ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 873 สนามรบบรรพกาลใต้ทะเล
บทที่ 873 สนามรบบรรพกาลใต้ทะเล
……….
จากนั้นพื้นดินก็เกิดร่องรอยแยก ร่องแต่ละร่องคือดวงตาหนึ่งข้าง บางส่วนมีขนาดเท่าลูกตาปกติของคนทั่วไป บางส่วนมีขนาดใหญ่เท่าล้อรถ อ่างน้ำ และบ่อน้ำ ซึ่งไม่มีขนาดที่แน่นอน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ แววตาน่ากลัวกว่าการจ้องมองของมือสังหารบรรพกาลมาก ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนยิ่งกว่า
ดวงตาที่อยู่บนเทือกเขาไกลๆ นั้น อยู่ๆ ลูกตาก็หมุน ‘กลอกกลิ้ง’ จ้องมองตู้เอ้อร์อย่างรวดเร็ว และชั่วประเดี๋ยวเดียว ดวงตาทั้งหมดก็พากันจ้องมองตู้เอ้อร์
จากนั้นรูปของคนในลูกตาที่นับไม่ถ้วนก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
โชคชะตาแจ้งเตือนอีกครั้ง ตู้เอ้อร์รู้สึกหนาวสั่นในใจ หนาวสั่นทะลุกระดูก สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความต่ำต้อย
ความต่ำต้อยของตนเอง
แต่ราวกับฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนแปลงมาจากเจตจำนงฟ้าดิน แค่จ้องมองก็ทำให้ตู้เอ้อร์คุกเข่าลงพื้นอย่างช่วยไม่ได้ ยอมอยู่ใต้อำนาจของเจตจำนงฟ้าดิน
ความรู้สึกนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นตอนอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์เลย
ไม่ใช่แค่เขา ฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน นักบวชเต๋าจินเหลียน และซุนเสวียนจีที่อยู่ไกลๆ ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
กว้างใหญ่ ใหญ่โตมโหฬาร น่าเกรงขาม…ทั้งหมดนี้ไม่เพียงพอที่จะอธิบายดวงตาเหล่านั้นและการดำรงอยู่ของมันได้
หากจะต้องหาคำที่เหมาะสมให้ได้ คำนั้นก็คือคำ ‘ฟ้า!’
ในใจของแต่ละคนเกิดความรู้สึกต่ำต้อย
ความรู้สึกต่ำต้อยที่เกิดเป็นมนุษย์
หลังจากเหยียบเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์แล้ว พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
“ไป!”
ตู้เอ้อร์เพิ่งตะโกนเสร็จก็พบว่าข้างกายตอนนี้เหลือแค่เหิงหย่วน ส่วนอาซูหลัวหนีไปตั้งนานแล้ว
…ตู้เอ้อร์ไม่ลังเลอีก แสงพุทธะเปล่งประกายบนแท่นบงกชเก้ากลีบ และพุ่งจากไปราวกับแสงสายฟ้าสีทอง
ไต้ซือเหิงหย่วนตามติดอยู่ข้างหลังเขา
“นิกายมหายาน นิกายมหายาน…”
เสียงคำรามน่าหวาดกลัวดังมาจากข้างหลัง
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ที่สังเกตอยู่ไกลๆ อย่างระมัดระวัง มองเห็นว่าทุ่งราบนั้นมีชีวิต พื้นดินทะลักขึ้นมาราวกับคลื่นทะเล กลายเป็นกำแพงดินสูงหลายร้อยจั้งบดบังฟ้าและพระอาทิตย์ ก่อนผลักไปทางพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กับเหิงหย่วน
คลื่นยักษ์นี้ไล่โจมตีออกไปนอกรัศมีหลายลี้ เศษดินทรายร่วงลงส่งเสียงดัง ‘ซู่ๆ’ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน นั่นคือเลือดเนื้อสีแดงเข้ม เลือดเนื้อที่ปกคลุมฟ้าและพสุธาราวกับคลื่นทะเล
ความรู้สึกต่ำต้อยหายไปแล้ว
ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะยังน่ากลัวเพียงใด แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนตัวสั่น ทำให้ผู้คนหวาดผวา แต่ความรู้สึกต่ำต้อยที่เกิดเป็นมนุษย์นั้นได้หายไปจากใจฝูงชนแล้ว
เลือดเนื้อสีแดงเข้มเกาะตัวเป็นมือยักษ์ที่บดฟ้าบังพสุธา ทันทีที่ฝ่ามือยักษ์ข้างนี้ปรากฏ มันก็ทะลุทะลวงอากาศไปปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของอาซูหลัวกับเหิงหย่วน
‘ร่างธรรมธุดงค์หรือ’ ตู้เอ้อร์ใจสั่นสะท้าน
ทั้งสามขี่พายุไม่หยุดพัก ต่างก็มีระดับเต๋าแยกขันธ์ขั้นสองปรากฏเหนือศีรษะ ลำแสงหลากสีสันส่องสว่างพร่างพราวทอสลับกันไปมา พยายามต้านทานการถูกฝ่ามือดูด
หลี่เมี่ยวเจินกับนักบวชเต๋าจินเเหลียนยื่นมือออกพร้อมกัน เพื่อเพิ่มโชคดีให้กับทั้งสาม
ในช่วงที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย มือยักษ์คู่นั้นก็พังทลายลง
เลือดเนื้อที่เกาะตัวเป็นมันก็ดูราวกับสูญเสียพลังไป อยู่ๆ ก็ทรุดตัวลงกระแทกกับพื้น ชั่วแวบเดียว พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับภูเขาถล่ม ฝุ่นคลุ้งขึ้นฟ้า
อาซูหลัว ตู้เอ้อร์ เหิงหย่วน หนีตายมาได้แต่ยังคงไม่กล้าหยุดพัก จนกระทั่งกลับมาอยู่ข้างๆ หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ถึงกล้าหันกลับไปมอง
ขณะนี้เลือดเนื้อสีแดงเข้มเหล่านั้นค่อยๆ ผสมเข้ากับพื้นดินจนกระทั่งหายไป
“ข้าตกใจแทบตาย”
อาซูหลัวลูบศีรษะเกลี้ยงเกลาของตนเอง
แม้ว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กับเหิงหย่วนจะไม่พูดอะไร แต่ดูจากสีหน้าและแววตาแล้ว ในใจคงรู้สึกแบบเดียวกับอาซูหลัว
“ตอนที่ข้าเข้าใกล้เมื่อครั้งก่อน พระองค์ไม่เคยทำร้ายข้า…”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าว
“เมื่อครู่โชคชะตาแจ้งเตือนข้าว่า พระองค์จะกลืนข้า ช่วงชิงโชคชะตากลับไป”
ในใจฝูงชนรู้สึกสับสน คำถามต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ไปจากดินแดนประจิมทิศ กลับไปยังเหลยโจวก่อน รอไต้ซือเสินซูมา”
หลังกลับไปเขตแดนเหลยโจวแล้ว คนกลุ่มนี้ก็หาที่พักบนยอดเขาบางแห่งที่ไม่มีผู้คน และนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นสนโบราณต้นหนึ่ง
ฉู่หยวนเจิ่นจ้วงหยวนหลางที่มีปอยผมสีขาวตรงหน้าผากเป็นผู้เปิดหัวข้อสนทนาก่อน
“สิ่งนั้นคือพระพุทธเจ้าหรือ”
นักบวชเต๋าจวี๋เมากับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์และคนอื่นๆ พยักหน้า
ไต้ซือเหิงหย่วนพนมมือขมวดคิ้วจนเป็นเส้นตรง และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เหตุใดพระพุทธเจ้าถึงเปลี่ยนไปมีสภาพเช่นนี้ได้”
ไม่มีคนตอบ
ร่างกายกลายเป็นภูเขาและสายน้ำ เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเลยขอบเขตความเข้าใจของพวกเขา
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก่อนกล่าว
