ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 871 ถอนฟืนก้นหม้อ (2)
บ
ทที่ 871 ถอนฟืนก้นหม้อ (2)
……….
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ขมวดคิ้วพร้อมกัน ฝ่ายแรกหลับตาลงก่อนจะลืมตาแล้วเอ่ยว่า
“ไม่ได้อยู่ในอรัญตา”
ดวงตาอันงดงามของพระโพธิสัตว์หลิวหลีทอประกาย “ก่อนสวดภาวนา เขายังอยู่ที่นั่น หลังจากนั้น ข้าไม่ยักเห็นว่าเขาหายไป”
ด้วยวิธีใดกันถึงทำให้พระโพธิสัตว์ที่อยู่ตรงหน้าจากไปอย่างไร้ร่องรอย?
เจียหลัวซู่เอ่ยเสียงเข้ม
“อรหัตผล!”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์หลิวหลีหรี่ตาลงพร้อมกัน หวนนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีนัก เคล็ดวิชานี้ถูกใช้โดยศิษย์สำนักพุทธที่คิดคดทรยศ
ถ้าหากตู้เอ้อร์ใช้พลังจากอรหัตผลสร้างร่างจำแลงแล้วปะปนอยู่กับภิกษุสำนักพุทธ ย่อมถูกมองข้ามได้อย่างง่ายดาย เพราะร่างจำแลงที่ปั้นด้วยอรหัตผลนั้นเกือบจะเหมือนของจริง
ส่วนพวกเขาทั้งสามคนเองก็ไม่ได้ตั้งใจแยกแยะความแตกต่างอย่างละเอียดนัก
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“ตู้เอ้อร์คิดจะทำการใด?”
…
แถบชานเมืองหลวง
ตู้เอ้อร์นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัวเก้ากลีบ ขับเคลื่อนด้วยแสงสีทองมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงด้วยความเร็ว
เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวง นักปราชญ์ขงจื๊อวัยกลางคนมีไอปราณใสคละคลุ้งลอยขึ้นมาทักทาย ใต้ฝ่าเท้าเขาคือไม้บรรทัดประกาศิต
นักปราชญ์ขงจื๊อผู้นี้สวมชุดสีม่วง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา คิ้วหนาตาคม โดยรวมแล้วทั้งสง่างามและไม่ดุดัน
“พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ปราชญ์ขงจื๊อชุดม่วงระบายยิ้ม พลางโค้งคำนับ
เขาเอ่ยต่อ โดยไม่รอให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ปริปาก
“ข้าน้อยหยางกง มารอที่นี่ตามคำสั่งของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่า หากท่านมาถึงให้เข้าเฝ้าพระองค์ทันที
“เหตุใดพระอรหันต์จึงล่าช้านัก?”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์มาช้ากว่าเวลาที่นัดกันไว้ราวๆ สองเค่อ
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์มีสีหน้าเรียบเฉย ยกสองมือประนม ไม่ได้พูดอะไร
ดูเหมือนไม่มีอารมณ์สนทนานัก
เวลานี้ จู่ๆ ไม้บรรทัดประกาศิตใต้เท้าหยางกงแยกจากพันธนาการ ลอยขึ้นไปตีเข่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
หยางกงรีบห้าม พลางกล่าวขอโทษ “สิ่งนี้เป็นอาวุธวิเศษคู่ใจของข้า หลังเลื่อนสู่ขั้นบรรลุธรรม มันจึงมีสติปัญญาเบาบาง ชอบตีผู้คนไปทั่ว…”
‘มันคงถือว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ถ้าไม่ตอบคำถามอาจารย์ ย่อมสมควรลงโทษ…’ หยางกงอธิบายต่อในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมา
อาวุธเวทมนตร์ที่เกิดมีสติปัญญาเบาบาง ล้วนมีคุณสมบัติพอที่จะกลายเป็นอาวุธวิเศษทั้งสิ้น
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้า เพื่อบ่งบอกว่าตนไม่ถือสาความผิดปกติของไม้บรรทัดประกาศิต
หยางกงมีท่าทีอึกอัก เอ่ยว่า “ไม่นานมานี้ จู่ๆ ข้าน้อยก็ไม่สบายใจ เหมือนโลกถึงคราวกัลปาวสาน เกิดอะไรขึ้นในดินแดนประจิมทิศกันแน่?”
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระพุทธองค์จัดงานชุมนุมพุทธะด้วยเหตุผลอันใด?
ลัทธิขงจื๊อเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาและมีความอ่อนไหวมากในบางแง่มุม
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เอ่ยเนิบนาบ
“ไม่รู้”
หยางกงมองสถานการณ์แล้วจึงไม่ซักไซ้ต่อ
“ข้าจะพาท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
พูดจบ เขาก็ปลุกเร้าร่างแห่งปราณอันแท้จริง ร่ายมนตร์ท่องคาถาแล้วเอ่ยพึมพำราวกับสวดภาวนา
“ข้ากับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อยู่ที่ห้องทรงอักษรในวังหลวง”
แสงสีขาวใสผุดใต้ฝ่าเท้าเขา โอบล้อมรอบพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ จากนั้นทั้งสองคนจึงหายตัวไปยังที่หมายทันที
ตู้เอ้อร์ตาลายอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงเห็นการตกแต่งอันงดงามหรูหรา พื้นปูด้วยกระเบื้องสีดำ เสาสีแดงของห้องทรงอักษร เห็นผ้าไหมทองอำไพหลังโต๊ะตัวใหญ่ของจักรพรรดินีแห่งต้าฟ่ง
นางสวมเสื้อชั้นในสีแดงทั้งชุดปักดิ้นทองลายมังกร ทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำปักลายมังกรทองเช่นเดียวกัน เส้นผมมัดด้วยเส้นไหมสีดำแล้วกลัดมงกุฎทองดูสง่างามสูงส่ง ความงามของนารีและชุดฉลองพระองค์จักรพรรดินีผสมผสานกันออกมาเป็นเสน่ห์ที่แตกต่าง
ทั้งด้านซ้ายและขวาของจักรพรรดินีคือ เว่ยเยวียนในชุดสีน้ำเงินกรมท่าปักลายเมฆและจ้าวโส่วปราชญ์มหาสำนักราชเลขาธิการในชุดสีเลือดนก
ขุนนางทั้งสามมองอย่างพร้อมเพรียงกัน
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือ
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮว๋ายชิ่งยังคงเหยียดยิ้มเย็นชา จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ร่วมเป็นสักขีพยานในงานชุมนุมพุทธะหรือไม่?”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ถามกลับ
“ฝ่าบาททรงรู้ด้วยหรือว่ามีสิ่งใดผิดปกติ?”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าช้าๆ “ข้ากำลังงีบหลับอยู่ในหอนอน จู่ๆ ก็ฝันเห็นพระพุทธองค์ล้มลงทับข้า”
นางเว้นช่วงครู่หนึ่ง ใบหน้าเรียบเฉยกลายเป็นเคร่งขรึม กดน้ำเสียงต่ำลง
“พระพุทธองค์ลืมตาจ้องมองข้าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนอ้าปากกัดกินข้าทีละคำ”
เมื่อคิดถึงฝันร้ายอีกครั้งในตอนนี้ มันยังคงทำให้นางเสียวหลังวาบ
“เดิมทีข้าก็เป็นทหารระดับเหนือมนุษย์ ไม่มีทางฝันแบบนี้โดยไม่รู้ความเป็นมาแน่ สวี่หนิงเยี่ยนบอกไว้ว่า ผู้มีชะตาติดตัวจะได้รับสัญญาณเตือนเมื่อบ้านเมืองมีเคราะห์ ข้าเลยนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ในแดนประจิมทิศเมื่อเร็วๆ นี้ จึงเดาว่าสาเหตุน่าจะมาจากตรงนี้”
จ้าวโส่วเอ่ยสมทบ
“มันเป็นสัญญาณเตือนชะตากรรมจริงๆ วันนี้ข้าน้อยก็เป็นกังวล จิตใจรวนเรไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เปลี่ยนสีหน้า ดูเหมือนการคาดเดาบางอย่างจะได้รับการยืนยัน เขายกมือประสานเอ่ยว่า
“ก่อนจัดงานชุมนุมพุทธะ กระหม่อมได้ออกจากอรัญตาแล้ว สถานการณ์เจาะจงตรงนั้น กระหม่อมเองก็ไม่ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตามระหว่างข้าเดินทางเข้ามาที่ราบลุ่มตอนกลาง ข้าสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน…”
เขาเรียบเรียงถ้อยคำอธิบายให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
“พลังวิญญาณแห่งฟ้าดินสลายไปอย่างรวดเร็ว แล้วแทนที่ด้วยพลังแห่งพุทธะที่หลั่งไหลเข้ามา ราวกับได้เข้าสู่ห้วงดินแดนสุขาวดีตามตำนาน”
สำหรับเขาที่ถึงแม้จะบำเพ็ญพรตวิชาพุทธะ ดินแดนแสนงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นนี้ เรียกว่าสรวงสวรรค์เลยย่อมได้
ฮว๋ายชิ่ง เว่ยเยวียนและจ้าวโส่ว รวมถึงหยางกงต่างส่งสายตาให้กันเงียบๆ ท่ามกลางสายตามึนงงสะท้อนแววจริงจัง
“กระหม่อมย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ อรัญตา ระหว่างเดินทางผ่านเมืองบางแห่งกลับพบความว่างเปล่า ชาวเมืองต่างหายสาบสูญ…” ขณะพูดถึงจุดนี้ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือดูมีเมตตา สวดภาวนา “อมิตตาพุทธ” ไม่หยุดหย่อน
‘มิน่าเล่าเขาถึงมาสาย…’ หยางกงขมวดคิ้ว
“ชาวเมืองหายสาบสูญรึ?”
