ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น
บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น
……….
เห็นสวี่ชีอันลังเลไม่พูดอะไร เจินจูจึงส่งกระแสจิตไปอธิบาย
“ตำนานเล่าว่า ในสมัยบรรพกาล โลกใบนี้มีแผ่นดินใหญ่แค่ผืนเดียว ต่อมาหลังจากยุคเทพมารสิ้นสุดลง ท้องฟ้าพังทลาย แผ่นดินแตกสลาย แผ่นดินจิ่วโจวถูกโจมตีจนแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเกาะนับไม่ถ้วน เกาะที่ลอยออกจากซากปรักหักพังนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจิ่วโจว”
สวี่ชีอันพยักหน้า ขณะที่มองไปทางเจ้าเกาะ ‘คลื่นพิโรธ’ ไปพลางก็กล่าวไปพลาง
“ถามเขาหน่อยว่ามีความคิดใดที่เป็นรูปธรรมบ้าง”
เจินจูแปลคำพูดของสวี่ชีอันให้เจ้าเกาะคลื่นพิโรธฟัง พอเขาได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าสงสัยว่าเทพมารบางส่วนไม่ได้แตกดับ แต่ถูกปิดล้อมอยู่บนเกาะ พวกเขาดูสมจริงและแข็งแกร่งเช่นนี้ พลังที่กระจายออกมาทำให้คนบ้าคลั่งได้ แต่กำแพงอันน่าหวาดกลัวผนึกเกาะไว้ จึงถูกตัดขาดจากภายนอก ตอนที่ข้ากับโม่อวี้เข้าใกล้กำแพงนั้น เขากับบรรดาองครักษ์มังกรแปดเปื้อนกลิ่นอายเทพมาร เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ”
ส่วนเหตุใดกลิ่นอายของเทพมารถึงมอบจิตวิญญาณให้กับโม่อวี้และองครักษ์มังกรนั้น เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเองก็ไม่รู้แน่ชัด ตัวเกาะเองก็เป็นปริศนา จำเป็นต้องได้รับการสำรวจและศึกษา
จิ้งจอกเก้าหางพูดหัวเราะเยาะ
“ใครสามารถปิดล้อมเทพมารไว้บนเกาะได้ ถึงแม้นั่นจะเป็นแผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งก็ตาม”
นางไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเกาะคลื่นพิโรธ แต่เชื่อคำพูดของสวี่ชีอันมากกว่า สวี่ชีอันเคยเห็นภาพการแตกดับของเทพมารในความทรงจำของเทพเจ้ากู่มาก่อน
ทว่าเกาะที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาแห่งนี้ เป็นตัวแทนของสิ่งที่ ‘คาดไม่ถึง’ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกเก้าหางถึงไม่ได้โต้แย้งโดยตรง
“สถานการณ์เป็นอย่างไรนั้น ไปดูด้วยตนเองก็จะรู้เอง”
สวี่ชีอันหันไปมองมนุษย์มังกรเกล็ดเขียวที่มีรูปร่างสูงใหญ่และรูปลักษณ์ดุร้ายก่อนกล่าว
“เจ้ารับผิดชอบนำทาง”
เจินจูแปลคำพูดให้เจ้าเกาะคลื่นพิโรธฟัง มนุษย์มังกรเกล็ดเขียวมองไปทางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
แม้อารยธรรมจะถือกำเนิดขึ้นบนเกาะอาเอ่อร์ซู และมีการก่อตั้งนครรัฐขึ้นมาแล้ว แต่กฎการเอาชีวิตรอดของการเคารพผู้แข็งแกร่งยังคงส่งผลกระทบต่อลูกหลานของเทพมารอย่างกว้างขวาง
ผู้ที่สามารถกึ่งบีบบังคับให้เขาเสี่ยงอันตรายได้นั้น มีแค่เจ้าอาณาจักรปีศาจที่มาจากแผ่นดินจิ่วโจวเท่านั้น
ส่วนเหตุที่ว่าเหตุใดถึงเป็นกึ่งบีบบังคับ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธก็ไม่ยินยอมเช่นกัน อยากกลับไป ‘เกาะเทพมาร’ เพื่อหาสาเหตุ
เทียบกับการเจอหน้าเมื่อครั้งก่อนแล้ว พลังแท้จริงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตัวนี้ ดูเหมือนจะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เกรงว่าใกล้เคียงกับระดับขั้นหนึ่งที่เผ่ามนุษย์แบ่งขึ้นมาแล้ว
หากมีนางอยู่ด้วยล่ะก็ การสืบเสาะ ‘เกาะเทพมาร’ ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น
แต่เจ้าเกาะคลื่นพิโรธยังคงไม่ได้พยักหน้าในทันที
สังเกตเห็นท่าทีครุ่นคิดและลังเลของเขา ปีศาจสาวผมเงินก็ถามกลับด้วยรอยยิ้ม
“มีปัญหาอันใดหรือ?”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าว
“การดำรงอยู่ของเกาะเทพมาร ได้ถูกเปิดเผยก่อนข้ากลับมาแล้ว ผ่านไปนานเช่นนี้ เกรงว่าซากที่อยู่อาศัยรกร้างในทะเลใต้อาจรวบรวมทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ไว้จำนวนมากแล้ว”
‘สหาย’ ท่านนั้นขายข่าวให้เขา แต่จะต้องไม่ขายให้มังกรอย่างเขาแค่ตัวเดียว
นี่หมายความว่าความกดดันในการแข่งขันจะเพิ่มมากขึ้น
แม้จะบอกว่าทายาทเทพมารที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษได้ซบเซาไปนานแล้ว แต่โพ้นทะเลกว้างขวางไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ว่าแผ่นดินจิ่วโจวหลายเท่า หากจะรวบรวมทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมดจริงๆ ยังคงเป็นจำนวนตัวเลขที่น่าตกใจมาก
ต่อให้รวบรวมได้แค่ส่วนหนึ่ง ก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดเรื่องส่วนได้ส่วนเสียให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทำท่าทางโอ้อวดเกินไป และทำให้ทายาทเทพมารลุกฮือขึ้นโจมตี
เจินจูแปลให้สวี่ชีอันฟัง สวี่ชีอันหลุดปากพูดด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ!”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่เมื่อมองดูใบหน้ามนุษย์เพศผู้คนนี้ด้วยตาเปล่า ดูเหมือนจะดีใจเป็นอย่างมาก
‘นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจหรอกหรือ’
…
ดินแดนประจิมทิศ
นครรัฐที่มีชื่อว่า ‘เป่ยชาง’ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา ด้วยเหตุที่ยากจนข้นแค้นและรกร้างว่างเปล่า จึงทำให้นครรัฐแห่งนี้เสื่อมโสมและเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย
เจ้าเมืองคือตระกูลสูงศักดิ์เพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ ที่อรัญตาเคารพเลื่อมใสเขา เพียงเพราะว่าเขาเดินทางพันลี้ไปแสวงบุญที่อรัญตาในวัยหนุ่ม
กำแพงเมืองเป่ยชางใช้หินกับดินเหลืองเป็นหลัก ดูเหมือนจะกลืนเข้ากับทะเลทรายที่อยู่ด้านนอก และแฝงไปด้วยกลิ่นอายโบราณที่ดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว
จู๋ไล่คือขอทานในเมืองเป่ยชาง ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เขาคลุมชุดคลุมขาดๆ ถือท่อนไม้ยันกับพื้น และเดินขากะเผลกไปตามริมถนนของเป่ยชาง เขาเฝ้าปรารถนาให้มีคนใจดีหยิบยื่นของกินให้กับคนที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งสี่วัน
ที่ดินเพาะปลูกในเป่ยชางจืดชืด ประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ไหนเลยจะมีอาหารมาบริจาคทานได้
“เจ้าดูประกาศในป้ายประกาศหรือยัง ได้ยินว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาจะจัดงานชุมนุมพุทธะหลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเชิญผู้ศรัทธาในดินแดนประจิมทิศไปแสวงบุญ”
