ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 851 กลายร่างเป็นเกาะ
บทที่ 851 กลายร่างเป็นเกาะ
……….
หมายเลขสี่ ‘เรื่องที่เทพบุตรพูดบางส่วนก็เป็นความจริง แต่การเลื่อนอันดับเป็นเหนือมนุษย์ย่อมมากกว่าเพื่อตนเองและวิถีแห่งการบำเพ็ญ ถ้าเจ้าไม่ก้าวหน้า เจ้าก็จะถอยหลัง การบรรลุธรรมเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญรุ่นเราใฝ่ฝัน นอกจากนี้ เทพบุตร ถ้าเจ้าได้เลื่อนอันดับเป็นเหนือมนุษย์ เจ้าอาจต้องกังวลเรื่องที่เจ้ามีสาวงามคนสนิทมากเกินไปจนมีปัญหาเรื่องความแข็งแรงของช่วงเอวหรือเปล่า?’
‘เรื่องนี้’…หลี่หลิงซู่จ้องมองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วรู้สึกสะเทือนใจ
‘ใช่สิ หากเทพบุตรผู้นี้อยู่ในระดับเหนือมนุษย์ พวกเขาไม่มีทางคิดกำจัดข้าแน่ แต่การตัดอารมณ์ความรู้สึกของนิกายสวรรค์เป็นรื่องยากเกินไปสำหรับข้า ถ้าถึงเวลาต้องบรรลุธรรม ก็คงต้องตัดขาดจากความรักและกลายเป็นผู้ปราศจากกิเลส’
‘บางทีข้าอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิทยายุทธก็ได้!’
‘ถ้าฝึกฝนวิทยายุทธถึงระดับขั้นสี่แล้ว ข้าก็สามารถรับมือเหล่าสาวงามที่บ้านได้ นอกจากนี้ พรรคฟ้าดินของเรายังทรงพลานุภาพยิ่ง ฮว๋ายชิ่งที่เป็นหมายเลขหนึ่งนั้นคือจักรพรรดิแห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง ดังนั้นข้าจึงมีทรัพยากรพร้อมหนุนให้ข้าฝึกฝนในระดับขั้นสี่’
‘ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าลูกศิษย์อย่างข้าอกตัญญู แต่จอมยุทธ์ผู้นี้ถูกล่อลวงไปแล้ว’…หลี่หลิงซู่ตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะยุติการบำเพ็ญที่นิกายสวรรค์ชั่วคราวและอุทิศตนให้กับวิทยายุทธ์
เป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ก็บรรลุเป้าหมาย ‘ได้เยียวยา’ แล้ว
หมายเลขสอง ‘หากเจ้าหันมาฝึกฝนพลังภายในของลัทธิเต๋าจะไม่ประสบความสำเร็จกว่ารึ?’
หลี่เมี่ยวเจิน จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน นักบวชเต๋าหลานเหลียน ได้ให้คำแนะนำที่ไม่จริงใจกับเขา
‘ข้าไม่อยากเดินตามแนวทางของลัทธิเต๋า ข้าเลยไม่นับถือลัทธิเต๋า’…ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่าหมายเลขสองไม่ได้สนใจเพื่อนอย่างเขาเลยทำตัวเฉยๆ
หมายเลขเก้า ‘ถ้าเจ้าไม่ฝึกฝนพลังภายในของลัทธิเต๋า ก็ไม่ต้องไปหวังว่าไฟแห่งกรรมจะไปแผดเผาร่างกายเจ้า’
ในด้านลัทธิเต๋าแล้ว จินเหลียน หลานเหลียนและเทพบุตรเป็นมืออาชีพ ถ้าพวกเขาไม่มีอะไรทำนั่นคือไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้จริงๆ
‘ฉู่หยวนเจิ่นเดินตามเส้นทางอื่น เว้นแต่เขาจะพัฒนาระบบการบำเพ็ญขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่อย่างนั้น คงยากมากที่จะเลื่อนอันดับเป็นเหนือมนุษย์’…สมาชิกพรรคฟ้าดินส่ายหัวช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบกลับมาเป็นเวลานาน ฉู่หยวนเจิ่นก็ถอนหายใจ
แต่เขาไม่เต็มใจยอมแพ้จึงเขียนข้อความว่า
หมายเลขสี่ ‘หนิงเหยียน เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่?’
