ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 854 ดินแดนเก่าของเทพมาร
บทที่ 854 ดินแดนเก่าของเทพมาร
……….
“เขาคือผู้ต่ำทรามของเผ่าชน”
หัวหน้ากลุ่ม ‘เจียว’ เอ่ยตอบ
“ผู้ต่ำทราม” เจินจูทวนคำนี้ และเอ่ยถามเบาๆ ว่า
“เพราะเหตุใดจึงเป็นผู้ต่ำทราม เหตุใดจึงต่ำทราม”
ครั้งนี้ มนุษย์มังกรรูปร่างสูงใหญ่เงียบขรึมโดยไม่ได้ให้คำตอบอยู่พักใหญ่
ราชินีเงือกเขม็งใบหน้าอันสวยงาม เอ่ยกราดว่า
“ตอบข้ามา”
ไม่ว่านิสัยอ่อนแออีกเท่าใด ก็ยังเป็นลูกหลานเทพมารระดับเหนือมนุษย์ ราชินีเผ่า
“โฮก”
มังกรน้ำสีดำที่ม้วนพันอยู่บนศีรษะผู้คนแผดเสียงออกมาอย่างถูกเวลา จนขู่ขวัญมนุษย์มังกร
ร่างกายของบรรดามนุษย์มังกรสั่นผวา เหมือนขุนนางที่โกรธจักรพรรดิเป็นฟืนไฟ หมอบคลานติดพื้นไม่กล้าผงกศีรษะ ‘เจียว’ เอ่ยตามความจริงโดยไม่กล้าปกปิดว่า
“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงต่ำทราม เดิมพวกเขาเป็นกองกำลังปกป้องเมืองมังกร หลังจากออกไปภายนอกตามผู้นำ ก็ต่ำทรามเสียแล้ว”
เมืองมังกรเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู และก็เป็นเมืองเพียงแห่งเดียว
ออกไปสำรวจภายนอก…สวี่ชีอันมองมังกรน้ำสีดำที่อยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ราชินีเงือกจับจ้องผู้ชายคนนี้อยู่ตลอด และเอ่ยถามแทนเขาในทันใด
“โม่อวี้ติดตามไปด้วยหรือไม่ ไปสำรวจที่ใดกัน”
‘เจียว’ เอ่ยอย่างสั่นงกงัก
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่านผู้นำกล่าวว่าพบแหล่งสมบัติแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากที่ใด ดังนั้นจึงชักชวนใต้เท้าโม่อวี้ไปสำรวจด้วยกัน”
“ใต้เท้าโม่อวี้เป็นสหายที่สนิทที่สุดของท่านผู้นำ ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานของมังกร เกาะมังกรและหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูเป็นพันธมิตรกันเสมอมา”
“ท่านผู้นำนำกองกำลังในองครักษ์ใกล้ชิดและใต้เท้าโม่อวี้ไปสำรวจด้วยกัน เดินทางรวมยี่สิบกว่าคืนวัน แต่หลังจากเขากลับมา กลับเหลือเพียงคนเดียว องครักษ์ใกล้ชิดและใต้เท้าโม่อวี้สูญหายไม่พบร่องรอย
“ท่านผู้นำบอกพวกเราว่า ใต้เท้าโม่อวี้ตายในการสำรวจ องครักษ์ใกล้ชิดที่ติดตามก็ต่ำทรามไปหมด ทำให้พวกข้าต้องเพิ่มการระมัดระวังอย่างเข้มงวด พอกล่าวจบก็ปิดประตูรักษาบาดแผลทันที”
“อย่างที่คาด ไม่กี่คืนวัน ทั่วทุกแห่งภายในเกาะก็เกิดเหตุสังหารหมู่ขึ้น ผู้ต่ำทรามเหล่านั้นกลับมาแล้ว และเปิดฉากสังหารอย่างเลือดเย็นที่บ้านเกิด”
พวกเขากลับมาเพราะความหมกมุ่นที่จะกลับบ้านเกิดกำลังรบเร้า…เจินจูมองไปยังมังกรน้ำสีดำอย่างอดไม่ได้ โม่อวี้เองก็ยึดติดกับความหมกมุ่นของนางเกินไป ดังนั้นจึงมายังเกาะมนุษย์เงือก และสังหารหมู่คนในเผ่าพันธุ์ของนาง
ราชินีเงือกบอกเล่าการมอบหมายของหัวหน้ากลุ่มมนุษย์มังกรให้สวี่ชีอันอย่างไม่ตกหล่น
สำรวจแดนสมบัติหรือ พี่น้องและองครักษ์ใกล้ชิดล้วนต่ำทรามทั้งหมด แต่เขากลับสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย ฝีมือไม่เลวเลยจริงๆ…สวี่ชีอันเอ่ยว่า
“พวกเราไปหาเจ้าเกาะอาเอ่อร์ซูผู้นั้นกัน”
ระหว่างที่มหาเคราะห์กำลังมาถึง แดนสมบัติแห่งหนึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่มีหลักฐานยืนยันเช่นนี้ มันช่างทำให้วางใจไม่ลงเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สวี่ชีอันก็ต้องไปสำรวจในท้ายที่สุด
จิ้งจอกเก้าหางและราชินีเงือกพยักหน้าเบาๆ
ทั้งสามลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วเหยียบลงบนแผ่นหลังของมังกรน้ำ สวี่ชีอันล้วงชิ้นส่วนเศษหนังสือปฐพีออกมาใส่เข้าไปในกระจกประหนึ่งสมบัติ จากนั้นขี่มังกรดำหายไปในขอบฟ้าสีคราม เหลือมนุษย์มังกรสิบสามคนไว้ลาดตระเวนป้องกัน
“หัว หัวหน้ากลุ่ม พวกเรารีบกลับไปรายงานท่านผู้นำกัน”
มนุษย์มังกรคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง
ท่านผู้นำไม่ต้องการให้เจ้ารายงานแล้ว…‘เจียว’ มองลูกน้องด้วยความสงสารครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า
“อย่าร้อนใจ ค่อยๆ กลับไปเถิด”
…
ท้องฟ้าใสสะอาดเหมือนถูกซักล้าง เมฆขาวนวลลอยละล่องอย่างช้าๆ
มังกรน้ำสีดำไม่ได้บินสูงมากไปนัก รักษาระดับความสูงที่สายตาของผู้ขี่จะไม่ถูกชั้นเมฆบดบัง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดด้านล่างก็ไม่ใช่สีฟ้าที่ซ้ำซากอีกแล้ว หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูปรากฏในทัศนวิสัยของทั้งสามคน
เมื่อมองลงไปจากที่สูง เกาะหลักของมันเป็นรูปครึ่งวงกลม และมีเกาะเล็กเกาะน้อยประดับอยู่รอบๆ ครึ่งวงกลม จนเกิดเป็นหมู่เกาะ
ภายในเกาะมีที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ มีป่าเขาสูงต่ำเขียวชอุ่ม มีทะเลสาบสีครามราวอัญมณี…เป็นอย่างที่ราชินีเงือกกล่าวจริงๆ ดินแดนนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การอยู่อาศัย
เมื่อกวาดมองออกไป สวี่ชีอันมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่หยาบลวกมากมายตั้งอยู่ทุกหนแห่งภายในเกาะอย่างกระจัดกระจายเหมือนดวงดาว
เกิดเป็นหมู่บ้านน้อยใหญ่หลายแห่ง
แต่ที่ตำแหน่งใจกลางเกาะหลักเอียงไปทางเหนือ มีเมืองแห่งหนึ่งที่เหมือนกันมาก ขนาดของมันพอๆ กับเขตที่มีประชากรหลายแสนคนของต้าฟ่ง
สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์มันคงไม่มีอะไร แต่ในสถานที่ที่ลูกหลานเทพมารอาศัยรวมกัน คงเป็นชุมชนกว้างใหญ่ที่ไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน
“จุ๊ๆ ขนาดเท่านี้มันสะดุ้งใจคนไปหน่อยนะ” สวี่ชีอันเอ่ยทอดถอนใจ
ลูกหลานเทพมารแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกมันแข็งแกร่งตั้งแต่เกิดมา เป็นกำลังต่อสู้โดยกำเนิด
“นี่มันสำคัญอะไร จำนวนเผ่าพันธุ์มนุษย์มากจนนับไม่ถูก คัดเลือกผู้บำเพ็ญหลายแสนคนได้อย่างง่ายดาย” จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยเยาะว่า
“เจ้าอย่าหวาดกลัวลูกหลานเทพมารมากไปนัก ลูกหลานเทพมารในตำนานจิ่วโจวแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ ที่กล่าวมามันคือสายเลือดเทพมารในสามชั่วอายุ แต่หลังจากเทพมารรุ่นนี้เป็นต้นไป สายเลือดเบาบางไปนานแล้ว”
ระหว่างพูด สวี่ชีอันควบคุมมังกรน้ำสีดำให้ลงไปยังเกาะหลัก
‘หง่าง เหง่ง…’
ทันใดนั้นเอง เสียงระฆังขนาดมหึมาดังขึ้นมาจากบนกำแพงเมืองที่เรียบหรู เสียงแล้วเสียงเล่า กึกก้องไปทั่วท้องฟ้าทะเลสีคราม
เสียงระฆังแจ้งเตือน
ตามด้วย นกยักษ์สีฟ้าครามสยายปีกยาวสิบเมตรตัวหนึ่งกระพือปีกบินขึ้นมาจากป่าเขา พัดลมโหมกระหน่ำมาทางมังกรน้ำสีดำ
ขนปีกของนกสีฟ้าครามเป็นสีครามบริสุทธิ์ ท่วมไปด้วยแสงใต้ดวงอาทิตย์ ขนหางเป็นสีครามปนทอง สิ่งนี้ทำให้มันสูงสง่าขึ้นหลายเท่าจากภายนอก
“จิ๊บ คารวะใต้เท้าโม่อวี้”
นกสีครามเอ่ยออกมาเป็นคำพูดมนุษย์ และมีเสียงใสรื่นหู
มันเป็นนกเพศเมีย
ดวงตาสีดำอันปราดเปรียวของมัน จ้องมองโม่อวี้ด้วยความระแวดระวังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อท่านผู้นำกลับมา เขาเคยบอกข้าว่าใต้เท้าโม่อวี้ตายระหว่างการสำรวจ แต่บัดนี้กลับปรากฏตัวที่หมู่เกาะอาเอ่อร์ซู
เมื่อเห็นว่าใต้เท้าโม่อวี้ไม่พูดไม่จา นกสีครามจึงมองไปที่เจินจู และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คงความเคารพที่มีต่อผู้แข็งแกร่งเอาไว้ว่า
“คารวะองค์ราชินี”
สายตาของนางกวาดผ่านตัวสวี่ชีอัน จากนั้นมองไปยังจิ้งจอกเก้าหาง…
ลูกตาดำอันปราดเปรียวสีดำสนิทของนกสีครามสั่นไหวอย่างรุนแรง ขนสีครามลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว มันโกรธแล้ว
มันส่งเสียงร้องแหลมสูงมาเป็นอย่างแรก ก่อนเอ่ยกรีดร้องต่อว่า
“เจ้านี่เอง เจ้านี่เอง”
ดิ่งลงด้านล่างในทันควัน และกระพือปีกโผไปยังเมือง
สวี่ชีอันที่ไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัดมองไปที่จิ้งจอกเก้าหางด้วยสายตาใคร่รู้
สาวงามผมขาวเอ่ยอย่างพราวเสน่ห์ว่า
“ตอนมาครั้งก่อน สัตว์ปีกหลายตัวของเผ่าพวกนางจาบจ้วงข้า”
“ข้าจึงจับพวกนางย่างเสีย รสชาติไม่เลวเลย”
พอนางกล่าวจบก็ยื่นลิ้นกานพลูออกมาเลียริมฝีปากที่แดงปลั่ง
เป็นท่าทางชวนหลงที่ยั่วยวนใจอย่างเห็นได้ชัด แต่สวี่ชีอันกลับเต็มไปด้วยความคิดในหัวสมอง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามเบาๆ ว่า
“อร่อยแค่ไหน”
“เลิศรสที่สุดในโลกา” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกะพริบตาส่งสายตาหวานให้เขา ก่อนเอ่ยยุยงว่า “กลับไปพี่สาวจะพาเจ้าไปกิน”
ระหว่างพูด นกสีครามก็กลับมาอีกครั้ง และบรรทุกมนุษย์มังกรสูงเก้าสิบนิ้วมายังต่อหน้าทั้งสามคน
มนุษย์มังกรตนนี้ปกคลุมไปด้วยแผ่นเกล็ดสีครามทั้งตัว ข้อศอก หัวเข่าและแผ่นหลังงอกหนามทื่อลักษณะสามเหลี่ยม ขนบนคอและศีรษะมีสีขาวเงินปนสีน้ำตาล
แสดงให้เห็นว่าเจ้าเกาะผู้นี้ แม้จะอยู่ในเขตแดนเหนือมนุษย์ที่มีอายุยืนยาวก็ไม่ได้อยู่ในวัยหนุ่มสาวอีกแล้ว
สวี่ชีอันได้ทราบจากปากของเจินจูว่าเจ้าเกาะผู้นี้มีนามว่า ‘คลื่นพิโรธ’ แทนที่จะบอกว่าเป็นชื่อ ที่จริงแล้วเรียกว่าฉายาคงถูกกว่า
ขณะที่เจ้าเกาะผู้นี้ยังหนุ่ม เขาเคยก่อคลื่นยักษ์สูงท่วมฟ้าสูงหลายร้อยจั้งทำลายทุกหนแห่งในน่านสมุทรแห่งนี้ จึงได้ชื่อนี้มา