ฮว๋ายชิ่งและทั้งสามคนขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์สงบสติอารมณ์ เอ่ยต่อว่า
“ข้ากำลังจะเข้าไปสำรวจในเมือง ช่วงจังหวะนี้ จู่ๆ ก็เห็นดวงตาเบิกโพลงทั้งสองข้างอยู่บนกำแพงเมือง ดวงตาคู่นั้นไร้อารมณ์ ไม่มีแม้แต่ความเยือกเย็น แต่ตอนถูกมันมอง กระหม่อมกลับรู้สึกสั่นสะท้านขนหัวลุกชัน
“แต่น่าแปลกที่มันไม่ทำร้ายข้า ไม่สนใจข้าด้วยซ้ำ
“ข้าจึงไม่กล้ากลับอรัญตา แต่เร่งตรงมาเมืองหลวงทันที”
อย่าว่าแต่ตู้เอ้อร์สัมผัสกับมันโดยตรง ทั้งสี่คนที่ได้ฟังยังรู้สึกหนาวสั่นในใจ
เมืองทั้งเมืองกลายเป็นนครร้าง แล้วกำแพงเมืองก็มีชีวิตงั้นหรือ?
ผู้คนหายไปไหนกันหมดเล่า?
ฮว๋ายชิ่งคิดถึงสิ่งที่ตนฝันเห็น จู่ๆ ความคิดหนึ่งเกิดแวบเข้ามาในใจ
จ้าวโส่วกระซิบ “พระอรหันต์ตู้เอ้อร์คิดอย่างไร?”
ตู้เอ้อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเนิบนาบ
“สงครามชิงหัวเสินซูคืนมาในวันนั้น อรัญตาก็ถล่มกลายเป็นซากเสียแล้ว แต่ตอนจัดงานชุมนุมพุทธะ อรัญตากลับฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเพียงชั่วข้ามคืน
“กระหม่อมเห็นด้วยตาตนเอง พระพุทธองค์แปลงกายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์”
รูม่านตาของเว่ยเยวียนหดลง
ฮว๋ายชิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก
“ดวงตาที่เจ้าเห็นบนกำแพงเมือง คือพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่!”
นางโพล่งออกมาตามอย่างใจนึก
สมาชิกพรรคฟ้าดินเคยคุยกันเรื่องสงครามครั้งนั้นผ่านชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่พระพุทธเจ้าแปลงกายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นสมาชิกพรรคฟ้าดินไม่เข้าใจหลักการและประหลาดใจจนร้องอุทาน
ถ้าพระพุทธเจ้าสามารถแปลงกายเป็นยอดเขาได้ เหตุใดจึงแปลงกายเป็นนครรัฐไม่ได้?
ไม่มีผู้ใดคัดค้านฮว๋ายชิ่ง เพราะพวกเขาก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน
“เว่ยเยวียน จ้าวโส่ว พวกเจ้าคิดอย่างไร?” ฮว๋ายชิ่งมองผู้เป็นดั่งเสาหลักราชสำนักในปัจจุบันทั้งสองท่าน
ถึงแม้ว่านางจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่ในแง่มุมนี้ นางก็ยังคงเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่เข้าใจอย่างตื้นเขิน
ดินแดนประจิมทิศมีการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีทั้งเรื่องที่เป็นไปตามคาดและเรื่องที่ไม่คาดคิด
เรื่องที่เป็นไปตามคาดนั่นก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น ส่วนเรื่องที่ไม่คาดคิดคือสถานการณ์อยู่นอกเหนือความเข้าใจของพวกเขา แม้แต่สถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมฮว๋ายชิ่งก็ไม่เข้าใจ
เว่ยเยวียนส่ายศีรษะ
“เรื่องนี้ฟังดูแปลกเกินไป ข้าน้อยมิอาจตัดสินได้”
จ้าวโส่วเห็นด้วยกับคำพูดเว่ยเยวียน จึงเอ่ยเสริม
“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน เราต้องส่งคนไปตรวจสอบก่อน พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ เจ้าบอกเมื่อครู่นี้ว่า พระพุทธเจ้า…สมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วกัน เขาไม่ได้ทำร้ายเจ้างั้นหรือ?”