สวี่ชีอันดูนื้อหาข้อความแล้วก็เปลี่ยนความคิดทันที
แก่นแท้ไม่ควรเป็นไฟแห่งกรรม ไฟแห่งกรรมให้ ‘พลัง’ เท่านั้น แก่นแท้ของการเลี้ยงจิตคือการดูดซับ ‘อารมณ์’ ดังนั้น ตราบใดที่อารมณ์ยังได้รับการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลี้ยงจิต ไฟแห่งกรรมก็ไม่จำเป็น…หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้
หมายเลขสาม ‘ข้าคิดได้เรื่องหนึ่ง!’
ข้อความของเขาสร้างกำลังใจให้สมาชิกพรรคฟ้าดิน ทำให้ฉู่หยวนเจิ่นจ้องเขม็งตั้งใจมอง
หมายเลขสาม ‘ตราบใดที่เจ้ามีช่องทางที่ให้ ‘อารมณ์’ มากมายอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟแห่งกรรม ถูกต้องหรือไม่’
หมายเลขสี่ ‘ถูกต้องแล้ว’
หมายเลขสาม ‘ลัทธิเต๋ามีวิธีการเช่นนี้หรือไม่?’
หมายเลขเก้า ‘ไม่มี’
นักบวชเต๋าจินเหลียนให้คำตอบแทน
หมายเลขสาม ‘แต่ซินกู่ทำได้ ซินกู่สามารถสื่อสารและแบ่งปันอารมณ์ของสิ่งมีชีวิตได้ ซินกู่เหนือมนุษย์สามารถบังคับความเห็นอกเห็นใจได้’
เขาแนะนำความสามารถของซินกู่ให้สมาชิกพรรคฟ้าดินฟังอย่างละเอียด
หมายเลขสาม ‘ท่านคิดอย่างไร?’
‘ทำได้หมดนี่เลยหรือ’…จู่ๆ ฉู่หยวนเจิ่นก็รู้สึกตื่นเต้น เขารู้ใจของตัวเองดีที่สุด
หมายเลขสอง ‘เจ้ามีความคิดชาญฉลาดมากมายจริงๆ!’
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความที่อัดแน่นด้วยอารมณ์ไปให้
ถ้านางไม่ได้แสดงตัวนางย่อมเห็นด้วยกับวิธีนี้
หมายเลขเจ็ด ‘แม้ว่าความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจะไม่แข็งแกร่งเท่าไฟแห่งกรรม แต่ก็เป็นวิธีการพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริง ถ้าจำไม่ผิด การฝังกู่เจ้าชะตาตั้งแต่แรกเกิดจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด อายุขนาดนี้ จะเป็นไปได้หรือ?’
หมายเลขห้า ‘ใช่ มีความเสี่ยงอยู่ แต่มีโอกาสประมาณเจ็ดส่วนในสิบส่วน’
ไม่ถึงเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์เลย พี่ฉู่ตายแน่…สวี่ชีอันบ่นอยู่เงียบๆ
หมายเลขสี่ ‘พอแล้ว’
หมายเลขหนึ่ง ‘มีโอกาสล้มเหลวหรือสำเร็จเจ็ดในสิบส่วน ในวันที่ห้าเจ้าต้องทำให้ชัดเจน’
ฮว๋ายชิ่งจับมือของเขาอย่างมั่นคง
หมายเลขห้า ‘แน่นอนว่ามันเป็นโอกาสของความสำเร็จ’
หลังจากพูดคุยเรื่องภารกิจแล้ว จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินก็ถามว่า
‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าได้อะไรมาจากโพ้นทะเลบ้าง?’
