที่ข้ามีอยู่ เพียงแต่ไม่อาจส่งไปให้เจ้า’
‘หก: ท่านนักบวชวางใจ ถ้าหากข้ายากจะหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ ข้าจะนำหนังสือปฐพีไปไว้ที่เดิม พรุ่งนี้ท่านตามกลิ่นอายมาก็จะพบเอง’
คิดจะหลบหนีการเสาะหาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในเมืองหลวง โดยเฉพาะในเมืองชั้นในนั้น แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
‘สอง: เจ้าลาหัวล้าน อย่าได้เอ่ยวาจาท้อแท้สิ’
ตอนนี้เอง ตัวละครใหม่ก็ออกโรงแล้ว
‘สี่: ข้าสนิทสนมกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์อยู่เล็กน้อย…เพียงแต่อารามรัตนะอยู่ในพระราชวัง ท่านนักบวช ข้าช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว’
‘สอง: นี่ไม่ใช่เท่ากับว่าเจ้าไม่ได้พูดหรอกหรือ’
หมายเลขสี่สนิทสนมกับราชครูหญิง…นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้หลอกกัน ผู้ครองหนังสือปฐพีล้วนไม่ใช่คนสามัญ
หมายเลขสองเรียกหมายเลขหกว่าลาหัวโล้น หมายเลขสี่เรียกหมายเลขหกว่าท่านนักบวช เช่นนั้นหมายเลขหกคือคนจากสำนักพุทธหรือ
สวี่ชีอันเฝ้าดูหน้าจอเงียบๆ
ขณะเดียวกัน เขาก็มองเห็นความสมัครสมานของพรรคฟ้าดิน เหล่าผู้ถือครองหนังสือปฐพีอาจจะมีการป้องกันตัวของแต่ละคน ระแวดระวังไม่เปิดเผยตัวตน แต่มีความเป็นพันธมิตรของกลุ่มอย่างแน่นอน
‘สอง: เจ้าลาหัวโล้น เจ้าลองไปถามหมายเลขหนึ่งดู เขาเป็นคนของเมืองหลวง’
หมายเลขหนึ่งน่าจะเฝ้าจออยู่ด้วย เมื่อเห็นหมายเลขสองลากตนออกมาก็ไม่อยู่เงียบต่อไปแล้ว ‘หนึ่ง: เจ้าทำเรื่องอะไรไป’
‘หก: ข้าสังหารผิงหย่วนป๋อ’
เป็นเขาจริงด้วย ฆาตกรของคืนนี้เป็นเขาจริงด้วย!
หมายเลขหกกลับยอมรับอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ช่างซื่อสัตย์เกินไปแล้ว…วันนั้นข้าถามเขาว่าเป็นคนของพรรคฟ้าดินใช่หรือไม่ เขาก็ยอมรับโดยไม่ลังเลเหมือนกัน…ผู้ละทางโลกไม่ทำลายสัจจวาทีหรืออย่างไร
แต่ผู้ละทางโลกก็ต้องไม่ก่อเหตุฆาตกรรมสิ เจ้าย่องไปบ้านผิงหย่วนป๋อแล้วฆ่าคนเขาเช่นนี้หมายความว่าอะไร
สวี่ชีอันเอ่ยแขวะอยู่ในใจ
กลุ่มแชทหนังสือปฐพีเงียบงัน รออยู่เนิ่นนานก็ไม่มีคนพูด
อาจจะตกใจจากการกระทำของหมายเลขหกอยู่
ผ่านไปนาน หมายเลขหนึ่งก็ตอบกลับ ‘หนึ่ง: ขออภัย ข้าช่วยท่านไม่ได้’
‘เก้า: หมายเลขหนึ่ง อยู่ในพรรคฟ้าดินเหมือนกัน หากช่วยได้ก็ช่วย ข้าเชื่อว่าหมายเลขหกคงไม่ฆ่าคนโดยไร้เหตุผลหรอก’
คำพูดนี้ของนักบวชเต๋าจินเหลียนหมายความว่าเขาคิดว่าหมายเลขหนึ่งสามารถช่วยเหลือหมายเลขหกได้หรือ แม้จะมีการปิดล้อมของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับกองดาบ รวมทั้งพวกโหรของสำนักโหราจารย์ที่กำลังจะปรากฏตัว เขาก็ยังคิดว่าหมายเลขหนึ่งสามารถช่วยหมายเลขหกได้อยู่หรือ
อืม นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนของคนทั้งหมด…สถานะตำแหน่งของหมายเลขหนึ่งก็น่าจะสูงกว่าที่ข้าเดาไว้
สวี่ชีอันทำการคาดเดา
สิ่งที่ตอบกลับนักบวชเต๋าจินเหลียนก็คือความเงียบ ท่าทีของหมายเลขหนึ่งแน่วแน่มาก ก็คือจะไม่ช่วย
สวี่ชีอันครุ่นคิด ‘หมายเลขหกสังหารผิงหย่วนป๋อ ดังนั้นหมายเลขหนึ่งจึงไม่ยินดีช่วยเหลือหมายเลขหก’
‘หมายเลขสองเป็นคนมีน้ำใจ อย่างน้อยภายนอกก็ดูเป็นเช่นนั้น หมายเลขหกเป็นคนของสำนักพุทธ ซื่อตรงอย่างยิ่ง ไม่พูดจามุสา หมายเลขสี่สนิทสนมกับผู้นำนิกายมนุษย์ ตัวตนยังไม่แน่ชัด หมายเลขเก้าก็คือนักบวชเต๋าจินเหลียน หมายเลขหนึ่งเป็นคนในราชสำนัก ชอบเฝ้าหน้าจอ สถานะสูงมาก…เกมมนุษย์หมาป่านี่ช่างน่าสนุกอย่างยิ่ง’
“ข้าก็ต้องเสแสร้งสักหน่อย…ไม่สิ แสดงความสามารถ” สวี่ชีอันใช้นิ้วต่างพู่กันใส่ข้อความลงไป
‘หมายเลขหก ข้าจะพิจารณาลองช่วยเหลือเจ้าดู แต่ข้าต้องรู้ก่อนว่าเจ้าสังหารผิงหย่วนป๋อด้วยเหตุใด เฮอะๆ เจ้าจะไม่ตอบแล้วปฏิเสธความหวังดีของข้าก็ได้ แต่อย่าได้โกหก’
……………………………….
[1] บรรดาศักดิ์ของขุนนางจีน เรียงลำดับอำนาจจากมากไปน้อยคือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน