ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 823-2 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1)
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 823-2 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1)
บทที่ 823 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1)
คราบนั้นดำสนิทราวกับน้ำหมึก ตามมาด้วยกลิ่นอายที่สุดแสนจะชั่วร้ายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังทำลายล้างทุกสิ่ง
จุดกระดำกระด่างลุกลามอย่างรวดเร็วแล้วไหลลงล่าง ราวกับราดน้ำหมึกสีดำข้นหนืดถังหนึ่งลงบนกระหม่อมของหลี่เมี่ยวเจิน
เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายแสนชั่วร้ายนี้ สมาชิกพรรคฟ้าดินที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแสดงความเครียดออกมาบ้างไม่มากก็น้อย และนึกถึงนักบวชเต๋าเฮยเหลียนเป็นอันดับแรก
‘น้ำหมึกดำ’เหนียวข้นไหลลงมาปกคลุมทรวงอก หน้าท้อง และสองขาของหลี่เมี่ยวเจิน เพียงไม่นานก็เหลือเพียงแสงสีทองด้านล่างสุดเท่านั้นที่ฝืนประคับประคองไว้
ซุนเสวียนจีและหยางเชียนฮ่วนก้าวขึ้นมาพร้อมกัน ค่ายกลวงกลมทั้งสองก่อตัวเป็นค่ายกลปิดผนึก เพื่อปิดผนึกแท่นแปดทิศไว้
นี่มิเพียงเป็นการป้องกันไม่ให้หลี่เมี่ยวเจินหลบหนีหลังตกสู่ทางมาร แต่เพื่อประโยชน์ของเหล่าศิษย์น้องในหอด้วย
หากผู้บำเพ็ญธรรมดาถูกแปดเปื้อนด้วยกลิ่นอายต่ำทราม คงสติวิปลาสอยู่ตรงนั้น ความคิดชั่วร้ายในธรรมชาติของมนุษย์ขยายกว้างไร้ขีดจำกัด ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย
เวรกรรมนี้ล้ำลึกพอแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ ก่อนหันไปเหลือบมองนักบวชเต๋าจินเหลียน เห็นนักบวชเต๋าจวี๋เมาสีหน้านิ่งขรึมหากมิได้ลงมือ จึงได้แต่อดทนไว้ก่อน
นักบวชเต๋าจินเหลียนกระซิบว่า
“นางทำความดีอย่างจงใจเกินไป เวรกรรมที่พัวพันอยู่รอบตัวนั้นเกินเหตุกว่าที่ข้าคิดไว้นัก”
“วิธีการบำเพ็ญของลัทธิเต๋าทั้งสามนิกายล้วนแปลกประหลาด ตายเร็วเหลือเกิน” หยางเชียนฮ่วนส่ายหน้า ความภาคภูมิใจในฐานะโหรถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียง
“ดังนั้นข้าจึงเรียนแต่วิชากระบี่นิกายมนุษย์ ไม่บำเพ็ญพลังภายในของนิกายมนุษย์” ฉู่หยวนเจิ่นต่อบท
‘ฮึ โหรเช่นพวกเจ้าจะดีไปได้ถึงไหนกันเชียว ลืมคำสาปของปรมาจารย์สังหารไปแล้วรึ’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ
ทว่าเขาไม่ได้พูดออกมา เนื่องจากหยางเชียนฮ่วนเป็น ‘พันธมิตร’ ของเขา มิอาจรื้อถอนเวทีพันธมิตรได้
เวลานี้เอง ดวงตาสีฟ้าครามของผู้พิทักษ์หยวนซึ่งเฝ้ามองเทพบุตรจากระยะไกล ก็เริ่มอ่านใจอย่างควบคุมไม่ได้
“ใจของท่านบอกข้าว่า ฮึ โหรเช่นพวกเจ้าจะดีไปได้ถึงไหนกันเชียว ลืมคำสาปของปรมาจารย์สังหารไปแล้วรึ”
ภาพฉากตรงหน้าเงียบลงกะทันหัน หลี่หลิงซู่สีหน้าเต็มไปด้วยความกระดากอายและหัวเราะแห้งๆ ไม่หยุด
‘เจ้าลิงนี่เหตุใดยังไม่ตายอีกนะ’ ในใจเทพบุตรก่นด่าสาปแช่ง
หยางเชียนฮ่วนหันหลังให้ฝูงชนจึงมองไม่เห็นการแสดงอารมณ์ ทว่าทุกคนในเหตุการณ์เข้าใจดีถึงความโกรธและความอึดอัดของเขา เพราะอย่างไรเสียคำพูดในใจที่ออกมานี้ก็เป็นของหลี่หลิงซู่ พี่น้องที่ดีของเขา
ไม่กลัวตายเสียจริง อ้อ ข้าจำได้ว่าผู้พิทักษ์หยวนเหมือนจะไม่สามารถควบคุมพลังวิเศษฟ้าประทานของตัวเองได้นี่…เหมียวโหย่วฟางคิดด้วยความสนุกบนกองทุกข์ของผู้อื่น
หลังจากเขาหลอมรวมจิตกับพลังวิเศษฟ้าประทานแล้ว เป็นการยากที่จะควบคุมหรือ อาซูหลัวพินิจมองผู้พิทักษ์หยวนพลางคาดเดาความจริง