“ไต้ซือบอกว่าพระองค์จะกลืนกินท่าน ช่วงชิงโชคชะตากลับไปหรือ”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้า
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้าช้าๆ และแสดงความคิดเห็นของตนเอง
“ถึงจะไม่กล้าเข้าไปส่วนลึกของดินแดนประจิมทิศ แต่สิ่งที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พูดอาจเป็นเรื่องจริง”
เขาหมายถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ากลืนกินสิ่งมีชีวิตในดินแดนประจิมทิศ และกลายเป็นเมืองภูเขาและแม่น้ำ
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วกล่าว
“แต่ตอนที่พวกเรามานั้น พบเห็นคนเป็นๆ ไม่น้อย ไม่ได้ถูกพระพุทธเจ้ากลืนกิน พระองค์ไม่มีเหตุผลที่จะกลืนกินแค่ครึ่งเดียว…”
นางยังกล่าวไม่จบ อาซูหลัวก็แย่งหัวข้อสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ และมีแรงดึงดูด
“พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าลงมือ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคัน ดินหินพังทลายร่วงลงมา เผยให้เห็นเลือดเนื้อสีแดงเข้ม สถานะก่อนและหลังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน พระองค์ยังคงน่ากลัวดังเดิม แต่ดูเหมือนจะสูญเสียอำนาจบางอย่างที่สั่นสะเทือนจิตใจ”
‘อำนาจที่สั่นสะเทือนจิตใจหรือ เขาละทิ้งตู้เอ้อร์กับเหิงหย่วนแล้วหนีหัวซุกหัวซุนนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ติดประเพณีนิยมอันเก่าแก่คร่ำครึ…’ หลี่เมี่ยวเจินซุบซิบในใจ
แต่นางสามารถเข้าใจว่า ‘สั่นสะเทือนจิตใจ’ ที่อาซูหลัวพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร
เพราะความรู้สึกต่ำต้อยนั้น นางเองก็รับรู้มาแล้ว
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้ากล่าว
“และเขตแดนที่พระองค์สูญเสียอำนาจทางด้านนี้ ก็คือเขตแดนที่พระองค์ไม่ได้กลืนกลาย
ขณะนี้เขาเห็นซุนเสวียนจีโบกแขนเสื้อนำที่ทับกระดาษ พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึกออกมา และจรดปลายพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวสรุปราวกับเข้าใจทั้งหมด
“เป็นไปได้หรือไม่ที่การก่อตั้งนิกายมหายานทำให้พระพุทธเจ้าเสียโชคชะตาไปส่วนหนึ่ง ส่งผลให้พระพุทธเจ้าไม่อาจขยายอำนาจไปอีกระดับได้ ดังนั้นท่าทีที่พระพุทธเจ้ามีต่อพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จึงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด”
การคาดเดาของเขาพิจารณาจากโชคชะตาที่ระดับสุดยอดต้องการ เชื่อมผนึกกับการเปลี่ยนแปลงของดินแดนประจิมทิศ และการแจ้งเตือนโชคชะตาจากพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เป็นต้น ก่อนนำมาตัดสิน
นักบวชเต๋าจวี๋เมาลูบเครากล่าว
“อาตมาเองก็คิดเช่นนี้ หมากตานี้ของนิกายมหายานได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีการค้ำจุนจากโชคชะตา ดูเหมือนพระพุทธเจ้าไม่อาจขยายตัวต่อไปได้ เพียงพวกเราไม่เข้าไปในเขตดินแดนประจิมทิศ คิดว่าคงไม่มีอันตรายอะไร”
