ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 852 มังกรแคระจอมบ้าคลั่ง
……….
“หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้สืบเชื้อสายเทพมารที่ใหญ่ที่สุด ที่นั่นมีดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ มีสวนผลไม้ให้เก็บเกี่ยวตลอด มีสัตว์ให้ล่ามากมาย รวมถึงฝูงปลาทะเลและกุ้งทะเล”
“ที่แห่งนั้นปกครองโดยลูกหลานเทพมารทั้งหกเผ่า แบ่งออกเป็นลูกหลานของ ‘หลวน’ ราชาแห่งท้องฟ้า ลูกหลานของ ‘หลง’ ราชาแห่งผืนสมุทร ลูกหลานของ ‘ผีหมู่’ ราชาแห่งพื้นดิน ลูกหลานของ ‘จิน’ ราชาแห่งพงไพร ลูกหลานของ ‘ยักษ์สามหัว’ ราชาแห่งสงคราม ลูกหลานของ ‘ปีศาจแฝงฝัน’ ราชาแห่งมายา”
ราชินีเงือกร่ายยาว
“ตอนนั้นปรมาจารย์เต๋าขับไล่ลูกหลานเทพมารออกจากแผ่นดินจิ่วโจว บรรดาเทพมารจึงต้องอาศัยอยู่ต่างแดน สำหรับพวกที่อ่อนแอจะอยู่ใกล้แผ่นดินจิ่วโจวเหมือนเกาะเงือก เกาะหนอนไหม ส่วนพวกที่บำเพ็ญจนเก่งกล้าต้องย้ายออกต่างแดนเพื่อหาที่ลงหลักปักฐานในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่”
“ปรมาจารย์เต๋าอาจทนต่อปลาเล็กปลาน้อยบางชนิดที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งได้ ทว่าไม่ยินยอมให้ลูกหลานเทพมารที่แข็งแกร่งเพ่นพ่านอยู่ในน่านน้ำใกล้ชายฝั่งเด็ดขาด”
“หลังจากสืบทอดกันมานับหลายปี ลูกหลานเทพมารรวมตัวกันตามสถานที่แห่งแล้วแห่งเล่า คล้ายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสมัยโบราณ”
“เนื่องจากหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ สภาพอากาศเย็นสบาย เหมาะสมกับการดำรงชีพ ในสมัยก่อน หมู่เกาะแห่งนี้จึงเป็นเป้าหมายในการแย่งชิงของเหล่าลูกหลานเทพมาร หลังจากโรมรันพันตูผ่านชั่วระยะหนึ่ง ในที่สุดก็เหลือเพียงหกเผ่านี้เท่านั้น
“ชนเผ่าทั้งหกที่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูยังคงไม่ยอมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมักจะคิดรวบอีกฝ่ายรวมเข้าด้วยกัน จนกระทั่งผู้ทรงพลังที่เรียกว่า ‘ฮวง’ ปรากฏกาย…”
เจินจูรู้จักชื่อ ‘ฮวง’ จากปากผู้แข็งแกร่งรอบๆ กายนางในเผ่า
“พระองค์กลืนกินผู้นำทั้งหกเผ่าในขณะนั้น ทำให้ชนเผ่าแต่เดิมที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งหลายตกต่ำลง จนปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนไว้ไม่ได้ เพื่อต่อต้านความโลภของศัตรูที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งหกเผ่าจึงละทิ้งความเกลียดชังและรวมตัวกันเป็นพันธมิตร”
“ต่อมา เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งนานวันสายเลือดก็ยิ่งบางลง เลือดผสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ราชวงศ์ อ้อ พวกเราชาวเงือกทุกคนจะแอบขึ้นฝั่งเงียบๆ ทุกสิบปี เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ในจิ่วโจว”
“สถานการณ์ในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูก็เหมือนกับเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า พวกเขามีการจัดตั้งราชวงศ์ โดยมีชนเผ่าหลักทั้งหกเผ่าปกครองชนเผ่าผสมต่างๆ รวมถึงชนเผ่าเล็กๆ แห่งอื่นที่อยู่รอบนอก…
“ตอนนี้ผู้ปกครองหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูคือ ผู้นำเผ่า ‘หลง’ หากเทียบขั้นกับเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าก็เท่ากับวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสาม”