ว่ากันตามสถานการณ์ปกติแล้ว ตอนมีเรื่องป่วนเรือนหอก่อนหน้านี้เดือนเศษซึ่งทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคือง คนที่มีความปรารถนาจะเอาชีวิตรอดสักหน่อยย่อมระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ไม่ ‘กำเริบเสิบสานวางโต’ เช่นนี้เด็ดขาด
เวลานี้สีหน้า ‘ไร้อำนาจ’ ของผู้พิทักษ์หยวน แสดงชัดว่าเป็นผู้ปรารถนาจะมีชีวิตรอด เช่นนั้นพลังเหนือธรรมชาติก็อยู่เหนือการควบคุม
‘เจ้าลิงนี่ไม่ได้จริงจังกับชีวิตตัวเองเอาเสียเลย’…นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหัวเบาๆ
‘ซุนเสวียนจีเอามันมาเพราะเหตุใดนะ แม้มีเหตุผลด้านหน้าที่ในการถ่ายทอดความคิด แต่สถานการณ์เช่นนี้ซุนเสวียนจีไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นนี่ เขาตั้งใจเอาผู้พิทักษ์หยวนมาหรือ ก็เป็นมนุษย์นี่นะ คลุกคลีกับสวี่ชีอันนาน จิตวิญญาณจึงตกต่ำแล้ว’…ฉู่หยวนเจิ่นแอบใคร่ครวญและคาดเดาเจตนาร้ายของศิษย์พี่ซุน
ทันใดนั้นเขาก็พลันสะท้านในใจ เมื่อหันไปมองผู้พิทักษ์หยวนจึงพบว่าดวงตาสีฟ้าครามของคนผู้นั้นกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
ผู้พิทักษ์หยวนอ่านความคิดของฉู่หยวนเจิ่นอย่างมิอาจควบคุม
“ในใจของท่านบอกข้าว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ สวี่ชีอันก็พลิกฝ่ามือตบผู้พิทักษ์หยวนกลางอากาศจนล้มลงกับพื้น ตัดบทการอ่านใจของเขา
ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนชักอาวุธวิเศษที่ออกจากฝักไปแล้วสามชุ่น[2]กลับที่
“…” ผู้พิทักษ์หยวนแสดงสีหน้าหวาดกลัวหลังรอดพ้นจากภัยพิบัติ
หลี่เมี่ยวเจินไม่รู้สึกถึงปฏิสัมพันธ์ของคนรอบข้างแม้แต่น้อย นางจมอยู่ในโลกของตัวเอง
โลกที่ความมืดและแสงสว่างผสมปนเป
แสงสีทองอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และแสงสีดำอันชั่วร้ายเหลือคณานับแต่ละดวงครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า เมื่อแสงทั้งสองผสานกัน สีทองและสีดำจึงผสมกันบิดเบี้ยวกลายเป็นสีแห่งความโกลาหล
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว นางยืนอยู่บริเวณจุดตัดของทั้งสองสี เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาสักพัก นางจึงเห็นร่างหนึ่งบิดเบี้ยวและก่อตัวเป็นร่างอยู่ท่ามกลางแสงสีดำอันแสนชั่วร้าย
นั่นคือนักกระบี่หนุ่มผู้หนึ่ง ในมือถือกระบี่เปื้อนเลือด กำลังจ้องมองหลี่เมี่ยวเจินด้วยสีหน้าหม่นหมอง
หลี่เมี่ยวเจินจำเขาได้ เขาคือจอมยุทธ์ขั้นสูงที่ได้รับความช่วยเหลือจากโจรภูเขาเมื่อครั้งเดินทางลงจากเขาไปตอนนั้น
“ท่าน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างตะลึงงัน
นักกระบี่หนุ่มเลียกระบี่ในมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มดุร้ายว่า
“ขอบคุณจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินมากที่เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือ หากไม่มีบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิต ข้าจะยึดครองภูเขากลายเป็นราชา และเผา ฆ่า ปล้นสะดมในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้อย่างไร”
สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินงุนงงเล็กน้อย ความเศร้าเสียใจฉายวาบในแววตา
ร่างอันบิดเบี้ยวร่างที่สองก่อตัวขึ้น เป็นขุนนางวัยกลางคนใบหน้ากลมรูปร่างอวบ
ขุนนางยิ้มกริ่มพลางว่า