“เฮ้อ เส้นทางยาวไกล จะไปอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงการถูกโจรท้องถิ่นปล้นสะดม ลำพังแค่ความหนาวเหน็บและหิวโหยก็สามารถฆ่าเจ้าให้ตายได้แล้ว”
“หากไปตอนนี้ล่ะก็ ไม่ต้องกลัวเรื่องความหนาวเหน็บ แต่ตอนกลับมาก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว…”
คำสนทนาของผู้คนริมถนนดึงดูดความสนใจของจู๋ไล่
‘อรัญตาจะจัดงานชุมชนพุทธะ เชิญผู้ศรัทธาไปแสวงบุญหรือ’
จู๋ไล่จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาทันที ราวกับสายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำรดลงมาในฤดูร้อนอันอบอ้าว เขาลากสังขารอันเหนื่อยล้ามุ่งหน้าไปยังป้ายประกาศตรงประตูเมือง
ในช่วงชีวิตขอทานที่ผ่านมาอย่างโชกโชน เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเจ้าเมืองมาก่อน
ว่ากันว่าตอนที่ท่านเจ้าเมืองอายุยังน้อยนั้น เป็นพวกเสเพลเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีโชคเข้ามาและมันสมองก็ปราดเปรื่อง รู้สึกว่าตนเองเกิดมาเพื่อพุทธะ ดังนั้นจึงเดินทางไกลโพ้นเป็นพันๆ ลี้เพื่อแสวงบุญที่อรัญตา
เขาอาบแสงพุทธะในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ได้รับความชื่นชมจากสำนักพุทธ และกลายเป็นศิษย์สำนักพุทธ
นับแต่นั้นมาก็เจริญก้าวหน้าพรวดพราด จนมานั่งตำแหน่งเจ้าเมือง
ผ่านไปอีกหลายปี เรื่องเล่านี้ยังถูกเล่าปากต่อปากในเป่ยชาง สามารถพูดได้ว่าเป็นแบบอย่างในการศรัทธาพุทธะเปลี่ยนแปลงชีวิต
‘ศรัทธาพุทธะ แสวงบุญ สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา…’ ในสมองของจู๋ไล่เหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ‘ไปดูมูลเหตุที่ป้ายประกาศ!’
ระยะทางที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เขาเหมือนกับใช้เวลาเดินครึ่งค่อนชีวิต ตอนที่มาถึงป้ายประกาศนั้นก็หายใจหอบแฮ่กๆ และหน้ามืดตาลายแล้ว
“บนป้ายประกาศเขียนว่าอย่างไร”
เขาจับชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างป้ายประกาศไว้แน่น
“ไอ้ขอทานตัวเหม็น ไสหัวไป”
คนผู้นั้นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ และใช้เท้าถีบจู๋ไล่ออกไป
เดิมทีจู๋ไล่ก็หิวโหยและกระหายอยู่แล้ว จึงล้มลงพื้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าจิตรับรู้เริ่มออกจากร่าง ชีวิตเดินมาถึงจุดสิ้นสุด
ผ่านไปสักพัก เขาถึงค่อยๆ กลับมาควบคุมร่างกายตนเองได้อีกครั้ง
“ต้องการดื่มน้ำหรือไม่”
น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างหู จู๋ไล่ลืมตาขึ้น มองเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาธรรมดายืนอยู่ข้างๆ และยื่นถุงน้ำมาให้
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมเรียบง่าย ผิวหนังดำเกรียม ดูๆ แล้วคงเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ในเมือง แต่แววตาของเขาอบอุ่นและเต็มไปด้วยเจตนาหวังดี
จู๋ไล่เลียริมฝีปากที่แห้งจนแตก เขารับถุงน้ำมาอย่างอดใจไม่ไหว และดื่มอย่างบ้าคลั่ง
เขากระหายน้ำจนแทบจะทนไม่ไหว
หลังดื่มน้ำในถุงหนังหมดเกลี้ยงภายในอึดใจเดียว จู๋ไล่ก็เรอด้วยความพึงพอใจ ขณะนี้เขาถึงเผยสีหน้าไม่สบายใจและระแวดระวังออกมา ไม่รู้ว่าเหตุใดชายวัยกลางคนตรงหน้าถึงช่วยขอทานสกปรกอย่างเขา
“อมิตตาพุทธ!”
ชายวัยกลางคนพนมมือกล่าวอย่างปลื้มปีติยินดี
“เมื่อครู่เกือบคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว”
‘ที่แท้ก็เป็นผู้ศรัทธาสำนักพุทธ…’ จู๋ไล่โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ขณะเดียวกักรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เป่ยชางอยู่ในดินแดนของสำนักพุทธ ย่อมมีผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อย แต่ตามที่เขาเข้าใจ สิ่งที่ผู้ศรัทธาในเมืองเลื่อมใสคือการต่อสู้เพื่อข้ามทะเลแห่งความทุกข์ และบรรลุอภิสัมโพธิญาณ
สิ่งที่ปลดปล่อยคือตัวเอง
น้อยมากที่จะกระตือรือร้นในการสร้างกุศล
“ขอบคุณ!”
แต่เขายังคงพูดขอบคุณออกมา และยื่นถุงหนังคืนกลับไปอย่างระมัดระวัง
ชายวัยกลางคนรับถุงหนังและกล่าว
“บนป้ายประกาศบอกว่า อรัญตาจะจัดงานชุมนุมพุทธะ เชิญผู้ศรัทธาไปแสวงบุญ แต่จะเชิญแค่บุคคลผู้มีอำนาจราชศักดิ์และฐานะทางครอบครัวมั่งคั่งเท่านั้น คนอย่างพวกเราเดินไม่ถึงอรัญตาด้วยซ้ำ”
จู๋ไล่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าว “ขอบคุณ” อีกครั้ง
ชายวัยกลางคนกล่าวต่อ
“พุทธะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในอรัญตา!”
จู๋ไล่ตกใจมาก เขามองซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนจะพูดคำพูดทรยศแบบนี้ออกมาได้
ยังดีที่ผู้คนเดินไปมาด้วยความรีบร้อน ไม่มีคนสนใจทางด้านนี้
ชายวัยกลางคนกล่าว
“ที่ข้าศรัทธาคือนิกายมหายาน เป็นพุทธะที่แท้จริง น้องชาย เจ้ามีวาสนากับนิกายมหายานของพวกเรา ยินดีเข้าร่วมนิกายมหายานของพวกเราหรือไม่”
“นิกายมหายาน?!”
จู๋ไล่เคยได้ยินนิกายนอกรีตนี้มาก่อน ว่ากันว่าเวไนยสัตว์ล้วนกลายเป็นพุทธะได้ รายละเอียดมากกว่านั้นเขาก็ไม่รู้แล้ว แต่อย่างไรก็เป็นนิกายนอกรีตที่หลอกลวงคนตามคำเล่าลือ
“เจ้าพูดเรื่องเหล่านี้กับข้าด้วยเหตุใด ข้า ข้าเป็นผู้ที่เคารพเลื่อมใสสำนักพุทธ ข้าจะไปแสวงบุญที่อรัญตา”
จู๋ไล่พูดเสียงดัง เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะพบเจอกับนิกายนอกรีตในสถานที่แห่งนี้
เขาพูดไปพลางลุกขึ้นไปพลาง พยายามไปจากชายวัยกลางคนที่พูดจาแปลกประหลาดผู้นี้
ชายวัยกลางคนตามหลังเขาไปช้าๆ และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เจ้าเดินไม่ถึงอรัญตาหรอก เจ้าจะตายในระหว่างทางได้”
“เจ้าไม่ต้องสนใจ”
จู๋ไล่แค่อยากออกห่างจากเขา ออกห่างจากนิกายมหายานที่หลอกลวงตามคำเล่าลือ
เป่ยชางกำลังโจมตีศิษย์นิกายมหายานอยู่ ผู้ที่ถูกจับจะถูกลงโทษตายสถานเดียว
แม้เขาจะเป็นขอทานที่มีชีวิตต่ำต้อย แต่ก็ไม่อยากตาย
“น้องชาย นิกายมหายานคือพุทธะที่แท้จริง หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสามารถพาเจ้าไปฟังคำสอนของนิกายมหายานได้” ชายวัยกลางคนพูดเสียงต่ำ เขาไม่ละทิ้งโอกาสในการเผยแพร่นิกาย
‘บางทีข้าอาจเสแสร้งเข้าไปปะปนในนิกายมหายาน จากนั้นก็รายงานท่านเจ้าเมืองเพื่อแลกค่าเดินทางไปอรัญตา…’ คิดถึงจุดนี้จู๋ไล่ก็หยุดฝีเท้าลงทันที และจ้องมองชายวัยกลางคน