ระดับรู้แจ้งขั้นสามงั้นรึ จุ๊ๆ ค่อนข้างอ่อนนะ…สวี่ชีอันฟังด้วยสนใจเป็นอย่างยิ่ง
สถานการณ์ในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู สรุปคร่าวๆ ได้ว่าเป็น อารยธรรมของผู้สืบเชื้อสายเทพมาร
นางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางบอกว่าที่ต่อไปเป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก หมายถึงหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู เพราะอารยธรรมของลูกหลานเทพมารกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้
แต่สิ่งมีชีวิตใดที่มีสติปัญญา ย่อมให้กำเนิดอารยธรรมอย่างแน่นอน
ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมนั้นสัมพันธ์กับความสามารถของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดในระดับหนึ่ง
ยิ่งอ่อนแอเท่าใด สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญามักมีแนวโน้มอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ตามด้วยระบบและอารยธรรมจะถือกําเนิด จากนั้นก็จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นตัวแทนก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์
ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าใด อารยธรรมก็จะถดถอยมากขึ้น จะเต็มไปด้วยผู้โง่เขลาและการนองเลือด
กลุ่มชาติพันธุ์ตัวแทนที่ยังคงอยู่ก็คือเทพมาร
เทพมารมีพลังย้ายพลังถมทะเล พวกเขาไม่ต้องการชาติพันธุ์สักนิด ต้องการเพียงข้าทาสและหากไม่มีชาติพันธุ์ก็จะไม่มีการพัฒนาอารยธรรม
ส่วนเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นตรงกันข้าม ทั้งอ่อนแอและจำเป็นต้องรวมกลุ่มกัน เมื่อเกิดกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อวันเวลาผ่านไปก็จะสร้างอารยธรรมให้แก่เผ่าพันธุ์
“ลูกหลานเทพมารกำลังอ่อนแอลงไม่ใช่หรือ?” สวี่ชีอันจับประเด็น
“ใช่”
เจินจูพยักหน้ายืนยันคำตอบ
“แม้ว่าผู้สืบเชื้อสายเทพมารที่มีสายเลือดบริสุทธิ์จะมีผู้สืบทอดก็ตาม แต่พลังสายเลือดก็จะอ่อนแอลงจากรุ่นสู่รุ่น จวบจนทุกวันนี้ เผ่าเงือกเริ่มให้กำเนิดราชินีเงือกระดับสองไม่ได้อีกแล้ว เว้นแต่จะเปลี่ยนวิธี โดยผ่านระบบที่สร้างโดยมนุษย์อย่างพวกเจ้า”
สวี่ชีอันมองนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่กำลังงีบหลับอย่างเกียจคร้านอยู่บนฟูกนุ่ม
“ระหว่างรุ่นหนึ่งและสองจะมีความแตกต่างกันไม่มากนัก แต่หลังจากสามและสี่เป็นต้นไป ระยะห่างจะยิ่งกว้างขึ้น ยิ่งสืบทอดต่อไปนานเท่าใด ผู้สืบทอดก็จะอ่อนแอลงเท่านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหนือกว่าบรรพชน”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับแนวคิดการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเอาเสียเลย
ปีศาจจิ้งจอกถอนหายใจ
“ไม่ต้องถามหรอกว่าเหตุใด การถามก็เป็นกฎของฟ้าดิน”
สวี่ชีอันจึงไม่ได้ถาม
เทพมารถือกำเนิดตั้งแต่ช่วงสร้างโลก เทพมารทุกท่านล้วนเกิดมาจากฟ้าดิน จึงมีลักษณะที่ลอกเลียนแบบไม่ได้? แต่ถ้าลอกเลียนแบบไม่ได้ ก็สืบทอดสายเลือดไม่ได้สิ…เทพมารอาจเป็นหมัน…รุ่นสองอ่อนแอกว่ารุ่นแรกสามารถเข้าใจได้ เพราะไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ แต่ถ้ารุ่นสามที่เกิดจากรุ่นสองที่มี ‘คุณลักษณะเดียวกัน’ ทั้งสอง ตามทฤษฎีแล้ว สายเลือดที่ไม่ผ่านการเจือปนจากนอกเผ่า เช่นนั้นก็ควรแข็งแรงเหมือนรุ่นแรก