“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ข้าคิดออกแล้ว น้ำจะใสหากไร้มัจฉา หากอยากมีอาชีพการงานรุ่งเรืองก็ต้องร่วมกับแสงสว่างเท่านั้น เมื่อก่อนข้าพึ่งพาความสามารถตัวเองและดูแคลนผู้อื่นมากเกินไป จึงต้องพุ่งชนอุปสรรคอยู่เรื่อย ยากที่จะบรรลุความปรารถนา
“หลังผ่านภัยถึงชีวิตมาครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็ตระหนักได้ ขอบคุณจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเหลือเกินที่ช่วยชีวิต”
เดิมเขาเป็นขุนนางใสตงฉินคนหนึ่ง เนื่องจากไม่พอใจผู้บังคับบัญชาจึงต้องการเข้าเมืองหลวงไปร้องเรียนจักรพรรดิ ระหว่างทางถูกยอดฝีมือจากฝ่ายลับของผู้บังคับบัญชาไล่สังหาร และได้รับการช่วยเหลือจากหลี่เมี่ยวเจินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้พูดอะไร ความโศกเศร้าในแววตารุนแรงยิ่งขึ้น
ต่อจากนั้น เงาแต่ละเงาก็บิดก่อตัวเป็นรูปร่าง พวกเขามีทั้งบุรุษและสตรี มีสถานะและอาชีพแตกต่างกัน และล้วนเป็นผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากหลี่เมี่ยวเจิน ทว่าต่อมากลับเดินทางผิด
ขณะที่หลี่เมี่ยวเจินฟังคำเยาะหยัน กำเริบเสิบสาน และเสียดสีอยู่ข้างหู ความเศร้าอาดูรในแววตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตาขาวและรูม่านตาของนางถูกแทนที่ด้วยหมึกเหนียวข้นทีละน้อย
เวลานั้นเอง ได้มีเงาร่างบิดก่อตัวเป็นรูปร่างอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหยางชวนหนาน!
อดีตผู้บัญชาการอวิ๋นโจว หยางชวนหนาน
เขาสวมเครื่องแบบทหาร ถือดาบด้วยมือเดียว พลางมองหลี่เมี่ยวเจินแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ผู้แซ่หยางสามารถกำจัดกองกำลังของลัทธิพ่อมด ยุยงให้ต่อต้านขุนนางอวิ๋นโจว และเอาตัวรอดจากอันตรายจากการสืบสวนของผู้ตรวจการได้ ต้องขอบคุณการรับรองและปกป้องจากจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเป็นอย่างสูง”
สมองของหลี่เมี่ยวเจินระเบิด ‘ตูม’ หมึกสีดำเหนียวข้นในดวงตาประหนึ่งน้ำบ่าจากเขื่อนแตก ปกคลุมลูกตาขาวและรูม่านตาอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของนางเปลี่ยนแปรเป็นความมืดมิดอย่างแท้จริง
ความคิดของนางบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ความคิดชั่วร้ายพรั่งพรูเข้ามา และคิดว่าเมื่อก่อนตนน่าขันขนาดไหน
ความคิดที่จะสังหาร ความริษยา ความเคียดแค้น ตัณหา ความอวดดี…อารมณ์ด้านลบทุกอย่างหลั่งไหลมาไม่สิ้นสุด
เวลานี้เอง จู่ๆ เสียงสวดมนต์แหลมสูงก็ดังมาข้างหู
“วีรบุรุษหนุ่มมีศีลมีสัตย์ คบหามิตรผู้องอาจ มีน้ำใสใจจริงต่อกัน ถึงยามโกรธเคืองเดือดดาล ลุกขึ้นพูดเพื่อความเป็นธรรม สามารถร่วมเป็นร่วมตาย คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง…”
หลี่เมี่ยวเจินหันศีรษะด้วยลำคออันแข็งทื่อ ลำแสงสีทองส่องเข้าดวงตาดำมืด กระจายน้ำหมึกดำเหนียวข้นออกไป
นางเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนถือดาบ ร่างกายอาบด้วยโลหิต
ตอนนั้นขณะที่อวิ๋นโจวอยู่ในภาวะวิกฤต เป็นนางที่ปรากฏตัวทันเวลา และปกป้องร่างของสวี่หนิงเยี่ยนไว้ได้
“เจ้าบ้า อย่าตายนะ…”
เสียงที่สองดังขึ้น นางเห็นตัวเองกำลังกอด ‘ศพ’ ของสวี่ชีอันไว้ และพยายามอย่างเต็มที่ในการปะติดปะต่อจิตเดิมอันแตกสลายของเขา
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่สวี่หนิงเยี่ยนได้รับผลกระทบจากการสะท้อนกลับของวรยุทธ์ขงจื๊อ หลังบีบบังคับขัดขวางศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์
เป็นนางที่ช่วยชีวิตสวี่ชีอันเป็นครั้งที่สอง
“จอมยุทธแห่งต้าฟ่งสวี่ชีอัน มาเจาะค่ายกล!”
