ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1)
บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1)
……….
“นี่เป็นสาเหตุที่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อต้องผนึกระดับสุดยอด และเป็นต้นเหตุความขัดแย้งที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเรากับระดับสุดยอดอีกด้วย”
ท่านโหราจารย์เผยสีหน้าเคร่งเครียดที่หาได้ยากยิ่ง สวี่ชีอันไม่เคยเห็นท่านโหราจารย์จริงจังขนาดนี้มาก่อน
เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยเห็นหยางเชียนฮ่วนไม่วางท่าโอ้อวด
“พวกเจ้าคิดว่าวิถีแห่งฟ้านั้นไร้เมตตา หรือมีเมตตา?”
สวี่ชีอันสบสายตากับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเอ่ยขึ้น
“สวรรค์นั้นเห็นแก่ตัวที่สุด แต่ดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรมที่สุด
“วิถีแห่งฟ้าที่ไร้เมตตานั้นยุติธรรมต่อสรรพชีวิตที่สุดแล้ว”
แม่มดผมสีเงินพยักหน้า
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
เจ้าน่าจะพูดว่า ข้าก็เหมือนกัน! สวี่ชีอันคิดเงียบๆ
ท่านโหราจารย์กล่าว
“แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพปีศาจ หรือระดับสุดยอดล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดความอ่าน”
เขาไม่ได้พูดต่อแต่สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางต่างก็เข้าใจ
หากระดับสุดยอดเข้ามาแทนที่วิถีแห่งฟ้า เช่นนั้นวิถีแห่งฟ้าก็จะมีความคิดอ่านและความปรารถนาส่วนตน
เช่นนี้สามารถเข้าใจได้ว่า หากวิถีแห่งฟ้าแทรกซึมกฎเกณฑ์เฉกเช่นร่างอวตารปรมาจารย์เต๋านิกายสวรรค์ สูญสิ้นสตินึกคิด เช่นนั้นระดับสุดยอดก็ไม่ต้องทนพากเพียร พยายามก้าวสู่การเป็นวิถีแห่งฟ้า
“สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกชีวิตจะต้องถูกกดขี่โดยระดับสุดยอด ไม่สิ วิถีแห่งฟ้า!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสีหน้าเหยเก
กฎเกณฑ์ที่ไร้ความรู้สึกคือกฎเกณฑ์ที่ดี หากวิถีแห่งฟ้ามีสติเป็นของตนเอง มีความคิดและปรารถนาเป็นของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ยังพอป่าวร้องได้บ้างว่า ‘เหล่าขุนน้ำขุนนางมีเกียรติมากกว่าเราหรือ’ หากว่าวิถีแห่งฟ้ามีสตินึกคิด สิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมกลายเป็นหุ่นเชิด…สวี่ชีอันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง
“มันจะไม่จบเพียงการตกเป็นทาสเท่านั้น
“อารยธรรมของเผ่าพันธุ์ต่างๆ จะสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ วิวัฒนาการของฟ้าดินจะถึงการอวสาน หรือก้าวไปสู่ทิศทางที่สุดขั้ว”
หากมองในมุมที่กว้างขึ้น อารยธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางเติบโตอย่างกว้างขวางอีกต่อไป คนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องอาศัยภายใต้อาณัติของวิถีแห่งฟ้าเท่านั้น
ท่านโหราจารย์กล่าวยิ้มๆ
“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองยังคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี อนาคตจะเป็นเช่นไร ควรปล่อยให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสิน วิถีแห่งฟ้าไร้เมตตา ถือเป็นความเมตาอันยิ่งใหญ่ที่สุด มันไม่จำเป็นต้องมีความปรารถนาหรือสตินึกคิด ดังนั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงผนึกระดับสุดยอดทั้งหลาย เพื่อให้สรรพชีวิตในจิ่วโจวได้มีโอกาสพักหายใจเป็นเวลากว่าหนึ่งพันสองร้อยปี
“ซื้อเวลารอให้ผู้เฝ้าประตูปรากฏตัว”
พูดจบเขาก็หันไปทางสวี่ชีอันแล้วเอ่ย
“เจ้าจงออกทะเลในครั้งนี้เพื่อแสวงหาโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเถอะ”
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ
เขาล้มเหลวในการกำจัดเจียหลัวซู่ และชิงแก่นแท้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่าย สิ่งเดียวที่ทำได้คือการออกทะเลเพื่อค้นหาทายาทของเทพปีศาจ
จะเอาแต่กลืนกินอาจารย์โค่วกับอาซูหลัวอย่างเดียวไม่ได้
ท่านโหราจารย์พยักหน้า “อันที่จริงในแผนดั้งเดิมของข้า การชิงหัวกะโหลกของเสินซูกลับมา และกลืนกินเจียหลัวซู่เป็นทางออกที่ดีที่สุด น่าเสียดายที่เจ้าปล่อยโอกาสที่ข้าให้ไปหลุดมือเสียได้”
ในแผนของเขา ข้าต้องเลื่อนขั้นกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวงั้นหรือ? ไม่จริงน่า ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออกทะเล การตัดหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดการตัดหน้า ข้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เฝ้าประตูน่ะสิ…
ตาเฒ่าเหรียญปากผีนี่กำลังหลอกข้า หรือเขามีแผนอื่นอยู่แล้ว? เป็นเพราะการปรากฏตัวของข้าเปลี่ยนแผนเขาไปงั้นหรือ…
ข้าล่ะเกลียดเฒ่าเหรียญปากผีนัก…เขาทำสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร”
วิธีการจัดการกับเฒ่าเหรียญปากผีที่ดีที่สุดคือการหลอกใช้งาน
ท่านโหราจารย์ทอดสายตาไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วกล่าว
“ล่องเรือไปทางนั้นเป็นเวลาสามวัน เจ้าจะพบกับสนามรบโบราณ ที่นั่นเจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ อืม ซ่งชิงเจ้าศิษย์ชั่วนั่นคงจะหมุนกงล้อหาวิธีรวบรวมแก่นโลหิตอยู่สินะ”
แม้ว่าเขาจะถามออกไปเช่นนั้น แต่น้ำเสียงและสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับมั่นใจในตัวศิษย์ชั่วของตนเต็มประดา
สวี่ชีอันมองตามทิศทางที่เขาทอดสายตาออกไป หัวใจเต้นแรง นึกถึงข้อมูลที่ราชินีเงือกมอบให้
“ราชินีแห่งเกาะมนุษย์เงือกบอกข้าว่า ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีสนามรบโบราณอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวหนึ่งอาศัยอยู่”
ตอนนั้นราชินีเงือกชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หากอ้างอิงตามตำแหน่งในตอนนี้ สนามรบโบราณนั่นต้องอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงตามที่ท่านโหราจารย์พูด
คาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองที่จะต้องเป็นที่เดียวกัน
ท่านโหราจารย์กล่าว
“เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นคือเทพปีศาจระดับสุดยอดสมัยบรรพกาล หลังจากตายในสงครามแล้ว จิตวิญญาณกับเจตจำนงที่เหลืออยู่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็นเทพปีศาจไร้วิญญาณ เทียบกับเจียหลัวซู่แล้ว มันเหมาะกับเจ้ามากกว่า
“เพราะจิตวิญญาณของเทพปีศาจตนนั้นคือ ‘เครื่องหมาย’ ของกำลัง ในแง่ของความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ฮวงสิบตัวก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้”
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายวาบ
สำหรับจอมยุทธ์แล้ว ของความแข็งแกร่งนั้นเย้ายวนเสียยิ่งกว่าหญิงงามล้ำเลิศเสียอีก
หากวางโอกาสที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสองเท่า กับหญิงงามไว้ตรงหน้าของจอมยุทธ์ จอมยุทธ์ย่อมเลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเลใจ
ในตอนนี้เอง จิ้งจอกเก้าหางที่นิ่งเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วถาม
“เหตุใดระดับสุดยอดจึงต้องพึ่งพาโชคชะตาเพื่อแทนที่วิถีแห่งฟ้าเล่า”
“หากรวบรวมโชคชะตาของจิ่วโจวไว้ในตัวคนคนเดียว เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นจิ่วโจว กลายเป็นวิถีแห่งฟ้าน่ะสิ” คำตอบของท่านโหราจารย์สั้นกระชับได้ใจความ
จิ้งจอกเก้าหางพินิจพิเคราะห์
“เช่นนั้น ที่เทพพ่อมดหรือพระพุทธเจ้าต่างต้องการเผยแพร่คำสอนไปทั่วที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมกำลังศรัทธา ก็เพียงเพื่อให้สรรพชีวิตในจิ่วโจวหันมานับถือในสำนักพุทธหรือสำนักพ่อมด แล้วพวกเขาก็จะขึ้นแทนที่วิถีแห่งฟ้าอย่างนั้นหรือ”
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“ในทางตำราถือว่าเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นไปเช่นนั้น ความจริงโหดร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิด
“ต้าฟ่งครอบครองที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมโชคชะตามหาศาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโชคชะตาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ราบลุ่มภาคกลางจะหวนคืนสู่ต้าฟ่งแล้ว ตั้งแต่พรรคเล็กพรรคน้อยในยุทธภพ ไปจนถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใหญ่ๆ ตราบใดที่พวกเขาเติบโตไปถึงระดับหนึ่ง พวกเขาย่อมเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาเผ่าพันธุ์มนุษย์
“นอกจากนั้น ยังมียอดคนดาวเด่นแห่งยุทธภพและราชสำนักทั้งหลาย พวกเขาก็เป็นตัวแทนของโชคชะตาส่วนหนึ่ง
“ต้าฟ่งมีหน้าที่เพียงรวบรวมบุคคลชั้นยอดเหล่านี้ให้ได้ก็เพียงพอแล้ว
“ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าผู้คนในจิ่วโจวจะนับถือพระพุทธเจ้าหรือเทพพ่อมด พวกเขาก็ไม่ยังอาจครอบครองโชคชะตาของจิ่วโจวได้ นับประสาอะไรกับการแทนที่วิถีแห่งฟ้า?”
จิ้งจอกเก้าหางคล้ายจะจับประเด็นบางอย่างได้รางๆ แต่ยังไม่มั่นใจนัก จึงถามเป็นการลองเชิงต่อ
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ”
ท่านโหราจารย์มองไปยังสวี่ชีอันแล้วกล่าว
“เจ้าเคยเก็บตราราชลัญจกรที่บรรจุโชคชะตาได้จากมหาสุสาน”
สวี่ชีอันพยักหน้า
ท่านโหราจารย์กล่าว
“ทว่าราชวงศ์นั้นได้ถูกทำลายไปนานแล้วในประวัติศาสตร์”
สวี่ชีอันวิเคราะห์
“โชคชะตาหลอมรวมมาจากผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ทว่าไม่หายไปพร้อมกับการทำลายล้างชีวิตเหล่านั้น ขอเพียงรักษามันไว้ด้วยกรรมวิธีพิเศษ ก็ใช้เป็นพลังได้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
จิ้งจอกเก้าหางเบิกตาโพลง
…
ดินแดนประจิมทิศ
ยอดเขาอรัญตาอัดแน่นด้วยร่างธรรมเก้าร่าง ประดุจเก้าเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ ต้อนรับบรรดาผู้ศรัทธา
ทว่าเบื้องหลังแสงเรืองรองที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น กลับมีดวงตาดวงยักษ์คู่หนึ่งที่ปราศจากขนตา อีกทั้งแววตาไร้ซึ่งความรู้สึกกำลังเบิกกว้าง
ลูกตาในเบ้าตาคู่ยักษ์นั้นกลอกไปมาหนึ่งรอบ ลูกตาทั้งสองข้างเคลื่อนไปทางขวา ราวกับกำลังเฝ้ามองบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่เบื้องหลังของตน
ในเวลานี้ บริเวณไหล่เขาอรัญตา ชั้นหินด้านนอกแตกร้าว เผยให้เห็นเนื้อเยื่อสีแดงเข้ม และฟันขนาดใหญ่เรียงตัวเป็นสองแถว
ฟันทุกซี่มีขนาดเท่ากับร่างกายมนุษย์โตเต็มวัย
มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นราวกับกำลังคลี่ยิ้ม