ทว่าตามความเป็นจริง แม้ผู้สืบเชื้อสายเทพมารจะเป็นเลือดบริสุทธิ์ แต่ละรุ่นก็จะอ่อนแอกว่ารุ่นก่อน เรื่องนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผล…ถ้าหากยืดขยายเวลาออกไปเป็นพันปีหรือหมื่นปี ผู้สืบเชื้อสายเทพมารอาจเป็นเหมือนกับมนุษย์ที่ไม่ได้มีพลังตั้งแต่กำเนิด พอนึกถึงเทพมารที่จู่ๆ ก็เกิดบ้า ไล่ฆ่ากันเอง ที่แห่งนี้มีแต่เรื่องลี้ลับแฮะ…สวี่ชีอันรู้สึกสงสัย
การล่มสลายของเทพมารอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางลืมตามองเขาอยู่ห่างๆ
“สมมติฐานบางอย่างเกี่ยวกับจุดจบเทพมาร!” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางปีศาจผมเงินก็เหยียดกายลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเปล่งประกาย
“สมมติฐานอะไรกัน?”
สวี่ชีอันเหลือบมองนาง
“ไยข้าต้องบอกเจ้า?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตวัดตามองเขา ดวงตาสดใสกลอกกลิ้งแล้วยกยิ้มเยาะ
“คนอื่นแลกเปลี่ยนอย่างลับๆ ฆ้องเงินสวี่เสนอทั้งทีต้องแลกเปลี่ยนอย่างสมน้ำสมเนื้อสิ”
นางเปลี่ยนท่าทางราวกับ ‘ข้ามีความลับสุดยอด’ พร้อมกระซิบ
“เรื่องเกี่ยวกับลูกหลานเทพมารที่ร่อนเร่อยู่ต่างแดนแต่ในที่สุดก็กลับมาจิ่วโจวในสมัยโบราณ มันเป็นการค้นพบที่น่าอัศจรรย์ มันเหมือนกับได้พบสัจธรรมของโลกใบนี้และเห็นธรรมชาติของโลก”
จบคำ สวี่ชีอันจึงพยักหน้า
“โลกมันกลม”
…ใบหน้างดงามของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางชะงักค้างอย่างเห็นได้ชัด นางนิ่งอึ้งอยู่หลายวินาที ก่อนกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความโมโห
“เจ้าซ่อนผู้พิทักษ์หยวนไว้ที่ใด?”
นี่เจ้าหวาดระแวงผู้พิทักษ์หยวนด้วยรึ…สวี่ชีอันฉีกยิ้มตาหยี
“ข้าไม่ได้รู้แค่ว่าโลกกลมนะ ข้ายังรู้อีกว่ามันเป็นลูกบอล”
อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าโลกจิ่วโจวแม้จะเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แต่มีขนาดใหญ่กว่าโลกในชาติที่แล้วหลายเท่า
นางปีศาจผมเงินตกตะลึง ไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน
ความลับที่นางซ่อนอยู่ในใจมายาวนานแรมปี เรื่อง ‘ธรรมชาติของโลก’ ที่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดรับรู้มาก่อน ถูกทำลายโดยมนุษย์ผู้นี้ที่มีอายุเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้น
เห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีสงบนิ่ง ราวกับว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ปีศาจจิ้งจอกที่เย่อหยิ่งแสนเจ้าเล่ห์จะต้องถูกปราบรอบด้าน ทำให้นางไม่รู้สึกเหนือกว่า แล้วนางก็จะยอมแพ้แต่โดยดี…สวี่ชีอันพึงพอใจกับปฏิกิริยาจากนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมากและไม่สนใจ แล้วจึงหันไปสนทนาต่อกับราชินีเงือกอย่างเป็นมิตร
ราชินีเงือกเสด็จเยือนหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูครั้งนี้ด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อหนึ่ง เพื่อเก็บปะการังสีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ในอ่าวอาเอ่อร์ซู ซึ่งสามารถรักษาโรคเกล็ดขาวของชาวเงือกได้
ข้อสอง เพื่อซื้อสมุนไพรที่เรียกว่า ‘รากแดง’ เพื่อใช้มันเป็นยาชูกำลัง
เนื่องจากความโกลาหลที่เกิดจากมังกรน้ำ เผ่าพันธุ์เงือกจึงต้องสูญเสียประชากรไปกว่าสองร้อยคน ซึ่งเป็นการสูญเสียที่รุนแรงมาก
ต้องเข้าใจว่า เงือกเป็นเผ่าที่มั่นคงในความรัก เมื่อคู่ตายจากไป พวกเขาจะไม่เลือกคู่ใหม่อีก