มนุษย์มังกรเกล็ดเขียวพยักหน้าให้เจินจูและจิ้งจอกเก้าหาง กวาดมองผ่านสวี่ชีอัน และจ้องมังกรน้ำสีดำด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“เหตุใดเขาจึงอยู่กับพวกเจ้า”
มนุษย์มังกรเกล็ดเขียวมองไปยังมังกรน้ำสีดำ พร้อมเสียงที่เสียงต่ำลงหลายเท่าอย่างไม่รู้ตัว
เจินจูจึงอธิบายเหตุการณ์ที่โม่อวี้สังหารหมู่มนุษย์เงือก แต่ถูกสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางปราบโดยประมาณ
เนื่องจากเจินจูอวดโวแทนสวี่ชีอันโดยที่ไม่ได้ร้องขอ คลื่นพิโรธจึงคิดเพียงว่าผู้ที่ยอมจำนนต่อมังกรน้ำสีดำคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
เจ้าอาณาจักรที่มาจากแผ่นดินจิ่วโจวผู้นี้ แม้จะอยู่ในขั้นสองแต่ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับเดียวกัน อย่าว่าแต่มังกรน้ำสีดำเลย ต่อให้บวกคลื่นพิโรธเพิ่มเข้าไป ก็ยังไกลเกินกว่าจะเป็นคู่มือของเขา
“คลื่นพิโรธ ท่านกับมังกรน้ำตนนี้หาสถานที่ใดพบกันแน่”
จิ้งจอกเก้าหางถามเองโดยไม่รอให้เจินจูปริปาก เอ่ยถามความอยากรู้อยากเห็นและความสงสัยที่อัดอั้นอยู่ภายในใจมานานออกไป
“ที่นี่ไม่ใช่ที่พูดคุย ทุกท่านโปรดมาพักที่อยู่ของข้า”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธให้ความเคารพอย่างมีมารยาท
สวี่ชีอันขี่มังกรน้ำสีดำ ตามนกสีครามลงไปยังหอคอยที่สูงที่สุดในเมือง
สิ่งปลูกสร้างในเมืองโดยทั่วไปก่อขึ้นด้วยหินขนาดใหญ่ ทั้งหนาและหนักแต่เรียบง่าย เอ่อ เพื่อไว้รับมือกับพายุไต้ฝุ่นและสึนามิหรือ สวี่ชีอันคิดไปเรื่อยเปื่อย ผู้เดินทางทั้งหมดเข้าสู่วังหลักชั้นสูงสุดของหอคอยภายใต้การนำของเจ้าเกาะคลื่นพิโรธ
หลังจากให้นกสีครามออกไป เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเอ่ยว่า
“ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่ง ข้าได้พบสหายเก่าคนหนึ่ง เขากลับมาจากทางตอนใต้อันห่างไกลพร้อมกับข่าวหนึ่ง ในส่วนลึกของซากที่อยู่อาศัยรกร้างทางตอนใต้ มีเกาะแห่งหนึ่งลอยขึ้นมา ภายในเกาะเหมือนว่าจะมีเทพมารบรรพกาลอาศัยอยู่”
“ตบะของเขาเบาบาง จึงไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไป เพียงสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ระยะหนึ่งก็รีบกลับมารายงาน”
“หลังจากข้าได้ทราบข่าวก็ติดต่อโม่อวี้ และไปสำรวจด้วยกันับเขา ใครจะรู้ว่า ระดับความอันตรายของที่นั่นเกินกว่าความคาดการณ์ของข้าไปไกล”
สามงามผมขาวเอ่ยซักถาม
“พวกท่านพบสิ่งใดที่นั่น แล้วพบสิ่งใดอีก”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเอ่ยช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
“เกาะแห่งนั้นกว้างยาวไร้ขอบเขต เหมือนแผ่นดินขนาดเล็กเสียมากกว่าจะให้พูดว่าเป็นเกาะ พวกข้าได้ยินเสียงร้องคำรามที่น่ากลัวภายนอกเกาะ เห็นเต่ายักษ์ถูกงูรัดพัน เห็นนกที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟทั่วทั้งตัวราวพระอาทิตย์ดวงที่สอง”