ไม่นานมันก็หุบลง ถูกหินชั้นนอกคลุมทับ กลับกลายสภาพเป็นภูเขาดังเดิม
เสียงสวดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์กำลังมีชีวิตขึ้นมา
ณ พื้นที่ราบเชิงเขา มีหญิงสาวอายุยังน้อย สวมอาภรณ์ชั้นสูง ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์การสวดภาวนาของนางด้วยอาการปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง
นางรู้สึกเหมือนตัวเองผล็อยหลับไป ท่าทางสับสน งุนงง ไม่ทราบว่าตัวเองอยู่ที่ใด
“ท่านแม่ ข้าอยาก…”
เสียงของนางเงียบลงฉับพลัน บิดา มารดา พี่น้องและบรรดาคนรับใช้ที่นั่งอยู่ข้างกายต่างหายตัวไป เหลือเพียงความว่างเปล่ารอบกาย และความเงียบสงัดชวนให้หวาดกลัว
หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างด้วยความหวาดกลัว หันไปมองรอบด้านพร้อมกับตะโกนเรียกบิดา มารดา และพี่ชายของตนไปด้วย
เสียงของนางสะท้อนไปในโลกมืดสลัว ไร้เสียงคนตอบรับ ไกลออกไปบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายยังคงนั่งขัดสมาธิประนมมือ จมอยู่ในโลกของตน สีหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความสุขใจ
เส้นผมของนางตั้งชันโดยไม่รู้สาเหตุ
นางหลั่งน้ำตาแห่งความกลัว กอดเข่านั่งยองๆ กับพื้น จ้องมองไปที่พื้นใต้ฝ่าเท้าของตน ไม่กล้าขยับตัว
นางพบว่ามีก้อนนูนสองก้อนฝังอยู่ใต้ผืนดิน นางตกตะลึง เอื้อมมือไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พยายามจะปัดดินออก
ก่อนที่ปลายนิ้วของนางจะสัมผัสกับก้อนนูนสองก้อนนั้น ผืนดินก็แยกออกจากกัน ปรากฏเป็นดวงตาสองคู่หนึ่งที่แดงก่ำด้วยเส้นเลือด ปราศจากขนตา
มันจ้องมองนางอย่างเงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลูกตาจะกลิ้งหลุนๆ ในทันใด
ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด นางค่อยๆ อ้าปากกว้าง กำลังจะส่งเสียงหวีดร้องออกมา แต่ทันใดนั้นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของนางก็แยกออกจากกัน และกลืนกินนางลงไปทั้งตัว
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนลืมตาขึ้น ทอดมองลงมาจากฟากฟ้า จำนวนผู้ศรัทธาบนที่ราบลดลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ศรัทธาที่เชื่อในสำนักพุทธเหล่านี้ เป็นตัวแทนโชคชะตาของสำนักพุทธ ได้หลอมรวมเข้ากับสำนักพุทธที่พวกเขาเชื่อในที่สุด
“กายหลอมรวมเป็นหนึ่งกับมหามรรควิถีแล้วไซร้ ย่อมมีชีวิตเป็นนิรันดร์”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนสีหน้าเปี่ยมด้วยเมตตา ประนมมือขึ้นเอ่ย “ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงบรรลุพลา ให้ทั่วหล้าจิ่วโจวกลายเป็นดินแดนพุทธ”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้ามองใต้เท้า สายตาทะลุผ่านผืนดินและหิน มองไปยังด้านในของขุนเขา เห็นเหล่าผู้ศรัทธานั่งขัดสมาธิ พวกเขาดูอิ่มเอมด้วยความสุขราวกับได้หลอมรวมกับพระพุทธเจ้า
หลิวหลีถอนสายตากลับมา มองไปยังที่ราบเบื้องล่าง พระประสงค์ของพระพุทธเจ้าแผ่ไพศาล ที่ราบกลายเป็นพระองค์ และแม่น้ำกลายเป็นพระองค์…
…
“ต่อให้กลืนกินโชคชะตาของจิ่วโจวจนสิ้น แต่เมื่อถึงเวลาแม้สรรพชีวิตทั้งหลายในจิ่วโจวต่างสูญพันธุ์จนสิ้นก็ไร้ความหมาย เพราะโชคชะตาไม่มีทางหายไป เช่นเดียวกับโชคชะตาที่ผนึกไว้ในตราราชลัญจกร”
สวี่ชีอันจ้องมองท่านโหราจารย์แน่นิ่ง พยายามจะค้นหาคำตอบที่ต่างออกไปจากเขา หวังให้เขาล้มล้างสันนิษฐานของตน
แต่ต้องผิดหวังเมื่อท่านโหราจารย์พยักหน้าช้าๆ
“นี่คือมหาเคราะห์!