ท่ามกลางเสียงที่สามดังก้อง บุคคลในชุดเขียวก็กลืนแก่นปราณ แล้วกระโดดลงมาจากยอดกำแพงเมือง
คนจำนวนมากขึ้นปรากฏในความทรงจำ เป็นคนจากทุกสาขาอาชีพเช่นเดิม หากมีสถานะที่แตกต่าง ทั้งชาวบ้านธรรมดา ขอทาน จอมยุทธ์พเนจร ขุนนาง และคนอื่นๆ พวกเขาล้วนเป็นคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากหลี่เมี่ยวเจินจนพ้นอันตราย
เนืองแน่นประหนึ่งกองทหารนับพัน
คนเหล่านี้รวมถึงสวี่หนิงเยี่ยนพากันมองมาที่นาง แล้วโน้มกายประสานมือคารวะ เสียงตะโกนของพวกเขากลายเป็นเสียงเดียวกันว่า
“จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน บุญกุศลยิ่งใหญ่เหลือคณา!”
น้ำหมึกดำเหนียวข้นในดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินจางหายไป ด้านหลังของนาง บริเวณช่องว่างมืดมิดข้นหนืด คนชั่วร้ายเลวทรามเหล่านั้นล้วนละลายหายไปท่ามกลางลำแสงสีทองแห่งบุญกุศล
บุญกุศลยิ่งใหญ่เหลือคณา!
…
บนแท่นแปดทิศ อาซูหลัวมองหลี่เมี่ยวเจินซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมึกดำทะมึน แล้วถามว่า
“เจ้าเห็นความคิดของนางในตอนนี้หรือไม่”
ไม่กระมัง ไม่มีทางอ่านความคิดในใจของหลี่เมี่ยวเจินเวลานี้ออกแน่ หากพูดออกมา นางคงละอายจนใช้กระบี่ปาดคอตัวเองแน่…ความคิดนี้เพิ่งแวบเข้ามาในใจสวี่ชีอัน ก็ได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยช้าๆ ว่า
“การตัดสินสภาพการณ์ของนางในปัจจุบันจากความคิดในใจของนาง แน่นอนว่ามีประสิทธิภาพกว่าการสังเกตพลังต่ำทรามเพียงอย่างเดียว”
เหมียวโหย่วฟางเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานว่า
นักบวชเต๋าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฟังนักบวชเต๋าแล้วกัน”
หลี่หลิงซู่กล่าวคล้อยตามว่า
“ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดังนั้นฟังนักบวชเต๋าต้องไม่ผิดแน่”
ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยวิเคราะห์ว่า
“ข้าคิดว่านักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวได้มีเหตุผลนัก”
แม้หลี่เมี่ยวเจินดูเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี ทว่าทุกคนก็ค่อนข้างผ่อนคลาย เนื่องจากมีผู้พิทักษ์ซึ่งเป็นยอดฝีมือเหนือมนุษย์อยู่มากมายทั้งขั้นหนึ่ง สอง และสาม สถานการณ์เลวร้ายที่สุดของหลี่เมี่ยวเจินจึงเป็นเพียงความล้มเหลวในการสั่งสมบุญกุศลเท่านั้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลายเป็นเฮยเหลียนตนที่สอง
ภายใต้การบีบบังคับหลอกล่อของคนกลุ่มหนึ่ง ผู้พิทักษ์หยวนก็ใช้ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองหลี่เมี่ยวเจินด้วยความระมัดระวัง
กระบวนการนี้กินเวลาสิบวินาที การแสดงออกของเขาน่าพรั่นพรึงขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากสั่นระริก อยากพูดแต่ก็ไม่กล้า สัมปชัญญะและสัญชาตญาณกำลังต่อสู้กัน
“นาง ในใจของนาง บอก บอกข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็พลันเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเทพเจ้าหยางของหลี่เมี่ยวเจิน หมึกดำเหนียวข้นที่ปกคลุมทั่วร่างกายจางหายไปราวกระแสน้ำ และแทนที่ด้วยแสงแห่งบุญกุศลอันสว่างศักดิ์สิทธิ์ สีสันละลานตา
‘ตูม!’