“เช่น เช่นนั้นข้าจะไปฟังดูก่อน”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความปลื้มปีติยินดี
“น้องชาย เจ้าจะต้องเลื่อมใสนิกายมหายานอย่างแน่นอน”
‘ไม่ ต่อให้จะตาย ตายในระหว่างทางหรือกระโดดลงจากกำแพงเมือง ข้าก็จะไม่ศรัทธานิกายมหายาน…’ จู๋ไล่ทำเสียงฮึดฮัดในใจ
เขาเดินตามหลังชายวัยกลางคนเงียบๆ ทั้งสองเดินทะลุถนนและตรอกซอย และหยุดลงตรงตรอกเล็กๆ ที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนเคาะประตูใหญ่ของเรือนบางแห่งอย่างมีจังหวะ
ไม่นานประตูใหญ่ก็เปิดออก หญิงชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งเปิดประตูให้พวกเขา
ทั้งสองเข้าไปในเรือน เดินตามหญิงชราไปยังห้องที่อยู่ด้านข้าง ที่นั่นเชื่อมต่อกับอุโมงค์
พอผลักประตูอุโมงค์ออก แสงบางๆ ส่องเข้าไปในนั้น จู๋ไล่กวาดสายตามองเห็นคนสวมชุดขาดๆ ยี่สิบกว่าคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ พวกเขาหลับตาพนมมืออยู่ และฟังเทศน์จากพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อและเลื่อมใสศรัทธา
ขณะที่ประตูอุโมงค์เปิดออก บรรดาผู้ศรัทธาก็พากันหันมา และพระภิกษุหนุ่มที่หันหน้ามาทางประตูก็หยุดเทศน์แล้วมองมาเช่นกัน
ชายวัยกลางคนเดินไปด้านหน้าสองก้าว และพนมมือกล่าว
“ไต้ซือจิ้งซือ ข้าโปรดผู้มีวาสนาคนหนึ่งมาเข้าร่วมนิกายมหายาน”
กล่าวจบเขาก็กวักมือเรียกจู๋ไล่ให้มาตรงหน้า
จู๋ไล่เดินหน้าไปพลาง พินิจดูพระภิกษุหนุ่มไปพลาง
เขามีหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวสะอาด ดูแล้วไม่เหมือนคนดินแดนประจิมทิศเลย
หากสวี่ชีอันอยู่ที่นี่ ก็จะจำได้ว่านี่คือพระภิกษุน้อยจิ้งซือที่ติดตามพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ในตอนที่คณะทูตดินแดนประจิมทิศเข้าเมืองนั่นเอง
อายุยังน้อยแต่กลับฝึกฝนพลังเทพวชิระสำเร็จแล้ว
‘อายุน้อยๆ ก็กลายเป็นหัวหน้าของนิกายนอกรีตแล้ว จะต้องมีค่าตัวสูงมาก’ จู๋ไล่แอบคิดในใจ
ขณะนี้เขาได้ยินจิ้งซือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สีหน้าโยมดูแย่มาก ท้องว่างเปล่า กินอาหารเจก่อนแล้วค่อยมาฟังอาตมาเทศน์พร้อมกับคนอื่นๆ”
‘คิดไม่ถึงว่าจะมีของกินด้วย’ จู๋ไล่พูดในใจว่า ‘ดีเกินไปแล้ว ก่อนไปเปิดโปงพวกเจ้ากับท่านเจ้าเมือง ข้าจะกินอาหารของพวกเจ้าสักมื้อ’
หญิงชราผมสีดอกเลานำหมั่นโถวสีขาวและน้ำดื่มสะอาดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
จู๋ไล่กินเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม ไม่นานก็จัดการปัญหาความอบอุ่นและหิวโหยได้
จิ้งซือมองดูทั้งหมดนี้ด้วยรอยยิ้ม และหันไปกล่าวกับชายวัยกลางคน
“นิกายมหายาน โปรดผู้อื่นก็เหมือนโปรดตนเอง ช่วยอาณาประชาราษฎร์ให้หลุดพ้นทะเลแห่งความทุกข์ ช่วยอาณาประชาราษฎร์ให้ได้อภิสัมโพธิญาณ เจ้าทำได้ดีมาก”
ชายวัยกลางคนพนมมือกล่าว
“โชคดีที่ได้ฟังคัมภีร์แท้ของพุทธะเรา”
ทุกคนพนมมือแล้วกล่าวพร้อมกัน
“อมิตาพุทธ!”