ประชากรกว่าสองร้อยชีวิตที่ต้องถูกสังเวย มีผู้สูญเสียคู่ชีวิตไปกว่าสองร้อยคน ซึ่งเท่ากับสูญเสียประชากรในเผ่าเกือบห้าร้อยคน
แค่คิดก็รู้แล้วว่าจำนวนรุ่นต่อไปก็จะลดน้อยลง
ความมั่นคงในรักเป็นธรรมเนียมของเผ่าพันธุ์ ไม่สามารถบังคับกันได้ ทําได้แค่ให้รุ่นก่อนหน้ามีลูกให้มากขึ้นเท่านั้น ดีที่สุดคือมีลูกสามถึงสี่คน
สวี่ชีอันชอบราชินีเงือกนางนี้อย่างยิ่ง นางทั้งว่านอนสอนง่ายและอ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จึงง่ายที่จะได้รับความรู้สึกดีๆ จากบุรุษ
แต่หวังว่านางจะไม่ใช่สาวชาเขียว[1]แบบที่ ‘ข้าแค่เอ็นดูพี่ชาย’
“ถ้าหมู่เกาะอาซูเอ่อร์เปลี่ยนเป็นร่างยักษ์สามหัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าลึกลงไปในดินจะมีหลิงอวิ้นซ่อนอยู่?” พลังปราณโลหิต? ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องไปดูห่านป่าถอนขน[2]เสียหน่อย
“น่าเสียดายที่ราชาผู้สืบทอดเทพมารผู้นั้นเป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสาม แก่นโลหิตของผู้แข็งแกร่งขั้นสองสำหรับข้าแล้วมีประโยชน์อย่างมาก แต่ขั้นสามเทียบไม่ติดเลย”
“ขนาดถิ่นอาศัยใหญ่เช่นนี้ก็มีระดับเหนือมนุษย์อยู่เพียงคนเดียว นี่ ‘ฮวง’ ฆ่าระดับเหนือมนุษย์จริงหรือ”
เขาทอดสายตามองท้องฟ้าสีคราม ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
…
หลังจากฝ่าลมโต้คลื่นมาสามวัน หนังสือปฐพีของสวี่ชีอันก็สัญญาณขาดหายไป นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถติดต่อจิ่วโจวได้อีก
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เข้าสู่อาณาเขตหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูเช่นเดียวกัน
ตามคำบอกเล่าจากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและราชินีเงือก ที่แห่งนี้เป็นถิ่นอาศัยที่ใหญ่ที่สุดของลูกหลานเทพมาร ในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่ ‘ประชากรลอยตัว’ เยอะที่สุด
เผ่าพันธุ์จากน่านน้ำโดยรอบ จะมาที่หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูเพื่อแลกเปลี่ยนวัสดุและเก็บเกี่ยวเป็นครั้งคราว
รวมถึงรวบรวมข่าวสารด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูผู้นั้นเองก็อยู่ในรายชื่อไล่ล่าของสวี่ชีอันเช่นกัน
“นี่คืออาณาเขตของอาเอ่อร์ซูแล้ว ถ้าเป็นไปได้อาจพบกับยามลาดตระเวนจากเผ่า ‘หลง’ พวกเขาจะถามเกี่ยวกับชาติกำเนิดของผู้ที่ขึ้นเกาะ ถ้าท่านไม่อยากทำให้เกิดสงครามใหญ่ ก็ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของข้า”
ราชินีเงือกเอ่ยเสียงนุ่ม
สวี่ชีอันขานรับ “อืม” ไม่ค่อยสนใจรายละเอียดเหล่านี้นัก
หลังจากแล่นเรือต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ก็ยังไม่เห็นทหารลาดตระเวนตามคำบอกเล่า
ราชินีเงือกร้อง “เอ๋” เอ่ยว่า
“ดูเหมือนพวกเราจะโชคดีไม่น้อย อีกสามสิบลี้ก็จะพบกับหน่วยลาดตระเวนทางอากาศของเผ่า ‘หลวน’ …”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ก็เห็นศพลอยอยู่ตรงหน้า
มันเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์สูงราวๆ แปดฉื่อ มีเกล็ดสีดำหุ้มร่างกาย มีสองขาและสองเท้าคล้ายมนุษย์แต่หนากว่า เล็บมือและเล็บเท้าแหลมคมสีดำสนิท กระดูกสันหลังส่วนหางยื่นออกจากลำตัว กลายเป็นหางอาบหนาและยาวครึ่งเมตร
ส่วนหัวเป็นมังกรน้ำทั้งหมด มีเขาสีดำสนิทหนึ่งเขาบนหน้าผาก
อธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนี่คือ มังกรแคระ!