ท่ามกลางบรรยากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย ลำแสงหลากสีพุ่งออกมาจากเทพเจ้าหยางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ย้อมเมฆในท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยแสงแวววาวงดงาม
ส่องสว่างเกือบครึ่งเมืองหลวง
ในเมือง ไม่รู้ว่ายอดฝีมือจำนวนเท่าไรที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล บ้างออกจากห้อง บ้างเปิดหน้าต่าง เพื่อมองลำแสงบนฟ้า
ต้าฟ่งมีผู้แข็งแกร่งขั้นสามเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว
หลังใช้เวลาต่อเนื่องกว่าสิบวินาที ลำแสงหลากสีก็มาบรรจบกัน เมื่อเทพเจ้าหยางของหลี่เมี่ยวเจินกลับเข้าในร่าง ร่างกายของนางเปล่งด้วยลำแสงทอประกายอันอ่อนบางทว่าศักดิ์สิทธิ์ ขับเนื้อหนังให้พร่างพราวราวกับหยก เครื่องหน้างดงามละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณกล้าหาญ
“ยินดีด้วยหลานเหลียน!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มบางแล้วคำนับ
“ยินดีด้วยจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน”
“ยินดีด้วยเมี่ยวเจิน”
“ยินดีด้วยศิษย์น้องหญิง”
คนอื่นๆ ทยอยกันมาโค้งคำนับและเอ่ยคำแสดงความยินดี ราวกับที่บีบบังคับให้ผู้พิทักษ์หยวนอ่านใจอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่พวกเขา
หลี่เมี่ยวเจินลืมตา ก่อนเหลือบมองสวี่ชีอันเป็นคนแรก หลังจากเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มละไมจากใจของเขาแล้ว จึงเบนสายตาไปมองฮว๋ายชิ่งอีกครั้ง จากนั้นจึงมองไปยังคนโดยรอบ แล้วคำนับตอบด้วยรอยยิ้มบาง
หลังเสร็จสิ้นพิธีรีตอง สวี่ชีอันจึงรีบยกมือแล้วเอ่ยว่า
“เมี่ยวเจิน ระหว่างที่เจ้ามุ่งความสนใจไปที่ตบะ อาซูหลัว ฉู่หยวนเจิ่น และเหมียวโหย่วฟางต่างยุยงให้ผู้พิทักษ์หยวนอ่านใจเจ้า รวมถึงศิษย์พี่ของเจ้าและนักบวชเต๋าจินเหลียนด้วย”
หยางเชียนฮ่วนซึ่งเงียบงันมาตลอด คล้อยตามสุนัขขี้ขโมยอย่างหาได้ยาก และเอ่ยว่า
“ใช่ ข้าเป็นพยานได้”
หลี่เมี่ยวเจินหน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก แล้วหันกลับไปมองอย่างฉับพลัน
“เจ้า เจ้าอ่านใจรึ!”
ลมหายใจของนางในขณะนี้สับสนอยู่บ้าง ราวกับหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
‘เมื่อครู่นางคิดอะไรนะ’ ในใจของทุกคนมีความคิดเช่นนี้แวบขึ้น
………………………………………………………
[1] ตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นโดยที่ไม่รู้ว่านกขมิ้นจ้องจะกินตนอยู่ด้านหลัง อุปมาถึงคนที่วางแผนเล่นงานผู้อื่นโดยไม่รู้ว่าตนเองจะถูกเล่นงาน
[2] ชุ่น เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน 1 ชุ่นเท่ากับ 3.33 เซนติเมตร