ฝูงชนคล้อยตามด้วย
ประเดี๋ยวเดียวพวกเขาก็สังเกตเห็นว่าซุนเสวียนจีถือพู่กันยืนค้างอยู่ที่นั่น
พอเข้าไปมุงดูจะเห็นเขียนบนกระดาษว่า
“พระพุทธเจ้าสูญเสียโชคชะตา ไม่อาจกลืนกลายต่อไปได้…”
คำพูดส่วนหลังไม่ได้เขียนต่อ เพราะถูกฉู่หยวนเจิ่นพูดออกมาหมดแล้ว
“นี่…” จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินพูดปลอบใจหนึ่งประโยค “ครั้งหน้านำผู้พิทักษ์หยวนมาด้วย”
‘ผู้พิทักษ์หยวนเป็นแค่ปีศาจขั้นสี่เล็กๆ ไม่ควรต้องเสี่ยงอันตรายที่ไม่เหมาะสมกับตบะของเขาหรอก….’ ไต้ซือเหิงหย่วนที่โอบอ้อมอารีและมีเมตตาคิดอยู่ในใจ
‘เป็นความคิดที่ดี ทำให้เจ้าลิงบ้านี้ตกใจตายไปเลย…’ นี่คือเสียงในใจของคนที่เหลือ ยกเว้นพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
ฉู่หยวนเจิ่นนำผลสรุปจากการถกของทุกคนส่งเข้าไปในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี
หมายเลขหนึ่ง ‘คาดการณ์ได้ไม่เลว ซึ่งอาจเป็นเช่นนั้น ข้าสอบถามเว่ยกงกับนักปราชญ์จ้าวแล้ว สำหรับความผิดปกติของพระพุทธเจ้า พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่นักปราชญ์จ้าวบอกว่า ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์ที่กล่าวถึง’
‘สภาพเช่นนั้นของพระพุทธเจ้าพูดได้ว่าเป็นมหาเคราะห์จริงๆ หากให้พระองค์ขยายตัวอย่างกำเริบเสิบสาน ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา…’ สมาชิกพรรคฟ้าดินมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
หมายเลขหนึ่ง ‘สวี่หนิงเยี่ยน สวี่หนิงเยี่ยนเจ้าได้ดูข้อความหรือไม่’
ถามติดต่อกันอยู่หลายครั้งก็ไม่มีคนตอบ
หมายเลขเก้า ‘สวี่หนิงเยี่ยนอยู่โพ้นทะเล ไม่เคยกลับมาเลย’
จอมยุทธ์หยาบคายผู้นั้นไม่อยู่ ทุกคนมักจะรู้สึกไม่ปลอดภัย
หมายเลขเจ็ด ‘สวี่หนิงเยี่ยนเจ้าหลานเต่าผู้นี้หนีไปโพ้นทะเลไม่กลับมาแล้วหรือ หากไม่อาจเลื่อนขั้นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ ส่วนมากน่าจะหนี ถึงอย่างไรเขาก็เป็นที่ชอบพเนจรและบ้าตัณหาอยู่แล้ว’
‘ไม่ใช่เพราะว่าเขารักตัวกลัวตายหรอกหรือ นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับการชอบพเนจรและบ้าตัณหา เจ้าหลี่หลิงซู่ถือโอกาสให้ร้ายสวี่ชีอันอีกแล้ว…’ สมาชิกพรรคฟ้าดินตำหนิอยู่ในใจ
หมายเลขสอง ‘ลูกพี่ ท่านถึงซินเจียงตอนใต้หรือยัง’
หมายเลขเจ็ด ‘ถึงแล้ว กำลังรอไต้ซือเสินซูออกด่านกักตนอยู่ จะว่าไปแล้วสาวงามเผ่าจิ้งจอกไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะพี่สาวน้องสาวของเย่จีถือเป็นยอดพธูของเผ่า ใบหน้าแต่ละนางล้วนดับรัศมีศิษย์น้องได้เลย’
หมายเลขสอง ‘ลูกพี่เอ๋ย รอกลับมาเมืองหลวง ข้าจะนำคำพูดนี้ไปบอกบรรดาพี่สะใภ้ อืม นอกจากท่านจะบอกข้าว่ามีนางบำเรอที่ซินเจียงตอนใต้กี่คน’
‘ลูกพี่ผิดไปแล้ว ลูกพี่ยังมีเรื่องต้องพูดคุยกับโยวจี หลิงจี ชิงจี สาวงามทั้งสาม ทุกท่านรักษาตัวด้วย’