จิ้งซือกล่าวต่อ
“วันนี้มีสมาชิกมาใหม่ อาตมาจะเล่าจุดกำเนิดของนิกายมหายานอีกรอบ หวังว่าผู้มาใหม่จะได้รับทราบ”
“นิกายมหายานเริ่มต้นที่ต้าฟ่งในที่ราบกลาง สวี่ชีอันฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งเป็นผู้เริ่มก่อตั้ง ฆ้องเงินสวี่คือการกลับชาติมาเกิดของเจ้าแห่งหมื่นพุทธะในสามพันโลก พระองค์ทรงโปรดพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ในพิธีต้าฮวดของสำนักพุทธที่เมืองหลวงของต้าฟ่ง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ซาบซึ้งสัจธรรมที่แท้จริงของนิกายมหายาน กลายเป็นพุทธะในบัดดล และกลายเป็นพุทธะผู้สูงศักดิ์องค์ที่สองของนิกายมหายาน…”
‘พระอรหันต์ตู้เอ้อร์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าบนโลกมีพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียว!’ จู๋ไล่แอบทำปากยื่น
เขาฟังพระภิกษุหนุ่มเล่าที่มาของนิกายมหายานด้วยความเหยียดหยาม เขาโต้แย้งทุกประโยคของพระภิกษุหนุ่มอยู่ในใจ หรือไม่ก็ยิ้มหยันด้วยความดูหมิ่น
แต่พอเขาได้ยินว่าเวไนยสัตว์เสมอภาคกัน จู๋ไล่ก็เงียบไปทันที
‘หากบนโลกมีสถานที่ที่เวไนยสัตว์เสมอภาคกันจริงๆ ข้าสาบานว่าจะปกป้องจนตาย’ เขาพึมพำอยู่ในใจประโยคหนึ่ง
เขาเป็นขอทานตั้งแต่เด็ก ถูกเหยียดหยามรังแก ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
เขาเปลี่ยนความคิดโดยไม่รู้ตัว และเริ่มตั้งใจฟังเทศน์ ตั้งใจพิจารณาทบทวน
‘โปรดคนอื่นโปรดตนเอง หลบหนีจากทะเลแห่งความทุกข์… หากอรัญตา หากผู้ศรัทธาสำนักพุทธในดินแดนประจิมทิศต่างก็โปรดผู้คนและโปรดตนเอง ข้าจะยังเป็นขอทานอยู่อีกหรือ โชคชะตาของข้าจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากไม่ได้ท่านอาท่านนั้นช่วยไว้ในเมื่อครู่ ตอนนี้ข้าคงยังระทมทุกข์เพราะความหิวโหย…นิกายมหายานแบบนี้ คือนิกายนอกรีตจริงหรือ…’
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในสมองของเขา
ในช่วงเวลาที่ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น จู๋ไล่ได้ยินพระภิกษุหนุ่มกล่าว
“วันนี้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้!”