สวี่ชีอันเขียนข้อความว่า
‘ข้าอยู่บนเกาะมนุษย์เงือก’
‘เกาะมนุษย์เงือกรึ?!’ ฉู่หยวนเจิ่นใจสั่น เขาเขียนข้อความว่า
‘เป็นมนุษย์เงือกที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ส่วนท่อนล่างเป็นหางปลาหรือ? ข้าเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับมนุษย์เงือกในหนังสือโบราณและคิดเสมอว่าพวกมันคือตำนาน’
หมายเลขห้า ‘มนุษย์เงือกอร่อยหรือเปล่า?’
ลี่น่าส่งข้อความมาถามด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นและมองไปทางราชินีผู้อ่อนโยนเปี่ยมเสน่ห์ที่อยู่ข้างๆ เขาคิดในใจว่ามนุษย์เงือกน่ารักมาก เหตุใดพวกเขาต้องกินมนุษย์เงือกด้วย?
หมายเลขสาม ‘มนุษย์เงือกมีรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนและสวยงาม ทุกตนล้วนสวยงามไม่ซ้ำใคร โดยเฉพาะราชินีเงือกที่นุ่มนวล เปราะบาง อ่อนโยนและมีเสน่ห์จนน่าทึ่ง…’
หมายเลขเจ็ด ‘เทพบุตรผู้นี้รู้สึกว่า ข้ามีโอกาสที่จะลืมเสน่หาบนเกาะมนุษย์เงือก ฝ่าบาท โปรดประทานอาวุธเวทมนตร์เรือเหาะแก่ข้าพเจ้าเถิด กระหม่อมอยากไปทะเล’
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าหวังว่าฆ้องเงินสวี่จะกลับมาพร้อมกับนางสนมมนุษย์เงือกที่งดงาม’
หมายเลขสาม ‘ฝ่าบาทล้อเล่นเกินไปแล้ว…’
ท่านพูดแบบนี้ก็เหมือนว่าข้าเป็นคนขี้โกงและหลอกลวง
‘ฝ่าบาททรงมีพระดำริที่ดีในการเปลี่ยนจากถอยเป็นรุก’…ฉู่หยวนเจิ่นมองเห็นทักษะของฮว๋ายชิ่ง
…
เมืองหลวง ลานที่มีทางเข้าสองทาง
หลี่หลิงซู่จบการสนทนากลุ่ม วางเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลงและเรียกสาวงามคนสนิทมาที่ห้องโถง
ในห้องเต็มไปด้วยนกกระจิบและนกนางแอ่น ล้วนมีความงามแตกต่างกัน นกนางแอ่นตัวผอมทว่าช่วงอกอวบอ้วน
เทพบุตรมีรสนิยมดี สาวงามคนสนิทที่เขาเลือกมาคือสตรีผู้มีรูปลักษณ์และบุคลิกโดดเด่น
หนึ่งในนั้นคือภรรยาไฉซิ่งเอ๋อร์ สตรีรุ่นลายครามจากหอหมื่นบุปผา สตรีสามคนผู้ก่อตั้งกองทัพกบฏและเชี่ยนโหรวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง…
หลังจากร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน พวกนางก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข อย่างน้อยก็ในระดับผิวเผิน
หลี่หลิงซู่กระแอมและพูดว่า
“พี่สาวทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะละทิ้งลัทธิเต๋าและเข้าสู่วิทยายุทธ์ ข้าจะใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์ไร้ซึ่งกิเลส”
สาวงามจากหอหมื่นบุปผากระซิบถามว่า
“หลี่หลางจะงดเว้นนานแค่ไหน?”