…
ใต้ทะเลลึก
ร่องน้ำลึกใต้ทะเลลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ดำมืดราวกับสามารถกลืนกินลำแสงได้
สวี่ชีอันทิ้งเปลือกหอยสีแดงเพลิงหนึ่งกำมือ รอพวกมันร่วงลงสู่ร่องลึกแล้วใช้พลังปราณจุดชนวนให้มันระเบิด
ธาตุไฟที่แฝงอยู่ในเปลือกหอยระเบิดอย่างรุนแรง ภายใต้ก้นทะเลมืดมิดไร้แสงมีลูกไฟพองตัวออกมาเป็นลูกๆ
คลื่นใต้น้ำโหมซัดสาดขึ้นมาทันที
ขณะที่เปลวไฟลุกโชนนั้น สวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางมองเห็นหนวดหนาๆ เส้นหนึ่งพุ่งออกจากร่องลึก มันมีขนาดใหญ่ราวกับงูเหลือมยักษ์ที่กลืนกินท้องฟ้าได้ ปุ่มดูดแต่ละปุ่มมีขนาดใหญ่เท่ากับอ่างน้ำ
มีเส้นไม่สมบูรณ์ประทับอยู่บนผิวหนวด
‘เทพมารระดับสุดยอดผู้นี้คือราชาปลาหมึกหรือ…’ สวี่ชีอันรู้สึกความหวังดับสูญเล็กน้อย เขารอคอยด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าร่างจริงของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอย่างไร
หนวดเส้นนี้บิดตัวพันเข้ามาและกวาดไปทางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอย่างโหดเหี้ยม
คลื่นน้ำใต้ทะเลเดือดพล่านในพริบตา เสียงคลื่นดัง ‘ครืนคราน’ ปะทะอยู่ข้างหูสวี่ชีอัน
‘มีความอ่อนไหวต่อทายาทเทพมารมากยิ่งขึ้น…’ สวี่ชีอันเลิกคิ้ว และยืนดูโดยไม่ยื่นมือช่วยปีศาจจิ้งจอกรับมือกับศัตรู
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้ใช้อาวุธที่แข็งแกร่งของนาง ซึ่งก็คือหางนั่นเอง
หางจิ้งจอกขนปุกปุยทั้งเก้าหาง ฟาดออกไปราวกับหนวดของแมงกะพรุน ผลักดันหนวดที่นางได้รับผลกระทบ มือกำหมัดไว้แน่นและปล่อยฟองอากาศออกมาจำนวนมาก
‘ปัง!’
เกิดเสียงดังขึ้นใต้ทะเลลึก ราวกับทุ่นระเบิดที่ระเบิดตัว
ในสายตาของสวี่ชีอัน ด้านหน้าถูกฟองอากาศแน่นขนัดปกคลุมในฉับพลัน คลื่นใต้น้ำที่โหมซัดสาดกวาดไปทุกทิศราวกับคลื่นกระแทก และกระแทกใส่หน้าอกเขา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกระเด็นออกไปด้านหลัง จนเกิดเป็นแถบสุญญากาศ
สวี่ชีอันเห็นเช่นนี้ก็ประเมินพลังของหนวดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้พลังของเจ้าอาณาจักรจะไม่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ แต่มีสถานะเป็นทายาทเทพมาร ความแข็งแกร่งทางกายภาพต้องเหนือกว่าขั้นหนึ่งของระบบอื่นอย่างแน่นอน
แต่การโจมตีด้วยกำปั้นในเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่านางสู้ศัตรูไม่ได้
‘มันยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ หลังจากข้ากลืนกินมันแล้ว ก็ยิ่งเก็บเกี่ยวได้มากขึ้น ไม่แน่อาจเข้าสู่ระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ในทีเดียว…’ สวี่ชีอันส่งกระแสจิตกล่าว
“เจ้าอาณาจักร ช่วยข้าก่อกวนมันไว้ ข้าจะลงไปหาร่างจริงของมัน”
จิ้งจอกเก้าหางตอบรับ “อืม” ด้วยน้ำเสียงปกติ แม้จะพ่ายแพ้ในเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