ตู้เอ้อร์พยักหน้า
จ้าวโส่วเอ่ยว่า
“อาจเป็นเพราะเจ้ามาจากสำนักพุทธ แค่มีความตั้งใจจะสำรวจแดนประจิมทิศใช่หรือไม่? เจ้าวางใจเถิด พวกเรามีอาวุธวิเศษให้เจ้ามากพอ รวมถึงตำราเคล็ดวิชาเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิต ยันต์หยกส่งตัว ช่วยให้เจ้าปลอดภัย”
ตู้เอ้อร์ไม่ลังเลสักนิด
“ได้!”
จ้าวโส่วหันมองจักรพรรดินีแล้วเอ่ย
“ฝ่าบาท ขอทรงเรียกประชุมข้าหลวงทั้งหมด เข้ามาร่วมแต่ตั้งตู้เอ้อร์เป็นราชครู แต่งตั้งพุทธมหายานเป็นศาสนาประจำชาติเถิดพ่ะย่ะค่ะ
“แม้นยังไม่ชัดเจนนักว่าพระพุทธเจ้าต้องการทำอะไร แต่ข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้นั้นคือระดับสุดยอดกำลังแย่งชิงโชคชะตากัน และการทำให้ดวงชะตาพระพุทธเจ้าอ่อนแอลงนั้นก็เป็นการดีเสมอ”
ตู้เอ้อร์ชื่นชม
“ดีมาก!”
…
นอกชายฝั่ง ร่างทั้งสองร่างลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า มาพร้อมกับคลื่นเสียงดังอึกทึกชวนหนวกหู
ร่างนั้นดิ่งลงจากท้องฟ้า ขณะกำลังจะตกลงทะเล จู่ๆ ก็ชะงักนิ่งไร้แรงเฉื่อยใดๆ
แต่แรงลมที่นำพามาด้วยอัดพื้นน้ำทะเลเข้าอย่างจัง จนก่อตัวเป็นคลื่นระลอกใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายเมตร
สวี่ชีอันหันมองนางจิ้งจอกเก้าหางในชุดกระโปรงพับจีบของมู่หนานจือ เอ่ยเสียงเข้ม
“ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เข้าไปสิ องค์เหนือหัว!”
นางปีศาจผมขาวเหลือบมองเขาพลางคร่ำครวญ
“เจ้าไม่ขอข้าแต่งงาน แล้วยังจะให้ข้ากระโจนเข้ากองไฟเพื่อเจ้าอีกรึ”
ทั้งผมสีเงินดุจหิมะและผิวเนียนละออปานหิมะ ความงามอันน่าหลงใหลนี้ของนางปีศาจผู้ทรงเสน่ห์ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความบริสุทธิ์และสูงส่ง
ขณะที่สวี่ชีอันใช้จิตสัมผัส สำรวจสถานการณ์ในทะเล เขาก็เอ่ยขึ้น
“พูดดีๆ หน่อย!”
จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียง “เหอะๆ” ใส่เขา
ไม่นาน สวี่ชีอันก็ถอนจิตสัมผัส
“ไม่พบความผิดปกติ คงต้องลงไปดู”
จากนั้นจึงกระโจนสู่ทะเลก่อน
คล้อยเสียง ‘ตู้ม’ พร้อมหยดน้ำสาดกระเซ็น เขาก็หายไปพร้อมกับลูกคลื่นสีคราม
จิ้งจอกเก้าหางจึงค่อยๆ กระโจนตามเขาไปในมหาสมุทร
…
ภายในตำหนักกระดิ่งทอง
บนบัลลังก์ ฮว๋ายชิ่งสวมเสื้อคลุมมังกรนั่งตัวตรง ดวงตาหงส์เรียวสวย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวเล็กสีแดงระเรื่อ ด้วยนิสัยแสนเย็นชาแต่เดิมเมื่อสวมเสื้อคลุมมังกรยิ่งขับให้นางดูสง่าผ่าเผย
ขุนนางชั้นสูงยืนถือฮู่ป่าน[1]อยู่ในตำหนัก
สิ้นเสียงตะโกนสรรเสริญ ‘ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี’ ฮว๋ายชิ่งก็เหลือบมองขันทีกุมตราลัญจกรด้านล่างซ้าย
ขันทีกุมตราลัญจกรซึ่งเป็นตัวแทนจากเต๋อซินหย่วนก้าวออกมา
ในเวลานี้ ขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าจุดประสงค์การว่าราชการอย่างกะทันหันครั้งนี้คืออะไร
……………………………………………………..
[1] ฮู่ป่าน(笏板) หรือแผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวไปทุกครั้งที่มีการเรียกเข้าประชุม ถวายรายงานเหตุบ้านการเมืองต่างๆ ต่อเบื้องพระพักตร์องค์จักรพรรดิในพระราชวัง
……….