“เห็นคนยักษ์ตาเดียวเร่ร่อนไปอย่างไร้จุดหมาย เห็นสิงโตสามหัวกลืนกินพวกเดียวกัน…”
สวี่ชีอันฟังจนหัวใจเต้นเร็วยิ่งขึ้น ภาพเทพมารมากมายที่ท่านเจ้าเกาะพูด เขาล้วนเคยเห็นในเศษส่วนความทรงจำของเทพเจ้ากู่
“ข้าและโม่อวี้เองก็คิดว่าเทพมารไม่ได้ลงมาจากสวรรค์ เพียงถูกกักขังไว้ที่เกาะแห่งนั้น หลายชั่วยุคสมัยอันไร้สิ้นสุดมานี้ พวกข้าไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้เลย ขอเพียงเทพมารบนเกาะกลับสู่จิ่วโจว ฟ้าดินแห่งนี้ก็ยังคงเป็นของเทพมาร”
“แต่ขณะที่พวกข้าเข้าใกล้เกาะแห่งนั้น…”
สายตาของเจ้าเกาะคลื่นพิโรธเริ่มส่องประกายด้วยลำแสงที่น่ากลัว เขาเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“จิตวิญญาณในตัวของพวกข้าถูกบิดเบือนด้วยพลังบางอย่าง ในขณะเดียวกันก็มีจิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์มากมายซึ่งไม่ได้เป็นของพวกข้า จากนั้นโม่อวี้และบรรดาองครักษ์ใกล้ชิดก็คลุ้มคลั่งในที่ตรงนั้น”
“แม้ข้าจะโชคดีที่หลบออกมาได้ ไม่ได้เป็นเหมือนกับพวกเขา แต่พอนึกย้อนไปในตอนนี้ ที่พวกเขาคลุ้มคลั่งก็เป็นเพราะแปดเปื้อนกลิ่นอายของเกาะแห่งนั้น”
สวี่ชีอัน สาวงามผมขาวและราชินีเงือกจ้องมองซึ่งกันและกัน ล้วนมองเห็นความสับสนงุนงงจากสายตาระหว่างกันและกัน
ราชินีเงือกเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วอันสวยงามเบาๆ ว่า
“เช่นนั้นเป็นสถานที่แบบใดกันแน่ ข้าไม่เคยได้ยิน และก็ไม่เคยเห็นสถานที่เช่นนั้นจากจิตรกรรมฝาผนังที่บรรพบุรุษหลงเหลือไว้”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า
“แรกเริ่มข้าก็ไม่เข้าใจ แต่ตามที่พิจารณาในช่วงรักษาบาดแผล ข้าพอทราบโดยคร่าวๆ ว่านั่นเป็นสถานที่ใด”
…
ในท้องทะเลลึกที่ดำมืด สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่โตเดินทางโดยการขี่คลื่นใต้น้ำ
“เดินไปทางใต้อีกสามวัน ก็จะถึงซากที่อยู่อาศัยรกร้างในตำนาน” เสียงของฮวงกระจายไปในท้องทะเลลึกอันดำมืดว่า
“ซากที่อยู่อาศัยรกร้างในตำนานเป็นที่พักพิงของสมุทรใหญ่ ชีวิตที่เข้าสู่ซากที่อยู่อาศัยรกร้างจะกลับสู่สภาวะที่เป็นเนื้อแท้ที่สุด ซากที่อยู่อาศัยรกร้างไม่มีอยู่ในยุคเทพมาร มันปรากฏหลังจากเทพมารลงมายังโลก ท่านรู้ไหมว่าหน้าที่ของมันคืออะไร”
ท่านโหราจารย์เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“เจ้าบอกข้าหน่อยว่าสิ่งเหล่านี้ไว้ทำสิ่งใด”
เสียงของฮวงยังคงเลื่อนลอย แต่น้ำเสียงกลับมีความเปลี่ยนแปลง ราวกำลังฝืนข่มความตื่นเต้น
“ซากที่อยู่อาศัยรกร้างใช้สำหรับเก็บรักษาสนามรบเทพมารโบราณ พวกข้ากำลังจะไปเยือนสถานที่ป่าเถื่อนแห่งนั้นอีกครั้ง” ฮวงกล่าว
“พาข้าออกมาจากทะเล ก็เพื่อสนามรบเทพมารโบราณแห่งนั้นหรือ” ท่านโหราจารย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มแจ้ง
…
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“นั่นเป็นสถานที่ที่เทพมารบรรพกาลเคยใช้ชีวิตและเคยต่อสู้ สัญชาตญาณของข้าบอกข้าว่า ไม่ผิดแน่ บางที ที่นั่นอาจซ่อนความลับของการลงมายังโลกของเทพมารก็ได้”
……………………………………….