เขาตั้งสติได้ในฉับพลัน ค้นพบว่าแสงอาทิตย์ตรงรอยแยกของประตูได้กลายเป็นสีแดงทอง ซึ่งหมายความว่าเข้าสู่ช่วงสายัณห์แล้ว
‘ฮะฮ่า ลืมไปขอทานเลย คืนนี้ต้องทนหิวอีกแล้ว…’ จู๋ไล่กระวนกระวายใจมาก หงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง
ขอทานที่กินมื้อนี้แล้วไม่มีมื้อต่อไปอย่างเขา ต้องทุ่มเทเพื่อให้ได้กินข้าวอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็ต้องทนหิวอีก
นึกถึงจุดนี้ เขารีบลุกขึ้นทันทีและคิดที่จะจากไป
‘พระภิกษุน้อยกล่าวได้มีเหตุผลมาก ยังไม่ต้องเปิดโปงเขา…’ ขณะที่จู๋ไล่กำลังจะจากไปนั้น กลับค้นพบว่าผู้ศรัทธาที่อยู่รอบๆ นั่งขัดสมาธิไม่เคลื่อนไหว ไม่มีใครลุกขึ้นเลย
สายตาของฝูงชนมองไปยังพระภิกษุหนุ่มด้วยแววตามุ่งหวัง
จากนั้นเขาก็เห็นพระภิกษุน้อยจิ้งซือควักเหรียญกษาปณ์ทองแดงออกจากแขนเสื้อมาพวงหนึ่ง และกล่าวกับหญิงชราว่า
“เอาไปแบ่งให้กับทุกคน!”
หญิงชรารับเหรียญกษาปณ์ทองแดงมาแจกจ่ายให้ทุกคนเท่าๆ กัน
‘ยัง ยังมีเงินให้ด้วยหรือ! จู๋ไล่ก้มมองเหรียญกษาปณ์ทองแดงในมือ นี่มันสามารถซื้อหมั่นโถวห้าลูกในเมืองเป่ยชางได้เลย
กินแบบประหยัดหน่อย ก็สามารถจัดการปัญหาความหิวโหยและความอบอุ่นได้ถึงสามวัน
นี่คือนิกายอะไรกัน บนโลกนี้มีนิกายที่แจกเหรียญกษาปณ์ทองแดงให้ผู้ศรัทธาจริงหรือ!
ทัศนคติของจู๋ไล่ถูกโจมตีอย่างรุนแรง
พระภิกษุจิ้งซือกล่าวอย่างอ่อนโยน
“พุทธะจะไม่ให้ผู้ศรัทธาท่านใดของพระองค์ต้องหิวโหย โปรดผู้อื่นโปรดตนเอง นี่คือวัตถุประสงค์ของนิกายเรา นิกายมหายานพูดแล้วต้องปฏิบัติตามสิ่งที่พูด”
จู๋ไล่กำเหรียญกษาปณ์ทองแดงในมือแน่น รู้สึกว่าตนเองหาองค์กรพบแล้ว
จากนั้นเขาค้นพบว่าชายวัยกลางคนที่โปรดเขาผู้นั้นได้รับเหรียญกษาปณ์ทองแดงสิบเหรียญ
‘หืม? ไม่ได้บอกว่าเวไนยสัตว์เท่าเทียมกันหรือ!’
จู๋ไล่ไม่เข้าใจแล้ว
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือรางวัลที่ข้าควรได้รับ ใครก็ตามที่โปรดผู้อื่นหนึ่งคน จะได้รับเหรียญกษาปณ์ทองแดงหน้าเหรียญเป็นรางวัล นี่คือกฎของนิกายเรา”
‘ข้ารู้จักขอทานจำนวนมาก มากมายจริงๆ ข้า ข้าจะร่ำรวยแล้ว…’ ในสมองของจู๋ไล่เหลือเพียงความคิดนี้
ดูทั้งหมด
มีเพียงผู้ที่ศรัทธานิกายมหายานเท่านั้นที่ศรัทธาเจ้าแห่งหมื่นพุทธะ!
…………………………………………….