“เพียงแค่ต่อสู้แย่งชิงศรัทธา เผยแพร่คำสอนไปทั่วจิ่วโจว ถือเป็นมหาเคราะห์ได้อย่างไร
“แน่นอน ยิ่งศรัทธามีมากเท่าไร ยิ่งมาอาณาเขตกว้างขวางขึ้นเท่านั้น โอกาสก้าวขึ้นสู่ระดับสุดยอดก็มากขึ้นตามไปด้วย ยามแรกเริ่มก่อตั้งดินแดน หากปล่อยให้สำนักพ่อมดยึดครองสำเร็จ ย่อมไม่มีทั้งพระพุทธเจ้าและเทพเจ้ากู่
“หากเมื่อสามร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อไม่ทำลายพุทธ ตอนนี้พระพุทธเจ้าคงจะจุติเป็นฟ้าดิน ขึ้นแทนที่วิถีแห่งฟ้าไปแล้ว”
หัวใจของสวี่ชีอันคล้ายจะถูกเงามืดปกคลุม
ลำพังแค่แทนที่วิถีแห่งฟ้าก็หนักหนาเกินรับไหวอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายมากกว่าที่เขาคาดคิด
จิ้งจอกเก้าหางกระซิบเอ่ย
“อย่างช้าช่วงปลายปีนี้ เทพเจ้ากู่และเทพพ่อมดจะหลุดออกจากผนึก…”
ความรู้สึกวิตกกังวลและความวิกฤตปะทุขึ้นทันใด
สวี่ชีอันอ้าปากค้าง เมื่อครู่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเห็นร่างของท่านโหราจารย์กำลังเลือนหายไปช้าๆ
ท่านโหราจารย์มองเขาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์จึงเข้าหาเจ้า และเลือกเจ้า”
ยังพูดไม่จบประโยค ร่างของเขาก็สลายกลายเป็นอากาศธาตุราวกับฟองสบู่แห่งความฝัน
…
ห่างจากอรัญตาออกไปสามสิบลี้ เมืองผิงคัง
ในฐานะนครรัฐที่อยู่ใกล้ชิดกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตามากที่สุด ที่นี่จึงเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ และประชากรหนาแน่น
แหล่งรายได้หลักของเมืองคือโรงสุราและโรงเตี๊ยม ทำให้ที่นี่เป็นจุดพักที่เหล่าผู้แสวงบุญที่มุ่งหน้าไปยังอรัญตาต้องมาแวะพัก
บนกำแพงเมือง ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ทอดสายตามองไปเห็นดินแดนรกร้างยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นพื้นดินที่อยู่ห่างไกลออกไป กำลังขยับตัวเป็นระลอกคลื่น คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา
เขาสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติกับดวงตาของตน จึงขยี้ตาอย่างแรง ก่อนจะจ้องมองอีกครั้ง คราวนี้ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ทันใดนั้น พื้นดินก็ขยับอีกครั้ง ครั้งนี้มันอยู่ใกล้กำแพงเมืองมาก จึงทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เฮ้ยๆ มีบางอย่างอยู่ใต้ดิน”
เขากำหอกขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ หันไปรายงานกับสหายร่วมงานรอบข้าง
เมื่อเหล่าสหายได้ยินเช่นนั้นก็มองลงไปข้างล่าง แต่ไม่เห็นอะไร จึงเอ่ยแกมตำหนิ
“เงาผีสักตัวยังไม่มี อย่ามาทำให้ตกใจเสียให้ยาก”
พลทหารผู้นั้นไม่เชื่อ เขามองไปข้างหน้า พยายามเพ่งสายตามองไปรอบๆ อยู่นาน ก่อนจะยอมแพ้อย่างจำใจ หันมาพูดกับสหายร่วมงาน
“แปลกจริง ข้าเห็นอยู่ตำตา…”
เสียงของเขาหยุดชะงักไป รอบกายว่างเปล่า ไม่เห็นสหายสักคน
ไม่เพียงเท่านั้น ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ที่กำแพงเมืองผิงคังก็หายตัวไปทั้งหมด
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด
พลทหารหันซ้ายมองขวาอย่างลนลาน ไม่อาจทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ เมื่อเขาวิ่งไปจนถึงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของกำแพงเมือง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายในเมือง เขาจึงรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างแท้จริง
เมืองทั้งเมืองว่างเปล่า
ในตอนนี้เอง เชิงเทินบนกำแพงเบื้องหน้าห่างออกไปไม่กี่ฉื่อ ก็มีดวงตาที่ปราศจากขนตา และแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ปรากฏตัวขึ้น
ทันใดนั้น เชิงเทินทั้งหมดก็ลืมตาขึ้น เรียงรายกันเป็นทิวแถว ลูกตาของพวกมันกลอกกลิ้ง มองไปยังพลทหารนายนั้น
…
เมืองหลวง
เสื้อผ้าไหมบางเบาแนบเนื้อ เผยรูปร่างโค้งเว้าอวบอัด เนื่องจากเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางเลิกผ้าห่มผืนบางขึ้น ผ้าคลุมที่แขวนอยู่บนฉากกันลมก็ลอยมาคลุมไหล่นางทันที
ฮว๋ายชิ่งก้าวเท้าหยกขาวราวหิมะ เร่งฝีเท้าไปตามทางเดินที่มีแสงสลัวส่องผ่านพอให้มองเห็นทาง ไปยังโถงด้านนอกของพระราชวังและตะโกนว่า
“มานี่ซิ!”