“เลื่อนอันดับขึ้นสู่ขั้นสี่เมื่อไหร่ จะไปอุ้มพวกเจ้าเมื่อนั้น?” หลี่หลิงซู่ดูจริงจัง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ให้เทพบุตรได้พักก่อน เพื่อเติมแก่นแท้ที่หาได้ยากยิ่งให้ล้นปรี่
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ สาวงามคนสนิททุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
‘นี่ พวกเจ้าเห็นด้วยจริงๆ หรือ?’ จู่ๆ หลี่หลิงซู่ก็รู้สึกประหลาดใจ พลางคิดไปว่า ‘เทพบุตรฝึกฝนมาดี ทุกคนเริ่มมีน้ำใจให้กัน’
ไฉซิ่งเอ๋อร์กระซิบเบาๆ
“ตอนนี้หลี่หลางอยู่ในระดับผิวทองแดงกระดูกเหล็ก ขั้นตอนต่อไปคือการสลายแรง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสลายแรงคือการควบคุมร่างกาย ดังนั้นการต่อสู้จริงจึงเป็นทางลัดที่เร็วที่สุดในการควบคุมเพื่อสลายแรง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หลิงซู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไฉซิ่งเอ๋อร์มองไปรอบๆ พี่สาวน้องสาวและแย้มยิ้มพูดจา
“พี่สาวน้องสาว เรามาร่วมมือกันเถอะ ข้าคิดว่าเราสามารถจ้างพวกขั้นสี่สักเจ็ดหรือแปดคนมาสอนหลี่หลางได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เชี่ยนโหรวผู้มีชื่อเสียงก็พยักหน้าเล็กน้อย
“การต่อสู้จริงจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ เมื่อใดที่หลี่หลางเลื่อนอันดับขึ้นสู่ขั้นห้า เมื่อนั้นคือจุดสิ้นสุด”
หลี่หลิงซู่เผยอปากกระซิบเสียงแผ่วเบา
“แล้วจะเป็นอย่างไรหากข้าไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ตลอดกาล?”
สาวงามทุกคนมองมาที่เขาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่บอกคำตอบเงียบๆ ด้วยการทุบตีเขาจนหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่สนใจว่าเขาจะอยู่หรือตาย
“ที่จริงไม่ต้องงดก็ได้ มันไม่ได้เป็นอุปสรรค…”
หลี่หลิงซู่บอกพลางยิ้มแห้งๆ
…
มหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต เสียงน้ำที่สม่ำเสมอ สวี่ชีอันยืนอยู่บนหัวเรือ ท้ายเรือมีวิญญาณจิ้งจอกกำลังนอนหลับใหลอยู่ข้างๆ อย่างนุ่มนวล หางจิ้งจอกเก้าหางที่นุ่มฟูราวกับผ้าห่มปกคลุมร่างกายที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งมิดชิด
ทว่ายังปล่อยให้ขายาวต้องตาชายคู่นั้นโดนแสงแดดแผดเผา
ที่อยู่ตรงกลางคือเจินจูราชินีเงือกในร่างมนุษย์
หลังจากฟังคำอธิบายของสวี่ชีอันแล้ว ราชินีเงือกก็ถ่ายทอดกระแสความคิดของนางออกมา
“ตามเส้นทางที่ท่านเจ้าอาณาจักรบอก หกร้อยลี้ทางใต้ของเกาะมนุษย์เงือก คือหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู แปลว่าผู้ไร้พ่ายในภาษาเทพมาร”
“ผู้ไร้พ่ายรึ?”
สวี่ชีอันรู้สึกว่าชื่อนี้น่าจะสร้างปัญหาและไม่ใช่เรื่องง่ายแน่
ราชินีเงือกถ่ายทอดความคิดของนางอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา
“ตำนานเล่าว่ายักษ์สามหัวในสมัยโบราณได้กลายร่างมาเป็นหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู ยักษ์สามหัวตามไล่ล่านกเพลิง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจากบกสู่ทะเล ในที่สุดยักษ์สามหัวก็พ่ายแพ้ต่อนกเพลิงและสิ้นชีพด้วยความกระหายน้ำในมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต”
“ร่างของเขาลอยอยู่ในทะเล และร่างกายก็ได้กลายเป็นหมู่เกาะ”
จริงรึนี่ หลังจากเหล่าเทพมารตายลงก็จะกลายร่างเป็น ‘ฟ้าและดิน’ ได้? ถึงอย่างไร ข้าก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เหตุใดข้าไม่รู้ว่าข้ามีความสามารถนี้ หรือนี่คือเอกลักษณ์ของเหล่าเทพมาร?
สวี่ชี่อันพยักหน้าขณะที่ฟังเรื่องราว
………………………………………