ร่างกายมันได้รับบาดเจ็บ เกล็ดหลุดออกไปหลายแห่ง เผยให้เห็นเนื้อสีแดงอ่อนภายใน
ก่อนตายเหมือนจะได้เจอการต่อสู้อันดุเดือด
สวี่ชีอันเหลือบมองเจินจู พลางส่งกระแสจิตสื่อสาร
“หน่วยลาดตระเวนทางทะเล?”
คิ้วเรียวสวยของราชินีเงือกขมวดมุ่น พลางพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ถ้าอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องปกติ หรือเป็นอุบัติเหตุ? สวี่ชีอันพึมพำในใจ
เขาไม่เข้าใจว่าสถานการณ์บนเกาะอาเอ่อร์ซูนั้นปกติหรือผิดปกติ
แต่เมื่อเห็นเจินจูขมวดคิ้วและไม่แสดงอาการมากนัก เขาถึงได้รู้ว่ามันปกติ
ความสงบสุขแสนอลหม่าน…สวี่ชีอันวิจารณ์ในใจ
หลังจากแล่นเรือไปอีกไม่กี่นาที ร่างมังกรแคระก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง
นี่ไม่ปกติแล้วกระมัง! สวี่ชีอันพูดในใจ
“หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูดูเหมือนจะถูกศัตรูลอบโจมตี” ราชินีเงือกมีสีหน้าจริงจัง
ซึ่งหมายความว่า พวกเขามีโอกาสที่จะได้ร่วมต่อสู้โดยไม่มีเหตุผล
คิดอะไรได้อย่างนั้น
ทันใดนั้นเสียงน้ำดัง ‘ซู่’ พลันดังมาจากกราบเรือด้านซ้าย เงาดำกระโดดขึ้นมาท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาด กระโจนใส่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทางท้ายเรือ
นางปีศาจผมเงินนอนขดอย่างเกียจคร้านโดยไม่ขยับเขยื้อน
หางจิ้งจอกอวบอั๋นพันรอบเงาดำแล้วแขวนไว้กลางอากาศ
ผู้โจมตีเป็นมังกรแคระที่แข็งแกร่ง รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนสองศพที่ลอยน้ำมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าเดียวกัน ต่างกันตรงที่มังกรแคระที่โจมตีจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมีนัยน์ตาสีแดงชาด
เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง
เกล็ดบนร่างกายปกคลุมด้วยลวดลายบิดเบี้ยวและไม่สมบูรณ์ ชวนให้ผู้มองเวียนหัวอย่างอาเจียนได้เดี๋ยวนั้น
มันเหมือนมังกรน้ำเหนือธรรมดาตัวนั้นที่โจมตีเกาะเงือกไม่มีผิดเพี้ยน
……………………………………
[1] สาวชาเขียว คือ หญิงสาวที่ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในร้ายกาจ
[2] ดูห่านป่าถอนขน คือ ไม่พลาดโอกาสในการหาผลประโยชน์จากสิ่งที่ทำ
……….