นางข้าหลวงที่คอยอยู่ด้านนอก ก้มศีรษะ ก้าวเท้าน้อยๆ เข้ามา แล้วโค้งตัวกล่าว
“ฝ่าบาท กระหม่อมมาแล้วเพคะ”
“ส่งคนไปเชิญนักปราชญ์จ้าวและเว่ยกงมาเดี๋ยวนี้ อีกหนึ่งเค่อให้หลัง ข้าต้องได้พบทั้งสองคน” ฮว๋ายชิ่งพูดจบอย่างรวดเร็ว มองสำรวจตัวเอง แล้วกล่าวเสริม
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าก่อนก็แล้วกัน”
…
สิ่งมีชีวิตเลือดเนื้อแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีอรัญตาเป็นจุดเริ่มต้น ผืนดิน แม่น้ำมีชีวิตขึ้นมา นครรัฐที่อยู่ไกลออกไปก็มีชีวิตขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ใบหน้างดงามของหลิวหลีดั่งรูปปั้น ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ น้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าไม่มีขึ้นลง
“หากผู้ศรัทธาจากดินแดนประจิมทิศมารวมตัวกันที่นี่ได้ทั้งหมด ไม่เกินสามวันพระพุทธเจ้าต้องหลอมรวมดินแดนประจิมทิศได้เป็นแน่”
“พระพุทธเจ้าก็คือดินแดนประจิมทิศ จะบอกว่าหลอมรวมกันได้อย่างไร”
เสียงของเจียหลัวซู่ดังมาจากด้านหลังของนาง
พระพุทธเจ้ากำลังหลอมรวมเข้ากับดินแดนประจิมทิศ สำนักพุทธดำรงอยู่ในดินแดนประจิมทิศมานานหลายพันปี เต็มไปด้วยผู้ศรัทธาทุกหนแห่ง โชคชะตาได้หลอมรวมในสำนักพุทธมานานแล้ว
ดังนั้นย่างก้าวของการเป็นดินแดนประจิมทิศของพระพุทธเจ้าจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ถูกขัดขวาง
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวยิ้มๆ
“เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว พระองค์จะเสด็จไปทางตะวันออก กลืนกินชะตากรรมของที่ราบลุ่มภาคกลาง อีกทั้งตอนนี้ เทพเจ้ากู่และเทพพ่อมดยังถูกผนึกอยู่”
พระโพธิสัตว์ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยๆ
กว่างเสียนมองไปยังเจียหลัวซู่แล้วเอ่ย
“สวี่ชีอันเดินทางออกทะเล แต่ต้องคว้าน้ำเหลวอย่างแน่แท้ ลูกหลานเทพปีศาจระดับสามขึ้นไปถูกเทพปีศาจบรรพกาลกำจัดจนสิ้นซากไปหมดแล้ว
“เขาอาจจะกำลังดิ้นรนอย่างหมดหวัง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากท่านก็ได้ ข้าจะรอปิดฉากสังหารเขา”
สีหน้าของเจียหลัวซู่จริงจัง น้ำเสียงสงบราบเรียบ
“เขาไม่อาจหาญก้าวเข้ามาในดินแดนประจิมทิศหรอก”
พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์หลิวหลีถามพลางขมวดคิ้ว
“ตู้เอ้อร์อยู่ที่ใด”
…………………………………………………………………..
[1] 釜底抽薪 กลยุทธ์ถอนฟืนก้นหม้อ เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการพิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำศึกสงคราม ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าควรพึงหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ความฮึกเหิมของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง
……….